ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #36 : [QUEEN] Innocence

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 78
      5
      12 ธ.ค. 62

    Innocence

    [ Q U E E N ]



    Glenview Ice Center

    1/18/2019, 15:15 PM

     

    [...]

    [ผู้กองครับ?]

    "ว่าไงสิบโท"

    [ให้ตายสิ! คุณหายหัวไปไหนมาวะเนี่ย!?]

    ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ปลายสายได้ยิน แต่ก็ไม่สำเร็จ แน่นอนว่าสิบโทไมเยอส์กลับหัวร้อนเสียยิ่งกว่าเก่า แหงล่ะ ก็เขาเล่นหายไปทั้งวันโดยไม่บอกไม่กล่าวเลยนี่ ปล่อยให้ลูกน้องทำงานในโรงเก็บน้ำมันแทน โดยไมเยอส์เองก็ดูไม่ค่อยเต็มใจจะทำงานนั้นเสียเท่าไหร่นัก นายทหารปลายสายปริปากบ่นออกมาไม่หยุด เขาจับใจความอะไรไม่ได้มากไปกว่าเรื่องทิ้งงานให้ลูกน้องทำ ส่วนอย่างอื่นก็เป็นเรื่องเดิมๆ...น่าเบื่อชะมัด

    เฟเธอร์เหยียดขาออกไป เขาพาดเท้าเอาไว้บนพนักเบาะนั่งสีแดงที่อยู่ด้านหน้าตนเอง มือถือวิทยุจัดให้อยู่ในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด ชายหนุ่มถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ขณะเอียงคอไปด้านซ้ายเล็กน้อย ต่อให้เสียงบ่นของสิบโทไมเยอส์จะน่ารำคาญมากขนาดไหน แต่ก็โชคดีที่ในตอนนี้มีสิ่งที่ให้น่าดูชมมากกว่านั้น ผู้กองหรี่ตาลง เขาจ้องมองไปยังร่างบางในชุดคลุมที่กำลังโลดแล่นอยู่บนลานน้ำแข็ง เฝ้ามองยามที่ปลายเท้าทั้งคู่นั้นกระโดดขึ้นสู่อากาศ แล้วร่อนลงแตะพื้นด้วยสัมผัสที่ราวกับขนนก

    [..แถมอีกอย่างท่านนายพลยัง--]

    [เดี๋ยวนะ]

    [ยังอยู่มั้ยเนี่ยครับผู้กอง?]

    "ยังอยู่"

    [เงียบมากเลยนะ คุณอยู่ไหนน่ะ]

    "ลานน้ำแข็ง...เกล็นวิลล์"

    [ขอโทษนะ แต่คุณไปทำบ้าอะไรที่นั่นวะครับ?]

    ทันใดนั้นปลายสายก็เงียบไป รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบริเวณมุมปากของเฟเธอร์ ท่าทางสิบโทคงจะรู้เหตุผลแล้วว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ผู้กองหนุ่มไ้ยินเสียงหัวเราะชวนให้รู้สึกขนลุกดังขึ้นตามคลื่นวิทยุ แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดขำไม่ได้ ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังการแสดงบนลานกว้าง เขาเริ่มสานต่อบทสนทนากับไมเยอส์อีกครั้ง

    "ใช่..."ชายหนุ่มตอบพลางพยักหน้า"คุณคิดถูกแล้วล่ะสิบโท"

    [อะไรนะ? ควีนอยู่นั่นเหรอ?]

    [พระเจ้า! ขี้โกงนี่หว่าไอ้ผู้กอง!!]

    "พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง"

    [ไม่รู้เรื่อง? ก็คุณเล่นเอา...]

    [ให้ตายสิ! คุณกลายเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของเธอไปได้ยังไงกัน!?]

    จุดๆ นี้ไมเยอส์คงจะแหกปากร้องว่า 'อิจฉาโว้ย' อยู่ในใจเป็นแน่ แต่ต่อให้สิบโทหนุ่มผู้นั้นจะตายเพราะความรู้สึกของตนเอง มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกังวลเลยสักนิด เฟเธอร์อยากจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาซะให้ลั่น แต่อีกใจก็กลัวว่าจะทำให้นักกีฬาสาวสะดุ้งแล้วเผลอลื่นล้มระหว่างการแสดง เขาถึงทำได้แค่นั่งอมยิ้มอยู่เงียบๆ บนที่นั่งชมแบบในตอนนี้

    "โชคดีละมั้ง?"ผู้กองหนุ่มหัวเราะ"อิจฉาล่ะสิ"

    [อิจฉาอะไร?]

    [ไม่อิจฉาเลยครับ]

    [ไม่เลยสักนิด!]

    "โกหก"

    [โอเคก็ได้! อิจฉาฉิบหายเลยโว้ย!]

    [พอใจยังครับ?]

    "ก็แค่นั้นแหละ รายงานมาหน่อย ที่ค่ายเป็นไงบ้าง"

    [ก็มีงานของโควาสกีนั่นล่ะครับ เป็นปฏิบัติการ...หรืออะไรสักอย่าง ได้ยินคนในค่ายเขาว่ากันแว่วๆ]

    ปฏิบัติการ? ท่านนายพลคิดจะทำอะไรอีกแล้วล่ะสิเนี่ย? ต่อให้จะไม่อยากมีส่วนกับเรื่องพวกนี้ แต่ในฐานะทหารคนหนึ่งเขาก็จำเป็นที่จะต้องได้รับข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจทั้งหมดในกองทัพ ถึงแม้ว่าภารกิจพวกนั้นจะแลดูไร้สาระมากแค่ไหนก็ตามในสายตาทหารอย่างเขา ร่างสูงถอนหายใจยาว แววตาฉายให้เห็นความเบื่อหน่ายชัดเจน เขาไม่ได้ยินเสียงของไมเยอส์แล้ว บรรยากาศกลับมาเงียบสงบเช่นเดิม ชายหนุ่มตัดสินใจทอดสายตามองไปยังลานกว้างตรงหน้าอีกครั้ง

    ควีนยังคงสนุกสนานอยู่บนลานสกีที่ไร้ผู้คน แสงไฟที่ส่องลงมาจากเพดานทำให้บริเวณนั้นสว่างกว่าปกติ ในขณะที่ตรงที่นั่งคนดูกลับมืดราวกับอยู่ในโรงละคร หญิงสาวดูท่าทางมีความสุขเสียเหลือเกิน ขาทั้งสองข้างก้าวไปบนลานน้ำแข็งอย่างมั่นคง และพลิ้วไสววาดลวดลายชวนให้จับตามอง เสียงรองเท้าสเก็ตขูดลากกับพื้นดังกึกก้องไปทั่ว พร้อมกันนั้น เสียงหัวเราะของเธอก็ดังขึ้นเป็นบางช่วง 

    ถ้าจะให้พูดในฐานะคนชม เขาคิดว่าควีนเล่นกีฬา 'สเก็ต' นี่ได้ค่อนข้างชำนาญเลยทีเดียว เขาไม่เคยได้ไปดูฟิกเกอร์สเก็ตที่ไหนมาก่อน บางทีอาจจะมีคนที่เล่นเก่งมากกว่านี้ แต่สำหรับเขา...เฟเธอร์กระพริบตา มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไปพาดกับเบาะนั่งข้างๆ อย่างสบายใจเฉิบ สำหรับเขาแล้ว ควีนคือนักกีฬาฟิกเกอร์สเก็ตที่เก่งและมีประสบการณ์ที่สุด และวันนี้คงจะเป็นวันดีมากที่เขาได้ดูฝีไม้ลายมือของหญิงสาวผู้นั้นแบบติดขอบสนาม ในขณะที่มีคนอีกหลายคนอยากจะมาดูแต่ก็ไม่มีโอกาส

    อย่างเช่นไมเยอส์...เป็นต้น

    [ให้ตายสิ ทำไมโลกไม่ยุติธรรมเลยวะ]

    [ผู้กอง คุณไม่รู้หรอกว่าผมไปไล่หาซื้อบัตรเข้าชมนานแค่ไหนน่ะ แต่อยู่ๆ...คุณก็ได้นั่งที่วีไอพีเฉย ไหนว่าทุกคนเท่าเทียมไง!]

    "หยุดบ่นแล้วไปทำงานซะสิบโท"เฟเธอร์เอ่ยเสียงเรียบ"แล้วอีกอย่างนึงนะ...ทฤษฎีของคาร์ล มาร์กซ์ไม่ใช่ว่าจะได้ผลเสมอไปหรอก"

    [ไม่เอาน่า ผมรู้จักคุณมาตั้งแต่อยู่เวสต์พอยท์นะเฮ้ย]

    "ก็ไม่รู้สิ สรุปรายงานมีแค่นั้นใช่มั้ย ผมขอตัวนะ"

    [ฮ...เฮ้ย! เดี๋ยว!]

    แล้วสัญญาณก็ขาดหายไป

    อันที่จริงแล้วการทำแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหรนัก โดยเฉพาะกับในทางทหาร แต่ยังไงซะเขาก็เป็นไอ้พวกนอกคอกมาตั้งนานแล้วนี่? แล้วอีกอย่างการใช้วิทยุระหว่างที่มีการแสดงเนี่ยมันก็เป็นอะไรที่เสียมารยาทแบบสุดๆ ควีนเองก็คงคิดแบบนั้น เขาน่าจะสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่าเธอกำลังยืนจ้องมองมาอยู่ นัยน์ตาสีอ่อนคู่สวยฉายแววอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกับความหงุดหงิด สีหน้าของหญิงสาวทำให้ผู้กองหนุ่มถึงกับหัวเราะ

    เฟเธอร์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขาก้าวเท้าตรงไปยังขอบลานสเก็ตก่อนจะหยุดอยู่ตรงรั้วล้อม สายตากวาดมองบริเวณกว้างที่เต็มไปด้วยสีขาวใสสะอาด มีรอยลากเป็นทางยาวปรากฏอยู่รอบสนามรูปวงกลม แสงไฟนีออนทำให้ลานน้ำแข็งดูราวกับฉากอันแสนว่างเปล่า เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในโรงละครเวที ที่มีตัวเอกเป็นควีนคนเดียว ส่วนเขา...เป็นแค่ผู้เข้าชม

    "ไม่มีมารยาทเลยนะ"หญิงสาวกล่าว"ใครเขาคุยโทรศัพท์ตอนดูสเก็ตกัน"

    "งานด่วนนะ ผมคงต้องรีบกลับค่าย"

    ควีนเลิกคิ้ว

    "จะไปแล้วเหรอ?"

    "ยังหรอก ท่านนายพลรอได้ล่ะน่า"

    ทั้งคู่เงียบไปพักใหญ่ จนกระทั่งร่างบางนั่นผลักตัวออกไปจากเขาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ควีนโลดแล่นไปบนลานน้ำแข็งกว้างอีกครั้ง มือทั้งสองข้างกุมประสานเอาไว้ เธอก้าวเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ร่างกายไหลลื่นไปตามพื้นที่ที่ไร้แรงเสียดทาน ในหัวเต็มไปด้วยความคิดหลายอย่าง ส่วนมากก็เรื่องที่เกิดขึ้นในซีโรโซน น้ำมันของแอตลาสต์ที่อยู่ๆ ก็ตกไปอยู่ในมือของพวกสวีปเปอร์ ทุกอย่างมันแลดูสับสนไปหมด

    แล้ว..จะเอาไงต่อดีล่ะ? เธอไม่แน่ใจว่าเฟเธอร์คิดแผนอะไรเอาไว้ เพราะเขาไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย ตลอดการเดินทางมายังเกล็นวิลล์ช่างเงียบสงัด แต่มันก็คงดีแล้ว เพราะเธอเองก็ไม่อยากคิดอะไรชวนปวดหัวตอนอยู่ในลานน้ำแข็ง

    ควีนยังคงไสเท้าไปอย่างชำนาญและรวดเร็ว ขณะนั้นเองร่างสูงในเครื่องแบบก็ค่อยๆ ก้าวเดินออกมาด้านนอกที่นั่งคนดู จนกระทั่งพื้นรองเท้าคอมแบตสัมผัสกับแผ่นน้ำแข็งเบื่องล่าง เฟเธอร์ชะงักนิ่ง เขาไม่แน่ใจว่าพื้นนี่จะรับน้ำหนักของตนเองไหวหรือไม่ แต่ในทันทีที่ลองก้าวเดินอย่างช้าๆ เสียงกรอบแกรบอะไรบางอย่างก็ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วลองลดน้ำหนักปลายเท้าลง โชคดีที่น้ำแข็งนั้นไม่ทะลายโครมแบบที่คิด แต่ระวังไว้หน่อยก็ดี

    "คุณไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองเลยนะคะ"

    เสียงใสของหญิงสาวทำให้นายทหารหนุ่มเงยหน้าขึ้น ความกังวลเรื่องน้ำแข็งใต้รองเท้าหายไปเป็นปลิดทิ้ง เฟเธอร์หัวเราะในลำคอเบาๆ มือทั้งสองล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงลายพราง เสียงรองเท้าบูทดังขึ้นเป็นจังหวะช้าๆ ตอนเขาก้าวเดิน ควีนยังคงกวาดสายตามองมาขณะเคลื่อนที่วนไปรอบตัวเขาด้วยรองเท้าสเก็ต

    "ก็คุณไม่เคยถาม"

    "ฉันไม่ถามเพราะมันเสียมารยาทต่างหาก"

    "นั่นสิ เรื่องส่วนตัวละเนอะ?"

    "คราวนี้ฉันถามได้รึยังล่ะ"

    "นึกอะไรถึงอยากเสียมารยาทถามเรื่องแบบนั้นได้ล่ะ"

    ควีนหัวเราะแห้งๆ เธอชะลอความเร็วปลายเท้าลงจนอยู่ในระดับที่พอเหมาะแล้ว หลังจากนั้นร่างบางก็กระโดดขึ้น เท้าของเธอลอยอยู่กลางอากาศชั่วคราว ในจังหวะนั้นควีนก็หมุนตัวเป็นวงกลมไปรอบหนึ่ง การเคลื่อนไหวคล้ายกับบัลเลต์แต่ดูสวยงามกว่า เฟเธอร์ปรบมือชื่นชมความสามารถของหญิงสาวเบาๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะไถลเท้าผ่านหน้าไป

    "เก่งดีนี่"

    "แน่นอนอยู่แล้ว"เธอยักไหล่"เป็นถึงเจ้าของฉายาควีนมันก็ต้องมีลูกเล่นบ้าง"

    "งั้นเหรอ? คนมีฉายาทุกคนจะต้องมีลูกเล่นด้วยรึไง?"

    "ฮ่าๆ ไม่รู้สิ แล้วคุณล่ะ"

    เฟเธอร์ยกมือขึ้นชี้ขนนกบนหมวกของเขา ควีนหัวเราะ

    "ฉันไม่ได้หมายถึงเครื่องประดับ ความสามารถต่างหาก"

    "ไม่มี เดี๋ยวนะ..กีตาร์ละมั้ง"

    "จริงเหรอ!? กลับไปเล่นให้ฉันฟังบ้างสิ"

    "ไม่ล่ะ ผมขอผ่าน"

    ท่าทางเธอจะรู้สึกเสียดายอยู่พอควร ถ้าให้เดาควีนคงอยากเห็นฝีมือที่ว่านั่นของเขาสักวันหนึ่ง แต่ก็คงได้แค่ฝันไปก่อน เพราะตอนนี้ในห้องพักของเขาไม่มีอะไรเลย ต่อให้จะบอกว่าเล่นกีตาร์เป็น แต่สุดท้ายฝีมือก็อาจจะตกไประดับพวกหัดเล่นแล้วก็ได้ 

    ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ สองเท้าก้าวต่อไปบนพื้นที่กว้างสีขาว แสงไฟนีออนเหนือศีรษะสาดส่องลงมา ความหนาวเย็นกับความสงบทำให้ที่นี่ดูบรรยากาศดีเสียเหลือเกิน แต่มันติดที่เงียบมากไปหน่อย มันชวนให้รู้สึกกดดันชอบกล แต่ควีนคงไม่คิดแบบเขาในตอนนี้ เธอไม่สนอยู่แล้วว่าในสนามจะเงียบหรือจะมีคนชมมากแค่ไหน สิ่งเดียวที่ต้องการมีแค่ตนเองกับรองเท้าสเก็ตสักคู่ แค่นั้นก็พอทำให้หญิงสาวคนนี้มีความสุขไปมากโขแล้ว

    ร่างบางยังคงลื่นไถลต่อไปเรื่อยๆ เสียงพื้นรองเท้าลากขูดดังลากยาว แต่ก่อนที่จะได้เคลื่อนที่ผ่านนายทหารหนุ่มไป พลันอะไรบางอย่างก็เอื้อมเข้ามาฉุดมือเอาไว้เสียก่อน ควีนสะดุ้งเฮือก ดูเหมือนว่าจะสูญเสียการควบคุมของร่างกายไปชั่วขณะหนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตนเองหยุดชะงักอยู่กับที่ ท่ามกลางลานกว้างที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและความหนาวเหน็บ หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปยังร่างที่สูงกว่า

    เฟเธอร์ยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาสีฟ้าเข้มไปไม่ฉายแววอะไรขณะจ้องมองลงมาที่เธอ สัมผัสอันแข็งแกร่งที่อยู่ตรงเอวคือสิ่งเดียวที่รับรู้ได้ในตอนนี้ เขากุมมือข้างหนึ่งของควีนเอาไว้ ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากสีดำยังไม่ละสายตาไปจากหญิงสาว จนกระทั่งแก้มทั้งสองของเธอเริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อ

    ควีนเบือนหน้าหนี"อ..อะไรเหรอ?"

    "ก็อยากรู้ไม่ใช่รึไงว่าผมมีลูกเล่นอะไรบ้าง"

    "...แล้ว?"

    "ก็นี่ไง"

    หญิงสาวกัดฟันแน่น ตอนนั้นความรู้สึกร้อนๆ ก็กระจายไปทั่วทั้งใบหน้า มือทั้งคู่สั่นระริก เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นแต่...ควีนสูดลมหายใจ ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับนายทหารทหารหนุ่มอีกครั้ง แน่นอนว่าเฟเธอร์ยังจ้องมองมาเช่นเดิม แถมในดวงตาสีเข้มคู่นั้นก็ฉายแววที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันแปลกประหลาดพอจะทำให้เธอใจสั่น

    ร่างบางยังคงยืนนิ่งขณะรับรู้ได้ถึงสัมผัสบางอย่าง มือใหญ่ข้างนั้นค่อยๆ ยกขึ้น ก่อนจะสัมผัสกับผิวหนังบนแก้มเนียนอย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วที่ถูกปกป้องด้วยถุงมือทหารปัดเส้นผมสีบลอนด์ออกไป เพื่อให้ได้มองเห็นใบหน้าของหญิงสาวได้ชัดเจนขึ้น ควีนสบกับดวงตาคู่เดิมอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายมันยังไง เฟเธอร์เป็นทหาร ดังนั้นมันก็ไม่แปลกหรอกที่ดวงตาของเขาจะแลดูน่ากลัวผิดปกติ แต่ในตอนนี้มันกลับ...อ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ 

    และมันทำให้เธอรู้สึกดีอย่างไม่น่าเป็นไปได้

    "คุณใจอ่อน"ชายหนุ่มกระซิบ เขาสองมือลงบนแก้มข้างขวาของเธอเบาๆ"ผมพูดถูกหรือเปล่า?"

    "...ก็..คงงั้นละมั้ง"

    "เป็นกับทุกคนมั้ยล่ะ"

    เขาเว้นวรรคเล็กน้อย นัยน์ตาสีฟ้าเข้มสะท้อนใบหน้าของหญิงสาวชาวเอเชีย เรือนผมหยักศกสีบลอนด์ทองของเธอพลิ้วไสว มันแลดูจะโอนอ่อนไปตามความรู้สึกของควีน

    "...หรือแค่กับผม?"

    "ฉันไม่รู้"

    ควีนก้มหน้า เธอไม่อยากพูดถึงความรู้สึกในตอนนี้ของตนเอง อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร ระหว่าง..ความสุขกับความประหม่า ไม่เคยมีใครทำให้เธอแก้มแดงเพราะเรื่องแบบนี้ อาจจะไม่มีเลยก็ได้ ยังไงซะมันก็เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงอยู่ดีล่ะ ใครจะไปรู้บ้างว่าคนแรกที่ทำให้ใจเต้นได้ถึงขนาดนี้...จะเป็นนายทหารอย่างเขา

    "คุณอ่อนโยน...ไร้เดียงสา"เฟเธอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล"แต่โชคร้ายที่ดันต้องมาตกนรกทั้งเป็นในเมืองนี้"

    เธอไม่พูดอะไรตอบ

    "เรื่องน้ำมันนั่น ผมไม่คิดว่าจ่าเบเกอร์จะลงมือจัดการทุกอย่างตัวคนเดียว"

    "หมายความว่าไง?"

    "ต้องมีใครอีกคนคอยหนุนหลังเขา"

    ชายหนุ่มเว้นวรรค

    "...และผมพอจะรู้ว่าเป็นใคร"

    คำพูดนั้นจบลง ในที่สุดนายทหารหนุ่มก็ปล่อยร่างของเธอให้เป็นอิสระ ควีนพยุงตัวให้อยู่กับที่อย่างมั่นคง ใบหน้ายังมองไปยังเฟเธอร์ไม่หยุด มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในประโยคสุดท้ายของเขา หมายความว่ายังไงน่ะเหรอ? เขาจะออกไปตามล่า 'คนทรยศ' อีกคนอย่างนั้นใช่มั้ย?

    "คุณจะ..."

    "ใช่ ผมจะไปตามหามัน"

    "ให้ฉันไปด้วย"

    "ขอโทษนะ แต่งานนี้ต้องฉายเดี่ยว"

    เฟเธอร์เอ่ยตัดความเป็นหวงอย่างไร้เยื้อใย มันเหมือนกับ...เอาเข็มมาทิ่มแทงหรืออะไรสักอย่าง จริงอยู่ที่เธอจะรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกอีกฝ่ายทอดทิ้ง เขาอาจจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงและทำอะไรไม่ได้ ทั้งที่ในความจริงเธอก็อยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยใจแทบขาด แต่เฟเธอร์กลับบอกปัดง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ? ควีนก้มหน้าลง ความรู้สึกก่อนหน้านี้มลายหายไปจนสิ้น มันแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน ชวนให้รู้สึกเคว้างคว้างอย่างไม่อาจอธิบายได้

    หรืออาจจะเป็นเพราะว่า...

    "ทำไมล่ะ"

    คำถามนั่นทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก เหลืออีกแค่ก้าวเดียวก็จะพ้นขอบสนามอยู่แล้ว เฟเธอร์ถอยหายใจ เขาค่อยๆ หันหลังกลับไปเผชิญกับหญิงสาวผู้นั้นอีกครั้ง ท่าทางควีนจะยังคงสับสนในสิ่งที่เขากำลังสื่อ เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด

    "คุณ..."เขาลากเสียง ไม่อยากทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายก็จริงแต่มันช่วยไม่ได้"...คุณไร้เดียงสา แถมยังอ่อนโยนจนเกินไป งานนี้มันไม่เหมือนกันนะควีน ถ้าพลาด...คุณจะตาย"

    "แค่นั้นเหรอ? ฉันเจออะไรมามากพอแล้วตั้งแต่อยู่ที่นี่ ฉันอยากจะล้างโคตรพวกสวีปเปอร์ พวกคาร์เทล พวกชั่วทั้งหลายให้หมดไปจากซีโรโซน แต่--"

    "ผมไม่อยากเสียคุณไป"

    หญิงสาวชะงักนิ่ง ความรู้สึกทุกอย่างมันผสมกันจนมั่วไปหมด เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอะไรก่อนดีระหว่างเศร้า ผิดหวัง โกรธ หรือสับสน ควีนขมวดคิ้ว รับรู้ได้ถึงความกดดันที่ถาโถมลงมาอย่างไม่อาจต้านทาน ขณะที่ยังจับจ้องไปยังใบหน้าภายใต้หน้ากากของนายทหารหนุ่ม เธอมองเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ในแววตาคู่นั้น

    ...มันคือสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด

    กว่าจะได้รับรู้คำตอบที่แท้จริงของเขา ไม่นานับจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกรอบ นายทหารหนุ่มส่ายหน้า มือทั้งสองขนาบข้างลำตัว สายตายังคงแฝงไปด้วยความรู้สึกเช่นเดิม ควีนไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ก็จริง แต่ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างจะชัดเจนเลยก็คือ...เฟเธอร์ไม่อยากให้เธอมายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ มันไม่ใช่แค่น้ำมันที่หายไป ตอนนี้มันเป็นเหมือนกับเรื่องชวนคอขาดบาดตายที่สุดในแอตลาสต์ และมันก็อันตรายกับคนที่ไม่รู้อะไรอย่างเธอมาก

    ร่างสูงสัดทัดในเครื่องแบบเริ่มแสดงอาการบางอย่าง เขายกมือขึ้นลูบหน้า ท่าทางดูสับสนและเหน็ดเหนื่อย แต่มันกลับทำให้ควีนเป็นฝ่ายที่กังวลเสียอย่างนั้น หญิงสาวยังคงยืนทรงตัวอยู่กลางลานน้ำแข็ง สิ้นคำพูด พยายามขบคิดอะไรหลายอย่างที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึง แม้มันจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม

    "ผมจะรออยู่ข้างนอก"เฟเธอร์เอ่ย ริมฝีปากภายใต้หน้ากากสีดำกระตุกขึ้นเล็กๆ"...ถ้าเล่นจนพอใจแล้ว ก็กลับไปที่รถนะ"

    "จะไปง่ายๆ แบบนี้เลยรึไง?"

    เขาเลิกคิ้ว คำพูดของควีนอาจจะฟังดูตะกุกตะกัก แต่อย่างน้อยความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดออกมาต่อจากนั้นก็ยังมั่นคง เธอกุมประสานมือทั้งสองเอาไว้ มันยังคงเย็นเฉียบแม้จะถูกสวมทับด้วยถุงมือหนา

    "หมายความว่าไง"เขาถาม

    "ก็หมายความว่า...คุณ..."

    ต่อจากนี้เธอต้องรวบรวมความกล้า

    "...เฟเธอร์ ฉันรู้ดีว่าเรื่องนั้น...มันอันตรายมากแค่ไหน"ควีนพยายามอธิบาย ในขณะนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงยืนเงียบ"แต่ถ้าคุณมีปัญหา อย่างน้อยฉันก็อยากจะช่วย"

    ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง

    เสียงสายลมพัดผ่านช่องระบายอากาศดังเสียเหลือเกิน มันทำให้บรรยากาศในลานสเก็ตแห่งนี้แลดูน่ากลัวกว่าปกติ แสงไฟสว่างยังคงสาดกระทบลงบนร่างในชุดเสื้อคลุม เส้นผมสีบลอนด์ทองขยับเล็กน้อยตอนเธอส่ายหน้า ควีนกำหมัดแน่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยส่องประกายความหวังอย่างชัดเจน ในใจต้องการจะได้ยินคำตอบตกลงจากอีกฝ่าย แม้ในเวลานั้นเฟเธอร์จะยังคงเงียบ ใบหน้าที่ถูกปกปิดแสดงอะไรบางที่ดูไม่น่าเข้าใจ

    ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น น่าแปลกที่เจ้าของเสียงกลับกลายเป็นบุคคลตรงหน้า ควีนชะงัก หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสับสน เธอจ้องมองใบหน้าของนายทหารหนุ่มผู้นั้น เขาส่ายหน้าไปมา ราวกับกำลังรู้สึกช่วยไม่ได้ในความตั้งใจของเธอ ในความเป็นจริงควีนก็อาจจะพูดถูกก็ได้ เขามีปัญหา แถมยังใหญ่มากเสียด้วย อย่างน้อยก็น่าจะมีใครสักคนคอยหนุนหลังเอาไว้ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น 

    ควีนเองก็...เขาชอบเธอนะ เป็นผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่น ฉลาด มีความสามารถ ใจเย็น เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แตกต่างจากเขาลิบลับ และนั่นก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยกั้นขวางเขากับเธอเอาไว้ แต่ตอนนี้--ชายหนุ่มก้มหน้าลง ในใจคิดทบทวนซ้ำไปมาถึงความช่วยเหลือที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาให้

    ...เขาอยากจะขอโทษเธอเสียเหลือเกิน

    เพราะเขาคงรับมันไว้ไม่ได้อีกต่อไป



    CARTEL Camp

    1/18/2019, 22:34 PM


    มาเรียนั่งกอดอกอยู่ในห้องบัญชาการ

    ดวงตาสีฟ้าคู่สวยมองตัดผ่านความมืดไปยังประตูห้อง ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ห้อมล้อมรอบกาย หญิงสาวไม่เอ่ยหรือแสดงปฏิกิริยาใดๆ แม้ด้านนอกอาคารจะไม่สงบเท่าที่ควร เหล่าอาชญากรทั้งหลายส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก บ้างก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาดีดแล้วร้องเพลง น่ารำคาญเสียจริง แต่อย่างน้อยเธอก็มีความอดทนมากพอสำหรับเรื่องแบบนี้ ต่อให้พวกข้างนอกนั่นจะเห่าหอนดังมากแค่ไหน มันก็ไม่ได้ทำให้เสียสมาธิไปเลยแม้แต่น้อย

    เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังรอใครบางคนอยู่ ร่างบางก้มหน้าพลางหลับตา จินตนาการถึงสิ่งต่างๆ เอาไว้ในหัว แสงลุกวูบวาบของเปลวเพลิงที่อยู่ด้านนอกสาดเข้ามาในห้อง ดวงจันทร์ถูกบดบังเข้าไปหลังกลีบเมฆ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงทอแสงสลัวลงมา แสงสีเงินอ่อนนั่นกระทบลงบนร่างของเธอ มาเรียลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประกายความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้น แม้จะแค่ครู่เดียว แต่ก็ชัดเจนมากพอในการตีความ

    ...เธอก้าวมาอยู่ในจุดนี้จนได้

    ในที่สุดเธอก็เป็นผู้นำของคาร์เทล ต้องขอบคุณเพียร์ซที่ช่วยกำจัดไอ้รัสเซียนั่นไปให้พ้นทาง เพราะเขา...การขึ้นมาบนจุดสูงสุดจึงกลายเป็นเรื่องง่าย ถึงแม้ว่าจะต้องสละชีวิตมือดีไปก็ตาม หญิงสาวสูดลมหายใจ มือซ้ายเอื้อมออกไปด้านหน้าราวกำลังกำลังไขว่คว้าบางสิ่ง ในห้องนี้ไม่มีแสงไฟ แต่เธอก็พอจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ในมือชัดเจนบ้าง มาเรียคลี่ยิ้ม ขณะนั้นเธอค่อยๆ แกะแผ่นกระดาษในมือ

    ตัวอักษรมากมายเรียงรายกันเป็นข้อความ นับได้ประมาณสี่ถึงห้าบรรทัด ทั้งหมดนั้นถูกเขียนด้วยหมึกปากกาสีดำสนิท ด้านล่างข้อความมีวันที่ถูกบันทึกเอาไว้ พร้อมกับลายเซ็นต์ที่กำกับอยู่ด้านบน เธอนั่งอ่านข้อความนั้นสักครู่หนึ่ง ในใจนับถอยหลังช้าๆ 

    อีกไม่กี่วินาทีต่อจากนี้เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น

    แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

    ก็อกๆๆ

    "เชิญ"

    พลันประตูบานนั้นก็เปิดออก ผู้มาเยือนคนแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องคือสมาชิกคนหนึ่งที่เธอรู้จัก เขาชื่อโรเบิร์ต แถมยังเป็นคนสนิทคนเดียวที่มาเรียไว้ใจมากที่สุด โรเบิร์ตเป็นอาชญากรผู้ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต เขาหนีออกมาได้ในช่วงที่เกิดความวุ่นวายพร้อมกับคนอื่นๆ เขาเป็นชายผมสั้นสีน้ำตาล ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา มาดเข้ม สวมเสื้อคลุมหนังสีดำอยู่ตลอดเวลา ต่อให้ชายหนุ่มจะยืนอยู่ในความมืด ทว่ามาเรียก็ยังพอจะคุ้นเคยกับสายตานิ่งสนิทนั่นอยู่บ้าง

    แต่อีกคน...เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แม้กระทั่งในตอนนี้ชายคนนั้นก็ยังคงปกปิดตนเองเอาไว้ เขาสวมเสื้อคลุมตัวหนา มีหมวกฮู้ดอยู่บนศีรษะ ขากางเกงสีเข้มมีรอยเปื้อนจากการเดินทาง บุคคลปริศนาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจถอดหมวกฮู้ดออก สิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้น..ผู้นำของคาร์เทล

    มาเรียประสานมือเอาไว้บนโต๊ะวางแผน รอยยิ้มปรากฏบริเวณมุมปาก

    "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ...ท่านนายพล"

    หญิงสาวเอ่ยทักทายด้วยความเป็นกันเอง แต่แทนที่จะทำให้รู้สึกสบายใจ มันกลับทำให้เขาประหม่าเสียยิ่งกว่าเก่า ร่างสูงยกมือขึ้นมากอดอก ดวงตาจับจ้องไปยังเจ้าของเสียง ในขณะนั้นลูกน้องคนสนิทของมาเรียก็เริ่มหลีกทางให้ทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน ท่านนายพล...โควาสกี เขาดูท่าทางสั่นๆ แม้ตนเองจะเป็นถึงผู้นำของแอตลาสต์ แต่การมาเหยียบในฐานทัพศัตรูเพียงตัวคนเดียว..มันกลับทำให้รู้สึกแตกต่างออกไป ราวกับว่าในการมาเยือนครั้งนี้เคลือบแฝงบางสิ่งเอาไว้อยู่

    "มาเรีย"

    "มีธุระไรหรือเปล่าคะท่าน?"

    ในคราวแรกเขาไม่ตอบ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกกดดันทำให้ปากแข็งจนพูดไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเองเขาก็รู้เหตุผลว่าทำไมถึงต้องมาที่นี่ ใจกลางเมืองเป็นเขตอันตรายในซีโรโซน มันคือที่สุมหัวของไอ้พวกฆาตกรคาร์เทล และแน่นอนว่าเป็นเขตต้องห้ามของเหล่าทหารในกองทัพแอตลาสต์เช่นกัน นายทหารผู้อาวุโสหยุดนิ่งเพื่อคิดคำตอบ ระหว่างนั้นเองมาเรียก็ยังคงจับจ้องมองมา

    "เมื่อไหร่คุณจะทำตามข้อตกลงของเราสักที"น้ำเสียงของท่านนายพลแข็งกร้าว

    "คุณดั้นด้นมาซะไกลเพื่อทวงข้อตกลงเนี่ยนะ?"

    เขาไม่ตอบ ทว่านัยน์ตาสีเข้มคู่นั้นกลับสะท้อนความคิดออกมาชัดเจนเสียเหลือเกิน ันัดเจนทำให้มาเรียถึงกับหัวเราะออกมาอีกครั้ง แม้ในครั้งนี้มันจะไม่น่าขำขันเท่าที่ควรก็ตาม

    "ผมทำตามที่บอกแล้ว"โควาสกีกระแทกเสียงเล็กน้อย"ผมส่งน้ำมันให้พวกคุณมาตลอด แต่คุณกลับ...ไม่คิดจะทำอะไรเนี่ยนะ!?"

    "ใจเย็นๆ ค่ะท่าน อันที่จริง ดิฉันติดต่อไปยังทางการเรียบร้อยแล้วค่ะ"

    "แล้วไง"

    "จะมีเฮลิคอปเตอร์มารับคุณในเร็ววันนี้..."เธอลากเสียง"อิสระจะเป็นของคุณ"

    คำพูดนั้นทำให้รู้สึกชื้นใจขึ้นมาได้ชั่วคราวก็จริง แต่เดี๋ยวนะ...เร็ววันนี้งั้นเหรอ? ฌควาสกีขมวดคิ้วด้วยความสับสน จำไม่เห็นได้เลยว่ามาเรียจะแจเงเรื่องนี้เอาไว้กับเขาปล้ว ถ้าคิดไม่ผิด เธอบอกจะทำตามที่เขาสั่งทันทีเใื่อได้ของครบ ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นไปตามนั้นแล้ว แต่...

    ชายฉกรรจ์สูดลมหายใจ รู้สึกฉุนกึกอย่างบอกไม่ถูก

    "ผมอยากไปจากที่นี่! แต่คุณทำเหมือนเรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น!"

    "ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น ก็ส่งของมาให้ฉันเพิ่มสิ"

    โควาสกีชะงักงัน นายทหารชั้นสูงขมวดคิ้วอย่างสับสนในคำพูดของเธอ มาเรียกระตุกยิ้มมุมปาก หญิงสาวส่งสัญญาณบอกให้โรเบิร์ตออกไปรอข้างนอก ราวกับว่าบทสนทนาต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเธอต้องการให้ท่านนายพลผู้นำฟังมันอย่างตั้งใจ อาชญากรหนุ่มพยักหน้า เขาหยิบปืนลูกซองขึ้นพาดบนบ่า ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกห้องบัญชาการตามคำสั่ง ทิ้งให้ผู้นำของตนเองอยู่ตามลำพังกับนายทหารแห่งกองทัพแอตลาสต์

    นัยน์ตาสีฟ้าฉายประกายในความมืดมิด หญิงสาวจ้องเขม็งไปยังบุคคลสำคัญเบื้องหน้า ในขณะนั้นอีกฝ่ายก็ดูมีท่าทางวิตกกังวลมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อ ถึงแม้อากาศหนาวเหน็บจะทำให้มันเย็นจนเกือบจะเป็นน้ำแข็งแล้วก็ตาม ชายในเครื่องแบบลายพรางจับจ้องกลับมา ดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังในคำตอบของเธอจริงๆ และความคิดนั่นก็ทำให้มาเรียเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมา หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอนหลังลงบนพนักพิงเก้าอี้

    "คุณหมายความว่าไง"ท่านนายพลถามเสียงแข็ง

    "ก็หมายความตามที่บอกล่ะค่ะ ถ้าคุณส่งของมาให้ฉันเพิ่ม ฉันก็จะเร่งเวลาให้"

    "ไร้สาระ คุณคิดว่าการลักลอบเอาน้ำมันมาให้พวกคาร์เทลมันง่ายขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ? เหอะ--คุณไม่รู้หรอกว่าพวกทหารนั่นมัน..."

    "เรื่องนั่นไม่ใช่ปัญหาของดิฉันเลยค่ะ"

    หญิงสาวคลี่ยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับทำให้เขารู้สึกเคร่งเครียดกว่าเดิม โควาสกีตกอยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่อยากส่งน้ำมันให้พวกนี้เพิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นน้ำมันในส่วนของเฟเธอร์ ต่อให้ไอ้หมอนั่นจะเป็นลูกชายแท้ๆ แต่หัวแข็งขนาดนั้นต่อให้เขาจะเป็นพ่อก็คงไม่สนใจ เฟเธอร์ตามล่าทุกคนที่มายุ่งกับน้ำมันของแอตลาสต์ นั่นเป็นสิ่งที่เขารู้สึกวิตกที่สุด

    แต่ถ้าเอาของมาส่งอีก แค่จำนวนเดียว เขาก็จะได้ออกไปจากดินแดนนรกนี่เร็วขึ้น เขาอยากจะชวนลูกชายมาด้วย แต่หมอนั่นคงไม่ยอมแน่ ยิ่งถ้าให้ร่วมมือกับคาร์เทลก็ยิ่งแล้วใหญ่ แล้วควรจะทำยังไงดีล่ะ? ท่านนายพลนิ่งคิด ความสับสนบวกกับบรรยากาศความกดดันทำให้หัวไม่ค่อยแล่น ยิ่งไปกว่านั้นคือมาเรีย นางโจรนั่นทำให้เขารู้สึกอยากจะอ้วก สายตาชั่วร้ายนั่นยังคงจับจ้องมองมาทุกขณะ สงสัยแม่นี่คงจะอยากได้น้ำมันไปอาบจนตัวสั่นแล้วล่ะมั้ง?

    ...โควาสกียังคงเงียบ

    จนในที่สุด เขาก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองเลือก ไม่ใช่เพื่อกองทัพ ในตอนนี้อีกไม่นานแอตลาสต์ก็คงจะโดนกวาดล้างเหมือนคราวก่อน และเขาก็ไม่อยากรอให้ถึงวันนั้น

    ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี

    โควาสกีสูดลมหายใจเข้าปอด

    "เท่าไหร่"

    "เพิ่มเป็นสองเท่า"มาเรียตอบเสียงเรียบ"ส่งมาที่นี่"

    "เบเกอร์โดนจับได้แล้ว ผมไม่มีคนส่งของ"

    "งั้นคุณก็เอามาส่งเองเลยสิ"

    ท่านนายพลเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาสีเข้มคู่นั้นยังไม่ละไปจากใบหน้าเจ้าเล่ห์เจ้ากลของหญิงสาว แม้เธอจะต้อนเขาจนจนมุมไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น 

    มาเรียคลี่ยิ้มบางๆ บนใบหน้า

    "ท่านนายพลโควาสกี ถ้าคุณยอมทำตามข้อตกลงของฉัน..."



    "อีกไม่นานอิสรภาพก็จะเป็นของคุณ"





     

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×