คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Break 3: You Got Me [Re]
3
You Got Me
“ก็เพราะฉันรักนายไงล่ะ”
มะ...เมื่อกี้...เมื่อกี้ฉันพูดอะไรออกไป!? ไม่จริง รับตัวเองไม่ได้ บ้าไปแล้ว! ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ TOT
ฉันนั่งก้มหน้าด่าตัวเองในใจ อยากจะยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็อายคนตรงหน้าจนเกินกว่า จะทำได้ ยิ่งตอนนี้เราสองคนต่างก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จากัน ฉันก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้น...โอ๊ย! ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหนแล้วนะคะคุณขา จะมุดดินหนีตอนนี้ ห้องของหมอนี่ก็อยู่ตั้งชั้น 31 คำนวณดูแล้วกว่าจะมุดลงไปเจอดิน มีหวังฉันได้หัวแตกกระแทกปูนตายกลางทางก่อนแหงๆ
เอ...แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ ตายไปซะเลย ไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องรับรู้อะไร จะได้ไม่ต้องอายผู้ชายที่กำลังนั่งจ้องหน้าฉันอยู่ตรงนี้ด้วย แงๆ พ่อจ๋าแม่จ๋ามาเดอลีนอยากตาย TOT
“หึ!” ฮีวอนแค่นหัวเราะ ฉันเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็พบว่าเขากำลังอ้าปากจ้องหน้าฉันอยู่
คือไอ้ที่จ้องหน้าน่ะพอเข้าใจ แต่ทำไมต้องอ้าปาก...
“โจ๊กไง ฉันป่วยอยู่ ไม่มีแรงกินเองหรอก –O–” เขาบอกเมื่อเห็นฉันทำหน้างง
...และมันก็ยิ่งทำให้ฉันงงเข้าไปใหญ่
“นี่! เร็วๆ สิ ฉันหิว!”
ฉันสะดุ้งรีบคว้าถ้วยโจ๊กที่วางอยู่ในถาดอาหารมาถือไว้ก่อนจะตักใส่ปากเขา ถึงแม้น้ำเสียงหรือคำพูดเขาจะไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อกี้แต่สีหน้าและแววตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่เขาเค้นจะเอาความจริงจากฉัน แววตาของเขาเย็นชาราวกับคนไร้ความรู้สึก...เย็นชาจนน่ากลัวว่าจะลุกขึ้นมา บีบคอฉันตายคามือได้ถ้าตอบไม่ถูกใจยังไงยังงั้น
ก็เห็นว่านั่งอยู่บนเตียงดีๆ ไม่ได้มีอะไรตกใส่หัวซะหน่อยนี่น่า ทำไมเปลี่ยนไปได้ภายในห้าวินาทีแบบนี้
หรือว่า...หมอนี่จะเชื่อที่ฉันบอกว่าแอบรักเขาจริงๆ น่ะ เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง หลอกมาตั้งหลายอย่างดันจับได้หมด ทีโกหกเรื่องโง่ๆ แบบนี้ดันเชื่อก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว –*–
“เช็ดตัวให้หน่อย” ฮีวอนพูดขึ้นทันทีที่ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากเอาถาดอาหารออกไปเก็บ
“ว่าไงนะ!?”
“บอกว่าเช็ดตัวให้หน่อย หูตึงหรือไง” เขาพูดซ้ำ
“นายจะบ้าเหรอ! อยู่ดีๆ มาบอกให้ฉันเช็ดตัวให้เนี่ยนะ” ฉันโวย
“ทำไมล่ะ นี่ฉันกำลังสนองความต้องการให้เธออยู่นะ อย่าเรื่องมากน่า”
ฉันยืนอ้าปากค้างจุกกับคำพูดที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะหลุดออกมาจากปากผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสคนนี้ สะ...สนองความต้องการงั้นเหรอ –O–
“แล้วเธอทำไงต่อ”
“จะทำยังไงล่ะ จับเขาแก้ผ้าแล้วเช็ดตัวให้มั้ง ฉันคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกมาเลยน่ะสิถามได้” ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เฮนรี่หัวเราะร่าอย่างชอบอกชอบใจกับเรื่องที่ฉันเพิ่งเล่าให้เขาฟัง “เออ ขำเข้าไป ขำให้ขาดใจตายไปเลยนะ เพราะแกนั่นแหละบอกให้ฉันไปบอกรักหมอนั่น อย่าถึงให้ถึงทีฉันมั่งก็แล้วกัน เคยได้ยินไหม...หัวเราะทีหลังดังกว่า!”
“แล้วจะรอดู” เฮนรี่ยักคิ้วอย่างกวนประสาท
“อีกไม่นานหรอกย่ะ ชิ” ฉันเบ้ปาก “ไปก่อนนะ ฉันว่าจะไปเอารถก่อน แล้วเจอกันที่มหาลัย”
วันนี้ฮีวอนมีเรียนถึงเที่ยง ฉันต้องรีบไปรีบกลับก่อนที่เขาจะเลิกเรียน รู้สึกว่ายังไม่อยากเจอหน้าเขายังก็ไม่รู้ คือไอ้ความรู้สึกอายที่ไปบอกรักเขาน่ะหายไปหมดแล้ว แต่คำพูดของเขาเมื่อวานนี้ที่ยังติดค้างอยู่ในสมองฉันเนี่ยสิ ดังขึ้นซ้ำๆ ทั้งคืนทั้งวันจนน่าโมโห…
โมโหตัวเองที่ทำเรื่องน่าอายนั่นลงไปจนเขาเข้าใจผิดคิดว่าทั้งหมดที่ฉันทำเพราะฉันรักและต้องการเขาจริงๆ
แล้วก็โมโหเขาด้วยที่พูดประโยคงี่เง่านั่นออกมา...
‘นี่ฉันกำลังสนองความต้องการให้เธออยู่นะ’
ถ้าไม่นับรวมที่ฉันต้องการให้เขาไปทำงานที่ร้าน จำไม่ได้ว่าด้วยซ้ำว่าตัวเองไปต้องการเขาตอนไหน พูดแบบนี้นางเอกนิยายอย่างฉันเสียหายนะเฟ้ย
ถ้าพูดกันด้วยหลักเหตุและผล คนที่น่าโมโหที่สุดไม่ใช่ทั้งฉันแล้วก็ฮีวอนหรอก แต่เป็นอีตาเฮนรี่ที่ให้ฉันไปบอกรักหมอนั่นต่างหากล่ะ ถ้าฉันไม่หลุดประโยคนั้นออกไป เขาก็คงไม่เข้าใจผิดแบบนี้ ตอนนี้ฉันคงกลายเป็นผู้หญิงที่คอยจ้องแต่จะวิ่งไล่จับผู้ชายในสายตาของคังฮีวอนไปแล้วสินะ มาเดอลีนกรีดร้อง TT^TT
จะว่าไป เมื่อวานเขาไม่สบายหนักอยู่นี่น่า ไม่น่าจะลุกมาเรียนไหวหรอกมั้ง ฉันปลอบใจตัวเองแล้วรีบสาวเท้าเดินไปที่ลานจอดรถตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่จอดรถทิ้งไว้พลางเหลียวซ้ายแลขวาภาวนาในใจให้สิ่งที่คิดเป็นจริง
ฮีวอนไม่สบายจนมาเรียนไม่ได้...
“มาดักรอฉันเหรอไงที่รัก”
ฉันหันขวับไปตามเสียงเรียกจนพบกับเจ้าของเสียงที่ไม่อยากเจอกำลังยืนกอดอกแสยะยิ้มมองหน้าฉันอยู่ ไหนเมื่อวานป่วยหนักเจียนตาย ทำไมตอนนี้มายืนทำหน้าหล่ออยู่ตรงไหนนี้ได้วะ TOT
“เปล่าซะหน่อย ฉันมาเอารถต่างหาก”
“หึ! จะเชื่อดีไหมน้า~” เขาลากเสียงยาว ไอ้น่ารักมันก็น่ารักอยู่หรอกนะ แต่เขาทำเพราะจงใจกวนประสาทฉันเนี่ยสิ ถ้าไม่ติดว่าใส่กระโปรงนักศึกษาทรงเอมา ฉันจะกระโดดเตะแสกหน้าอีตานี่จริงๆ ด้วย
“เรื่องของนาย ฉันไม่ได้ขอให้ใครมาเชื่อ”
“งั้นฉันก็ไม่เชื่อ”
ฮีวอนพูดจบก็คว้าข้อมือฉันเดินดุ่มๆ ไปที่รถตัวเองก่อนจะเปิดประตูฝั่ง Passenger แล้วผลักฉันเข้าไปแถมยังคาดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพ
“นายจะพาฉันไปไหน” ฉันถามขึ้นทันทีที่เขาเดินอ้อมมาขึ้นอีกฝั่ง ฮีวอนสตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่งทันทีโดยไม่สนใจจะตอบคำถามหรือเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายของฉันเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาตอนนี้ดูปกติดีไม่มีเค้าโครงของความป่วยหลงเหลือจากเมื่อวานสักนิด
คิดๆ แล้วอยากจับหัวตัวเองโขกคอนโซลรถซะจริงๆ ไม่น่าซื้อยาให้เขากินเลยให้ตายสิ T^T
“จะบอกได้หรือยังว่าจะพาฉันไปไหน” ฉันถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่นั่งเงียบมานาน
“ไม่ได้พาไปขายหรอกน่า”
เขาตอบสั้นๆ ง่ายๆ นี่ฉันถามจริงจังนะ แต่เขาดันตอบเหมือนกำลังพูดหลอกล่อจะลักพาตัวเด็กห้าขวบอยู่อย่างงั้นแหละ ฮีวอนเลี้ยวรถแล่นเข้าสู่ถนนแถบชานเมืองเส้นที่ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ป้ายข้างทางที่ผ่านมาเมื่อกี้ต้อนรับเราเข้าสู่เขตจังหวัดปริมณฑลจังหวัดหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพมหานคร ดูลาดเลาแล้วฉันคงกลับไปเรียนตอนสิบเอ็ดโมงไม่ทันแน่ๆ นี่ก็ปาเข้าไปสิบโมงกว่าแล้วด้วย เฮ้อ –*–
ฉันนั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ฮีวอนก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถจนลืมไปแล้วมั้งว่ามีฉันนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย กว่าสี่สิบนาที ในที่สุดฮีวอนก็เลี้ยวรถเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งทำให้ฉันถึงกับอ้าปากค้าง
หมอนี่ต้องไม่สบายจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ อยู่ดีๆ พาฉันโดดเรียนมาที่นี่เนี่ยนะ!?
“นายพาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย”
“กินก๋วยเตี๋ยวเรือ”
“ร้านเด็ดเหรอ”
“ประชด –*–”
–___–
“เดินตามมาเหอะน่า อย่าถามมาก” ฮีวอนพูดจบก็เดินนำไปทันทีและฉันก็ได้แต่ทำตามที่เขาสั่งอย่างว่านอนสอนง่าย บอกตรงๆ ว่าช็อกมากตอนที่เขาเลี้ยวรถเข้ามา ไม่ใช่ว่าที่ที่เขาพาฉันมามันไม่ดีนะ แต่ฉันแค่แปลกใจ มึน งง สงสัย อะไรดลจิตดลใจหรือเข้าฝันให้จู่ๆ เขาก็พาฉันมาที่นี่เนี่ย
ฮีวอนหย่อนแบงก์ร้อยสองใบลงในกล่องรับบริจาคแล้วหยิบดอกไม้ธูปเทียนมาสองชุดก่อนจะยื่นให้ฉันชุดนึง
“ทำหน้าเหมือนฉันพาเธอมาทรมานงั้นแหละ”
“ฉันไม่ใช่ผีนะที่จะได้เข้าวัดแล้วทรมาน”
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”
เออ ฉันผิดเอง ขอโทษ =_=
ฮีวอนถอดรองเท้าวางไว้ข้างๆ บันไดแล้วเดินขึ้นไปบนพระวิหาร จะบาปไหมถ้าฉันแอบกลัวรองเท้าหาย คือมันเยอะมาก สังเกตจากสายตานี่เป็นร้อยคู่ได้เลยมั้ง ฉันเคยได้ยินชื่อวัดนี้มาก่อนเหมือนกันนะแต่ไม่เคยมา และไม่คิดว่าผู้ชายที่กำลังนั่งคุกเข้าพนมมืออยู่ข้างๆ ฉันจะรู้จักที่นี่ด้วย
หลังจากไหว้พระเสร็จ ฮีวอนก็พาฉันเดินไปด้านหลังของวัด ถึงวัดนี้จะเป็นวัดที่ใหญ่มากและมีชื่อเสียงพอสมควร มีทั้งภิกษุสงฆ์สามเณรและแม่ชี มีพุทธศาสนิกชนแวะเวียนมาทำบุญและปฏิบัติธรรมเยอะแยะมากมาย แต่น่าแปลกที่วัดกลับดูสะอาดสะอ้าน ร่มเย็น และเงียบสงบมาก
“เธอรู้ไหมถ้าเราเดินออกไปทางนี้จนสุด เราจะเจอทะเล” อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมา
“ทะเล? นายหมายถึงอ่าวไทยน่ะเหรอ”
“อืม”
ฮีวอนพาฉันเดินบนสะพานไม้ที่ข้างทางเรียงรายไปด้วยกุฏิของพระภิกษุ ด้านล่างเป็นดินโคลน มีต้นไม้และสัตว์ทะเลเล็กอาศัยอยู่ หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยก็คือฉันกับเขากำลังเดินข้ามป่าชายเลนออกไปหาทะเลนั่นเอง
และ...พระเจ้า!
ถึงน้ำทะเลตรงนี้จะไม่ใสเพราะเป็นเขตป่าชายเลน แต่ลมทะเลเย็นๆ ที่กำลังพัดเข้าฝั่งบวกกับเสียงคลื่นที่กำลังโหมซัดสาดกับโขดหินจนกระเซ็นเป็นละอองลอยในอากาศ มองออกไปบนพื้นน้ำไกลสุดลูกหูลูกตาจรดขอบฟ้าก็ยังไม่เห็นฝั่ง ถึงจะลงเล่นน้ำหรือนอนอาบแดดตรงนี้ไม่ได้ แต่แค่ได้มายืนกินลมชมวิว ฉันว่ามันก็คุ้มสุดๆ แล้วล่ะ สดชื่นเป็นบ้าเลย!
“นายรู้จักที่นี่ได้ยังไง มาบ่อยเหรอ” ฉันหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฮีวอนยืนกอดอกมองเหม่อออกไปในทะเล
“เมื่อก่อนยายเคยพาฉันมาบ่อยๆ น่ะ”
“แล้วทำไมวันนี้อยู่ดีๆ ถึงพาฉันมาล่ะ”
“ไม่รู้สิ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันพาคนอื่นมา”
“ครั้งแรก?”
“อืม ทำไมเหรอ” เขาเอียงหน้ามาทางฉัน ถึงปากจะถาม แต่นัยน์ตาคู่สวยของเขากลับดูไม่ได้ต้องการคำตอบเลย ให้ตายสิ! ขนาดอยู่กลางแดดเจิดจ้าแบบนี้ เขาก็ยังดูดี
“เปล่า” ฉันตอบเสียงแผ่ว
“ไปกันเถอะ” ฮีวอนบอกก่อนหันหลังแล้วเดินกลับไปทางที่เราเดินมาเมื่อกี้ ถึงจะเสียดายวิวที่อยู่ตรงหน้าแต่ฉันก็ต้องจำใจวิ่งตามเขากลับมา
“นายจะไปไหนน่ะ” ฉันร้องถามเพราะเห็นว่าเขากำลังเดินนำฉันไปอีกทาง แต่ฮีวอนกลับไม่ได้ตอบอะไรและยังคงเดินต่อไป
นี่ไม่ใช่ทางที่เราเดินมาตอนแรก...
ไม่ใช่ทางที่จะกลับไปที่รถ...
...แต่เป็นทางที่จะไปสุสานสำหรับเก็บกระดูกคนตาย =[]=
ฉันยืนแข็งทื่อกับภาพตรงหน้า ไม่รู้จะพูดหรือขยับตัวไปทางไหนดี ความรู้สึกกลัวในตอนแรกมลายหายไปทันทีที่เห็นฮีวอนคุกเข่าลงตรงหน้าเจดีย์เก็บอัฐิองค์หนึ่งและใช้มือลูบภาพถ่ายที่แปะติดอยู่แผ่นหินอ่อนหน้าเจดีย์อย่างทะนุถนอม สีหน้าไร้ความรู้สึกนั่นช่างขัดกับแววตา...
“เธอรู้ไหม...”
“...”
“...ว่าฉันฆ่าแม่ตัวเอง”
ฮะ?
ฉันพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด แต่ว่า...ฆ่าแม่ตัวเองเนี่ยนะ...
“นายหมายความว่ายังไง” ฉันถามเสียงแผ่ว
ฮีวอนแสยะยิ้ม...ยิ้มที่มองดูเหมือนต้องการจะสมเพชและเยาะเย้ยตัวเอง
“เพราะแม่คลอดฉันออกมา แม่ถึงตาย ถ้าไม่เรียกว่าเป็นฆาตกรฆ่าแม่ตัวเอง แล้วจะเรียกว่าอะไร”
ฮีวอน...
หมายความว่าเจดีย์เก็บอัฐินี่เป็นของแม่เขางั้นเหรอ...
ฉันจุกจนพูดอะไรไม่ออก ถึงตอนนี้ฉันจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่ว่าชีวิตทั้งชีวิตของฉันก็ไม่เคยต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้ พ่อแม่ฉันรักกันดีและกำลังมีความสุขกับร้านเค้กที่เปิดใหม่อยู่ที่ฝรั่งเศส
ถึงจะต้องอยู่ไกลจากพ่อแม่ แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้โตพร้อมกับคิดว่าตัวเองเป็นฆาตกรฆ่าแม่ตัวเองแบบเขา อย่างน้อยฉันก็ยังมีพี่มาร์ ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนเขา...
“ฮีวอน...” ฉันนั่งคุกเข่าลงข้างๆ เขาพร้อมกับมองดูรูปผู้หญิงตรงหน้าชัดๆ เธอสวยมาก ผิวขาว หน้าตาอิ่มเอิบ แถมยังตาโตสวย ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่ฮีวอนหน้าตาดีได้ขนาดนี้ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าการเกิดมาแล้วทำให้แม่ตัวเองต้องตายมันรู้สึกยังไง ฉันพูดไม่ได้หรอกว่าฉันเข้าใจนาย แต่ฉันเชื่อนะ ฉันเชื่อว่าแม่นายคงไม่ดีใจหรอกที่ท่านต้องทนเห็นลูกชายคนเดียวของท่านกำลังทรมานตัวเองด้วยการคิดว่าเขาเป็นฆาตกรแบบนี้ แล้วพ่อนาย...”
“อย่าพูดถึงผู้ชายคนนั้น” ฮีวอนขัดขึ้นเสียงเรียบ “เธอพูดถูก เธอไม่เข้าใจหรอก และเธอก็คงไม่มีวันเข้าใจด้วยว่าการไม่เหลือใคร...”
“ฉันไง!”
“...”
“นายยังเหลือฉันไง ฉันที่นั่งอยู่ตรงนี้กับนาย นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ซะหน่อย!”
ฮีวอนนั่งเงียบจนฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังฟังฉันอยู่หรือเปล่า และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ฉันดึงมือเขามากุมไว้แบบนี้...
ความคิดเห็น