ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #34 : [VALENTINE] Little One

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 69
      5
      26 พ.ค. 62

    Little One

    [ V A L E N T I N E ]

     

    S State St., Chicago

    1/18/2019, 13:24 PM

     

    วาเลนไทน์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

    แสงอาทิตย์ยามบ่ายเริ่มถูกแทนที่ด้วยเงามืดครึ้มจากก้อนเมฆ ไม่นานนักก็มีอะไรบางอย่างโปรยปรายลงมา ไม่ใช่ฝน ทว่าเป็นเพียงเกล็ดน้ำแข็งขนาดเล็กจิ๋ว มันทิ้งตัวลงบนใบหน้าของเธอ เรือนผมที่ถูกตัดจนสั้นเริ่มมีก้อนสีขาวเกาะอยู่ หญิงสาวกระพริบตา เธอค่อยๆ ปลดสายสะพายเป้ลงก่อนจะรูดซิปเปิดกระเป๋า แล้วหยิบหมวกไหมพรมสีดำขึ้นมาสวม ในขณะที่บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มจะถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลนในที่สุด

    ความหนาวเย็นซึมซาบผ่านถุงมือ แต่ก็ไม่มากจนทำให้ตัวสั่น เธอกระชับกระเป๋าเป้ขึ้นอีกครั้งแล้วเดินต่อ ทอดน่องไปบนถนนที่รายล้อมไปด้วยภาพเดิมๆ ชิคาโกก็ไม่ต่างไปจากเมื่อสองวันก่อน เศษสิ่งของกระจุยกระจายไปทั่ว ซากรถที่จมอยู่ใต้กองหิมะจอดเรียงรายเต็มสองข้างทาง วันนี้เงียบสงบ เธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครนอกจากของตนเอง ในใจหวังว่าจะไม่ได้ไปเผลอจ๊ะเอ๋กับคาร์เทล สวีปเปอร์ หรือแอตลาสต์

    รองเท้าบูทเหยียบย่ำลงบนพรมหนาสีขาว แล้วมันก็ยุบฮวบลงไปจนน่าใจหาย วาเลนไทน์ยังคงประคับประคองปืนไรเฟิลในมือเอาไว้ แม้ว่าจะไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอภัยอันตราย แต่เธอก็พร้อมเหนี่ยวไกใส่อะไรก็ตามที่ไม่ระบุชื่อได้ทุกเมื่อในวินาทีแรกของการเผชิญหน้า ยังไงซะการเลี่ยงการเข้าปะทะก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เธอคอยย้ำกับตนเองเสมอว่าวันนี้แค่ออกมาลาดตระเวน ไม่ใช่มาก่อสงครามกับใคร ลีเจียนต้องการอยู่อย่างสงบ ยกเว้นจะเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ

    เสียงซ่าๆ จากคลื่นวิทยุทำให้ชะงักเล็กน้อย ร่างบางยกเครื่องมือสื่อสารที่อยู่กับเข็มขัดขึ้นมากดปุ่ม ถ้าจะให้เดาว่าใครติดต่อเข้ามาหาในตอนนี้ ก็ขอทายเลยว่าต้องเป็นแฟรงค์แน่

    [วาเลนไทน์?]

    อย่าวที่คิดไว้ไม่ผิด น้ำเสียงกึกก้องนั่นทำให้หญิงสาวถอนหายใจเล็กน้อย เธอยังคงเดินต่อไปขณะจ่อวิทยุเข้าไปใกล้กับริมฝีปาก สายตากวาดมองไปยังทัศนียภาพเบื้องหน้า ระแวดระวังในอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

    "ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง"

    [ผมก็แค่อยากรู้ว่าทุกอย่างยังเรียบร้อยดี]

    [ได้ข่าวว่าถนนแถวนั้นค่อนข้างอันตรายเลยไม่ใช่รึไง?]

    "ไม่เห็นจะอันตรายตรงไหน"วาเลนไทน์หรี่ตาลง หมอนี่อ้างเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นจริงๆ"คุณต้องการอะไรหรือเปล่า แฟรงค์"

    [ก็...ไม่นี่]

    "เหรอ?"

    อีกฝ่ายเงียบไปสักพักหนึ่ง เธอได้ยินเสียงกระแอมดังผ่านคลื่นวิทยุ

    [อันที่จริงแล้ว...]

    [ผมก็แค่อยากจะมาบอกคุณก็เท่านั้นเองว่าให้ระวังตัวด้วย]

    "ฮะๆ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ"

    [ก็เพราะว่าคุณไม่ใช่เด็กนั่นแหละ]

    แฟรงค์เงียบไปสักพักหนึ่ง ในระหว่างนั้นเธอก็ได้ยินเสียงคลื่นซ่าๆ ดังผ่านสายเข้ามาเท่านั้น วาเลนไทน์ชะงักกับที่ วิทยุตัวเล็กในมือยังคงถูกถือเอาไว้ เธอไม่แน่ใจว่าเขาอยากจะพูดอะไรอีกหรือเปล่า แต่การลาดตระเวนไปด้วยคุยไปด้วยเนี่ย มันดูไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่าเท่าไรในสายตาของเธอนัก

    "ขอโทษนะ แต่ฉันต้องไปแล้วล่ะ"หญิงสาวเอ่ย

    [ได้สิ งั้นก็...ระวังตัวด้วย]

    [แคลนซี เลิกกัน]

    ในที่สุดบทสนทนานี้ก็จบลง หญิงสาวถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เธอลดเครื่องมือสื่อสารลงแล้วเก็บมันใส่กระเป๋า ได้เวลากลับมาจดจ่อกับงานสักที ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแฟรงค์ถึงต้อง...เป็นห่วงด้วย เขาคงคิดว่าวาเลนไทน์เป็นเด็ก ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เธอรู้ว่าสามารถดูแลตนเองได้ถึงยอมอาสามารับงานนี้ แถมการลาดตระเวนก็ไม่ใช่งานชวนคอขาดบาดตาย ไม่้้ห็นจะต้อง ว. มาถามเลยสักนิด จะว่าไปแล้วคนที่เขาห่วงก็ไม่ใช่มีแค่เธอด้วยสิ วาเลนไทน์นึกถึงผู้หญิงผมบลอนด์ชาวเอเชียคนนั้น ควีนหายหน้าไปตั้งแต่เมื่อวาน ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย

    แถมยังไปกับนายทหารคนนั้นอีก ควีนรู้ตัวหรือเปล่าว่าหล่อนกำลังเอาตนเองไปเสี่ยงกับสงครามที่ไม่ได้ก่อ เรื่องราวและความบาดหมางของผู้คนในซีโรโซนเป็นอะไรที่...ค่อนข้างจะซับซ้อน มันคงจะดีกว่าถ้าไม่เข้าไปยุ่งตั้งแต่แรก สำหรับในกรณีของควีน เธอคิดว่ามันคงจะสายไปแล้วละมั้ง?

    แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงซะเธอก็ไม่อาจไปก้าวก่ายผู้หญิงคนนั้นได้ เอาเป็นว่าตอนนี้หล่อนยังปลอดภัยดี ถ้ายังอยู่กับทหารพวกนั้นคงไม่มีวันโดนพวกคาร์เทลหรือสวีปเปอร์ตามล่าง่ายๆ แน่ เรื่องน้ำมันที่ไปเจอเมื่อวันก่อนคงจะกลายเป็นประเด็นใหญ่น่าดู เพราะอย่างนั้นควีนถึงไม่ยังกลับมาค่าย แถมไอ้การทำแบบนั้นก็ยังพลอยให้คนอื่นเขาเป็นห่วงไปด้วย โดยเฉพาะกับคุณหมอเดวิส เขาเอาแต่ถามถึงควีนไม่หยุด

    วาเลนไทน์สาวเท้าไปอย่างไม่เร่งรีบ มีเวลาอีกหลายชั่วโมงในการเดินตรวจตราประจำวัน เธอตัดสินใจสวมสายสะพายปืนเอาไว้ ก่อนจะยกมือเปล่าทั้งสองข้างขึ้นแล้ววางประสานไว้ท้ายทอย ดวงตาสีฟ้าเขียวฉายประกายยามต้องกับแสงอาทิตย์สลัว เมฆลอยมืดครึ้มปกคลุมทั่วน่านฟ้าเหนือเมืองใหญ่ ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาราวสายฝน ร่างบางค่อยๆ กระตุกยิ้ม ใบหน้าขาวนวลแหงนขึ้นปะทะกับไอเย็นบนอากาศ

    เธอชอบฤดูหนาวที่สุด แม้ในช่วงเวลานี้มันจะโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม

    เพราะมันคือสิ่งเดียว...ที่ทำให้ลืมเรื่องราวในอดีตไปได้


    รองเท้าบูทสีน้ำตาลดำทิ้งรอยเอาไว้บนพื้นถนน ลมพัดแรงจนทำให้ร่างบางแทบจะโอนเอนไปตามๆ กัน หญิงสาวยกมือขึ้นป้องใบหน้า ตอนนี้เธอปกปิดบริเวณศีรษะจนมิดชิด ทั้งสวมหมวกไหมพรมและดึงผ้าพันคอขึ้นมาจนเกือบถึงจมูก ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อย เธอพยายามปรับทัศนวิสัยให้เข้ากับบรรยากาศ ก้อนสีขาวโพลนที่เคยตกโปรยปรายบัดนี้รุนแรงราวกับพายุ วาเลนไทน์ได้ยินเสียงป้ายโฆษณาหรืออะไรสักอย่างพัดเลยไป แต่ก็ไม่อยากจะสนใจกับมันนัก

    พายุทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องยกมือขึ้นดึงหมวกเอาไว้เพื่อไม่ให้มันปลิว แถมยังต้องสาวเท้าฝ่าไปด้วย การเดินทางนี้แปรเปลี่ยนเป็นความยากลำบากในที่สุด ใครจะไปรู้บ้างล่ะว่าวันนี้จะมีพายุ? ถ้าจะให้วิ่งกลับไปค่ายก็คงฟังดูไม่เข้าท่า หญิงสาวตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่ย่อท้อ ขณะนั้นเองก็พยายามกวาดสายตามองหาบ้าน อาคาร หรืออะไรก็ได้ที่พอจะใช้หลบสภาพอากาศอันแสนโหดร้ายนี่

    ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน เกล็ดหิมะนับร้อยถ่าโถมลงมาพร้อมกับแรงกรรโชกของลม มันยากนักที่จะให้เดินไปต่อได้ วาเลนไทน์แทบจะยอตัวลงบนพื้น แต่เธอต้องหาที่พัดให้ได้ก่อน ต่อให้จะชอบฤดูหนาวมากแค่ไหน แต่ยังไงซะก็ยังไม่อยากแข็งตายข้างนอกอยู่ดี ร่างบางยึดสายสะพายปืนไรเฟิลเอาไว้แน่น ฝีเท้ายังคงฝืนก้าวต่อไป ไอเย็นปะทะเข้ากับใบหน้าภายใต้ผ้าพันคอผืนหนาอย่างรุนแรง

    ร่างบางเอนไหวตามแรงกรรโชกของลม ยิ่งอยู่ข้างนอกนานๆ ก็ยิ่งเสี่ยง วาเลนไทน์ตัดสินใจก้าวเท้าไปอีกแค่สามสี่ก้าว ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลบในอาคารที่อยู่ข้างถนน อาศัยเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น แต่พายุก็ยังพัดพาเข้ามาด้านในจนทำให้ตัวของเธอแทบปลิว

    หญิงสาวหอบหายใจอย่างรุนแรง มือค่อยๆ ปลดผ้าพันคอกับหมวกไหมพรมออกจากศีรษะ สายตายังไม่ละไปจากความรุนแรงของสภาพอากาศด้านนอก ประตูใสซึ่งน่าจะเป็นแบบอัตโนมัติยังคงเปิดอ้าไว้ ทำให้ก้อนหิมะบางส่วนถูกพัดเข้ามา เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคยังดีที่สามารถเอาตัวรอดมาได้ ถ้าขืนอยู่กลางพายุแบบนั้นนานกว่านี้สักนิดละก็ ให้ตาย ไม่อยากจะคิดเลยว่าลมนั่นจะหอบตัวเธอปลิวไปไหน 

    ความหนาวเหน็บซึมผ่านเสื้อแจ็คเก็ตมีฮู้ด ไม่นานนักเจ้าตัวก็เริ่มจะสั่นสะท้านกับอุณหภูมิที่ดิ่งฮวบอย่างน่าใจหาย ทรงผมสั้นสีบลอนด์แซมน้ำตาลเข้มบัดนี้เต็มไปด้วยหิมะ เธอยกมือขึ้นปัดมันออกแบบลวกๆ จนเกือบจะทำให้ผมฟูฟ่อง วาเลนไทน์หันกลับมาจดจ่อกับสถานการณ์ในตอนนี้อีกครั้ง เธออยู่ใน...ห้างสรรพสินค้า ไม่สิ ควรจะเรียกว่าซูเปอร์มาเก็ตดีกว่า ดูได้จากขนาดภายในที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มาก กับเคาน์เตอร์คิดเงินที่อยู่ทางขวามือ

    ไม่แปลกนักถ้าจะรู้สึกคุ้นตา ก็แหงสิ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเธอยังเคยมาซื้อของที่นี่อยู่เลย ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับในตอนนั้น สภาพของที่นี่ก็ดูจะเปลี่ยนไปมาก ชั้นวางของกว่าสิบที่วางเรียงรายอยู่ทั่ว ทั้งหมดวางเปล่า บางส่วนล้มลงบนพื้น เศษขยะไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำหรือซองพลาสติกเกลื่อนเต็มไปหมด แถมยังมีคราบดินเปรอะเปื้อนจนไม่น่าดู วาเลนไทน์หันไปมองตรงหน้าต่างซึ่งบัดนี้ถูกตอกปิดเอาไว้แน่นหนา มีแสงสลัวเล็ดลอดผ่านซอกไม้เข้ามาด้านใน เสียงลมพายุยังคงดังอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ

    แม้สภาพจะดูแย่ แต่อย่างน้อยหน้าต่างที่ถูกปิดสนิทด้วยแผ่นไม้ก็คงจะทำให้ที่นี่ปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ เธอกำปืนไรเฟิลไว้แน่นก่อนจะเริ่มออกเดิน เสียงฝีเท้าถูกกลบจนมิด แต่ยังพอได้ยินอยู่บ้าง สายตากวาดมองไปยังชั้นวางของตรงหน้า ตรวจสอบทุกซอกทุกมุมแบบที่แฟรงค์เคยสอนเอาไว้ จนกว่าจะแน่ใจว่าที่นี่ว่างเปล่า ห้ามเลื่อนนิ้วห่างจากไกปืนเป็นอันขาด

    วาเลนไทน์ค่อยๆ ก้าวอย่างระมัดระวัง พายุข้างนอกคงจะช่วยกลบเสียงฝีเท้าได้ในระดับหนึ่ง ถ้ายังมีใคร...หรืออะไรที่อยู่ในนี้ มันจะไม่มีวันรับรู้ตัวตนของเธอ รองเท้าบูทคู่เล็กเหยียบย่างต่อไปเรื่อยๆ โดยอาศัยแสงสลัวจากภายนอกเป็นตัวนำทาง ชีพจรยังคงเต้นเป็นปกติ ก่อนที่มันจะเริ่มแรงขึ้นเพราะเสียงบางอย่าง

    แค่ก--

    !

    ร่างนั่นหยุดชะงัก ปืนไรเฟิลสัญชาติอเมริกันถูกยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวตอบสนองต่อเสียงในความมืดด้วยการหรี่ตาลง ก่อนจะเริ่มก้าวขาอีกครั้ง คราวนี้ช้าและเงียบกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แค่ก มันดึงขึ้นอีกรอบและใกล้จนน่าตกใจ วาเลนไทน์กัดริมฝีปากล่างอย่างกดดัน นิ้วชี้ขยับเข้าไปในตำแหน่งของโกร่งไกปืน เธอค่อนข้างจะแน่ใจว่ามันดังอยู่แถวนี้...ไม่ใกล้และไม่ไกล

    แม้ลมที่พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอกจะกลบทุกอย่างเอาไว้ ทว่าเธอก็ยังได้ยินเสียงแปลกประหลาดนั่น มีใครอีกคนหนึ่งอยู่ในนี้ วาเลนไทน์ก้มตัวลงต่ำขณะสาวเท้าต่อไปเรื่อยๆ เลี่ยงทางเดินที่เต็มไปด้วยเศษแก้วใส มือกระชับอาวุธอันตรายเอาไว้อย่างมั่นคง ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบตัวฉายแววความหวาดระแวง ลมหายใจเปลี่ยนจังหวะอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศโดยรอบเองก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความกดดัน

    หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ เธออาศัยช่วงเวลาที่พายุกำลังพัดกรรโชกในการก้าวครั้งสุดท้าย ค่อนข้างจะแน่ใจในระดับหนึ่งเลยว่าเสียงนั่นมาจากข้างหน้า อาจจะใกล้กว่าที่คิด เธอจินตนาการถึงเจ้าของเสียงปริศนานั่นอยู่ในหัว น้ำเสียงฟังดูเล็กแหลม เบาและเหนื่อยล้าสุดคำบรรยาย แต่ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นแค่พวกผู้รอดชีวิตธรรมดา แต่การนิ่งนอนใจก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเสียเท่าไรนัก เพราะอย่างนั้นวาเลนไทน์ถึงไม่ยอมลดปืนลงสักที ซ้ำยังจับมันไว้แน่นกว่าเดิมอีกต่างหาก

    ต้นเสียงนั่นดังขึ้นอีกรอบ ใบหน้าสะสวยหันควับในทันที ท่ามกลางความรุนแรงของสภาพอากาศด้านนอก หญิงสาวได้ยินเสียงลมหายใจเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังชั้นวางของ มันร่วงลงมาระนาว สิ่งของกระจัดกระจายเต็มบนพื้น และการที่ด้านในร้านค้าถูกปิดอย่างมิดชิด ทำให้ยากที่จะใช้ตามองเห็นได้ในความมืดสลัวแบบนี้

    เธอสูดหายใจเข้าปอด รวบรวมความกล้าที่มีอยู่ก่อนจะเลี้ยวตัวเข้าไปด้านหลังชั้นวางนั่น ในตอนแรก วาเลนไทน์คาดหวังว่าคงจะเป็นผู้รอดชีวิตอีกคนเหมือนกับตัวเธอเอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นพวกคาร์เทลที่บาดเจ็บแล้วมาแอบอยู่ด้านในนี้ แต่สิ่งที่เห็น...มันแตกต่างจากความคิดในหัวเสียเหลือเกิน มันเหลือเชื่อพอที่จะทำให้เธอชะงักงัน

    "แค่ก--แค่ก..."

    ...พระเจ้า

    นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้าง มันแสดงออกถึงความประหลาดใจและสับสนในเวลาเดียวกัน ปืนไรเฟิลไม่มีสโคปแทบจะถูกทิ้งลงบนพื้น ร่างบางยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าจ้องเขม็งไปยังเจ้าของเสียงปริศนาเมื่อครู่ไม่กระพริบ วาเลนไทน์รับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจที่สะท้านอยู่ในทรวงอก มือเริ่มสั่นเทาอย่างไม่อาจยับยั้ง

    ร่างเล็กนั่งกอดเข่าอยู่ในเงามืด แสงสลัวจากซอกไม้ที่ตอกปิดหน้าต่างเอาไว้สาดกระทบลงมา เธอเห็นขากางเกงเปื้อนหิมะที่ตั้งชันอยู่ รองเท้าผ้าใบสีดำสลับขาวแลดูเก่าและสกปรก เสียงไอสำลักดังขึ้นเป็นทีๆ ก่อนที่ร่างนั้นจะเริ่มขยับตัว หญิงสาวเกือบถอยหลังไปเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถห้ามตนเองเอาไว้ได้ วาเลนไทน์ขมวดคิ้วอย่างสับสนขณะจับจ้องไปที่อีกฝ่าย

    "...мама?"

    น้ำเสียงนั่นช่างเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า มันแทบจะถูกพายุกลบกลืนไปจนหมด วาเลนไทน์พยายามเงี่ยหูฟัง เธอค่อนข้างแน่ใจว่าเด็กสาวไม่ได้พูด 'ภาษา' ที่คุ้นหู แต่อย่างน้อยสำเนียงแปลกประหลาดนั่นก็พอฟังออก เธอเดาความหมายของคำพูดนั่นในหัว จนกระทั้งเผลอเลิกคิ้วขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

    ถ้าเดาไม่ผิด เด็กผู้หญิงคนนั้นคงจะพูดคำว่า...แม่

    หญิงสาวตัดสินใจเก็บอาวุธของตนเองเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ย่อเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษแก้วและฝุ่น วาเลนไทน์พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เด็กสาวคนนั้นตกใจ โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าจะให้ลองคิดดู ยังไงซะการเจอคนแปลกหน้าในที่แบบนี้ก็คงไม่แปลกนักที่จะทำให้รู้สึกหวาดระแวง แต่น่าแปลกที่เด็กน้อยกลับไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นตอนเธอขยับตัวเข้าไปใกล้

    "เฮ้..."หญิงสาวเอ่ย พร้อมกับยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อทักทาย"...เป็นอะไรมั้ย?"

    ใบหน้าเล็กเงยขึ้นจากเข่า เด็กสาวค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากเงามืด แสงสลัวทำให้สามารถมองเห็นใบหน้านั่นได้บ้าง วาเลนไทน์หรี่ตา เธอมองบุคคลตรงหน้าอย่างตะลึงงัน สภาพของเด็กน้อยแลดูจะเจ็บปวด ใบหน้าซีดเปรอะดินและมีรอยแผลบนแก้ม มือเล็กแลดูจะไร้เรี่ยวแรงไม่ต่างไปจากขา ขณะตอนพยายามจะลุกขึ้น เธอยังแทบจะไม่มีแรงพยุงตนเองเลย 

    หญิงสาวยังคงชะงักนิ่ง ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นจ้องมองกลับมายังเธอ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ วาเลนไทน์คลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น ในใจหวังว่าตนเองพอจะทำให้เด็กผู้หญิงคนนี้รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง

    "บาดเจ็บหรือเปล่า?"เธอเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร แม้จะยังไม่แน่ใจว่าหลเด็กสาวต่างถิ่นคนนี้จะฟังภาษาพูดออกหรือไม่"ให้พี่ช่วย..."

    "แม่...พี่เห็นแม่มั้ยคะ"

    คำถามนั่นทำให้วาเลนไทน์ชะงักนิ่ง

    "ไม่จ้ะ"

    เด็กสาวหรี่ตา เธอก้มหน้าลงอย่างผิดหวังแล้วทิ้งเสียงลมหายใจเอาไว้ หญิงสาวผู้มาเยือนขมวดคิ้วเล็กน้อย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกสงสารแม่หนูคนนี้ เธอคงจะพัดหลงกับแม่ละมั้ง? แถมยังมาอยู่ตัวคนเดียวในที่แบบนี้ซะอีก การมองเพียงชั่วคู่ก็ทำให้รับรู้ได้ไม่ยากว่าเด็กผู้หญิงคนนี้กำลังป่วย ร่างของเธอสั่นระริก มือซีดและผอม ดวงตาสีสดใสฉายให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน

    "แม่ออกไปหายาลดไข้"เด็กสาวกระซิบ ดวงตาเหลือบมองไปทางอื่น"แม่บอกว่าหนูกำลังป่วย ก็เลยบอกให้รออยู่ที่นี่ แต่แม่ก็ไม่กลับมาสักที"

    น่าสงสาร วาเลนไทน์หนิ่วหน้า เธอจ้องมองไปยังคู่สนทนาตัวเล็กอย่างเงียบงัน เส้นผมยาวสยายสีน้ำตาลเข้มของเด็กสาวถูกรวบเอาไว้ บางส่วนร่วงลงมาปิดหน้าผากจนดูรุงรัง ท่าทางก่อนจะมาอยู่ที่นี่เธอกับแม่คงจะผจญโชคมาไม่น้อยเลย แต่การที่จะต้องมาอยู่คนเดียวนานๆ แบบนี้...แค่เด็กผู้หญิงคงเอาชีวิตรอดยากแน่

    "แล้วแม่ออกไปข้างนอกนานแค่ไหนแล้วล่ะ"

    "หนู...ไม่รู้"

    เด็กสาวนิรนามก้มหน้าลง เธอซุกศีรษะลงบนเข่าแล้วไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้วาเลนไทน์นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นขณะใช้ความคิด หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่ค่อยอยากจะเอาตัวไปเสี่ยงกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่การที่เด็กผู้หญิงคนนี้ต้องมาแอบพายุอยู่ตัวคนเดียว เฝ้ารอให้ผู้เป็นแม่กลับมา เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั่งรอมานานแค่ไหนแล้ว แต่ก็คงนานพอที่จะทำให้รู้สึกหมดหวัง

    ให้ตายสิ เธอต้องทำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยก็แค่...ทำให้แม่หนูกลับมาร่าเริงอีกครั้งก็ยังดี หญิงสาวเม้มริมฝีปาก แล้วหันไปเผชิญหน้ากับคู่สนทนาอีกครั้งหนึ่ง 

    "พี่ชื่อวาเลนไทน์นะ หนูล่ะ?"

    "..อันยาค่ะ"

    "ชื่อแปลกดีนะ พี่ไม่เคยได้ยินเลย"

    "ภาษารัสเซียค่ะ"อันยาตอบเบาๆ"เป็นชื่อที่แม่ตั้งให้"

    หญิงสาวยิ้มอย่างจริงใจ

    "พี่ชื่อวาเลนไทน์เหรอคะ?"

    "อืม"

    "หนู...ขออะไรพี่สักอย่างได้มั้ย"

    เธอชะงักนิ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพยักหน้ารับอยู่ดี อันยาหลุบตาลงมองพื้น เด็กสาวยังคงกอดเข่าของตนเองเอาไว้ปน่น แววตาสีฟ้าใสฉายประกายความเศร้าโศก สะเทือนอารมณ์จนทำให้วาเลนไทน์ถึงกับเศร้าไปด้วย

    "ว่ามาสิ"หญิงสาวตอบ

    "ช่วยตามหาแม่ของหนูหน่อยได้มั้ยคะ"

    บรรยากาศโดยรอบแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบงัน ท่าทางพายุจะสงบลงแล้ว แต่ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้กลับแลดูสับสนเสียยิ่งกว่า ทั้งสองยังคงเผชิญหน้ากันเช่นนั้น อันยาดูมีประกายความหวังอยู่ในดวงตาของเธอ แต่ในขณะเดียวดัน..วาเลนไทน์เหลือบมองไปทางอื่น มองไปยังเกล็ดหิมะสีขาวที่ถูกพัดเข้ามาด้านใน ทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ดูสกปรกเสียยิ่งกว่าเก่า อากาศหนาวเหน็บกับความเงียบทำให้รู้สึกดดันได้เป็นอย่างดี

    นัยน์ตาสีฟ้าใสของเด็กสาวพยายามมองไปยังบุคคลปริศนา เธอไม่รู้ว่าพี่สาวคนนี้จะยอมทำตามคำขอหรือไม่ เพราะอีกฝ่ายเองก็แลดูไม่แน่ใจเช่นเดียวกัน อันยาถอนหายใจเล็กๆ ในใจยังคงหวังอยู่ว่าจะได้ยินคำตอบตกลงจากวาเลนไทน์ แม้ในตอนนั้นเธอจะยังตัดสินใจไม่ได้ก็ตาม

    "โอเค"และแล้วคำพูดนั้นก็ทำให้เด็กสาวยิ้มออก"ได้สิ เดี๋ยวพี่จะไปตามหาแม่ให้"

    "ข..ขอบคุณค่ะ!"

    สำเนียงรัสเซียแปลกหูแสดงถึงความดีใจอย่างแท้จริง รอยยิ้มปรากฏขึ้นใบหน้าที่แลดูเหนื่อยล้านั่น แต่อย่างน้อยตอนนี้วาเลนไทน์ก็จุดประกายความหวังให้กับเด็กสาวอีกครั้งหนึ่ง เธอคลี่ยิ้มบางๆ ตอบกลับไป ตอนนี้พายุข้างนอกสงบลงแล้ว ถึงเวลาเดินทางต่อสักที ปกติในช่วงเวลาเกือบบ่ายสองโมงครึ่งควรจะเป็นเวลาในตอนขากลับมากกว่า ท่าทางวันนี้จะยังอีกยาวไกลเลย เธอคงไม่ได้กลับไปค่ายเร็วๆ นี้แน่ถ้ายังหาคุณแม่ของอันยาไม่เจอ

    "แม่...แม่สวมเสื้อโค้ทสีขาวกับผ้าพันคอลายเซอร์แพต"

    "เซอร์แพต?"

    "ลายพรางของทหารน่ะค่ะ"อันยาตอบพลางหัวเราะ"พ่อของหนูเป็นคนถักผ้าพันคอผืนนั้นให้แม่ พี่มองหาได้ไม่ยากหรอกค่ะ"

    "เข้าใจแล้ว พี่จะลองไปหาดูนะ"

    วาเลนไทน์ลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งปัดรอยเปื้อนของฝุ่นบริเวณหัวเข่าออกไป เธอปลดสายสะพายปืนไรเฟิลลงมา ก่อนจะประคองมันเอาไว้ให้มัน ซึ่งในระหว่างนั้นเองก็ยังคงสังเกตเห็นดวงตาของเด็กสาว อันยาจ้องมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เด็กน้อยคงจะเชื่อแบบจริงๆ ว่าพี่สาวคนนี้จะเป็นพาคุณแม่กลับมาอีกครั้งหนึ่ง แม้ในความเป็นจริงแล้ว...วาเลนไทน์เองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะทำได้หรือไม่

    แต่อย่างน้อยเธอก็คงจะเป็นความหวังเดียวของอันยาในตอนนี้

    เด็กสาวชาวรัสเซียคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น ในใจยังคงภาวนาเอาไว้ว่าครอบครัวจะได้กลับมาพร้อมหน้าอีกครั้ง เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสม...


    "ขอบคุณค่ะ"

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×