คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : 9-1 บ้านโอดะ (100%)
คฤหาสน์ญี่ปุ่นที่เชื่อมถึงกันด้วยประตูไม้ไผ่บานเลื่อน พื้นบ้านยกสูงปูด้วยเสื่อทาทามิ ตกแต่งด้วยของสะสมเก่าแก่เช่นถ้วยชาม กาสำหรับชงชา ดาบซามูไรแขวนเรียงรายอยู่บนผนัง ชุดเกราะซามูไรวางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางบ้าน ความคงเดิมของบ้านหลังเก่าภายใต้ดูแลของเจ้าของบ้านและผู้พักอาศัย สะอาดสะอ้านทุกกระเบียดนิ้ว แม้กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานนับยี่สิบปี
ทันทีที่รถแท็กซี่จากสนามบินจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ แม่บ้านสาวใหญ่ชาวญี่ปุ่นรีบไปเปิดประตูให้การต้อนรับ ‘ท่านเรียวสุเกะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ’ ต่อให้เขาจะไม่ได้ทักทายใครตามธรรมเนียมว่ากลับมาแล้ว... คาดว่าอิจิโร่คงโทรสั่งเอาไว้ แปลกที่บางคนในบ้านกลับไม่รู้ว่าเขาจะกลับมา
ร่างสูงในเชิ้ตสีครีมหล่อเหลาขยับฝีเท้าว่องไว มุ่งตรงไปยังห้องรับแขก หลังได้ยินเสียงคนเมาสุรา ร้องเพลงเสียงดังสนุกสนาน
ครืดดด...
“ท่านเรียวสุเกะ!” ชายร่างกำยำนับสิบคนพุ่งเข้าหาเป้าหมายที่รู้ตัวทันเสียก่อน จึงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดึงประตูทั้งสองข้างเข้าหากันเช่นเดิม
โครม!
ต่างคนล้มระเนระนาดไปกับประตูบานเลื่อนที่พังยับเยิน คุณหมอหนุ่มจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ ไม่มีแม้รอยยับ เขายังอยู่ในมาดสุภาพหล่อเหลาอย่างผู้ดีมีการศึกษา ขณะหลุบตาลงมองต่ำ สบถถ้อยคำไม่น่าฟังออกมาเป็นภาษากำเนิด
“ฮึ! เห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นพวกแกหรือไง พวกแกต้องยกมือไหว้สวัสดีฉัน ไม่ก็โค้งคำนับอย่างอ่อนน้อม Hi เป็นการต้อนรับสิถึงจะถูก ทำเป็นไหม?” พลันใบหน้าเข้มเครียดก้มลงมองหน้าตาแดงก่ำ แต่ละคนดื่มสาเกกันจนเมามาย เกิดความซาบซึ้งใจที่นายน้อยกลับมาเหยียบบ้านในรอบยี่สิบปี แย่งกันพูดจนน่ารำคาญ
“พวกเราผิดไปแล้ว...”
“ท่านเรียวสุเกะ... ทำไมพวกเราติดต่อท่านไม่ได้เลย”
“นายน้อย... กลับมาอยู่บ้านเราเหมือนเดิมเถอะครับ”
“พวกแกไม่ได้ดีใจจริง ๆ หรอก ไสหัวไปให้พ้น” ในน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา เขาสะบัดให้คนหนึ่งจำต้องยอมปล่อยออกจากการเกาะแข้งขา
เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน...
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่านายน้อยผู้อ่อนโยน โอบอ้อมอารีไม่ต่างจากผู้อาวุโสที่ล่วงลับเช่นคุณปู่ไดอิจิจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งกิริยาท่าทางดูเป็นมนุษย์ขี้หงุดหงิด คำพูดจาไม่สุภาพอ่อนโยน ถ้าหากว่าเป็นท่านเรียวสุเกะตัวจริงของพวกเขาจะไม่มีวันเปล่งมันออกมาจากปากเลย
บรรยากาศในห้องค่อนข้างตึงเครียด ลูกน้องที่กำลังเมาก็ทำลายความเงียบ เข้าไปดูแลนายน้อยของบ้าน เดินนำทางไปยังห้องอาบน้ำ ด้วยความคิดในแง่บวก ไม่ว่าจะเกิดอะไร นายน้อยของพวกเขาก็ยังเป็นนายน้อยอยู่วันยังค่ำ
“ท่านเรียวสุเกะคงเดินทางมาเหนื่อย เอ้อ... หรือว่ากระหายสาเก?”
“อาบน้ำก่อน” พูดจบ คุณหมอหนุ่มสลัดเสื้อที่สวมออกโยนลงบนพื้นบ้าน เข้าห้องอาบน้ำไปแช่น้ำอุ่น ถึงแม้ว่าอากาศที่นี่ไม่ร้อนเหมือนกรุงเทพฯ ในเดือนเมษายนอากาศกำลังเย็นสบายประมาณสิบถึงยี่สิบองศา แตกต่างกันไปในแต่ละเมือง จนอารมณ์ดีขึ้นหน่อย ใช้เวลาแต่งตัวไม่นาน หยิบชุดยูคาตะชายเนื้อผ้าเบาสบายมาสวม บนชุดมีดิ้นทองลายดอกอายาเมะ[1] ตราประจำตระกูลถักทออย่างสวยงามทั่วทั้งผืน คนของโอดะแต่งกายคล้ายกัน แต่เนื้อผ้าและสีอาจแตกต่าง นอกเหนือจากชุดสูทดำที่เอาไว้ใส่ตอนอยู่ในหน้าที่ บางคนแต่งตัวอย่างนักธุรกิจหากต้องเดินทางไปทำงานในบริษัท
พูดถึงโอดะกรุ๊ป เป็นผู้ผลิตสินค้ากลุ่มประเภทเนื้อปลา ส่งออกอาหารแช่แข็งรายใหญ่ พวกเขาเป็นผู้มีอิทธิพล มีอำนาจในกลุ่มนักธุรกิจสีเทา เพียงไม่ยุ่งกับอาชญากรรม ยาเสพติด การค้าประเวณี ตามคำสั่งเสียของบรรพบุรุษ ในสมัยก่อนนั้นสืบเชื้อสายมาจากนับรบหรือซามูไรในยุคคะมะกุระ[2] กฎเหล็กของตระกูลโอดะและผู้จงรักภักดีอย่างตระกูลโมริซาว่า ตระกูลมิอุระ มีวัตถุประสงค์เดียวคือต่อต้านความไม่เป็นธรรมของยุคศักดินา
กลุ่มชนอันมีเกียรติอย่างโอดะไม่ควรถูกนำไปนับรวมกับพวกยากูซ่าด้วยซ้ำ หากไม่เป็นเพราะรุ่นก่อนดันเข้าไปยุ่งกับการเรียกเก็บค่าคุ้มครอง กู้หนี้นอกระบบ บ่อนพนัน เหตุที่ทำไปก็เพราะผู้มีอิทธิพลไร้ความเป็นธรรม เก็บดอกเบี้ยเกินจริงกับลูกหนี้ที่ดันเป็นสาวของคุณปู่ทวด จับพลัดจับผลูมาเป็นภรรยา เดิมทีหล่อนก็เป็นลูกสาวนักพนันตัวยง บาคุโตะ[3] จากนั้นพวกท่านก็มีเริ่มลูกหลาน รับงานสีเทา ๆ สืบทอดต่อกันมาไม่จบสิ้น
ปัจจุบันหลายคนผันตัวไปเป็นเจ้าของอสังหาฯ ดูแลความเรียบร้อยในผับและร้านค้าย่านชินจุกุ คอยปกป้องพ่อค้าแม่ค้า ไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากแก๊งอื่นซึ่งจะไม่ข้ามถิ่นกัน โดยยังคงเรียกเก็บค่าคุ้มครองบางส่วน แม้อันที่จริงแล้วร่ำรวยขนาดอิจิโร่ โอดะ ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปทำเรื่องพวกนี้ ลูกน้องคนสนิทยังบ่นอยู่เนือง ๆ ว่าอยากเลิกเป็นโรบินฮู้ดเสียที ขึ้นชื่อว่าเป็นยากูซ่าแล้วใคร ๆ ต่างก็ตั้งแง่รังเกียจ ต่อให้พวกเขาจะมีทั้งขาวและดำ บางทีก็ปิดทองหลังพระ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในยามเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ บริจาคเงินการกุศลสารพัดหรือทำดีสักแค่ไหน
ในห้องรับแขกเงียบเชียบมีโต๊ะไม้เตี้ยทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เสื่อนั่งกับพื้น ต่างคนใช้เสียงเบาลงเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคุณหมอที่ดูนิ่งขรึม ไม่พูดจามากมายเหมือนเมื่อก่อน เมื่อเขาก้าวเข้ามา ลูกน้องคนสนิทในบ้านนำข้าวปั้นปลาดิบ น้ำซุป ถ้วยสำหรับชงชาเข้ามาเอาอกเอาใจ ไถ่ถามว่าต้องการให้นวดไหม วางอาหารและสุราเต็มโต๊ะ คุณหมอหนุ่มโบกมือไปมา บอกให้พวกเขาออกไป ให้ไปตาม ‘ยูตะ’ มาพบ ขณะหยิบกล่องดำทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกะทัดรัด ใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยจากช่องกระเป๋าใต้แขนเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ
ของที่ระลึกจากอาจารย์ผู้มีพระคุณ ทั้งยังเป็นบิดาบุญธรรม เฝ้าดูแลเขาจนเรียนจบ น่าเสียดายที่ท่านเสียชีวิตไปเสียก่อน ไม่ทันอยู่ดูเขาประสบความสำเร็จในอาชีพแพทย์
ธนัชนั่งใช้ความคิดไม่นาน เสียงประตูบานพับเปิดออก ปรากฏหนุ่มใบหน้าคมเข้มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้มลายดอกอายาเมะ ต่างจากเขาที่สวมสีทองสลับดำเหมือนอิริโร่ โอดะ พ่อใหญ่ของบ้าน ยูตะค่อนข้างประหลาดใจกับสภาพบานเลื่อนประตูที่พังยับเยิน การกลับมาของนายน้อย ขณะนั่งลงในฝั่งตรงกันข้าม ก้มศีรษะลงต่ำคำนับ ฝั่งคุณหมอก้มหน้าลงเล็กน้อย ทำความเคารพอย่างสุภาพตามธรรมเนียม
“ไม่เจอนาน... ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้ขึ้นแท่นเป็นลูกรักของไอ้อิจิโร่ไปแล้วหรือ?”
“คนอย่างผมไม่กล้าแม้จะคิด”
“ก็ดี... งั้นแกควรบอกฉันมาให้หมด อิจิโร่มันกำลังเล่นตลกอะไร?”
“เอ่อ... คือ...”
“หรือจะกลืนน้ำลายตัวเอง?”
“ผมว่า...”
“ยูตะ แกมานั่งใกล้ ๆ ฉันนี่มา” เอ่ยพลางคว้าเบาะอันเล็กมาวางใกล้ตัว ตบมันเบา ๆ ยูตะรีบยกก้นไปนั่งเคียงข้างนายน้อยอย่างกระตือรือร้น ทอดสายตาออกไปนอกระเบียงสวนหลังบ้านที่มีทิวทัศน์สีเขียวขจี
ความจงรักภักดีที่ตระกูลโมริซาว่ามีให้โอดะมาตั้งแต่สมัยยังไม่เลิกล้มระบบขุนนาง ล้วนเป็นความสมัครใจ ต่อให้พวกเขาอยู่ในสถานะต่ำกว่าเป็นข้ารับใช้ โมริซาว่าไม่เคยคิดทำตัวเป็นใหญ่ อาจเพราะพวกเขาได้รับความช่วยเหลือมากมาย เป็นหนี้ชีวิตเจ้านายอย่างประเมินค่าไม่ได้ รุ่นลูกหลานก็ยังเป็นเช่นนั้น
[1] ดอกอายาเมะ หรือดอกไอริส เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อถึงความหวัง ความกล้า และการให้กำลังใจสำหรับชาวญี่ปุ่น มีสีม่วงสดใส ขนาดของดอกประมาณ 8 เซนติเมตร และจะบานพร้อมกันทั่วทั้งประเทศในช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน
[2] สมัยคะมะคุระเป็นสมัยแรกที่นักรบหรือซามูไร 侍
[3] บาคุโตะ 博徒 เริ่มรวมตัวมาจากอดีตนักรบและชาวนา ผันตัวมาทำธุจกิจพนันในญี่ปุ่นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 มักจะมีรอยสักสีทั่วร่างกาย
ความคิดเห็น