คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Break 8: Loser [Re]
8
Loser
...แล้วใครบอกล่ะ ว่าฉันจะยอมเป็นสโนไวท์ให้ยัยแม่มดใจร้ายขี้อิจฉามาป้อนแอปเปิ้ลอาบยาพิษเข้าปากได้ง่ายๆ น่ะ
“ก็ลองดูสิ ถ้ารูปนี้หลุดออกไปเมื่อไหร่ละก็...ภาพจากกล้องวงจรปิดนั่นก็จะถึงมือตำรวจทันทีเช่นกัน” ฉันบอกพร้อมทั้งชี้ไปยังกล้องวงจรปิดที่หันหน้ามาทางเราสองคนพอดิบพอดี วิสกี้มองตามและหน้าซีดลงทันทีชนิดที่ไก่ต้มเห็นเป็นต้องอายแต่ก็ยังพยายามข่มความกลัวเอาไว้แล้วทำเป็นเชิดใส่ฉันต่อไป
“คนอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้!”
“ถ้าอยากจะลองดูก็ได้นะ แล้วทีนี้คนทั้งโลกก็จะรู้ทันทีว่าใครกันแน่ที่ควรจะถูกแฉ ระหว่างเจ้าของรูปอย่างฉันกับคนใจดำอำมหิตที่ปล่อยรูปแบบนั้นออกไปเพื่อความสะใจส่วนตัวอย่างเธอ อยากรู้จังว่าถ้าฮีวอนรู้ว่าเธอมันไม่ใช่นางฟ้าแสนหวานขี้อ้อน แต่เป็นผู้หญิงขี้อิจฉาที่ยอมทำเรื่องชั่วๆ แบบนี้เพื่อแค่ให้ได้ครอบครองเขา เขาจะคิดยังไงน้า~” ฉันลากเสียงยาวอย่างจงใจเป็นฝ่ายกวนประสาทบ้างพร้อมทั้งฉีกยิ้มหวานแบบเดียวกันกับที่เธอทำกับฉันก่อนหน้านี้ “ถ้าฉันจะต้องทรมาน...”
“...”
“เธอก็จะต้องทรมานและดิ้นทุรนทุรายไปพร้อมกับฉัน!”
“วันนี้พายุจะเข้าหรือแผ่นดินจะไหวเนี่ยเจ๊...เอ๊ย! หรือว่ากินอะไรผิดสำแดงมา ไปหาหมอไหม” แซงค์เดินเข้ามาหยิบถาดเค้กเครปชาเขียวที่พี่มาการองเพิ่งจัดการผ่าแบ่งชิ้นและจัดวางลงบนแผ่นฟอยล์เอ่ยแซวก่อนจะเดินหัวเราะร่าออกไปราวกับว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำมันเป็นเรื่องตลกระดับชาติที่แม้แต่ตุ๊กกี้ ชิงร้อยก็ยังต้องยอมถอยให้ยังไงยังงั้น เห็นแล้วอยากจะเอาเค้กละเลงหน้าจริงๆ...ถ้าไม่ติดว่ากลัวบรรดาแฟนคลับของหมอนั่นที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่เต็มร้านจะมารุมสะกำเอาน่ะนะ –*–
“ลีนแน่ใจนะว่าจะไม่ให้พี่ช่วยทำให้น่ะ” นี่ก็อีกคน! –_–^ พี่มาร์มองมายังสิ่งที่เรียกว่า ‘เค้ก’ ตรงหน้าฉันแล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีความมั่นใจในตัวน้องสาวคนนี้เลยสักนิด
“แน่ใจสิคะ พี่มาร์พูดอย่างกับไม่เชื่อฝีมือลีนงั้นแหละ” ฉันแอบค้อนเบาๆ พอให้ดูน่ารัก
“ขนาดให้วาดรูปธรรมดาๆ เรายังวาดจระเข้ให้เป็นไส้เดือนได้เลย แล้วนี่มันหน้าเค้กเลยนะลีน ขืนแต่งเละขึ้นมาเสียดายของแย่”
“ลีนยังไม่ได้ลงมือเลยนะพี่มาร์ ชิงพูดตัดกำลังใจกันก่อนซะแล้ว” ฉันย่นจมูก คนบ้าอะไรวาดจระเข้ให้เป็นไส้เดือนได้ มันจะเก่งเกินไปแล้ว!
สามสิบนาทีผ่านไป
“แล้วจะรีบกลับนะค้า~” ฉันหิ้วกล่องเค้กเดินออกจากร้านที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนราวกับวันนี้มีงานการกุศลแจกข้าวสารฟรีอะไรเถือกนั้น ตลกละ วันนี้เป็นวันคริสมาสต์อีฟต่างหาก ลูกค้าก็เลยเยอะเป็นพิเศษ เด็กเสิร์ฟหน้าหล่อทั้งสี่คนวิ่งพล่านจนหัวแทนจะชนกัน เดี๋ยวเสิร์ฟโต๊ะโน้น เดี๋ยวบริการโต๊ะนี้ เดี๋ยวคนโน้นก็เรียก เดี๋ยวคนนี้ก็เรียก แต่แซงค์กับดีนก็ยังไม่วายอู้งานที่ยืนสุมหัวกันขำฉันก่อนจะถูกพี่มาร์ที่เดินตามฉันออกมาจากหลังร้านเขกหัวไปคนละทีสองคนถึงแยกย้ายกันไปทำงานต่อได้ สมน้ำหน้า –*–
จะอะไรซะอีกล่ะ! ก็พอฉันเริ่มแต่งหน้าเค้กไปไม่ถึงห้านาที พี่มาร์ก็จับฉันโยนออกมาหน้าร้านแล้วบอกว่าจะเป็นคนช่วยทำให้ฉันเองเพราะฉันดันบีบวิปครีมลงไปกองบนหน้าเค้กทีเดียวตั้งครึ่งหลอด แถมยังทำบัตเตอร์ครีมที่พี่มาร์ช่วยปาดไว้อย่างดีเละไม่เป็นท่าอีกตั้งหาก
อารมณ์เสีย! –_–^
ฉันโบกแท็กซี่แล้วรีบบอกให้พี่โชเฟอร์ซิ่งตรงไปที่มหาวิทยาลัยของฮีวอนทันที ถึงวันนี้จะเป็นวันหยุดและเขาก็สอบกลางภาคเสร็จแล้ว แต่ฮีวอนบอกว่าวันนี้เขามีนัดฉลองคริสมาสต์กับเพื่อนๆ ที่นี่ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปฉลองและใช้เวลาปิดคริสมาสต์เบรกเป็นเวลาหนึ่งเดือนกันที่อื่น ลูกคนมีตังค์ก็งี้ ปิดเทอมทีไปเมืองนอกที ดูฉันสิ จะปิดจะเปิดเทอมก็ต้องนั่งขายเค้ก
เข้าเรื่อง ต่อจากวรรคก่อนที่ฉันจะบ่นเรื่องคนมีตังค์ ฉันก็เลยจะทำเค้กมากะว่าจะมาเซอร์ไพรส์เขา อยากรู้จังว่าหมอนั่นจะทำหน้ายังไง >_<
“จะไปหาแฟนเหรอครับ” เสียงของพี่โชเฟอร์ดึงให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง สายตาแทะโลมน่ารังเกียจของเขาที่มองผ่านมาทางกระจกส่องหลังทำเอาฉันขนลุกซู่
“ค่ะ ไปหาแฟน” ฉันตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ เขายักไหล่และกรอกตาไปมา ช่างเป็นคนขับรถรับจ้างที่มารยาททรามที่สุด! คนสมัยนี้ รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเพราะตอนนี้ในหัวพาลนึกถึงข่าวปล้นฆ่า ชิงทรัพย์ ข่มขืน หมกป่า อะไรเถือกๆ นั้นที่พาดหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ให้เห็นอยู่บ่อยๆ ก็เลยหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อจะกดโทรหาใครบางคน
...เออ แต่ถ้าโทรหาฮีวอนก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ จะให้โทรหาเฮนรี่ก็ไม่รู้จะคุยอะไรดี ขืนโทรหาพี่มาร์นี่ยิ่งแล้วใหญ่ คงได้โดนสวดยับแน่ที่ชอบดื้อนั่งแท็กซี่ไปไหนมาไหนคนเดียว –*–
“ฮัลโหล พ่อเหรอคะ ตอนนี้ลีนอยู่บนรถแท็กซี่นะคะ อ้อ กำลังจะไปมหาลัย...อะไรนะคะ...อ๋อ ทะเบียนรถเหรอคะ ทล47XX ค่ะ คนขับชื่อนายดำดิน สีดินแดง...พ่อทำอะไรอยู่คะเนี่ย...อ๋อ เพิ่งกลับมาจากการจับกุมโจรชิงทรัพย์เหรอคะ แล้วคนเมื่อวันก่อนล่ะคะที่พ่อวิสามัญยิงหัวกระจุยไป คดีเป็นยังไงบ้าง...ยังไงพ่อก็ระวังตัวด้วยนะคะ ถ้าเห็นอะไรผิดปกติไม่ดีก็ยิงทิ้งไปค่ะ คนเลวๆ พวกนี้ อยู่ไปก็หนักแผ่นดิน ไม่ต้องห่วงค่ะ ลีนพกที่ช็อตไฟฟ้ามาด้วย ลองทำอะไรลีนดูสิคะ แม่จะช็อตไฟให้ตายกันไปข้างนึงเลย ถ้างั้นลีนไม่กวนพ่อแล้วนะคะ...ใกล้จะถึงแล้วค่ะ บ๊ายบาย~” ฉันกดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าเหมือนเดิม สีหน้าของโชเฟอร์ดูซีดลงทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขาผ่านกระจกมองหลังอีกครั้งก่อนที่เขาก็เป็นฝ่ายหลบสายตาฉันก่อนอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าฉันเป็นเมดูซ่าที่มองตาแล้วจะแข็งเป็นหิน
จับโจร...วิสามัญ...ยิงหัวกระจุย ตลกละ พ่อฉันเป็นปาติซิเยร์ที่ป่านนี้คงจะกำลังนั่งนวดแป้งอยู่ฝรั่งเศส จะไปทำเรื่องพวกนั้นได้ยังไง ฉันก็พูดมั่วๆ ไปงั้นแหละ ความจริงยังไม่ทันได้กดโทรออกหาใครเลยด้วยซ้ำ ที่ชงที่ช็อตไฟฟ้าอะไรก็ไม่ได้พกมาทั้งนั้นแหละ ในกระเป๋ามีแต่เครื่องสำอาง โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ =_=
ฉันยื่นเงินค่ารถให้ไอ้โชเฟอร์นรกนั่นแล้วรีบกระโดดลงจากรถทันทีที่ล้อหยุดหมุนก่อนจะสลัดเรื่องชวนหงุดหงิดออกไปจากหัวแล้วพาสนีกเกอร์สีขาวคู่ใจก้าวเข้าไปในตึกคณะของฮีวอน ฉันหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าตึกอย่างมึนๆ เสียงเพลงที่เปิดดังลั่นทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต้องจัดงานกันที่ห้องโถงชั้นหนึ่งแน่นอน แต่ได้ครั้นจะให้เดินเข้าไปโต้งๆ เลยมันก็กระไรอยู่ แบบว่าไม่มีใครชวนอ่ะนะ ชวนตัวเอง –*–
“นี่เธอ! มาหาฮีวอนเหรอ”
ฉันหันไปมองเจ้าของคำถาม หญิงสาวเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนและเรือนผมสีบลอนด์ที่แสนเซ็กซี่และน่าหลงใหลยืนกอดอกจ้องหน้าฉันแบบที่ไม่บอกก็รู้ว่ากำลังจะหาเรื่องกันชัดๆ
“ค่ะ มาหาฮีวอน” ฉันตอบเสียงเรียบ ว่าแต่...เธอรู้ได้ยังไง นั่นเป็นสิ่งที่ฉันสงสัยแต่ไม่ได้ถามออกไป
“ชื่ออะไร” เจ้าหล่อนถามต่อ
“แล้วถามทำไม”
“เอ๊ะ! อย่ามายอกย้อนนะ ฉันถามก็ตอบมาเถอะน่าก่อนที่จะไม่มีปากให้ตอบ!” หญิงสาวเจ้าของผิวขาวอมชมพูอีกคนในชุดนักศึกษารัดติ้วประหนึ่งมีแหนมดอนเมืองไอดอลถลึงตาใส่ฉันราวกับนางยักษ์ขมูขีที่กำลังจะฉีกแขนฉีกขาเหยื่อเข้าปาก ฉันไม่สนใจและกำลังจะเดินหนีแต่ก็ถูกผู้หญิงผิวน้ำผึ้งสุดเซ็กซี่เดินมาขวางเอาไว้ เธอจ้องหน้าฉันเขม็งแต่ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะเลื่อนสายตาลงไปมองถุงพลาสติกใบใหญ่ในมือฉัน
“นั่นอะไร”
ฉันถอนหายใจ ยัยป้านี่ทำไมจะต้องมาอยากรู้อยากเห็นอะไรเกี่ยวกับฉันหนักหนา เป็นแฟนคลับฉันตั้งแต่ปางก่อนกลับชาติมาเกิดเหรอไง!
“ถามไม่ได้ยินหรือไง”
“แล้วมันเรื่องอะไรของเธอ ทำไมฉันจะต้องมาตอบคำถามของใครก็ไม่รู้ที่อยู่ดีๆ ก็เดินเข้ามาหาเรื่องกันด้วย ฉันมาหาฮีวอน ไม่ได้มาหาเธอ!”
“แต่ฉันจะไม่ให้เธอเจอเขา มานี่!!!” เจ้าหล่อนขึ้นเสียงพร้อมกับลากแขนฉันเดินอ้อมไปทางหลังตึก คนหนึ่งลาก ส่วนอีกคนก็คอยดันหลัง ฉันพยายามจะสะบัดแขนออกแต่ก็สู้แรงของพวกเธอสองคนไม่ไหว
“จะพาฉันไปไหน นี่! ปล่อยนะ!”
โอ๊ย! จะบ้าตาย ในเวลาแบบนี้ทำไมไม่มีรปภ.หรือแม่บ้านหรือใครก็ได้โผล่หัวมาสักคนนะ หรือฉันควรจะร้องขอความช่วยเหลือจากคนในตึกดี แต่เปิดเพลงดังกันขนาดนี้ ต่อให้ตะโกนแหกปากให้ตายยังไงก็คงไม่มีใครสนใจจะได้ยินหรอก T^T
“หยุดถามแล้วก็อย่าคิดจะร้องให้คนช่วยด้วย แต่ถ้าเธออยากดังอยากขายหน้าท่ามกลางสาธารณชนก็ไม่มีใครว่านะ ตามสบาย!”
“พวกเธอจะทำอะไร?!”
ยัยผิวสีน้ำผึ้งกระชากฉันเหวี่ยงไปจนติดผนัง พวกเธอสองคนลากฉันเข้ามาข้างในห้องน้ำหญิงหลังตึกแล้วจัดการปิดประตูล็อกลูกบิด ยัยแหนมตรงเข้ามากระชากถุงเค้กในมือฉันไปแล้วเปิดออกดู พอรู้ว่าข้างในเป็นอะไรก็แสยะยิ้มแล้วหยิบกล่องเค้กออกมาจากถุง
ฉันถอยหลังกรูเพราะมองความคิดของยัยบ้านี่ออกว่าหล่อนกำลังคิดจะทำอะไร ฉันมองห้องน้ำที่เปิดประตูอยู่แล้วเตรียมจะวิ่งเข้าไปหลบในห้องน้ำ แต่ยัยผิวสีน้ำผึ้งก็เหมือนจะรู้ทันความคิดของฉันเหมือนกันเลยรีบวิ่งเข้ามายืนขวางทางไว้
“อย่านะ!”
ไวเท่าเสียง
ยังไม่ทันขาดคำ ยัยแหนมก็ละเลงเค้กทั้งก้อนลงบนทั้งหน้าและเนื้อตัวฉันอย่างเมามันส์ ฉันที่หนีไปไหนไม่ได้ก็เลยต้องยืนรับกรรมที่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปก่อไว้ตั้งแต่ตอนไหนอยู่ตรงนั้น
ไม่แม้แต่จะขัดขืน...
“อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ จำเอาไว้!” ยัยผิวสีน้ำผึ้งพูดทิ้งท้าย ฉันทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงหลังจากที่พวกหล่อนเดินออกไปจากห้องน้ำกันแล้ว ทำไมฉันจะต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย แค่เพราะผู้ชายคนเดียว ผู้หญิงพวกนี้ใจร้ายใจดำทำกับคนอื่นได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
ฉันยันตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วก็ต้องตกใจมากเมื่อส่องกระจกแล้วพบว่าสภาพตัวเองเละยิ่งกว่าศพเน่าค้างปีที่ถูกขุดขึ้นมาจากหลุมซะอีก ถือเป็นความโชคดีเล็กๆ ทียัยพวกนั้นลากฉันมายำในห้องน้ำ ฉันก็เลยเปิดก๊อกน้ำแล้วจัดการล้างเนื้อล้างตัวก่อนที่จะมีใครผ่านมาเห็น
ให้ตายเถอะ! เห็นสภาพตัวเองในกระจกแล้วแทบอยากจะกรี๊ดออกมา ทั้งเปียกทั้งมอมแมม ฉันตัดใจเดินออกจากห้องน้ำเพราะคิดว่าคงจะทำให้ตัวเองดูดีมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว และก็ตัดใจที่จะไม่เข้าไปหาฮีวอนข้างในงานด้วย เป็นแขกไม่ได้รับเชิญไม่พอ แถมสารรูปตอนนี้ก็เละไม่มีชิ้นดี เข้าไปก็มีแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้าซะเปล่าๆ ฉันมองหาแท็กซี่ที่เผื่อจะหลงเข้ามาในมหาลัย แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว
แม้จะขยาดกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนขามานิดหน่อย แต่ดูจากสภาพตัวเองตอนนี้ อย่าว่าแต่กลัวคนขับแท็กซี่จะทำอะไรเลย เขาจะรับฉันขึ้นรถหรือเปล่ายังไม่รู้เลย –_–
อาจเป็นตอนนี้ฉันอยู่หลังตึกก็เป็นได้ถึงไม่ค่อยมีรถผ่านมา ฉันเลยตัดสินใจเดินอ้อมกลับไปที่ด้านหน้าตึกอีกครั้งแต่ยังไม่ทันจะถึงสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างบางในชุดกระโปรงสั้นลายสก็อตสีแดงสวมที่คาดผมเขากวางกำลังยืนพิงกรอบหน้าต่างห้องโถงของตึกที่สูงขึ้นไปประมาณหนึ่งเมตรจากพื้นดินมองลงมาที่ฉันเข้าซะก่อน ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อเหยียดยิ้มมุมปากด้วยความสมเพช วิสกี้ละสายตาจากฉันมองกลับเข้าไปด้านใน ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลที่ฉันคุ้นเคยดีเดินเข้าไปหาและกำลังยืนคุยอะไรบางอย่างกับเธอ
...เขาไม่แม้แต่จะเหลียวมามองฉันที่ยืนทำตัวน่าสมเพชอยู่ตรงนี้เลยแม้แต่หางตาด้วยซ้ำ!
ฉันคิดจะเดินย้อนกลับไปหลังตึกแล้วค่อยโทรเรียกให้เฮนรี่มารับแต่ประจวบเหมาะกับมีแท็กซี่ขับผ่านมาพอดี ฉันก็เลยโบกแล้วกระโดดขึ้นทันทีก่อนจะบอกกลับไปที่ร้านในสภาพปลายทางซึ่งก็คือบ้าน ขืนแบบนี้ ทุกคนได้รุมสอบสวนฉันจนเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
เฮ้อออ! วันนี้มันวันบ้าอะไร แล้วฉันก็มาทำบ้าอะไรที่นี่ด้วยเนี่ย!!?
ไหนจะเจอคนขับแท็กซี่โรคจิต ไหนจะเจอยัยผู้หญิงบ้าสองคนนั่นอีก ฉันลงทุนทำไปทั้งหมดเพื่ออะไร!?
ฉันนั่งคิดทบทวนเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างที่นั่งรถกลับบ้าน เพราะแค่ไอ้โปรโมชั่นบ้าบออะไรนั่นน่ะเหรอ...พอกันที! ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่ายังไงฮีวอนก็ไม่มีทางมาทำงานที่ร้านหรอก แต่ฉันก็ยังจะดันทุรังเพียงเพราะแค่ไม่อยากแพ้คำท้าของเขา เพียงเพราะแค่ไม่อยากเป็นฝ่ายแพ้ในเกมเดิมพันบ้าๆ นั่น...
พอกันที!!
น้ำตาของฉันค่อยๆ ไหลออกมาทีละหยดสองหยด ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองร้องไห้เพราะอะไร
ร้องเพราะเสียใจที่ต้องแพ้เขา...
ร้องเพราะสมเพชตัวเองที่ดันทุรังทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระแบบนี้และสุดท้ายก็จบลงไม่เป็นท่า...
...หรือร้องเพราะรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องเดินออกมาจากชีวิตเขาแล้วกันแน่!
To be continued…
ติดตามเรื่องนี้ Click!
ความคิดเห็น