ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MoonCrosS III ภาค สงครามแห่งผลึก

    ลำดับตอนที่ #2 : ศาสตราวิชาภพทมิฬ

    • อัปเดตล่าสุด 14 ธ.ค. 54


    ตอนที่ 2

    ศาสตราวิชาภพทมิฬ

                    โลกนี้ ท้องฟ้าเป็นสีแดงเหรอเนี่ยโซลว่าพลางมองไปรอบๆ ให้ตายสิ จ้นไม้สีดำไม่มีใบ มีแต่กิ่งก้านโล้นๆ แถมยังเต็มไปด้วยหนามกับท้องฟ้าสีแดงที่ทั้งพระจันทร์และเมฆสีดำสนิทดูแปลกตาไม่น้อย ราวกับเป็นคืนจันทร์สีเลือดที่ตัวจันทราเป็นสีดำก็ไม่ปาน

                    การต่อสู้ต่อจากนี้พวกเธอจำเป็นต้องทำลายโล่ซันโนดิแอร์คให้ได้เป็นอย่างต่ำ ถึงจะต่อกรกับพวกเทพได้ แต่พลังเวทจากจิตแห่งโลกไม่เพียงพอหรอกมาร์คัสว่า ก่อนจะเดินเอื่อยๆไปตามทางช้าๆ ก่อนจะเอื่อมมือไปเปิดบานประตูเหล็กสีดำสนิทที่อยู่ตรงหน้าอย่างช้าๆ

                    นี่นะเหรอ เมืองของเหล่าปีศาจ เรียง่ายกว่าที่คิดอีกนะครับเกลว่าพลางมองปราสาทสีดำที่มีรูปร่างแทบไม่ต่างเมืองซันนีล่าสักเท่าไหร่

                    พูดอะไรนะ นี่คือเขตของข้าคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่เมืองทั้งเมืองเสียหน่อย ขืนปล่อยพวกเจ้าเข้าเมืองไปตอนนี้มีแต่ไปตายเท่านั้นมาร์คัสว่าพลางเดินเข้าไปด้านในอ่างเชื่องช้า แต่ก็เป็นอย่างที่มาร์คัสว่าจริงๆ นอกจากปีศาจไม่กี่คนที่กำลังทำงานเล็กๆน้อยๆอยู่กลับไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ราวกับพื้นที่นี้เพียงพวกเขาอย่างที่ว่าจริงๆ

                    เอาละ ทิ้งอาวุธทั้งหมดซะคำพูดของมาร์คัสทำเอาเหล่าทหารต่างมองกันอย่างแปลกใจ หมายความว่าไ หรือมาร์คัสจะทรยศพวกเขาแล้วจะจัดการให้หมด

                    หมายความว่าไงครับจินถามพลางมองคิลและครอสอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเห็นคิลเรียกดาบโลหิตดำและดาบกางเขนศักดิ์สิทธิ์ออกมาโยนทิ้งอย่างว่าง่ายก็ยิ่งทำหน้างงเข้าไปใหญ่

                    อย่าลืมสิ นี่คือโลกที่ใช้กักขังปีศาจ ทั้งก้อนหินดินทรายที่พวกเราเดินผ่านมานะยังแข้งกว่าปกติตั้งหลายเท่า ธาตุต่างๆในโลกปีศาจเองก็คงแข็งแกร่งมากกว่าหลายเท่า แน่นอนว่าฝั่งเทพเองก็เช่นกัน เพราะงั้น เศษเหล็กจากโลกของเรานะไม่มีค่าอะไรหรอก ครอสว่า ก่อนจะโยนเศษซากของเคียวตนทิ้งไปอย่างว่าง่ายเช่นกัน

                    แต่อาวุธภูติพวกนี้น่าจะ...พูดไม่ทันจบครอสก็ส่ายหน้าเบาๆ

                    อาวุธภูติที่ให้พวกเราใช้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมากว่าแสนปี ต่อให้มีพลังธาตุแข็งแกร่งแค่ไหนก็ใกล้จะได้เวลาแตกสลายได้แล้ว เคียวของผมเองก็หมดสภาพอย่างที่เห็นนี่ละครอสว่าพลางถอนหายใจ ให้ตายสิ แค่เทพระดับกลางยังเล่นเอาเคียวเขาแหลกคามือแบบนี้ต่อไปจะทำอย่างไรดีละ

                    นั่นสินะโซลว่าพลางโยนปืนทั้งสองกระบอกทิ้ง ปืนสองกระบอกนี้เป็นปืนที่เขาใช้มานานแสนนาน เขามั่นใจในความรุนแรงของมันเสมอมาจนมาเจอกับคิล แต่เมื่อเจอกับโล่สูงสุดของทั้งความมืดและสว่างปืนของเขากลับเป็นได้แค่ดั่งเม็ดฝนเท่านั้น ถ้าเขายังจะยึดติดกับปืนคู่นี้อีกละก็ มีแต่จะรั้งไม่ให้แข็งแกล่งไปมกกว่านี้เท่านั้น

                    นั่นสินะจินว่าพลางโยนหอกของตัวเองตาม ทันทีที่เหล่าผู้นำเริ่มทิ้งอาวุธคนอื่นๆต่างก็เริ่มทำตามเป็นการใหญ่ ถึงจะมีบางคนไม่ยอมทิ้ง แต่สุดท้ายเมื่อเห็นเหล่าพวกพ้องที่มาด้วยกันทิ้งอาวุธที่แสนภูมิใจของตนไปทีละชิ้นๆก็เริ่มถอดใจแล้วยอมทำตามแต่โดยดี ก็จะเหลือเพียงแต่อาวุธบางชิ้นที่มีค่าต่อจิตใจของบางคนเท่านั้นที่ไม่ถูกโยนทิ้ง

                    หลังจากนี้ทางเราจะสร้างอาวุธชั้นเลิศที่ดีที่สุดให้แก่ทุกท่าน ระหว่างการสร้างต้องใช้เวลา 1 อาทิตย์ขอให้ทุกท่านเข้าไปรอที่ห้องนี้มาร์คัสว่าก่อนจะเปิดประตูขนาดใหญ่ให้ทุกคนเห็นช้าๆ ทันทีที่เปิดประตูออกภาพห้องที่เป็นเพียงลานกว้างขนาด10 ไร่ก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากผนังกำแพง และเพดานกับพื้นเปล่าๆ

                    นี่มันครอสมองห้องตรงหน้าอย่างแปลกใจ เหมือนว่าในความทรงจำของเรกิออสจะมีห้องนี้อยุ่ด้วย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงค้นความทรงจำนี้ไม่ได้

                    คงอยากให้พวกเราฝึกกันเองโดยไม่พึ่งความทรงจำนะคิลว่าพลางเดินเข้าไปในห้องช้าๆ ความทรงจำของโฟนิมเองก็ขาดช่วงฝึกฝนไปเหมือนกัน คงมีอะไรหลายๆอย่างที่ทั้งโฟนิมและเรกิออสต่างอยากให้คิลและครอสได้รับรู้

                    ห้องนี้จะทำให้พวกนายใช้พลังจากจิตวิญญาณแห่งโลกไม่ได้มาร์คัสว่าพลางเดินเข้าไปด้านใน

                    “จิวิญาณแห่งโลก หมายความว่าพวกเราใช้เวทมนตร์ในห้องนี้ไม่ได้สินะคิลว่าพลางเรียกหลุมมิติออกมา แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้

                    ห้องนี้ถูกคลุมด้วยเวทมนตร์ชนิดพิเศษของข้า ทำให้พลังจากจิตวิญญาณแห่งโลกไม่สามารถเข้ามาได้ มารืคัสพูดเสียงเรียบ ก่อนจะเดินมาที่ตรงหน้าคนทั้งหมด

                    ต่อจากนี้ไปเราจะมาเรียนรู้เรื่องพลังที่มนุษย์ใช้ก่อนที่ตะเกิดเวทมนตร์กันมารืคัสว่าพลางกำหมัดทั้งสองข้างเบาๆ

                    หมายความว่าจะใช้ไอ้ที่เรียกเทคโนโลยีสินะครอสว่าพลางมองมาร์คัสอย่างสงสัย

                    พูดเรื่งอะไรนะ เพราะเทคโนโลยิอ่อนแอต่างหากละเราถึงได้สร้างเวทมนตร์มาร์คัสตอบกลับก่อนจะหัวเราะหึๆ อธิบายไปก็คงเสียน้ำลาย สู้แสดงให้ดูก่อนเลยดีกว่า เขาค่อยๆรวบรวมพลังที่ฝ่ามือช้าๆ ก่อนที่จะกระแทกเข้ากลางอกของครอสอย่างแรงจนครอสจุกจนแทบกระอักเลือด แต่เมื่อลุกขึ้นมาได้ก็เหมือนมีพลังบางอย่างจุกขึ้นมาอีกรอบก่อนจะทำให้เจ้าตัวทรุดฮวบลงไปอีกรอบ

                    นี่คือ ลมปราณ หรือ พลังภายใน หรือจะอะไรก็ตามที่คนรุ่นก่อนคิดค้นขึ้นมาใช้แทนพลังเวทมาร์คัสว่าพลางตั่งท่าช้าๆ ก่อนจะเดินพลังภายในร่างกายอย่างคล่องแคล่ว

                    นี่คือศาสตร์ที่ได้ผลที่สุดก่อนจะมีพลังเวท นอกจากข้าและลูกศิษย์ของอิคารอสเท่านั้นที่ใช้มันได้ หากมีพลังนี่พวกเจ้าอาจจะทำได้มากกวี่เสมอกับพลังเวทของพวกเทพมาร์คัสว่า ก่อนจะเรียกไอสีขาวออกมาจากมือช้าๆ ไหนว่าใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไง

                    ที่พวกเจ้าใช้ล้วนเป็นพลังเวทที่แต่เดิมเป็นพลังจากจิตวิญญาณแห่งโลก แต่นอกจากนั้นแล้ว ในร่างกายของแต่ละคนต่างมีพลังอยู่ เรียกว่าพลังเวทบริสุทธิ์ เป็นพลังที่เข้มข้นกว่าพลังเวทปกติหลายเท่า แต่เพราะมันต้องใช้การฝึกฝนนานนับสิบปี ทำให้ไมค่อยมีใครใช้นัก แต่ถ้าพวกเจ้าเอาออกมาใช้ได้ละก็ ข้ามั่นใจเลยว่าเจ้าต้องเอาชนะเทพได้อย่างแน่นอนสิ้นเสียง ความตื่นเต้นของเหล่าทหารต่างเพิ่มพูนกันอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนที่มายืนที่นี่นั้นล้วนแต่ผ่านการฝึกฝนมามากมายมีหรือที่จะไม่ตื่นเต้นกับหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้า

                    ข้าจะให้เหล่าภูติสอนวิชาลมปราณและเวทบริสุทธิ์ให้พวกเจ้ามาร์คัสว่าพลางเดินออกไปข้างนอก

                    ท่านอาจารย์จะ....

                    ข้าก็จะไปสร้างอาวุธชั้นเลิศให้ทุกท่านยังไงละมาร์คัสพูดก่อนจะหัวเราะหึๆ แล้วเดินหายไป

                    เอาละ ได้เวลาฝึกกันแล้วเสียงของดาร์คทำเอาเหล่าทหารกลืนน้ำลายกันเป็นแถว

                    .

                    .

                    อาจารย์คิดว่าไงครับเสียงของไลท์ทำให้มาร์คัสที่กำลังนั่งมองกองอาวุธตรงหน้าหันมามองลูกศิษ์ของตนช้าๆ

                    มีหวังกว่ารอบที่แล้วคำตอบของมาร์คัสทำให้ไลท์ยิ้มออกมาบางๆ

                    มี 3 คนที่มีพลังมากพอจะเทียมเทพทั้งๆที่ใช้แค่พลังจากจิตวิญญาณแห่งโลก ข้าหวังในตัวทั้ง 3 คนนั้นเหลือเกินมาร์คัสพูดก่อนจะเดินไปหยิบมีดสั้นสีดำมาหนึ่งเล่ม

                    นอกจาก 3 คนนั้นแล้ว ยังมีหลายๆคนที่ฝึกสักหน่อยก็จะเข้าร่องข้ารอย คราวนี้พสกเทพอาจจะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับเลยก็ได้มาร์คัสตอบก่อนจะเลื่อนมือไปหยิบดาบสองเล่มที่มีขนาดด้านแบนใหญ่กว่าปกติ แล้วแล้วแปลกตาพิลึก

                    แถมเจ้าหนุ่มที่มีหน้าตาเหมือนโฟนิมนั่นยังควบคุมพลังได้อย่างละเอียดอ่อนจนน่าตกใจ แม้แต่เทพด้วยกันยังหาผู้ทำแบบนี้ได้ไม่มาก ไม่สิ อาจจะหาไม่ได้ด้วยซ้ำ หากเขาสารถบรรลุปราณชั้นฟ้ากับพลังเวทชั้นสูงได้ละก็ เขาจะกลายเป็นชายหนุ่มที่แม้แต่เทพยังต้องหวาดเกลง

                    พูดอะไรนะอาจารย์ ปราณนั่นนะ แม้แต่ดาร์คเองยังฝึกได้แค่ชั้นสามัญ อาจารย์เองก็เถอะ ยังฝึกได้แค่ชั้นเหนือราชันเลยไลท์ว่าพลางยักไหล่เบาๆ ปราณชั้นฟ้านั่นนะ คนจากยุคก่อนบันทึกเอาไว้ แต่อาจารย์ที่ใช้เวลาฝึกนับแสนปีกลับไม่มีท่าทีจะฝึกสำเร็จเลยสักนิด

                    มันก็น่าลองไม่ใช่หรอไงมาร์คัสพูดเสียงระรื่น ก่อนจะชูมีดสีดำในมือของตนขึ้นสูง

                    บางที คนที่จะใช้ดาบเล่มนี้ได้ก็คงมีแต่เขานั่นละมาร์คัสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเก็บมีดลง ไม่ว่าจะดูมุมไหน ในมือของมาร์คัสก็คือมีดอย่างแน่นอน แต่ทำไมเขาถึงบอกว่าเป็นดาบละ?

                    โอ้ยเสียงร้องของเนสทำให้เรวันและคีย์หันมามองอย่างตกใจ

                    ดีมาก ดเหมือนจะเริ่มเคลื่อนลมปราณเป็นแล้วสินะเจ้าหนูดาร์คว่าพลางยิ้มบางๆ เล่นเอาทั้งเรวินทั้งคีย์รีบเร่งพลังของตัวเองทันที ให้ตายสิ พลังลมปรารนี่มันยังไงกันนะ ไม่เห็นเข้าใจเลย

                    อย่ามัวแต่รีดเร่งพลังเวทแบบเดิมละ เพราะลมปราณคือพลังอีกสายที่อยู่ในร่างกาย ไม่ใช่พลังเวทที่ใช้ตามปกติ ดาร์คว่าพลางมองไปรอบๆ คนที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ตัดคิลและครอสที่บอกเสร็จก็ทำได้เลยไปก็เหลือแค่ แกลน เนส โซล กับจินเท่านั้น

                    สำเร็จเรวินว่าพลาเร่งพลังออกมาช้าๆ แต่ก็โดนดาร์คเคอะหัวเสียเต็มแรง

                    ไอ้เด็กบ้า นั่นมันเวทบริสุทธิ์ไม่ใลมปราณอย่าเร่งพลังผิดสายสิเฟ้ยดาร์คว่า ก่อนจะตีหัวเรวินอีกรอบเล่นเอาเรวินกัดฟันกรอด หนอยแนะ อย่าได้มีเวลาเอาคืนเชีวนะ

                    เข้าที่แล้วสินะครอสถามพลางหันมามองคิล

                    ดูเหมือนจะใช่แค่นี้หรอก วิชานี้ล้ำลึกกว่าที่คิดคิลว่าพลางลองใช้ลมปรารเดินไปตามแขนและขา เมื่อใช้ที่ฝ่าเท้ากลับรู้สึกตัวเบาอย่างประหลาด ใช้ที่แขนก็รู้สึกได้ถึงพลัง เดินพลังไปยังจุดไหนก็มีผลลับแตกต่างออกไป วิช่างล้ำลึกเกินจะหยั่งถึงจริงๆ

                    “อย่างที่ว่านั้นละ พลังปราณของสายอาจารย์มาร์คัสคือวิชาที่เจ้าแห่งวิชาสมัยก่อนได้สร้างขึ้นมา โดยใช้หลักวิชาลมปราณทั้งหมด วิชานี้แบ่งออกเป็น 13 ชั้น ชั้นธุลี ชั้นกรวด ชั้นศิลา ชั้นบลอน ชั้นทองแดง ชั้นเงิน ชั้นทอง ชั้นสามัญ ชั้นวีรชน ชั้นราชัน ชั้นเหนือราชัน ชั้นเหนือคน ชั้นเหนือฟ้า ทั้งหมด 13 ชั้น แต่ละชั้นต่างมีพลังสูงต่างกัน 10 ขั้นเฟรเนกริฟพูดพลางมองคิลกับครอสสลับกัน แค่ 3 ชั่วโมงตลอดการฝึก คิลและครอสกลับทะลุชั้นธุลีมาเป็นกรวดไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนทำได้แบบนี้อยู่ สมแล้วที่เป็นเหล่าผู้คนที่เธอคาดหวัง

                    อีก 3 วันทุกคนจะต้องฝึกฝนให้ได้ชั้นบลอนขึ้นไป ใครไม่ได้ ก็กลับโลกมนาย์ไปซะดาร์คว่าพลางมองไปรอบๆ ใครที่ทำไม่ได้ถึงขั้นนี้ละก็ ไปก็ตายเปล่า อยู่ที่โลกนั่นละดีแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×