ตอนที่ 25 : เด็กป๋า ตอนที่ 25
เด็กป๋า ตอนที่ 25
น้ำเสียงราบเรียบเหมือนเป็นประโยคเชิญชวนให้ทำตาม แต่คนฟังเหมือนโดนน้ำเย็นเฉียบสาดลงมาพร้อมกับน้ำร้อนจัด ดวงตาเบิกโพลงเพราะตั้งรับไม่ทัน
ถ้อยคำที่ใช้ขอเป็นแฟนกับถ้อยคำที่ใช้บอกเลิกเอ่ยออกมาจากปากง่ายดายพอกัน แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะโจม”
ทำหน้าแบบไหน? ยิ้มทั้งน้ำตา หัวเราะ ร้องไห้ หน้าแบบไหนกันนะที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ ไม่รู้เลย ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย นอกจากเจ็บจนชา ปวดหนึบในอกจนจะหายใจไม่ออก อยากเอ่ยถามหาเหตุผลยังทำไม่ได้ ใจอยากจะเดินหนีไปจากตรงนี้ ยังทำได้แค่หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม
ไร้ความรู้สึกจนไม่รู้ว่าตัวเองถูกคู่สนทนาดึงรั้งให้นั่งบนตักแกร่งตั้งแต่ตอนไหน ถ้าไม่รับรู้ถึงความอบอุ่นที่แล่นวาบขึ้นมาทางแผ่นหลังที่พิงแนบไปกับอกกว้างและรอยอุ่นชื้นที่แนบลงมาที่ข้างแก้มแล้ว โจมไม่ต่างอะไรกับหุ่นบังคับเลยสักนิดเดียว
“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ ป๋าขอโทษ”
ถ้าริมฝีปากสั่นเทาแต่ทว่าอุ่นร้อนไม่จูบไล่ซับมาถึงหางตา โจมไม่รู้ตัวเองเลยว่ากำลังร้องไห้ อิทธิพลของป๋ามีผลต่อความรู้สึกของโจมมากกว่าที่เคยคิด มันไม่ใช่แค่ตกใจอย่างที่ป๋าขอโทษ แต่มันรู้สึกมากกว่านั้น เหมือนความรู้สึกมันหายไปเลย
ได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะไม่สามารถเปล่งคำพูดออกมาว่า ‘ไม่เป็นไร’ ได้ คนเดียวที่โจมรู้สึกว่าปิดบังความรู้สึกได้ไม่เนียนที่สุดคือการอยู่ต่อหน้าป๋า
“แค่ชั่วคราวเท่านั้นนะ แค่ชั่วคราว”
หลังมือถูกดึงขึ้นไปจูบซับซ้ำไปซ้ำมาแทนใบหน้า กลุ่มผมถูกปลายจมูกซุกไซ้ไปมาจนกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ครั้งแรกที่ตัวเองรู้สึกว่าร้องไห้หนักที่สุดตั้งแต่เคยเจ็บปวดมา
“ทำไมล่ะ”
คำถามสั้นๆ แต่ใช้เวลานานกว่าจะเปล่งมันออกมาได้แต่ละคำ น้ำลายหนืดเหนียวมันขวางอยู่เต็มลำคอ ไหล่ยังกระเพื่อมขึ้นลงอยู่ไม่จางเพราะสะอื้นไห้ มันเป็นเรื่องหน้าอายสำหรับคนที่รักษาฟอร์มมาตลอดอย่างโจม แต่สิ่งเหล่านั้นโจมสลัดทิ้งมันไปตั้งแต่ตอบรับคนๆ นั้นเป็นแฟนแล้ว
“หยุดร้องไห้แล้วฟังป๋าอธิบายก่อนนะ โจมร้องไห้แบบนี้ป๋าคิดอะไรไม่ออกเลย”
ในเมื่อถูกสั่งห้ามไม่ให้ร้องไห้ ทางเดียวที่โจมจะระบายความอัดอั้นที่มันแน่นอยู่ในอกนี้คือการทุบลงไปบนต้นขาของคนที่ใช้ตักตัวเองแทนเก้าอี้นั่ง โจมทุบลงไปเต็มที่ แต่ป๋าไม่ต่อต้านเลย ไม่นานร่องรอยเขียวคล้ำก็จะชัดเจนเป็นหลักฐานว่าถูกโจมทำร้าย
“คนดีของป๋าหายอึดอัดใจหรือยัง”
น้ำตาถูกจูบซับจนหายไปหมดแล้ว แรงสะอื้นลดลงจนนิ่งในที่สุด แต่สองมือยังทุบป๋าเหมือนเดิม แล้วค่อยๆ ผ่อนแรงลงเมื่อสองแขนสอดรัดมาประสานกันไว้ที่หน้าท้อง
“ฟังนะคนดี เราแค่แสดงละครหลอกคนอื่นว่าเลิกกันเท่านั้น ไม่มีทางที่เราจะเลิกกันจริงๆ หรอก เราจะกลับไปแสดงละครเหมือนตอนที่เรายังไม่รู้จักกันอีกครั้ง โจมทำได้ใช่มั้ย”
“ทำได้ แต่ทำไมต้องทำ เพราะคนอื่นของนายไม่ยอมงั้นเหรอ”
“เพราะโจมกำลังอยู่ในอันตราย”
“แล้วนายล่ะ แล้วป๋าไม่อยู่ในอันตรายหรือไง”
“อันตรายกับป๋ามันคู่กันมาจนชินแล้วล่ะ”
“ความจริงแล้วชั้นก็พอจะซ้อนได้นะไอ้มอเตอร์ไซค์นั่นอะ แต่ตอนนั้นมันน่าหวาดเสียวเฉยๆ ”
“มันไม่ใช่เพราะนายกลัวอย่างเดียวหรอก แต่พอมีนายอยู่ด้วย มันเสียสมาธิ ใจคอยแต่จะเป็นห่วงนาย แพ้กันพอดี”
“ถึงมันดูเสี่ยงที่จะแพ้ แต่.........”
“ไม่มีแต่ทั้งนั้นแหละ ถ้ามีโจม ป๋าแพ้ไม่ได้เด็ดขาด แต่ถ้าไม่มีนายอยู่อะนะ แพ้ดูสักทีก็ดีเหมือนกัน จะได้จบๆ กันไป รำคาญพวกขี้แพ้ชวนตีเต็มทีแล้ว”
“ถ้างั้น นายจะเอาใครซ้อนท้ายแทนที่ชั้นล่ะ”
“นี่ ที่รัก ทำหน้าเหมือนท้องผูกแบบนั้น คืออาการหึงของนายหรือไง”
การอยู่ใกล้ชิดไอ้บ้านี่ทุกวันเป็นเรื่องอันตรายสำหรับผู้ชายที่ต้องสร้างเกราะป้องกันอย่างโจมมาก มันคอยแต่จะทำให้โจมลืมตัวเป็นตัวของตัวเองอยู่ร่ำไป มันน่าจะหายไปจากตัวตนของโจมนานแล้วนะ ไอ้อาการไม่พอใจแล้วย่นจมูกและเบะปากน่ะ
“อย่าเพึ่งทำตัวน่ารักตอนนี้ได้มั้ย เดี๋ยวก็ไม่ได้คุยอะไรกันพอดี”
“อย่ามาทำซึ้งยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อชั้นเลยน่า”
“นายคือส่วนที่ทำให้ตัดสินใจเด็ดขาด แต่ประเด็นมันอยู่ที่ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้ แบกไว้ทำไม”
“แต่นายบอกเองนะว่าเราสองคนเหมือนพริกแกง ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมเราไม่ช่วยกันล่ะ”
“ก็ไม่ได้ถอนคำพูดนี่ว่าไม่ใช่ แต่ตอนนี้เราต้องกลับไปเป็นพริกแกงตอนที่ยังไม่โขลกน่ะ”
“ให้ใครรู้ไม่ได้เลยใช่มั้ย ความบ้าของนายเนี่ย”
“แล้วนายอยากให้แฟนตัวเองดูดีหรือดูปัญญาอ่อนในสายตาคนอื่นล่ะ”
“ไม่ให้ใครมองเลยได้มั้ย”
“ทำไมเมียป๋าใจแคบจังวะ”
“เพราะว่าชั้นเป็นเมีย ไม่ใช่เด็กป๋าที่จะหัวอ่อน ป๋าสั่งอะไรก็ได้ไงล่ะ”
“นายน่ะร้ายกาจที่สุดแล้วรู้มั้ยโจม”
“เพิ่งรู้หรือไง”
“เพิ่งรู้ แต่ไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ”
“อย่ามาทำเป็นรู้ทันนะ”
“ไม่งั้นจะเป็นแฟนโจมได้ไงใช่มั้ยล่ะ”
รอยฟันคมที่ขบลงมาที่ปลายจมูกให้ความรู้สึกอุ่นใจแบบแปลกๆ มันควรจะต้องเจ็บแต่โจมดันรู้สึกดีกับมันซะอย่างนั้น โจมพอจะรู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้ป๋าต้องเลี้ยงดูใครมากมายขนาดนั้น เพราะจากการได้อยู่ใกล้ชิดกันบอกชัด ป๋าติดสัมผัสที่สุดแล้ว จะเรียกว่าหาเศษหาเลยก็คงจะไม่ได้ ในเมื่อโจมเองก็เต็มใจกับสัมผัสเหล่านั้น เรียกว่าขาดความอบอุ่นคงจะเหมาะกับคนอย่างป๋ามากที่สุด เค้าแค่ไม่อยากเดียวดายเท่านั้นเอง ก็คงคลิกกับโจมตรงที่ความจริงแล้วก็อยากมีใครสักคนเหมือนกัน
“ป๋า เฮ้ย อย่าเพิ่งสิ”
“ก็เห็นเงียบไปนี่”
“กำลังใช้ความคิดหรอกโว้ย ไม่ได้เปิดทางให้พวกหื่นกามอย่างนายหรอก”
“เมียกูดุจริงๆ เลยเว้ย ชื่นใจนิดหน่อยก็ไม่ได้”
คนบางคนก็แค่โวยวายกลบเกลื่อนเวลาโดนคนอื่นเค้ารู้ทัน ถ้าจมูกป๋าเลื่อนต่ำลงไปจากไหปลาร้าเมื่อไหร่ เราสองคนจะดึงสติกลับมายากทันที
“แล้วจะเอายังไงต่อไป แยกกันอยู่หรือยังไง”
กว่าจะทำให้คนตรงหน้าหยุดมือเป็นปลาไหลได้เล่นเอาเหนื่อยหอบ โจมพอจะรู้ว่าป๋ากำลังเครียดและคิดมาก โจมเองก็รู้สึกใจหายไม่แพ้กัน เหมือนท้องฟ้าที่กำลังสดใสแต่จู่ๆ ก็มีเมฆฝนเขียวครึ้มมาบดบังเสียอย่างนั้น เค้าแค่กลบเกลื่อนความอ่อนแอให้โจมรู้ว่าเค้าไม่เป็นไรเท่านั้นเอง
“คงต้องเป็นอย่างนั้นสักพัก เบสกำลังหาเช่าคอนโดให้อยู่นะ พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็คงจะได้เรื่อง”
พอเอาเข้าจริงก็อดใจหายไม่ได้ การอยู่ด้วยกันบนคอนโดสูงเสียดฟ้าห้องนี้ กลายเป็นความเคยชินไปซะแล้ว ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ที่คิดว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นที่ๆ หายใจได้สะดวกที่สุดแล้ว รู้ตัวอีกที ความเงียบก็มีเสียงผู้ชายที่ใครๆ ลือกันว่าทั้งขรึมทั้งเก๊กส่งเสียงอยู่ข้างๆ คอยนัวเนียซะจนรู้สึกว่าตัวเองก็ติดสัมผัสตามป๋าไปแล้วเหมือนกัน
“ต้องลงทุนขนาดนั้นเลยเหรอป๋า”
“เพื่อแลกกับความปลอดภัยของนาย ก็ต้องเป็นอย่างนั้นนะ ไม่นานหรอก ไม่ต้องกลัวเหงาด้วยนะ เพราะไอ้สามตัวนั่นจะสับเปลี่ยนกันมาอยู่เป็นเพื่อน”
อยากจะตะโกนออกไปใจจะขาดว่าเวลาแบบนี้โจมไม่ต้องการเพื่อนเลยสักนิด โจมต้องการแฟนต่างหากที่จะอยู่ข้างๆ แต่ก็คงจะเอาแต่ใจขนาดนั้นไม่ได้ เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองแต่มันก็เดาเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ ว่าป๋าทำเพื่อโจม
“โจม ฟังนะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะมีคนปล่อยข่าวว่าเจอเราทะเลาะกัน ช่วงนี้นายมีเรียนกี่ตัว”
“ช่วงนี้มีแต่รายงาน ไม่ต้องเข้าเรียนสักสองสัปดาห์ได้มั้ง”
“งั้นดีเลย ช่วงที่ยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ โจมอยู่ห้องนี้อย่าเพิ่งออกไปไหนได้มั้ย”
“ได้ อย่าลืมสิว่าที่ตะลอนๆ ทุกวันนี้ มันเพราะนายหนีบไปทุกที่ไม่ใช่หรือไงล่ะ”
“อืม ส่วนป๋าจะไปเรียนตามปกติ ไม่มีใครกล้าเข้ามาถามเรื่องที่ทะเลาะกับนายอยู่แล้ว ไม่นานเรื่องที่เราเลิกกันถึงหูไอ้แมนแน่ มีเด็กในมหาลัยหลายคนที่ต้องเอายาจากมันคงคาบข่าวไปบอก”
“แล้วเค้าจะไม่สงสัยว่าเราจัดฉากเหรอ”
“ไม่หรอก มันคงไม่คิดว่าป๋าจะเลือกแผนหักดิบแบบนี้หรอก ช่วงข้าวใหม่ปลามันของคนเป็นแฟนกัน ไม่มีใครอยากอยู่ห่างกันหรอกจริงมั้ย”
“ไม่รู้สิ นายจะตะล่อมให้ชั้นพูดอะไรกันแน่”
“รู้ทันตลอดเลยนะ เคยอ้อนใครบ้างมั้ยเนี่ย”
“แน่ใจเหรอว่าอยากรู้จริงๆ ทีชั้นยังไม่เคยอยากรู้เลยนะว่านายไปใจดีอะไรกับใครไว้บ้าง”
“คุยดีได้แป๊บเดียวชวนทะเลาะอีกแล้ว มานั่งใกล้ๆ นี่มา จะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน”
“นายก็จะไม่มานอนที่นี่เหรอ”
“ไม่หรอก เดี๋ยวจะเป็นที่สงสัย จนกว่านายจะได้ที่อยู่ใหม่ ป๋าจะกลับไปนอนที่บ้าน”
“ถ้าไอ้แมนอะไรนั่นรู้ว่าเราเลิกกัน นายจะไม่ต้องแข่งรถใช่มั้ย”
“แข่งสิ”
“อ้าว แล้วเราจะวางแผนกันทำไมล่ะงั้น”
“เพื่อไม่ต้องมีคนซ้อนไง แข่งเดี่ยวไม่ต้องมีคนซ้อน ในเมื่อเดิมพันของสองฝ่ายคือคนสำคัญเหมือนกัน ป๋าเลิกกับโจมแล้วก็ไม่มีใคร อีกอย่างป๋าก็ไม่อยากนอนกับใครเพราะชนะเดิมพันหรอกนะ”
“แสดงว่ามั่นใจใช่มั้ยว่าจะชนะ”
“ถ้ามันไม่เล่นตุกติกก็คงจะชนะอะ แต่คิดว่าถ้าชนะมันอีก ก็คงจะไม่จบสักที ลองแพ้มันบ้างน่าจะดีนะว่ามั้ย”
ดีกับผีอะไรล่ะ ไม่เห็นจะมีทางไหนเลยสักทางที่ทำให้โจมเบาใจลงไปได้เลย ทุกตัวเลือกที่ป๋าว่ามาอันตรายพอกัน ถึงแม้การแข่งรถจะมีการเซฟตี้อย่างดีแล้วก็เถอะ แต่หลายครั้งก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นให้หวาดเสียวกันอยู่บ่อยๆ เพราะมันเสี่ยงเกินไปแบบนี้แหละ โจมถึงได้อาละวาดเรื่องการแข่งรถครั้งนั้น
“โจม ทำไมถึงชอบเหม่อนักอะ”
แล้วคนถามล่ะ เอะอะๆ ทำไมถึงชอบดึงคนอื่นเค้าไปกอดไปหอมอยู่เรื่อย ไม่รู้ส่วนไหนของร่างกายของตัวเองที่น่าพิศวาสสำหรับคนที่เจนจัดอย่างป๋า แต่มันก็สามารถทำให้โจมรู้สึกได้ว่าสำหรับป๋าแล้วเท่าไหร่ก็ไม่พอสักที
“ขอโทษนะที่ตอนเป็นเด็กป๋าก็ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง พอเป็นแฟนกันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายมาให้”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก รีบทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิมเร็วๆ ก็แล้วกัน ถึงจะรู้ว่านายรวยมาก แต่การที่เช่าห้องพร้อมกันทีละสองห้องอะ มันเปลือง”
“ครับ”
คืนนั้น ให้ความรู้สึกว่าเวลาหมุนเร็วมาก มากซะจนคนที่นอนกอดก่ายกันอยู่ทั้งคืนนั้นลุกจากไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันรุ่งสางตั้งนานแล้ว แต่ความอบอุ่นยังไม่จางหาย ยังรับรู้ถึงร่องรอยความอาวรณ์ที่ป๋าฝากเอาไว้ทั้งตัว ทุกอย่างที่ร่วมกันทำเมื่อคืนเหมือนต่างฝ่ายต่างต้องการเก็บกักความสุขนั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ บทรักรุนแรงโลดโผนที่ป๋าเคยชอบนักหนาแปรเปลี่ยนจังหวะเป็นอ่อนหวานดูดดื่ม อารมณ์ความต้องการปลดปล่อยที่โหมกระพือถูกผ่อนลงไปเหมือนไม่อยากให้ถึงปลายทางอย่างทุกครั้ง เป็นครั้งแรกที่เราร่วมรักกันเหมือนคนที่นับหนึ่งไม่ถึงสิบ คอยแต่จะเหนี่ยวรั้งให้ไปอยู่จุดเริ่มต้นใหม่ร่ำไป
สามวันหลังจากที่เราต้องแสดงละครว่าเลิกกัน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะมีข่าวคบกันดังสนั่นไปทั้งมหาลัย โจมไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับป๋าอีกเลย สามวันหลังจากคืนนั้น เบสและมหาเป็นคนพาโจมไปอยู่ที่พักใหม่ เป็นคอนโดหรูขนาดหนึ่งห้องนอน มีห้องนั่งเล่น และมีบริเวณสำหรับเตรียมอาหารนิดหน่อย เวลารวดเร็วสำหรับที่พักใหม่นั้นแสดงให้เห็นศักยภาพว่าเพื่อนสามคนของป๋าไม่ได้ธรรมดาอย่างภาพที่เห็นเลย
จากความเข้าใจกลายเป็นความโกรธ ไม่ได้อยากยอมรับว่าลึกๆ แล้วก็รู้สึกน้อยใจ เหมือนไอ้เรื่องแข่งรถนี่เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติเสียอย่างนั้น เอาคนอื่นเค้ามาขังไว้แล้วตัวเองก็หายหัวไปเลย โทรมาอยู่สามสี่วันแล้วก็เงียบหายไป ไม่ได้อยากจะงอแงเอาแต่ใจอะไรเลย แต่บางครั้งความสัมพันธ์ที่มันไม่เหมือนวันวานก็ทำให้รู้สึกว่าการห่วงใครสักคนมันเป็นยังไง
แสงสว่างวาบบนหน้าจอโทรศัพท์บอกให้รู้ว่ามีสายเข้า ตั้งแต่รู้ว่าป๋าไม่โทรมาเลยความขุ่นเคืองก็พาลทำให้ปิดเสียงโทรศัพท์เสียอย่างนั้น นอกจากจะไม่มีสายป๋าแล้ว เฮียก็ไม่โทรมาเลยจนน่าแปลกใจ แต่มันก็ดีแล้ว จากที่เคยวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องเฮียก็เปลี่ยนเป็นไอ้บ้าเอาแต่ใจนั่นเข้ามาแทนที่ เพราะมัวแต่ห่วงใยมันจนลืมกลัวทุกสิ่งทุกอย่างที่ทิ้งมากลางคัน ลืมปัญหาคารา คาซังที่ก่อทิ้งเอาไว้
“ครับพี่เบส”
ถึงไอ้คนต้นเรื่องจะหายหัวไปแต่เพื่อนทั้งสามของมันก็ยังทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง เพียงแต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องมันให้ได้ยินมากไปกว่าไอ้ป๋ามันจัดการได้ และไม่ต้องเป็นห่วง นอกจากนั้น ทุกคนรูดซิบปิดปากเงียบกริ๊บ
“กินอะไรดีครับวันนี้”
“อะไรก็ได้ครับ”
โจมตอบเพื่อนป๋าเหมือนเดิมทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นใครโทรมาถามคำถามนี้ก็จะได้รับคำตอบเดียวกัน แต่พวกพี่ๆ ก็ยังไม่ย่อท้อที่จะถามคำถามเดียวกันนี้ทุกวันเหมือนกัน
“เอาผลไม้หรือขนมอะไรมั้ยครับ”
“ไม่ครับ ขอบคุณมาก”
“ถ้าไอ้ป๋ารู้ว่าน้องโจมไม่ค่อยกินอะไรพวกพี่จะแย่เอานะครับ”
“เค้าไม่สนใจหรอกครับพี่ สบายใจได้”
“พูดอะไรแบบนั้นครับ มันให้พวกพี่มาดูแลน้องโจม ถ้าพี่ดูแลไม่ดี พวกพี่ชะตาขาดได้เลยนะครับ”
“เดี๋ยวผมบอกให้ก็ได้ครับ ว่าพวกพี่ดูแลดี แต่ผมเองที่ไม่ดูแลตัวเอง”
“เอางี้แล้วกัน พี่ซื้ออะไรขึ้นไป น้องโจมต้องกินให้หมดนะครับ”
“ถ้าพี่ไม่เหมาะมาทั้งซุปเปอร์ ก็โอเคครับ”
ที่ต้องพูดแบบนี้ เพราะพี่ๆ ทุกคนซื้อของมาในแต่ละวันเยอะมากๆ เหมือนเหวี่ยงแหว่าโจมจะชอบอะไร ความจริงแล้วตัวเองเป็นคนกินง่ายและอยู่ง่าย(มั้งนะ) เพียงแต่ช่วงเวลาแบบนี้ ความรู้สึกมันทำให้ไม่เจริญอาหารของมันเอง
สิ้นเสียงโทรศัพท์ไม่นาน ประตูห้องถูกเคาะด้วยจังหวะที่คุ้นเคย พี่เบสเอาของกินทั้งหมดวางไว้บนเคาน์เตอร์ พี่แย้เตรียมจานแล้วแกะกับข้าวใส่ เหมือนทุกคนทำงานกันเป็นทีมด้วยความเข้าใจ เพราะพี่ทั้งสองคนแทบจะไม่พูดอะไรกันเลยด้วยซ้ำ
หนังสือพิมพ์รายวันและนิตยสารออกใหม่ทั้งหลายที่พี่เบสมักจะกว้านซื้อมาให้อ่านแก้เบื่อ กลายเป็นงานอดิเรกที่โจมเลือกใช้ฆ่าเวลา เลือกที่จะหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน ข่าวหน้าหนึ่งที่มีแต่ข่าวการเมืองและฆ่ากันตายรายวันไม่ทำให้นึกอยากจะอ่านรายละเอียดข้างใน แต่เพราะไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านั่งหายใจรดกระจกห้องเหมือนที่ทำอยู่นานสองนานก่อนที่พี่เบสกับพี่แย้จะมา
“พี่มหาไปไหนเหรอครับ”
ปกติถ้าพี่มหามาด้วย ห้องจะมีเสียงและสีสันมากกว่านี้ พี่แย้ไม่ใช่คนที่ชอบคุยเท่าไหร่ พอๆ กับพี่เบสที่พอถามถึงจะตอบออกมาเป็นประโยครวบรัดได้ใจความ มันเหมาะเจาะตรงที่ว่าโจมเองก็เข้าหาคนอื่นไม่เป็นเหมือนกัน นอกจากเฮียแล้ว โจมไม่เคยมีใครที่เรียกว่าเพื่อน คนรู้จักที่พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันได้มีแต่ป๋าที่มักจะเริ่มบทสนทนาชวนคุยก่อนทุกครั้ง เลยไม่รู้ว่าการเริ่มต้นในวงสนทนาต้องทำยังไง ต้องเริ่มด้วยเรื่องอะไรก่อน สิ่งที่พอจะทำได้คือเอ่ยถามสิ่งที่คิดว่าตัวเองกำลังอยากรู้เท่านั้น
“มันมีเดทครับ”
“ฮะ อ่า เหรอครับ”
ไม่กล้าถามต่อกลัวจะละลาบละล้วงเกินไปว่าเดทของพี่มหานั้นเป็นยังไงและกับใคร คนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบนั้นคนที่จะคบด้วยจะเป็นคนแบบเดียวกันเหมือนโจมกับป๋า หรือว่าจะต่างกันสุดขั้วเลยกันแน่
“มึงก็พูดไปเบส ถ้ากับเทียนเรียกว่าเดท กูว่ามันจะไม่สยองไปเหรอวะ”
“ฮ่าๆ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็มันเป็นถึงประธานชมรมแต่พอเทียนเรียกให้เข้าชมรมเมื่อไหร่ มันก็ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดทุกทีนี่หว่า”
ที่แท้พี่มหาก็ถูกเรียกเข้าชมรมนี่เอง นึกว่าจะมีเดทกับคนที่ชอบกันอยู่จริงๆ ซะอีก เคยเจอพี่เทียนตอนไปช่วยงานที่ชมรม ไม่เห็นวี่แววที่พี่มหากับพี่เทียนจะทำงานร่วมกันได้ พูดดีกันสามคำนอกจากนั้นก็เห็นเถียงกันตลอด
พวกพี่ๆ หยุดเพื่อหันมาคุยด้วยเพียงแค่นั้นก็ก้มหน้าก้มตาเตรียมอาหารกันต่อ หนังสือพิมพ์เลยกลายเป็นจุดสนใจของตัวเองอีกครั้ง ข่าวสังคมหน้าที่สองทำให้ต้องเพ่งสายตามองมากกว่าปกติ ทายาทเจ้าสัวเครือโภคภัณฑ์ประกาศแต่งงานกับลูกสาวนักธุรกิจรายใหญ่ของประเทศ แค่ข่าวตกลงกันของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยังได้ออกสื่อขนาดนี้ ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าถึงวันแต่งงานจะมีข่าวออกมายิ่งใหญ่ขนาดไหน
เพราะยุ่งเรื่องแต่งงานอยู่สินะ เฮียและป๊าถึงได้เงียบซะจนโจมตายใจ ขนาดนี้ แปลกใจตัวเองที่เห็นข่าวนี้แล้วสงบกว่าที่เคยคิดไว้มาก จากความรู้สึกที่คิดว่าคงทนไม่ได้ถ้าถึงวันที่เฮียต้องมีครอบครัว และโจมก็จะเป็นแค่น้องชายอย่างที่ควรจะเป็น ความเจ็บปวดที่กลัวไปล่วงหน้า พอเอาเข้าจริงๆ แล้วกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวเองได้รับอิสรภาพขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ทำไมถึงได้รู้สึกดีใจที่เฮียจะมีคนให้เอาใจใส่ และเค้าจะได้เว้นระยะห่างให้กับตัวเองบ้าง
“น้องโจมครับ มากินข้าวเถอะ พวกพี่ซื้อมาเยอะเลย”
“ขอบคุณครับ พวกพี่ทานก่อนได้เลยครับ ผมยังไม่หิวเท่าไหร่”
“วันนี้กินอะไรเข้าไปบ้างหรือยังครับ”
“ทานกาแฟกับครัวซองไปเมื่อเช้าแล้วครับ”
“แค่นั้นจะไปอยู่ท้องได้ไง มาทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวปวดท้องขึ้นมาดึกๆ ตอนที่พวกพี่กลับไปแล้วจะลำบาก”
นี่พวกพี่ๆ คิดว่าโจมจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าหากปวดท้องหรือไม่สบายขึ้นมาจริงๆ โจมก็พอที่จะหายากินได้ ที่ผ่านมาตอนเฮียไม่อยู่โจมก็ช่วยเหลือตัวเองและอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด แต่เพราะสายตารวมถึงการกระทำและคำพูดของพี่ๆ แฝงไปด้วยความห่วงใยจริงจัง โจมเลยต้องเคลื่อนย้ายตัวเองมาร่วมโต๊ะกินข้าว ของกินบนโต๊ะเยอะเสียจนตาลาย เยอะจนเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดีนอกจากเขี่ยข้าวไปมาและแกล้งช้อนเข้าปากบ้างเมื่อพี่ๆ เค้าลอบมอง
“พรุ่งนี้พวกพี่ไปมหาลัย น้องโจมมีงานอะไรฝากส่งมั้ยครับ”
“ไม่มีครับ ถ้าจะมีส่งจริงๆ คงจะเป็นอาทิตย์หน้า ผมยังทำไปไม่ถึงไหนเลย”
ถ้าจะพูดตามความจริง รายงานหลายฉบับที่อาจารย์ให้ไว้ช่วงหยุดสองสัปดาห์นี้ โจมยังไม่เริ่มกระดิกทำเลยสักนิด พอไม่มีอารมณ์ก็เลยไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไร
“พี่เห็นน้องโจมชอบมองออกไปนอกระเบียง วันนี้พี่กับพี่เบสผ่านบางบัวทองเลยแวะซื้อต้นไม้มาให้ ยังอยู่หลังรถอยู่เลย เดี๋ยวพี่ไปเอาขึ้นมาให้ดีกว่า ถ้ามืดแล้วจัดลำบาก”
“ขอบคุณครับ”
เพื่อนป๋าทำหน้าที่ได้สมกับที่มันไว้ใจจริงๆ นอกจากจะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารและมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว พี่ๆ ยังสังเกตและเอาใจใส่โจมเสียจนนึกละอายที่ตัวเองเป็นคนมนุษยสัมพันธ์แย่ ถ้าย้อนเวลากลับไปมีชีวิตปกติเหมือนคนอื่นเค้าได้ โจมจะมีเพื่อนดีๆ อย่างป๋ามั้ยก็ไม่รู้
พี่เบสกับพี่แย้กินข้าวเสร็จก็แยกออกไปขนต้นไม้อย่างที่บอก คุณชายที่ไม่เคยหยิบจับอะไรเลย แต่พอมาอยู่ที่นี่ก็จะรับหน้าที่เก็บกวาดโต๊ะอาหารและล้างจาน จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้อาทิตย์ละสองครั้งและเอาเสื้อผ้าไปซักรีดอาทิตย์ละครั้ง ตั้งแต่มาอยู่เคยเจอแม่บ้านแค่ครั้งเดียว ส่วนเสื้อผ้ายังไม่เคยส่งซักเลยสักครั้ง
เสียงเคาะประตูดังเป็นรอบที่สองจนต้องทิ้งผ้าเช็ดโต๊ะเอาไว้ คงจะเป็นพี่เบสกับพี่แย้ที่ขนต้นไม้ขึ้นมาแน่ๆ ไม้กล้าเดาเลยว่าพี่เค้าซื้อต้นอะไรมาจัดสวนเล็กๆ ตรงระเบียงนี้ได้ ถ้าถึงกับต้องเคาะประตูขอความช่วยเหลือขนาดนี้ โจมได้แต่ภาวนาให้พี่ทั้งสองคนไม่บ้าจี้ซื้อต้นสักหรือต้นมะพร้าวมาจัดสวนชั่วคราวให้หรอกนะ
“มาแล้วครับพี่ รอแป๊บๆ ”
ตอนที่ประตูเปิดออกเป็นเวลาเดียวกับที่โจมสะดุดลมหายใจ คนที่หยุดอยู่หน้าประตูไม่ใช่พี่เบสกับพี่แย้!!!!
การปรากฎตัวของคนตรงหน้าทำให้โจมต้องสาวเท้าถอยกลับเข้าไปในห้อง หัวใจเต้นเร็วและแรง เลือดสูบฉีดดีเว่อร์จนเจ็บร้าวไปทั้งหน้าอก ก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมาถึงคอหอย ขอบตาร้อนผ่าว ม่านตาทำหน้าที่คล้ายประตูระบายน้ำ ทันทีที่ทำนบน้ำตาไหล หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือที่สุดลอยหวือไปปะทะอกกว้างเหมือนกัน คนที่หายหัวไปจากโจมหลายวัน กลับมาในสภาพที่ทำให้ดีใจและปวดหนึบในใจไปพร้อมๆ กัน หมอนทุกใบบนโซฟาถูกโจมให้เป็นอาวุธทั้งหมด แต่คนที่กรอบประตูกลับยืนนิ่งไม่ยอมไหวติงหรือถอยเลยสักก้าว
TRomance's Fic Fanpage
ซื้อหนังสือ เรื่องนี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สงสารโจมอะ แล้วป๋าเป็นอะไร