คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ชายสวมหน้ากาก
- 6 -
ชายสวมหน้ากาก
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อเช้าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี มาทิลดาก็ออกเดินทางไปยังร้านของเอวาเจลีน เธอใส่เจ้าฟรอสต์ไว้ในเสื้อคลุมกันหนาว มันโผล่หน้าเล็กๆออกมาจากขอบคอเสื้อที่อยู่ตรงระดับอกของมาทิลดา อ้าปากหายใจหอบๆ เธอถือกล่องเงินไว้ด้วยมือสองข้าง และกุญแจเงินก็ยังคล้องอยู่บนคอของเธอ
เส้นทางที่เธอกำลังเดินนั้น พลุ่งพล่านไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของตามร้านรวงข้างถนน พ่อค้าแม่ค้าต่างตะโกนเรียกลูกค้ากันเสียงดัง
เวลาประมาณสิบโมงเช้า เธอมาหยุดอยู่หน้าสถานที่ๆเธอเชื่อว่าคือร้านของเอวาเจลีน ป้ายที่แขวนอยู่หน้าฉลุลายเป็นตัวหนังสือสีทองว่า ร้านเครื่องรางและสรรพสิ่งวิเศษ มาทิลดาพยายามที่จะมองผ่านหน้าต่างบานใหญ่หน้าร้าน แต่เธอก็ต้องแปลกใจอย่างมาก เพราะเธอไม่สามารถมองผ่านเข้าไปภายในร้านได้ หน้าต่างขุ่นมัวและมืดมิดเหมือนกับเงาดำ
“หรือว่ามีผ้าม่านนะ” เธอคิด “ผ้าม่านสีดำ...”
มาทิลดาผลักประตูเข้ามาภายในร้าน สิ่งแรกที่เธอทำคือ หันไปมองหน้าต่างร้านบานใหญ่บานนั้น เธอแทบไม่เชื่อสายตาเพราะมันกลับไม่มีผ้าม่านอย่างที่เธอคิดเอาไว้ ทั้งยังสะท้อนภาพจากภายนอกเข้ามาอย่างชัดเจน เธอถอยกลับไปข้างนอก และมองผ่านหน้าต่างบานเดิมอีกครั้ง แต่มันก็ยังคงดำมืดมัวไม่เปลี่ยนแปลง ตรงข้ามกับเมื่อมองจากในร้านออกไปข้างนอก กลับเผยภาพวิวชัดเจนเหมือนกับไม่มีกระจกกั้น
“มาแล้วเหรอ”
มาทิลดาสะดุ้งโหยง สะบัดตัวไปทางต้นเสียงเย็นเหยียบที่คุ้นหูยิ่งนัก
“คุณเอวาเจลีน...” มาทิลดาพูด
เอวาเจลีน เดอร์เรียอาร์ หญิงเจ้าของร้านแสนประหลาด มองมาทิลดาผ่านแว่นตาครึ่งวงกลม พลางยิ้มน้อยๆให้เธอ หล่อนยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ ในมือของเจ้าหล่อนอุ้มหนังสือเล่มโตหนาปึก
“คือ หน้าต่างบานนี้...” มาทิลดาพูด พลางชี้หน้าต่าง
เอวาเจลีนยิ้มเล็กน้อย ก่อนสะบัดตัวเพรียวเดินไปที่เคาท์เตอร์อันเป็นที่พำนักประจำของหล่อน วางหนังสือเล่มหนาลงบนโต๊ะรวมกับหนังสือเล่มอื่นๆที่กองอย่างไม่เป็นระเบียบ
“หน้าต่างทะเลสาบคำ” เอวาเจลีนพูดพลางถอดแว่นตาออก “หายากมากนะ”
“ทำไมมัน...”
“เวลาที่เรามองลงไปในทะเลสาบ มันจะมืดมิดมองไม่เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ทะเล แต่กลับกัน ถ้าเราลองอยู่ในน้ำแล้วมองผ่านผืนน้ำออกมาเรากลับเห็นภาพข้างนอก” เอวาเจลีนพูด “มันเป็นคำอธิบายที่แถมมาตอนฉันซื้อ เธออย่าไปใส่ใจนะ สำหรับฉันมันออกจะไร้สาระ”
“อ๋อค่ะ” มาทิลดาขาน
“ดูท่าเธอเหมือนมีอะไรอยากเล่าให้ฉันฟังอยู่นะ” เอวาเจลีนพูดหลิ่วตามองมาทิลดา “มานี่สิ มาใกล้ๆ”
มาทิลดาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นหลังจากที่ตัวเองออกจากร้านไป ให้เอวาเจลีนฟังทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องหลงทาง หญิงสาวทั้งสอง ทั้งนำหมาป่าสีขาวและกล่องเงินรวมถึงกุญแจสีเงินที่ใช้เปิดกล่องมาด้วย
“ตรงตามแผนการ” เอวาเจลีนพูดพลางดีดนิ้วเปาะ
“แผนอะไรคะ คุณเอวาเจลีน” มาทิลดาถามพลางเอียงหัวเล็กน้อยอย่างสงสัย
“แผนการอะไร---ก็แผนการที่ฉันทำให้มาทิลดาหลงทางจนได้ไปเจอเรื่องทุกอย่างที่ฉันวางไว้น่ะสิ” เอวาเจลีนว่าพลางเคาะหัวมาทิลดาอย่างเอ็นดู (ซะไม่มี)
“เอ๋!” มาทิลดาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเป็นอย่างยิ่ง ตัวของเธอพุ่งมาจนหน้าเกือบชิดเอวาเจลีน “เป็นแผนของคุณ!---เรื่องที่ฉันเจอมาทั้งหมดนี่เป็นแผนของคุณเอวาเจลีนเหรอคะ”
“ถูกต้อง!---มาทิลดาเองก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดนะ” เอวาเจลีนว่าแล้วหัวเราะเบาๆ พลางเอานิ้วมาแตะที่ปลายจมูกโด่งของมาทิลดา
“ผู้สมรู้ร่วมคิด” มาทิลดาทวนพลางชี้นิ้วไปที่ตัวเอง
“ถูกต้อง---ก็ถ้ามาทิลดาไม่เลี้ยวกลับบ้านผิดทางตั้งแต่แรก เรื่องทั้งหมดก็คงจะไม่ลงเอยแบบนี้หรอก” เอวาเจลีนพูดพลางหยิบกล่องเงินสลักลายเป็นรูปดาวและพระจันทร์ขึ้นมาจากเคาท์เตอร์ สำรวจมันอย่างชื่นชม
“อะไรนะคะ ขออีกที...”
“เธอนี่น้า ขนาดบ้านตัวเองยังกลับไม่ถูก เลี้ยวเข้าผิดซอยซะเนี้ย” เอวาเจลีนว่า ดวงตาหรี่มองมาทิลดาปากยิ้มอย่างขำขัน พลางในมือเกาที่หลังหูฟรอสอย่างเอ็นดู
“จริงเหรอคะเนี่ย” มาทิลดาพูดเสียงดัง ดวงตาคมเบิกกว้าง
“ฉันไม่โกหกหรอก แม่สาวที่รัก” เอวาเจลีนพูดพลางเอานิ้วม้วนผมยาวของตัวเองเล่น “ผู้พยากรณ์ไม่โกหก...”
“ทุกอย่างที่เกิดนี่เป็นความจริงเหรอค่ะ”
“ถูกแล้ว...” เอวาเจลีนพูด “เป็นความจริงที่น้อยคนนักจะล่วงรู้ได้ และไม่ใช่ว่าทุกคน จะรู้ได้ ความเชื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญนะ---แล้วเธอล่ะ เชื่อรึปล่าว”
“มันออกจะเชื่อยาก เพราะฉะนั้นในตอนนี้ฉันไม่สามารถบอกอย่างเต็มปากเต็มคำได้หรอกค่ะว่าฉันเชื่อ” มาทิลดาพูด “แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรอกนะคะ”
“นี่คือสิ่งที่ฉันอยากให้มาทิลดาทำ” เอวาเจลีนพูดตัดบทด้วยสีหน้าขึงขังและจริงจังอย่างที่มาทิลดาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ที่คุณบอกว่าจะให้ฉันทำน่ะเหรอคะ” มาทิลดาพูด “อะไรล่ะคะที่จะให้ฉันทำน่ะ”
“เอาล่ะ” เอวาเจลีนเกริ่น แล้วถล่กแขนเสื้อขึ้น ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามและทรงพลังอย่างที่มาทิลดาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า พลางตั้งแขนยาวเรียวเหนือลูกแก้วใบใหญ่ที่สุดที่วางอยู่บนโต๊ะ “-- เจ้าลูกแก้วเอ๋ย เจ้าลูกแก้ววิเศษ ขอจงบอกข้าเถิด ผู้ใดหนอ มีความลับอันมีค่า และสำคัญ” ลูกแก้วใต้มือของเอวาเจลีน ค่อยๆ ส่องแสงสว่างประหลาด ก่อนปรากฏให้เห็นภาพหน้ากากสองอัน อันหนึ่งสีขาว เป็นหน้ากากที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนอีกอันสีดำที่ลอยอยู่เคียงกัน เป็นหน้ากากที่มีใบหน้าโศกเศร้า
“หน้ากาก---มันหมายถึงอะไรคะ" มาทิลดาถาม
“ก็...คำใบ้ไง” เอวาเจลีนพูด ขณะที่ลูกแก้วกำลังดับแสงลง
“มาทิลดาที่รัก... นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการให้เธอทำ” เอวาเจลีนพูด “จงไปตามหาชายผู้สวมหน้ากาก”
“ชายผู้สวมหน้ากาก---แล้วฉันจะไปหาเขาได้จากที่ไหนกันล่ะคะ"
“ไม่รู้สิ ก็มันหน้าที่เธอต้องไปหา ไม่ใช่หน้าที่ฉัน หน้าที่ของฉันมีเพียงบอกว่าเธอต้องทำอะไรเท่านั้น” เอวาเจลีนพูด “หรือไม่แน่นะ บางทีท่าเธออดทน แล้วรอสักนิด เขาอาจจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเธอเองก็เป็นได้”
“อย่างนั้นเหรอคะ” มาทิลดาพูด พยายามทำความเข้าใจ “แล้วของพวกนี้ล่ะคะ”
เธอพูดแล้วชี้ไปที่กล่องเงิน กุญแจ และหมาป่าสีขาว
“เจ้าหมาป่าหิมะตัวนี้น่ะเหรอ... มาทิลดาเก็บเอาไว้ก็แล้วกัน” ว่าแล้วเอวาเจลีนก็อุ้มมันแล้วยื่นให้มาทิลดา
เธอรับมันมาก่อนพูดว่า “หมาป่าหิมะ...”
“หมาป่าหิมะจากเทือกเขาหิมะ เป็นภูติอารักษ์ขาอย่างหนึ่งที่ถือว่าหาได้ยากยิ่ง ดวงตาสามารถเปลี่ยนสีได้ตามอารมณ์หรือตามสถานที่ที่มีมนต์วิเศษหรืออำนาจเหนือคำอธิบาย และ...”
เอวาเจลีนยิ้มน้อยๆที่มุมปาก “เธอคงเห็นอีกร่างหนึ่งของมันแล้วสินะ”
มาทิลดาหวนคิดถึงเงาของสัตว์สี่ขาขนาดใหญ่ในคืนวันนั้น
“เจ้าตัวเมื่อตอนนั้นคือฟรอส เหรอคะ”มาทิลดาถาม มองเจ้าหนาป่าน้อยที่กำลังเลียอุ้งเท้าอย่างไม่เชื่อสายตา
“ฟรอส -- ตั้งชื่อให้แล้วเหรอเนี่ย"
“อ๋อค่ะ เพื่อนๆช่วยกันตั้ง” มาทิลดาพูด ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่าง “ว่าแต่ เจ้าเนี่ย มัน...เป็นตัวอะไรกันแน่คะ คุณเอวาเจลีนช่วยอธิบายแบบเข้าใจง่ายและได้ใจความ เอาแบบ อืม... ฟังแล้วไม่งงน่ะค่ะ”
“เข้าใจอะไรยากจริงนะ แม่สาวน้อย” เอวาเจลีนพูดพลางยื่นมือเรียวไปขยี่ผมสั้นของมาทิลดาจนฟูไปหมด “เอาล่ะนะ ครั้งนี้จะอธิบายง่ายๆครั้งสุดท้าย ฉันเชื่อว่าแม้แต่คนปัญญาอ่อนก็น่าจะเข้าใจ เว้นแต่เธอจะสมองทึบและปัญญานิ่ม---เพราะถ้าคราวนี้ยังไม่เข้าใจอยู่อีก ก็ไม่รู้แล้วนะจ๊ะ ฉันหวังว่าเธอจะไม่ใช่คนโง่นะ มาทิลดา”
มาทิลดาพยักหน้ารับพลางพยายามจัดทรงผมให้กลับมาเป็นระเบียบเหมือนเดิม
“นี่นะ เจ้าตัวน้อยนี่คือหมาป่าหิมะ เป็นภูตอารักษ์ขา และสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นขนาดใหญ่ได้ เมื่อถึงยามขับขัน” เอวาเจลีนอธิบาย แล้วชี้ไปที่กล่องเงิน “และนี่ -- ก็คือกล่องเงินอเนกต์ประสงค์..."
เมื่อมาทิลดาทำท่าจะถามต่อ (คงรู้ใช่ไหมว่าเธอกำลังจะถามอะไร) เอวาเจลีนก็เอานิ้วเรียวยาวมาแตะที่ริมฝีปากของมาทิลดา แล้วยื่นหน้ามาใกล้มาทิลดา
“ไม่เอา ไม่พูด เธอต้องฟังฉันพูดให้จบก่อนซิ” เอวาเจลีนพูด แล้วใช้นิ้วข้างเดิมดีดปลายจมูกมาทิลดาเบาๆ
มาทิลดากุมจมูก ผละไปข้างหลังครึ่งก้าว พลางพยักหน้าหงึกอย่างเชื่อฟัง
“ฉันดีใจที่เธอไม่ดื้อนะ” เอวาเจลีนพูดแล้วหัวเราะด้วยเสียงที่ฟังดูน่าขนลุก “มาถึงเรื่องเจ้ากล่องเงินนี่---อย่างที่บอก มันก็คือกล่องเงินอเนกต์ประสงค์ ทำอะไรเยอะแยะ บอกตอนนี้คงไม่จบแน่ เอาเป็นว่าตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้กับเจ้ากล่องพิศวงนี่ก็คือ สามารถเก็บหมาป่าน้อยไว้ในนี้ได้”
เอวาเจลีนไขกุญแจเปิดกล่องเงิน มาทิลดาจึงค่อยหย่อนเจ้าฟรอสลงไปในกล่อง
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น หรือมีเรื่องต้องใช้กล่อง เจ้าฟรอสต์จะบอกเธอเอง แต่ตอนนี้ไปตามหาชายสวมหน้ากากมาซะก่อนนะ” เอวาเจลีนพูดพลางปิดกล่อง “เอ้านี่---อย่าลืมกุญแจ เดี่ยวเปิดกล่องไม่ได้แล้วจะยุ่งนะ" ว่าแล้วก็สวมเข้าที่คอของมาทิลดา “กุญแจนี่อย่าทำหายเชียวล่ะ เรายังต้องใช้ประโยชน์จากมันอีกมาก”
“คือ...คุณเอวาเจลีนคะ จะดีเหรอที่คะที่จะให้ฉันเก็บของพวกนี้ไว้” มาทิลดาพูด
“เธอจำเป็นต้องใช้พวกมันมากนะ”
หล่อนว่าแล้วต้อนมาทิลดาไปที่ประตู และเมื่อเธอพยายามจะพูดต่อ เอวาเจลีนก็เปิดประตูแล้วดันเธอออกไปนอกร้าน “เจอกันนะ อย่ากลับบ้านผิดทางล่ะ เจ้าหมาป่าน้อยคงไม่อยากแบกเธอกลับบ้านเป็นครั้งที่สองหรอก” แล้วก็โบกมือลาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “บ๊ายบาย”
“เดี๋ยวค่ะ คุณเอวาเจลีน”
ปั้ง!
ไม่ทันเสียแล้ว เพราะบัดนี้ประตูร้านได้เหวี่ยงปิดลงตามด้วยเสียงกริ่งประตูตามหลัง
มาทิลดาที่ยังงุนงงเกาหัวเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
บริเวณข้างถนนก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนและร้านรวงไม่เปลี่ยน
มาทิลดาสังเกตเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังนั้งเล่นกีตาร์อยู่บนลังไม้สำหรับบรรจุสินค้าที่วางอยู่หน้าร้านขนมปัง เขาวางกล่องที่สำหรับใส่กีตาร์ของเขาไว้เบื้องหน้า ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาต่างโยนเศษเหรียญให้เขาลงไปในกล่อง ถึงเขาจะก้มหน้าก้มตาเล่น เขาก็ไม่ลืมที่จะเงิยหน้าขึ้น แล้วยิ้มให้กับคนเหล่านั้นเพื่อเป็นการขอบคุณ
เธอหยุดอยู่ตรงเด็กชายผู้นั้นด้วยความสนใจ พลางหนีบกล่องเงินไว้ใต้แขนแล้วหยิบกระเป๋าตังค์สีขาวใบเล็กของเธอออกมา เธอโยนเศษเหรียญลงในกล่องกีตาร์ เหรียญของเธอกระทบกับเหรียญในกล่องดังกริ๊งๆ เด็กชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยช้อนดวงตาสีน้ำข้าวสดใสมองเธอผ่านหมวกทรงเปเรย์ที่เขาสวมอยู่ แล้วยิ้มให้เธออย่างสุภาพขณะที่ในมือยังเกากีตาร์ไม่ขาดช่วง
“เพราะจังเลยนะ” มาทิลดาพูด เธออดไม่ได้ที่จะชมเขาที่เล่นเพราะขนาดนั้น
“ขอบใจ” เด็กชายพูดแล้วยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร “ขอบใจสำหรับเงินนั่นด้วยนะ”
“อืม ไม่เป็นไร เธอสมควรได้แล้วล่ะ” มาทิลดาพูด “ขอโทษนะ ฉันรบกวนรึปล่าว”
“ไม่เลย” เด็กชายตอบพลางส่ายหน้า
“เธอเล่นเป็นรึเปล่า” เด็กชายส่งคำถาม มองมาทิลดา พลางมือยังเล่นเพลงไม่หยุด “ฉันกำลังหาเพื่อนเล่นอยู่ เล่นคนเดียวเหงาจะตายอยู่แล้ว”
“ฉัน...ฉันเล่นไม่เก่งเท่าไหร่”
“เล่นเป็นนี่ ดีเลย เล่นให้ฟังหน่อย”
“ฉันไม่ได้ถ่อมตัวนะ ที่ว่าเล่นไม่เก่ง ฉันไม่เก่งจริงๆ” มาทิลดาพูดพลางส่ายมือปฏิเสธ
“น่า---ลองดูก็ไม่เสียหาย” เด็กชายพูดน้ำเสียงขอร้อง
“กลางสาธารณะชนไม่เอาดีกว่า” มาทิลดาพูด “...แต่ถ้าไม่รังเกียจ---ฉันร้องได้นะ”
“แจ๋วเลย นั่นยิ่งดี” เขาพูดแล้วหยุดเล่น ก่อนลุกขึ้นมาจัดเตรียมที่ทางให้มาทิลดานั้ง มีรังอีกใบที่วางอยู่ไม่ไกล เขาจึงเอามันมาวางไว้เคียงกับรังที่เขานั้ง แล้วปัดฝุ่นออกเล็กน้อย เสร็จสรรพ เขากลับมานั้งที่เดิม มาทิลดาวางกล่องเงินอเนกต์ประสงค์ไว้บนพื้นข้างๆ ก่อนนั้งลงตรงที่ๆเขาจัดให้
“ฉันชาร์ลส์” เขาพูด แล้วยื่นมือซ้ายไปทางมาทิลดา
มาทิลดายื่นมือมาจับมือของเขา “ฉันมาทิลดา ยินดีที่รู้จักนะ ชาร์ลส์”
“อาฮะ เช่นกันมาทิลดา” ชาร์ลส์พูด “ชื่อน่ารักสมกับหน้าตาเลยนะ”
มาทิลดาหัวเราะเบาๆ “เธอพูดอย่างนี้กับทุกคนสินะ”
“ไม่นะ” ชาร์ลส์หัวเราะ พลางปรับสายกีตาร์ “ต้องดูว่าน่ารักจริงรึปล่าว ฉันถึงจะพูด”
“งั้นก็ขอบใจ” มาทิลดาพูด เธอเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่หน้าร้านขนมปัง มันตีบอกเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าๆ ซึ่งทำให้มาทิลดาไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่
“เอาล่ะ พร้อมรึยัง” ชาร์ลส์ถามมาทิลดา มือของเขาจับอยู่ที่คอร์ดจี
“พร้อมสิ แน่นอน ฉันพร้อมแล้ว”
ไม่รู้เวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่ที่ทั้งสองนั่งเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเพลงแล้วเพลงเล่า ขณะที่ชาร์ลส์เล่นกีตาร์ มาทิลดาก็ร้องเพลง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดและโยนเหรียญของพวกเขาลงในกล่องใส่กีตาร์
“มันไม่เคยมีเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย เป็นเพราะเธอแท้ๆเลย ขอบใจนะ มาทิลดา” ชาร์ลส์พูดพลางเก็บเศษเหรียญลงในกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงของเขา มันเยอะมากจนเกือบล้น ก่อนเก็บกีตาร์ใส่กล่องและปิด “พวกที่บ้านเด็กกรำพร้าคงดีใจแน่ๆ”
“บ้านเด็กกำพร้า!?!” มาทิลดาพูด “เธอ...”
“ขนมร้านนี้อร่อยมากนะ” ชาร์ลส์พูดก่อนที่มาทิลดาจะพูดต่อ พลางชี้ไปในร้านขนมปัง “ฉันเลี้ยงเอง มาเถอะ---”
“ไม่ได้ ฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ” มาทิลดาพูดพลางก้มไปหยิบกล่องเงินของเธอ
“เกรงใจอะไร เอาน่า ฉันเป็นหนี้เธอนะ”
“ฉันไม่...อ๊ะ!” ไม่ทันที่เธอจะพูดต่อ ชาร์ลส์ก็ฉุดเธอเข้าไปในร้านเสียแล้ว
เมื่อประตูเปิดออกสัมผัสแรกของเธอคือกลิ่นหอมของขนมที่ลอยมาเตะจมูกเข้าอย่างจัง เธอเลิกขัดขืนและเดินตามเข้ามาแต่โดยดี
หลังตู้ที่ภายในใส่ขนมเยอะแยะมากมาย เด็กหญิงร่างป้อมกำลังนวดแป้งขนมปังช้าๆ อย่างถะนุถนอม
“เกรซ” ชาร์ลส์ทัก เด็กหญิงก็หันมาทันที “วันนี้มีทาร์ตบลูเบอร์รี่แบบที่ฉันชอบรึเปล่า”
“วันนี้คงไม่เอาเหรียญสลึงค์มาจ่ายอีกนะ” เกรซพูดเสียงของเธอสูงปรี๊ด “มี ฉันมีทาร์ตเหลืออยู่สองชิ้น” เธอปาดแป้งที่เปื้อนอยู่ตรงข้างแก้ม (ที่จริงแล้วบนตัวเธอเปื้อนแป้งเต็มไปหมด) “แต่ถ้านายจ่ายด้วยเหรียญสลึงอีกล่ะก็ฉันจะไม่ขายให้นายแม้แต่ชิ้นเดียว”
“ครับผม” ชาร์ลส์พูดพลางหัวเราะ “งั้นฉันขอสองชิ้นเลยนะ----ขอหยิบเงินก่อน”
เกรซใส่ทาร์ตลงในกล่องขณะที่ชาร์ลส์ยื่นกล่องใส่กีตาร์ให้มาทิลดาและหยิบเงินมาจากกระเป๋ากางเกงที่ตุงขึ้นมานับจนครบแล้วยื่นให้แก่เกรซ
“วันนี้ฉันได้เงินตั้งเยอะ ตุงจนกระเป๋าเกือบขาด” เขาพูดขณะยื่นเงินให้เกรซแล้วรับกล่องขนมมา “ต้องขอบคุณเพื่อนใหม่ฉัน เธอชื่อมาทิลดา”
“ยินดีที่รู้จักนะ มาทิลดา ฉันเห็นเธอร้องเพลงผ่านหน้าต่างร้าน แต่ฉันไม่ได้ออกไปฟังก็ไม่รู้ว่าเธอร้องเพราะขนาดไหน” เกรซพูด หัวเราะเล็กน้อย แล้วหันกลับไปที่ชาร์ลส์ “ไม่ซื้ออะไรไปฝากฟอเรียหน่อยเหรอ”
“เชื่อสิ ถ้าฟอเรียอยากกินนะเดี๋ยวก็มาซื้อเอง” ชาร์ลส์พูด “ฉันซื้ออะไรให้ไม่ถูกใจซักอย่าง”
“ถ้านายไม่รู้ใจน้องสาว แล้วจะให้ใครที่ไหนรู้ไปมากกว่านายอีกล่ะ” เกรซพูดขณะหันไปนวดแป้งขนมปังต่อ
“ฉันว่าเพราะฟอเรียเรื่องมากนะ” ชาร์ลส์ค้าน ก่อนจะเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น “คนอื่นไปไหนหมด”
“ถ้าปารีสกับเกว็นน่ะ อยู่ในครัว ส่วนพ่อกับแม่ไปทำงานอยู่ในวังนู้น(พ่อแม่ของสามพี่น้องงทำขนมเป็นคนทำอาหารในวังหลวง)” เกรซตอบ
“อ้อ...” ชาร์ลส์ยื่นหน้าไปในห้องครัว เด็กหญิงสองคนกำลังยุ่งอยู่ในครัว ขณะที่คนนึงกำลังเคี่ยวบางอย่างในหม้อ อีกคนกำลังทะเลาะกับเตาอบ
“ไง ปารีส เกว็น”
ปารีสที่กำลังเคี่ยวของในหม้อหันมามองเขาด้วยตาไร้ชีวิตก่อนสะบัดหน้าหนีไปทันที ขณะที่เกลนด้าไม่แม้แต่จะฟังที่เขาพูดด้วยซ้ำ เธอเอาแต่ทุบเตาเตาอบไม่รักดีดังป้าปๆ เขาตัดสินใจหันกลับไปในร้าน ก่อนพูดว่า
“วันนี้คงมีเรื่องดีๆ นะ”
“วันนี้ไม่เอาอะไรเพิ่มแล้วนะ”เกรซถาม
“อาฮะ ขอบใจนะเกรซ พรุ่งนี้เจอกัน”
ชาร์ลส์พูดก่อนที่เขาและมาทิลดาจะออกไปนอกร้าน กลับไปนั้งบนรังที่เดิม
“ทาร์ตบลูเบอร์รี่---เธอคงไม่เกลียดใช่มั๊ย” ชาร์ลส์ยื่นทาร์ตชิ้นหนึ่งให้มาทิลดา
“ไม่เลย” มาทิลดาพูดก่อนรับทาร์ตหน้าบลูเบอรี่สีน้ำเงินมาไว้ในมือ “ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร---” เขาพูดก่อนกัดทาร์ตของตัวเอง
“อื้อ---อร่อยนะ” มาทิลดาพูดหลังจากกัดเข้าไปคำเล็กๆ มันเป็นทาร์ตอร่อยที่สุดที่เธอเคยกินมา “อร่อยมาก”
“ใช่” ชาร์ลส์พูดพลางเลียนิ้ว “น่าเสียดายที่ขายหมดเร็วมาก และไม่ทำหลายรอบ ไม่งั้นฉันจะซื้อกลับไปกินบ้านแล้ว”
“เกรซคงโกรธแย่เลยนะที่ต้องมานับเหรียญเธอ” มาทิลดาพูดพลางหัวเราะ เมื่อกินทาร์ตในมือหมด
“เกรซพูดไปงั้นแหละ” ชาร์ลส์หัวเราะ พลางปัดเศษขนมที่ติดอยู่บนเสื้อ “นี่แนะ มาทิลดา เธอเคยไปโรงละครมั๊ย”
“ไม่เคยไปหรอก ไม่มีโอกาสได้ไป”
“ถึงว่า...” ชาร์ลส์พูดแล้วถอนหายใจเหมือนโล่งอกด้วยเหตุผลบางอย่าง
“อะไรเหรอ” มาทิลดาถาม เธอมุ่นหน้าด้วยความสงสัยในท่าทีของเด็กหนุ่มตรงหน้า
“เปล่าหรอก...” เขาพูดก่อนหันมามองมาทิลดาด้วยสายตาอบอุ่นอย่างประหลาด “พรุ่งนี้ฉันจะย้ายบ้านมาแถวๆ นี้” เขาพูดก่อนเบือนสายตาไปยังสุดขอบฟ้า “ในกลางเมืองน่ะ วุ่นวายไม่เหมือนที่นี่”
“เดี๋ยวนะ---บ้านเด็กกำพร้าไม่ได้อยู่กลางเมืองนี่ มันอยู่ถัดไปอีกสามซอย...” มาทิลดาพยายามตระคลุบคำถามงี่เง่าของเธอ แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“อะไรนะ...อ๋อ!” ชาร์ลส์หัวเราะ “เธอคงไม่คิดว่าฉันอยู่บ้านเด็กกำพร้าหรอกนะ”
ชาร์ลส์อธิบายว่าเขากับน้องสาวอาศัยอยู่กับป้าและลูกพี่ลูกน้องสองคนในกลางเมืองใกล้กับพระราชวังหลวง ในถนนชื่อกุหลาบขาวในมือเจ้าหญิงซึ่งเป็นที่ๆ ค่อนข้างวุ่นวาย เลยตัดสินย้ายมาอยู่ย่านชานเมืองฝั่งตะวันออก และที่เขามาเล่นกีตาร์เพื่อเอาเงินไปบริจาค อันที่จริงตอนแรกเขาแค่มานั่งเล่นเฉยๆ เพราะแถวนี้สงบดี แต่อยู่ๆก็มีคนมาโยนเงินให้ เขาเลยเอาเงินที่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรไปให้บ้านเด็กกำพร้าระหว่างทางกลับบ้าน เขาคิดว่ามันสนุกดี เลยทำมาเรื่อยๆ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจดูถูกเธอนะ” มาทิลดามองชาร์ลส์ นิ่วหน้านิดๆ
“ไม่หรอก ฉันผิดเองที่ทำให้เธอเข้าใจผิด”เขาพูดพลางหัวเราะ “ฉันผิดเอง”
ชาร์ลส์หันมามองมาทิลดาด้วยสายตาที่แฝงบางอย่างไว้
“เธอทำให้ฉันนึกถึงเด็กผู้หญิงคนนึง” เขาพูด “เหมือนเธอเปะเลยนะ น่าแปลกจริงๆ”
“ชอบมีคนทักบ่อยๆเหมือนกันว่าฉันหน้าเหมือนคนนู้นคนนี้” มาทิลดาว่าแล้วก็หัวเราะ “คงไม่แปลกเท่าไหร่ถ้าเธอเจอคนที่น่าคล้ายฉัน”
มาทิลดานึกขึ้นได้ว่าวันนี้ครอบครัวเบอร์ตันจะมาทานข้าวเย็นที่บ้าน เธอหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่หน้าร้านขนมปัง
“โอ๊ย! ตายแล้ว สี่โมงครึ่งแล้วเหรอเนี่ย” มาทิลดาอุทาน “ขอโทษนะ ฉันต้องรีบไปแล้ว”
มาทิลดาคว้ากล่องเงินของเธอแล้วลุกขึ้น จัดเสื้อของเธอให้เรียบร้อย
“ฉันทำเธอเสียเวลา ขอโทษนะ” ชาร์ลส์พูด
“ไม่เลย” มาทิลดาพูด น้ำเสียงลนลานเป็นอย่างยิ่ง “ฉะ ฉะ ฉันไปก่อนนะ วันหลังเจอกัน”
มาทิลดาวิ่ง และหายไปท่ามกลางผู้คนมากายที่เดินกันเกลื่อนถนน
ความคิดเห็น