คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Break 9: The Ending Part [Re]
9
The Ending Part
“ลีน!” เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคยดังขึ้น มือของใครบางคนจับหมับเข้าที่แขนฉัน ฉันสะดุ้งสุดตัวเพราะมัวแต่จมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองแม้ว่ามือจะกำลังไขกุญแจบ้านอยู่ก็ตาม
เฮนรี่ไล่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถามด้วยความตกใจ
“นี่ลีน...ไปทำอะไรมาเนี่ย?!”
“ก็อย่างที่เห็น” ฉันถอนหายใจยาว ไม่ใช่จะกวนประสาท ไม่มีอารมณ์ด้วย แต่ที่พูดออกไปแบบนั้นเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไรจริงๆ “ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่”
ฉันถามกลับอย่างจงใจจะเปลี่ยนเรื่องประจวบเหมาะกับเปิดประตูบ้านได้พอดีก็เลยเดินนำเฮนรี่เข้าไปข้างใน อุตส่าห์นั่งแท็กซี่มาลงที่บ้านเพราะไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองในสภาพนี้ก็ยังเจอหมอนี่อีกจนได้ เฮนรี่ไม่ตอบคำถามของฉันหากแต่ดึงแขนฉันให้หันหลังกลับไปหาเขาและถามคำถามเดิมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม
“บอกเรามาเดี๋ยวนี้นะลีน เธอไปทำอะไรมา!”
จะให้ตอบว่าอะไรดีล่ะ?! ลงมือทำเค้กเองแล้วก็เสร่อหิ้วไปให้เขาละเลงใส่หน้าถึงที่เองกับมืองั้นเหรอ
“ลีน! เธอจะบอกฉันหรือต้องให้พี่มาการองเป็นคนถาม”
“อย่านะ!! นายห้ามบอกพี่มาร์เด็ดขาดนะเฮนรี่!” ฉันลืมตัวตวาดเสียงดังทันทีที่ได้ยินไอ้เพื่อนตัวแสบแอบอ้างเอาพี่สาวทูนหัวของฉันมาขู่ แต่เฮนรี่ก็ยังคงจ้องหน้าฉันไม่ละสายตาไปไหน แถมแววตาที่ฉายชัดถึงความห่วงใยของเขายิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดจนต้องใจอ่อนยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง เอาเถอะ ถ้าเป็นเฮนรี่ อย่างน้อยก็ยังพอมีหวังที่ฉันจะขอร้องให้เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้แม้จะรู้ดีว่าตอนที่เฮนรี่สติแตกนั้นเป็นยังไง แต่ถ้าเรื่องนี้ถึงหูพี่มาร์เมื่อไหร่ล่ะก็...
ไม่อยากจะคิด (.__.)
สิบนาทีผ่านไป
แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด
“ปล่อยนะลีน!! เธอไปหาหมอนั่นแต่กลับโดนคนอื่นรังแกมาแบบนี้แล้วยังจะมาห้ามฉันไม่ให้ไปเอาเรื่องมันอีกเหรอ!!” เฮนรี่ตวาดลั่นหลังจากที่ฟังฉันเล่าเรื่องทั้งหมดจนจบและบอกว่าจะออกไปเอาเลือดหัวฮีวอนออกแต่ถูกฉันเกาะแข้งเกาะขาห้ามไว้ซะก่อน ตอนนี้สภาพเราสองคนเลยดูเหมือนฉันเป็นเมียเฮนรี่ที่ถูกสามีจับได้ว่ามีชู้และกำลังอ้อนวอนขอร้องไม่ให้สามีไปเอาเรื่องชู้ยังไงยังงั้น –_–;
“แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยนะ อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้ชวนฉันด้วย ฉันเองต่างหากที่เสร่อไปเอง”
ฉันรั้งแขนเฮนรี่ที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถเอาไว้และพยายามหาเหตุผลมาโน้มน้าวให้เขาใจเย็นลง แต่กลับกลายเป็นว่ามันยิ่งทำให้เฮนรี่อารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ที่ฉันพยายามจะปกป้องฮีวอนแต่สุดท้ายก็ยอมนั่งลงบนโซฟาตามเดิมแต่โดยดี ฉันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เฮนรี่ บรรยากาศกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง ฉันรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัวมากและอยากอาบน้ำเต็มทนแต่ก็กลัวว่าถ้าปล่อยเฮนรี่เอาไว้คนเดียว เขาจะอาศัยโอกาสนั้นหุนหันพลันแล่นออกไปเอาเรื่องฮีวอนอีก
“นายห้ามบอกพี่มาร์เด็ดขาดเลยนะ ฉันขอร้อง” ฉันเอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายความความเงียบและเพื่อย้ำให้แน่ใจอีกครั้งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นความลับระหว่างฉันกับเขา
“เราถามจริงๆ เถอะ ลีนรักหมอนั่นหรือเปล่า” เฮนรี่หันมามองหน้าฉันทำเอาฉันที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมคำตอบของคำถามนี้เอาไว้ล่วงหน้าต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาและเสมองไปทางอื่นแทน
รัก...หรือเปล่า
งั้นเหรอ...
“เปล่า” ฉันตอบออกไปตามสิ่งที่ตัวเองคิด ใช่...ฉันตอบออกไปตามสิ่งที่สมองสั่งการ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโกหกอยู่
โกหกทั้งเฮนรี่...
โกหกทั้งตัวเอง...
“ลีนไปอาบน้ำเถอะ” อยู่ดีๆ เฮนรี่ก็เปลี่ยนเรื่อง
“นาย...จะไม่ออกไปเอาเรื่องฮีวอนใช่ไหม” ฉันถามด้วยสายตาวิงวอน ถึงตอนนี้หมอนี่จะดูเหมือนอารมณ์เย็นลงบ้างแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะประมาทได้ซะที่ไหน
“ถ้าเราบอกว่าจะไป ลีนจะนั่งเฝ้าเราทั้งวันทั้งคืนเลยเหรอไง ไปอาบน้ำเถอะ พี่มาร์ให้เรามาเอาของ เดี๋ยวเราต้องกลับไปที่ร้านอีก”
“ห้ามบอกพี่มาร์ด้วยนะ”
“รู้แล้วน่า ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ สกปรกจะตายอยู่แล้ว”
“สัญญานะ?”
เฮนรี่เงียบไป
“อืม สัญญา” แต่สุดท้ายก็ยอมจำใจสัญญาออกมาแต่โดยดี
~
เสียงโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ตรงไหนสักแห่งบนเตียงดังขึ้นปลุกฉันให้ตื่นจากห้วงนิทรา ฉันขยี้ตาด้วยความงัวเงียก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่วางอยู่ข้างเตียง จำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน แต่ตอนนี้นาฬิกาวงกลมที่แขวนอยู่บนผนังกำลังบอกเวลาเที่ยงคืนสี่สิบนาที
ฉันเลิกผ้าห่มออกแล้วพยายามมองหาแสงไฟจากหน้าจอและก็พบว่ามันกำลังส่องสว่างและสั่นดุ๊กดิ๊กอยู่ปลายเตียง ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอทำเอาฉันใจกระตุกวูบไปเล็กน้อย ความคิดที่จะไม่รับสายแว่บเข้ามาในหัวในขณะที่มือเจ้ากรรมดัน Slide รับสายไปก่อนเรียบร้อยแล้ว
[ฮัลโหล]
ฉันทำอะไรลงไป อาร๊ายยยยยยยยย!! TT^TT
[ฮัลโหล]
กรี๊ดดดด ฉันไม่รู้จะคุยอะไรนะ ไม่เอาไม่พูด TT^TT
[นี่เธอ! บ้านฉันไม่ใช่องค์การโทรศัพท์นะที่จะได้โทรฟรีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง รับแล้วก็ช่วยตอบอะไรหน่อยสิ อยู่ดีๆ ก็เป็นใบ้ขึ้นมากะทันหันหรือไง]
–O–
“มีอะไร โทรมาซะดึกเชียว” ฉันกรอกเสียงแข็งๆ ตอบกลับไปอย่างจงใจ แต่ด้วยความที่เพิ่งตื่น มันเลยฟังดูงัวเงียเหมือนคนกำลังหงุดหงิดเพราะง่วงนอนซะมากกว่า ช่างเถอะ จะหงุดหงิดหรือเย็นชา มันก็ความหมายเดียวกันคือฉันไม่อยากคุยนั่นแหละ
[วันคริสมาสต์แล้ว...]
“แล้วไง?”
[จะแล้วไงล่ะ ก็เมอรี่คริสมาสต์ไง ถามมาได้]
ถึงน้ำเสียงของเขาจะฟังดูเรียบๆ ออกแนวเหวี่ยงๆ ด้วยซ้ำและถึงมันจะไม่ใช่คำพูดที่พิเศษอะไรแถมยังเป็นเหมือนธรรมเนียมที่ใครๆ ก็พูดกันในวันนี้ แหงล่ะ ก็วันคริสมาสต์นี่น่า จะให้โทรมาถาม Trick or Treat มันก็ไม่ใช่ แต่ไม่รู้ทำไม...บนหน้าฉันถึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาได้นะ...
“เมอ..” ฉันกำลังจะอ้าปากบอกเมอรี่คริสมาสต์เขากลับ แต่ก็ถูก ‘อะไรบางอย่าง’ ที่เพิ่งแล่นเข้ามาในหัวอย่างกะทันหันหยุดเอาไว้ซะก่อน
[ฮะ?]
“มีอะไรอีกไหม”
[…]
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้นะ ฉันจะนอน”
ฉันกดตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่องก่อนจะโยนโทรศัพท์เข้าไปหมกในกองผ้าห่ม อะไรบางอย่างที่ว่าก็คือภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้
สิ่งที่ทำให้ฉันคิดว่าตัวเองควรจะหยุดซะทีไงล่ะ!
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูหนักๆ ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียกของพี่มาร์
“ลีน เปิดประตูให้พี่หน่อย”
ฉันลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิดประตูให้พี่สาวบังเกิดเกล้าที่เพิ่งกลับมาจากร้าน เออ! จริงด้วย ลืมไปซะสนิทเลยว่าวันนี้...หรือเมื่อวาน...เออนั่นแหละ ลืมสนิทเลยว่าร้านจะปิดเที่ยงคืนเพราะเป็นวันคริสมาสตร์อีฟที่ลูกค้าเยอะมากกกกกกกกกกกกก ลากกอไก่ยาวไปได้ถึงเชียงใหม่
วันนี้มันวันซวยอะไรของฉันเนี่ย โดนสวดหูชาแน่ยัยมาเดอลีน บอกว่าจะออกมาแค่แป๊บเดียวแต่กลับหายต๋อมมาทั้งวันแบบนี้ T^T
“นอนอยู่เหรอ” พี่มาร์เอ่ยถามหลังจากที่มองเข้ามาในห้องแล้วพบเพียงแค่แสงจากโคมไฟหัวเตียงเท่านั้นที่ส่องสว่างอยู่ “ขอพี่คุยด้วยหน่อยสิ”
น้ำเสียงจริงจังของพี่มาร์ทำเอาฉันใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม จากที่คิดว่าพี่มาร์จะบ่นเรื่องที่ไม่ได้กลับไปช่วยงานที่ร้านในหัวดันพาลไปนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ไหนเฮนรี่สัญญาว่าจะไม่บอกใครแล้วไง ถ้าเรื่องที่พี่มาร์จะคุยด้วยเป็นเรื่องนี้ล่ะก็ สาบานว่าฉันจะไม่ปล่อยอีตานั่นเอาไว้แน่ กล้าดียังไงมาผิดคำพูดกับฉัน!
ฉันปิดประตูห้องแล้วเดินตามพี่มาร์เข้าไปนั่งลงบนเตียง
“ลีน มีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า” พี่มาร์เอื้อมมือมาจับมือฉัน สีหน้าที่แสดงถึงความเป็นห่วงทำให้ฉันรู้สึกผิดที่คิดจะเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นไว้เป็นความลับแต่ก็ยังแกล้งทำเป็นตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรต่อไปเพราะถึงจะรู้สึกผิด แต่ยังไงฉันก็ไม่อยากให้พี่มาร์ต้องมาเป็นห่วงกับความสิ้นคิดของฉันอยู่ดีนี่น่า
“หมายถึงเรื่องอะไรเหรอคะ” ฉันถามหยั่งเชิง พี่มาร์ถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มๆ กดๆ แล้วส่งให้ฉัน ภาพที่ปรากฎบนหน้าจอทำเอาฉันแทบอยากเป็นลมล้มตึงไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอดเดี๋ยวนี้เลย
เพราะสิ่งที่ฉันกลัวพี่มาร์รู้มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้...
แต่เป็นรูป!
...รูปนี้มาอยู่กับพี่มาร์ได้ยังไง!!
...รูปที่วิสกี้ขู่จะใช้แบล็คเมล์ฉัน!!!
“มีอะไรจะอธิบายให้พี่ฟังไหม”
“มัน...มันไม่ใช่อย่างที่พี่มาร์คิดนะ อย่าไปเชื่อยัยนั่นนะคะ” ฉันรีบปฏิเสธ
“พี่ไม่ได้เชื่อใครทั้งนั้น คนเดียวที่พี่จะเชื่อคือลีน แต่ลีนกลับเลือกที่จะปิดบังพี่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พี่จะเชื่อก็คือสิ่งที่พี่เห็น”
“แต่ว่า...”
“ไม่ว่าลีนจะทำลงไปเพื่ออะไร แต่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่ขอสั่งไม่ให้เราไปพบไปเจอผู้ชายคนนี้อีก…เด็ดขาด!! แค่ร้านเค้กร้านเดียว พี่ดูแลเองได้!”
พี่มาร์คว้าโทรศัพท์จากมือฉันคืนแล้วเดินออกจากห้องไปทันที ถึงฉันจะผิดหวังที่แม้แต่พี่สาวคนเดียวก็ยังไม่เชื่อใจฉัน แต่ฉันก็เข้าใจดีในเมื่อคนที่ไม่คิดจะพูดความจริงกับพี่มาร์ก่อนคือฉันเอง ฉันล้มตัวลงบนเตียงพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
เรื่องราวตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันจนกระทั่งวันนี้ฉายซ้ำอีกครั้งในห้วงความคิดของฉัน
“แต่ถ้าเมื่อใดที่เธอเป็นฝ่ายหลงรักฉัน เธอจะต้องออกไปจากชีวิตฉันแล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก...ตลอดไป!”
“ไม่ว่าลีนจะทำลงไปเพื่ออะไร แต่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่ขอสั่งไม่ให้เราไปพบไปเจอผู้ชายคนนี้อีก…เด็ดขาด!! แค่ร้านเค้กร้านเดียว พี่ดูแลเองได้!”
จบแล้วสินะ...
นี่เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วจริงๆ งั้นเหรอ ฮีวอน...
To be continued…
ติดตามเรื่องนี้ Click!
ความคิดเห็น