คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Break 4: Love Game [Re]
4
Love Game
“มีใครเห็นหนังสือเค้าบ้างไหม พี่มาร์เห็นไหม เฮนรี่ แซงค์ เฟียส มีใครเห็นหนังสือฉันบ้างป่ะ” ฉันโวยวายพลางมุดซอกโน้นค้นซอกนี้เพื่อตามล่าหาหนังสือเรียนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปหลบอยู่หลืบไหน
“หนังสืออะไรล่ะลีน เราลืมอยู่ที่บ้านหรือเปล่า” พี่มาร์ถาม
“หนังสือ Backup and Recovery ค่ะ เมื่อคืนลีนหาจนแทบจะพลิกบ้านลงไปดูใต้เสาเข็มแล้วนะพี่มาร์ ลีนว่าลีนลืมทิ้งไว้ที่ร้านเนี่ยแหละ แต่ตอนนี้ไม่รู้มันหายไปไหน โอ๊ย!! ทำไงดี อีกไม่กี่วันจะสอบมิดเทอมแล้วด้วย ลีนยังไม่ได้อ่านซ้ากกกกกกกกกก..กะตัวเลยนะ”
“แก่แล้วก็ขี้หลงขี้ลืมแบบนี้แหละเจ๊” แซงค์ที่เดินผ่านมาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใยดีก่อนจะเดินผ่านไปเพื่อเอาเค้กไปเสิร์ฟให้ลูกค้าสาวกลุ่มหนึ่งในร้านโดยไม่ลืมที่จะโบกไม้โบกมือตอบรับเสียงกรี๊ดที่ดังขึ้นทันทีที่เขาปรากฏตัว จ้ะ พ่อเด็กเสิร์ฟซูเปอร์สตาร์
เอ๊ะ! ว่าแต่เมื่อกี้ไอ้หมอนั่นมันว่าใครแก่นะ ชิชะ! เดี๋ยวแม่ก็กระโดดสองขาถีบซะเลยนี่ –*–
“วันก่อนเราเห็นลีนถือมาที่ร้านนะ วันที่ลีนจะไปเอารถแล้วบอกให้ไปเจอกันที่มหาลัย...แล้วลีนก็โดดไม่ยอมไปซะงั้น แถมไม่โทรบอกกันสักคำด้วย” ท้ายประโยค เฮนรี่ก้มลงมากระซิบข้างหูฉันเพราะกลัวว่าพี่มาการองที่กำลังยืนจัดตู้ขนมอยู่ไม่ไกลจากพวกเราเท่าไหร่จะได้ยิน
“เออจริงด้วย!”
ฉันนึกตามที่เฮนรี่บอกก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลังร้านแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มๆ กดๆ โทรออกหาใครบางคน จริงด้วย! ฉันต้องลืมเอาไว้ในรถเขาอีกแน่เลย แง~
“ฮีวอน นี่ฉันเองนะ มาเดอลีน” ฉันกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ทันทีที่ปลายทางรับสาย
“อืม”
“เมื่อวันก่อนที่เราไปวัดกัน ฉันได้ลืมของไว้บนรถนายหรือเปล่าอ่ะ”
“อืม”
“หนังสือเรียนใช่ป่ะ”
“อ่าฮะ”
“ลืมไว้บนรถนายจริงๆ ด้วย เฮ้อ~ ค่อยยังชั่ว แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ไหนอ่ะ ฉันไปเอาได้ไหม”
“อืม”
“ฉันถามว่าอยู่ที่ไหน จะ ‘อืม’ ทำไม –___–”
“ก็เธอถามว่ามาเอาได้ไหม ฉันก็ตอบ ‘อืม’ ไง”
“คำถามนั้นฉันก็พูดๆ ไปงั้นแหละ ถึงนายไม่ให้ไปฉันก็จะไปอยู่ดีนั่นแหละ รีบๆ บอกมาเหอะว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“บนเก้าอี้”
“อยากตายหรือไง =_=”
“Starbucks ห้าง XXX ฉันจะรอแค่ครึ่งชั่วโมงนะ”
“โอเค อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกัน”
ฉันตัดบทวางสายแล้วรีบบึ่งออกจากร้านทันที จะบ้าหรือไง จะให้ไปถึงภายในครึ่งชั่วโมง พูดอะไรเคยนึกถึงสภาพการจราจรของเมืองหลวงบ้านเราบ้างหรือเปล่ายะ!
At XXX Malls 3rd floor
ฉันยืนใจสั่นตุ๊มๆ ต่อมๆ ราวกับเพิ่งซัดเอสเพรสโซ่เข้าไปห้าแก้วรวดทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปข้างในร้านเลยด้วยซ้ำ ฮีวอนที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์เล่นอยู่ด้านในก็ไม่ได้สนใจจะเงยหน้าขึ้นมามองรอบข้างเลยว่าฉันมายืนอยู่หน้าร้านได้ราวๆ สิบนาทีแล้ว
โอ๊ยทำไงดี ก่อนหน้านี้ก็ใจกล้าหน้าด้านซะเหลือเกินนะมาเดอลีน ไหนจะไปสารภาพรักกับเขา ไหนจะคำพูดเสี่ยวๆ ที่วัดนั่นอีก
‘นายยังเหลือฉันไง ฉันที่นั่งอยู่ตรงนี้กับนาย นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ซะหน่อย!’
แล้วไงล่ะ! พอตอนนี้จะต้องเดินเข้าไปเจอหน้าเขาอีกที ไหงมายืนสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ตรงนี้ล่ะ มาเดอลีนนะมาเดอลีน ตอนพูดล่ะไม่คิด ตอนนี้ก็ยังไม่คิดดันเพิ่งมาอาย T^T
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปข้างในร้าน เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน ยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่ดี รีบเข้าไปเอาหนังสือแล้วรีบกลับบ้านไปอ่านดีกว่า
“ฮีวอน” ฉันเปล่งเสียงเรียกเขาเบาๆ เจ้าตัวละสายตาจากโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมามองฉัน นี่ถ้ามีคนคิดจะฆ่าหมอนี่คงฆ่าตายได้อย่างสบายๆ เลยแหละ ขนาดฉันเดินมาหยุดข้างโต๊ะที่เขานั่งแล้วเขายังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“ไปกันเถอะ” เขายัดโทรศัพท์เก็บลงกระเป๋ากางเกงแล้วคว้าข้อมือฉันให้ลุกขึ้นในขณะที่ฉันกำลังจะหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพอดี
“หะ? ไปไหน” ฉันเอ่ยถามอย่างุนงง
“อย่าถามมากน่า”
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาพาฉันเดินออกมาจากร้านลากขึ้นบันไดเลื่อนมาจนถึงชั้น 7 ซึ่งเป็นศูนย์รวมของร้านอาหารชื่อดังมากมาย ตอนแรกฉันก็นึกว่าเขาหิวข้าว แต่ปรากฏว่าฮีวอนกลับลากฉันเข้าไปในโซนโรงหนังแถมบัตรก็ซื้อเตรียมไว้แต่แรกแล้วด้วย
ก็ไม่ได้อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่หรอกนะ แต่ที่เขาทำแบบนี้มันก็อดให้ชวนคิดไม่ได้ว่าที่เขานัดฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะพามาดูหนัง
ฉันเก๊กหน้าขรึมเดินตามฮีวอนเข้าไปในโรงหนังด้วยหัวใจที่แอบเต้นแรงอยู่หน่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความมืดภายในโรงหนังหรือความซุ่มซ่ามที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของฉันกันแน่ถึงทำให้ฉันสะดุดขั้นบันไดจนเกือบจะล้มหน้าคว่ำ โชคดีที่ฮีวอนคว้าไว้ได้ทันและจูงมือฉันพาเดินไปจนถึงที่นั่งอย่างปลอดภัย
I’ll be there for you to wish, to want, to wander, to find the sun through rain and thunder~
อยู่ดีๆ เนื้อเพลงของเจ้าหญิงจัสมินและอะลาดินก็แวบเข้ามาในหัว...บ้าจริง! ในโรงหนังแค่ปิดไฟก็เลยมืดเฉยๆ ฝนไม่ได้ตก แถมฟ้าก็ไม่ได้ร้อง ทำไมฉันต้องนึกเพลงการ์ตูนติ๊งต๊องๆ นั่นแล้วใจสั่นด้วยเนี่ย
ฉันหันไปมองฮีวอนที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยอาศัยแสงสว่างอันริบหรี่จากจอหนัง เขานั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ตาคู่สวยจดจ้องอยู่แต่กับจอหนังข้างหน้าราวกับว่าถูกดูดวิญญาณไปแล้วอย่างไงอย่างงั้น
30 นาทีผ่านไป
...บอกตรงๆ เลยว่าน่าเบื่อมากกกกกกกกกกก...จนแทบจะลากกอไก่ไปถึงดวงอาทิตย์ ถ้าไม่ติดว่ากลัวนอนละเมอน้ำลายไหล ฉันจะหลับไปตั้งแต่สิบนาทีแรกแล้วด้วยซ้ำ ปกติฉันก็เป็นคนไม่ค่อยชอบดูหนังรักโรแมนติกอะไรแบบนี้อยู่แล้วด้วย แล้วเรื่องนี้นะ ทั้งเรื่องไม่ได้มีอะไรน่าสนใจสักนิด ฉากเดียวที่คนทั้งโรงรอดูก็คงเป็นฉากอีโรติกของพระเอกกับนางเอกเท่านั้นแหละ ให้ดูหนังผีที่ต้องปิดตาดูทั้งเรื่องยังสนุกกว่าเลยให้ตายเหอะ –*–
หมับ!
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งวิจารณ์หนังเรื่องนี้อย่างเงียบๆ คนเดียว ใครบางคนก็เอื้อมแขนมาโอบรอบตัวฉันเอาไว้ ฉันตกใจรีบหันไปมองหน้าเจ้าของมือที่กำลังจับไหล่ฉันอยู่ทำให้เขาสบโอกาสรั้งตัวฉันเข้าหาเขาพร้อมกับประกบริมฝีปากลงมาอย่างรวดเร็วโดยที่ฉันยังไม่ทันแม้แต่จะได้ส่งเสียงร้องใดๆ ออกไป
ไม่ทันแม้แต่จะได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ...แต่ถึงกระนั้นฉันก็รู้ดีกว่าเขาเป็นใคร
ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉัน...
ผู้ชายที่เป็นคนพาฉันมาที่นี่...
คังฮีวอน!!
ฉันผลักเขาออกก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนหน้าขาวๆ ของเขาด้วยความตกใจสุดขีด เป็นจังหวะเดียวกับที่แสงสว่างจากจอหนังฉายจ้าขึ้นมาพอดีทำให้ฉันมองเห็นสายตาอันแสนจะเย็นชาจากเขาท่ามกลางความมืดของโรงหนังได้อย่างชัดเจน ฮีวอนลุกขึ้นแล้วรีบก้าวฉับๆ ออกจากโรงหนังไปทันทีโดยไม่พูดไม่จาอะไร
นี่มันเกิดอะไรขึ้น เขาเป็นบ้าอะไร!?
เฮนรี่เคยเตือนว่าโรงหนังเป็นสถานที่ที่อันตราย ผู้หญิงจะถูกผู้ชายลวนลามหลอกแต๊ะอั๋งได้ง่าย เฮนรี่เคยเล่าว่าเขามักจะพาสาวๆ มาดูหนังแล้วก็จับไม้จับมือ แถมบางครั้งยังจูบกันด้วย (อุ้ย ฉันไม่ได้เผาเพื่อนนะ) แต่ฉันก็ไม่เคยเลยคิดว่าวันหนึ่งจะได้มาเจอ ไม่สิ! จะได้มาสัมผัสเหตุการณ์แบบนี้ด้วยตัวเอง ถึงฉันเองจะไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อยเป็นกุลสตรีไทยประดุจดั่งผ้าพับไว้ แต่เรื่องเมื่อกี้นี้...ฉันตกใจจริงๆ นะ
และด้วยความตกใจ พอฮีวอนลุกออกไป ฉันก็เลยทำได้แค่วิ่งตามเขาออกมาอย่างโง่เง่า ทั้งที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะวิ่งตามเขาออกมาทำไม ไม่ใช่เพราะฉันอายที่ถูกเขาจูบแล้วทิ้งไว้ในโรงหนังคนเดียว แต่เป็นเพราะสายตาที่เขามองฉันตอนนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนผิดยังไงก็ไม่รู้
อะไรกันเนี่ย...เขาเป็นคนทำมิดีมิร้ายกับฉันก่อนนะ ทำไมฉันจะต้องรู้สึกผิดเพราะแค่ตบหน้าเขาไปด้วยแรงอันน้อยนิดนั่นด้วย!
ยังไม่ทันที่ฉันจะหาคำตอบอะไรให้ตัวเองได้ กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ฉันก็เดินตามฮีวอนมาจนถึงลานจอดรถเรียบร้อยแล้ว ฮีวอนเดินตรงไปที่รถของเขาก่อนจะเปิดประตูแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมา
มันไม่ใช่ของที่มีอันตรายอะไรอย่างมีดหรือปืนหรอก แต่เป็นแค่หนังสือเล่มนึง...หนังสือเรียนของฉัน จุดประสงค์หลักที่ฉันดั้นด้นมาหาเขาในวันนี้ ฮีวอนปามันใส่หน้าฉันที่ยืนห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าวก่อนที่มันจะตกลงพื้นพร้อมกับแผ่นอะไรบางอย่างหลุดปลิวออกมา
ความเจ็บที่โดนหนังสือกระแทกหน้า เทียบไม่ติดเลยสักนิดกับความตกใจที่เห็นสิ่งที่ตกอยู่ตรงหน้าแทบเท้าฉัน
...แผ่นพับโฆษณาสีสันจัดจ้านที่ฉันจำติดตาได้ดีว่ามันคือแผ่นโปรโมชั่นของร้าน Les Dessert
“ไหนลองบอกมาสิว่าไอ้แผ่นนั่นมันคืออะไร?!!” เขาตวาดเสียงดังลั่น
ฉันก้มลงมองแผ่นโปรโมชั่นเล่นเกมแลกเดทของร้านที่มีชื่อคังฮีวอนถูกเขียนด้วยปากกาเมจิกตัวโตๆ พร้อมกับวงกลมล้อมรอบไว้
เขาเห็นมัน…!
“ที่จริงเธอต้องการอะไรกันแน่ เธอเข้ามาชีวิตฉัน เธอต้องการอะไรกันแน่?!!” เขาตวาดกร้าว
“ฉัน...”
“ฉัน...ฉันอะไร พูดออกมาสิ! เธอเข้ามาทำดีกับฉัน มาหลอกฉันเพื่ออะไร?!”
ฉันไม่ได้คิดไปเอง แต่ความเย็นชาที่ถูกส่งผ่านมาสายตาทำให้ฉันเย็นวูบเข้าไปถึงหัวใจ
เขาไม่ได้จูบฉันเพราะความพิศวาส...แต่จูบเพราะแค่จะลองใจฉัน
เขาไม่ได้โกรธที่ถูกฉันตบหน้า...แต่โกรธเพราะเห็นแผ่นโปรโมชั่นนี่แล้วรู้ว่าตัวเองถูกฉันหลอก
ผู้หญิงที่เมื่อวันก่อนเคยบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเขา มาวันนี้ เธอคือคนเดียวกับที่เข้ามาหลอกเขาเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ฉันจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกแย่มากแค่ไหน...
“ถ้านายอยากได้เหตุผล ฉันก็จะบอกให้ตรงๆ ว่าที่ฉันเข้ามาวุ่นวายกับนาย ฉันก็แค่อยากได้นายไปเป็นพนักงานที่ร้าน...ก็อย่างที่นายเข้าใจนั่นแหละ”
ฉันยอมรับออกไปตรงๆ แม้จะรู้ดีว่ามันจะยิ่งทำร้ายเขาและรู้ดีว่านอกจากคนอย่างเขาจะไม่มีทางยอมทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาดแล้ว เผลอๆ เขาอาจจะโกรธจนเด็ดหัวฉันทิ้งตรงนี้เลยก็ได้ แต่ไหนๆ เขาก็รู้หมดแล้วนี่ จะอ้อมค้อมกันให้เปลืองเวลาไปทำไม จริงไหมล่ะ
“ก็เลยมาหลอกว่ารักฉัน”
“นายจริงจังงั้นเหรอ” ฉันหลุดปากถามคำถามที่ไม่ควรถามอย่างยิ่งออกไป
ถึงจะรู้สึกผิดที่หลอกเขาเรื่องแอบรัก แต่เรื่องที่ฉันบอกเขาตอนที่เราอยู่ที่วัด ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ นะ ฉันพูดมัน...แล้วก็หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ
“หึ! เปล่าหรอก” เขาตอบเสียงเรียบ
แต่ต่อให้บอกไปตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร...
“ความจริง...ถ้าร้านเธอมันจะเจ๊งก็คงไม่แปลกอะไรหรอก” ฮีวอนแค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน เขาโน้มหน้าลงมาจนปลายจมูกเราห่างกันไม่ถึงคืบ ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา ลมหายใจอุ่นๆ ที่ช่างขัดแย้งกับแววตาอันแสนเย็นชา...
“...ก็เจ้าของร้านมาเล่นวิ่งไล่จับผู้ชายซะทุกวันแบบนี้”
เขาพูดต่อจนจบ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออกกับคำพูดของผู้ชายคนนี้
คังฮีวอน...ต่อให้ ณ วินาทีนี้นายจะเกลียดฉันขนาดไหน นายก็ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกกันแบบนี้หรอกนะ!
มือฉันสั่น ฉันรู้สึกได้ถึงน้ำใสๆ ที่กำลังเอ่อล้นนัยน์ตาทั้งสองข้าง อยากจะโต้ตอบอะไรออกไปบ้างแต่ปากเจ้ากรรมดันแข็งทื่อ
ทำไมฉันจะต้องมาอ่อนแอให้หมอนี่เห็นในเวลาแบบนี้ด้วย...
“แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเธออยากได้ฉันไปทำงานที่ร้านบ้าๆ นั่นมากนักล่ะก็ เรามาลองกันสักตั้งไหมล่ะ ถ้าเธอทำให้ฉันรักเธอได้ ฉันจะยอมไปทำงานให้เธอฟรีๆ จนกว่าเธอจะพอใจ...”
“...”
“แต่ถ้าเมื่อใดที่เธอเป็นฝ่ายหลงรักฉัน เธอจะต้องออกไปจากชีวิตฉันแล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก...ตลอดไป!”
If you don’t want to be a loser, don’t love me.
To be continued…
ความคิดเห็น