ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #33 : [FEATHER] Anywhere

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 75
      7
      20 พ.ค. 62

    Anywhere

    [ F E A T H E R ]

     

    ATLAST Command Base

    1/18/2019, 8:36 AM

     

    “แกทำบ้าอะไรของแก?”

    ท่านนายพลโควาสกีเอ่ยถามหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธและไม่เข้าใจ เขาจับจ้องไปยังนายทหารแห่งกองทัพแอตลาสต์ ผู้ที่เป็นทั้งคนสนิท...และลูกชายแท้ๆ แต่แทนที่จะตอบคำถามนั่น ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะยืนอยู่นิ่งๆ นัยน์ตาเหลือบมองเลยใบหน้าของพ่อไปยังแผนที่บนผนังด้านหลัง ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง มือไขว้ไว้แน่นพร้อมกำหมัด แม้บรรยากาศจะกดดันมากแค่ไหน แต่ก็ต้องขอบคุณที่เขาชินชากับเรื่องวุ่นวายพวกนี้ไปแล้ว

    เมื่อไม่ได้รับคำตอบ มันก็น่าจะทำให้รู้สึกหัวเสียอยู่บ้างเล็กน้อย พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในห้องบัญชาการนี่มาเกือบชั่วโมงแล้ว น่าแปลกใจที่ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย โควาสกีเอาแต่ตั้งคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา เกิดอะไรขึ้น? ทำอะไรลงไป? หรือแม้แต่ คิดอะไรอยู่? ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาก็ควรจะไล่ตอบให้ครบ แต่ทำไมมันถึงไม่เป็นแบบนั้นน่ะเหรอ? ผู้กองหนุ่มเลิกคิ้วข้างซ้ายขึ้น ทำนองว่าเขาไม่ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว

    "ก็ทำตามกฎไง"เฟเธอร์ตอบเสียงเรียบ

    "อย่าลืมสิว่าใครตั้งกฎ แถมยิ่งไปกว่านั้น...แอตลาสต์ไม่มีกฎไหนที่อนุญาตให้คุณฆ่าทหารในค่าย"

    "ด้วยความเคารพครับท่าน"

    โควาสกียกมือขึ้นกุมขมับ เขาไม่อาจชี้นำเฟเธอร์ให้ไปในทางที่ต้องการได้เสมอไป ยิ่งลูกชายโตขึ้นก็ยิ่งโหยหาอิสระ และสุดท้ายมันก็จบลงแบบเดียวกันคือเขาเลือกที่จะทำตามใจตนเอง แทนที่จะปฏิบัติตามกฎเหล็กของกองทัพ

    ชายผู้อาวุโสกว่าถอนหายใจ เขาเหลือบตามองไปยังบุคคลตรงหน้า รอให้อีกฝ่ายพูดในสิ่งที่เขาเกริ่นมาให้จบ ต่อให้จะรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายไอ้ลูกชายนี่จะพูดแบบไหน

    "ข้อแก้ตัวเหรอ?"

    "ไม่มีครับ"

    "งั้นคุณทำทำไม"ท่านนายพลยังยืนยันคำถามเดิม"คิดบ้าอะไรอยู่?"

    "วิลเลียม เบเกอร์คือคนทรยศ เขาขโมยน้ำมันของกองทัพแล้วแอบเอาไปส่งให้พวกผู้เก็บกวาด และผมทำในสิ่งที่ต้องทำ"

    "คือ?"

    "ตามกฎข้อสามครับ"เฟเธอร์พูดโดยไม่สบตา"ผู้ทรยศสมควรตาย"

    มาจนถึงตอนนี้ กลายเป็นว่าร้อยเอกเฟเธอร์ดันเป็นคนที่ยึดมั่นในกฎเสียอย่างนั้น แต่ถ้าจะให้นึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนที่เขาเอาปืนจ่อกระบาลจ่าเบเกอร์เอาไว้ ดวงตาแดงก่ำราวกับแค้นอีกฝ่ายมาเป็นชาติ ในตอนนั้นถ้าโควาสกีไม่ปรากฏตัว จ่าบเกอร์ก็อาจจะโดนเป่าสมองตายคาฐานไปแล้วก็ได้ ทว่า...

    หมอนั่นก็พูดถูก แอตลาสต์จะไม่ปล่อยให้พวกทรยศมีที่ยืนในกองทัพ

    แต่ยังไงซะ การกระทำของเขาก็อุกอาจเกินควรอยู่ดี โควาสกีไม่อยากนึกถึงสิ่งที่ได้เจอตอนเดินผ่านทางเข้าออกของค่ายเมื่อเช้า ทหารสามสี่คนรวมหัวกันอยู่ พวกนั้นพากันซ่อมประตูเลื่อนที่พังเพราะการไล่ล่าอันบ้าระห่ำของท่านผู้กอง แถมเขายังเสียรถบรรทุกไปหนึ่งคันแบบฟรีๆ อีก ให้ตายสิ...นับวันเรื่องในกองทัพนี่มันชักจะวุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว

    ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ เขาพยายามจะเหยียดขาให้ตรงเนื่องจากความเมื่อยล้า แต่การอยู่ในท่าตามระเบียบพักทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ดีเท่าไหร่ เฟเธอร์ถอนหายใจยาว นัยน์ตาสีเข้มเริ่มฉายให้เห็นถึงความเบื่อหน่าย เขาจ้องมองไปยังท่านนายพลที่กำลังตกอยู่ในความสับสน แสงแดดจ้าจากด้านนอกสาดกระทบเข้ามายังบริเวณที่ยืนอยู่ ห้องเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมพัด เขาไม่ชอบความเงียบแบบนี้...โดยเฉพาะความเงียบที่ต้องอยู่ในห้องกับพ่อ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับฟังเหตุผลอะไรของเขาเลย

    "แล้วแม่สาวนั่นล่ะ"

    เสียงของโควาสกีทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น

    "ครับ?"

    "...ผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใคร"

    ควีน ใช่สิ ผู้หญิงคนนั้น...นับตั้งแต่เรื่องเมื่อคืนเขาก็ยังไม่ได้พาเธอไปส่งเลย ป่านนี้แคลนซีคงจะโมโหใช่ย่อย เขาอ่านคนออก โดยเฉพาะกับคนอย่างจ่าแคลนซี หมอนั่นอาจอ่านเหมือนกับหนังสือ มองตาแวบเดียว้แล้วว่าคิดยังไงกับแม่สาวเอเชียผมบลอนด์คนนี้ 

    แต่สำหรับเขาน่ะเหรอ? น่าสงสัย...

    ควีนเป็นใครกันแน่ในสายตาของเขา

    "ก็แค่สายข่าว"ผู้กองหนุ่มกระตุกยิ้มใต้หน้ากาก"เธอเป็นคนเอาเรื่องน้ำมันมาบอกผม"

    "คุณมีสายข่าวด้วยเหรอผู้กอง?"

    "ครับท่าน"

    "บอกข้อมูลหน่อยซิ"

    เฟเธอร์สูดลมหายใจ เขาจะโกหกผู้บัญชาการสูงสุดของแอตลาสต์ไม่ได้เป็นอันขาด ถึงแม้ว่าเรื่องการทำงานร่วมกันกับพวกลีเจียนจะไม่ใช่สิ่งที่น่ายอมรับ แต่เขาจำเป็นต้องรายงานให้โควาสกีรับรู้ งั้นประเด็นแรกก็น่าจะเริ่มจากผู้หญิงคนนั้น ควีน เขาไม่รู้จักเธอเลยสักนิด มีแค่ลายเซ็นต์ของเธอที่ยังติดตัวอยู่เสมอ นอกเหนือจากนั้น...ควีนก็ดูเหมือนกับคนแปลกหน้าสำหรับเขา

    "เธอเป็นพวกลีเจียน"

    "ลีเจียน?"

    "ครับ อันที่จริง สมาชิกใหม่ของลีเจียน"

    "คุณไว้ใจเธอ?"

    นั่นฟังดูเหมือนกับคำถามวัดใจ และคำตอบก็คือ...

    "ใช่ครับ"

    คราวนี้ท่านนายพลถึงกับนั่งไม่ติดที่ เขาลุกพรวดขึ้นมาจนได้ยินเสียงขาเก้าอี้ไม้ขูดลากบนพื้น มือใหญ่ทั้งสองวางอยู่บนโต๊ะ ดวงตาจ้องเขม็งมาที่เฟเธอร์จนไม่อาจหลบเลี่ยงได้ แต่ต่อให้ท่านนายพลจะพยายามทำให้เขารู้สึกกดดันมากแค่ไหน มันก็ยากนักที่จะทำให้คนอย่างเฟเธอร์แสดงอาการนั้นออกมา ชายหนุ่มขยับขา ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยขณะส่งเสียงกระแอมเบาๆ 

    ต่อจากนี้คือการถกเถียงแล้วสินะ?

    "ผู้กอง"โควาสกีเอ่ย เขาได้ยินเสียงถอนหายใจดังลั่น"คุณกำลังจะบอกว่าคุณไว้ใจพวกลีเจียนงั้นเหรอ?"

    "ครับท่าน"

    "แฟรงค์เองก็ทรยศเราไปตั้งพรรคพวกใหม่ ไหนบอกว่า..."

    "ในกรณีนี้ ผมถือว่าการไว้ใจคนพวกนั้นคือสิ่งสมควรครับ"

    "ลีเจียนเหม็นขี้หน้าคนในเครื่องแบบอย่างเรา--"

    นัยน์ตาแลดูแข็งกร้าวยังคงจ้องเขม็งมาอย่างไม่ลดละ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขารู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด

    "...แต่คุณไว้ใจพวกมัน"

    "อย่างน้อยพวกนั้นก็มีในสิ่งที่เราไม่มี"

    "อะไร"

    "ข้อมูล ไม่แน่ในอนาคตผมอาจจะคืบหน้าเรื่องน้ำมันนี่อีกก็ได้"

    "ฟังนะเฟเธอร์...ห้ามเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก!"

    เมื่อสิ้นคำพูดนั้น ฉับพลันทุกอย่างก็จมดิ่งสู่ความเงียบ ตอนนี้ความกดดันที่ลอยตลบอยู่ในบรรยากาศไม่อาจทำอะไรเขาได้อีกต่อไป เว้นแต่ความสงสัย นายทหารหนุ่มขมวดคิ้ว เขาเผลอออกจากท่าตามระเบียบพักอย่างไม่ได้ตั้งใจ คำพูดของผู้เป็นพ่อฟังดูจริงจังเสียเหลือเกิน ยิ่งมองไปยังสีหน้านั้นก็ยิ่งทำให้สับสนมากกว่าเก่า คำถามเริ่มผุดขึ้นในหัวอย่างช่วยไม่ได้

    ทั้งสองยืนจ้องมองกันอยู่ตรงนั้น โควาสกีเองก็ไม่มีทีท่าจะสงบสติอารมณ์ลงเลย ราวกับความดื้อรั้นเป็นเด็กๆ ของลูกชายจะทำให้เหนื่อยเสียเหลือเกิน เขาควรบอกยังไงดี? ต้องทำยังไงหมอนี่ถึงจะยอมเชื่อฟังเขา? ในกองทัพนี้...มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ แม้แต่เฟเธอร์เองก็ไม่สมควรจะยื่นมือเข้ามา แต่ตอนนี้มันไม่ทันเสียแล้ว มีหนอนบ่อนไส้อยู่ในกองทัพแอตลาสต์ และไอ้หนอนพวกนี้มันก็ยิ่งกว่าพวกเห็ดราเสียอีก จับตัวนึงได้...ก็จะมีอีกตัวโผล่หัวขึ้นมาเสมอ

    ชายหนุ่มหรี่ตา เขาอยากรู้ว่าพ่อคิดอะไรอยู่ในขณะที่กำลังยืนเงียบ จนกระทั่งท่านนายพลตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง สูดลมหายใจลึกๆ พยายามทำให้หัวโล่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้สถานการณ์ในตอนนี้จะย่างเข้าสู่ความบรรลัยมากแค่ไหนก็ตาม

    โควาสกียกมือขึ้นกอดอก"ฉันจะจัดการเรื่องคนทรยศนั่นต่อเอง"

    "อะไรนะ?"

    "หยุด"เขาเหลือบมองไปยังลูกชาย"อย่าเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้อีก"

    "แล้วจะทำยังไงกับเบเกอร์ล่ะ? จะฆ่ามันเหรอ?"

    "ไม่ใช่ธุระของแก"

    "แหงสิ ธุระของผมแน่ เพราะมันเอาน้ำมันเราไปไง!"

    "งั้นแกก็เชิญเข้าไปหยิบในโรงเก็บมาใช้ได้ตามใจชอบเลย"

    เฟเธอร์ชะงัก คำพูดเมื่อครู่นี้อาจจะฟังเหมือนกับการประชดประชัน แต่สายตาของโควาสกีกลับไม่แสดงออกแบบนั้น สายสัมพันธ์ในครอบครัวทำให้เขามองความคิดในหัวของท่านนายพลออก และรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคือความจริง แต่เดี๋ยวสิ...เขาจะยอมยกน้ำมันในโรงเก็บให้ลูกชายง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ? เพียงแค่ไม่อยากให้เฟเธอร์ยื่นจมูกเข้าไปหาเรื่องเนี่ยนะ?

    เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่? โควาสกีคิดจะทำอะไรกับไอ้คนทรยศอย่างเบเกอร์ ทำไมถึงต้องยอมทำถึงขนาดนี้เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งด้วย?

    "พูดจริงเหรอ"ชายหนุ่มถามทวนอีกครั้ง

    ทันใดนั้นโควาสกีก็ขว้างอะไรบางอย่างมาตรงหน้าแทนคำตอบ ชายหนุ่มยกมือขึ้นไปคว้าสิ่งนั้นเอาไว้อย่างทันท่วงที มันคือกุญแจ มีป้ายแขวนกำกับเอาไว้ด้วยคำสั้นๆ หนึ่งคำ

    น้ำมัน

    "แกจะเอาไปกินแทนข้าวเย็นเลยก็ได้นะ ใช้มันไปให้หมดๆ ซะจะได้ไม่มีใครมาตามขโมยอีก ฟังดูเข้าท่ามั้ยล่ะ?"

    "ทำไมถึง..."

    "เพราะแกมันพวกชอบต่อรองไง เอาน้ำมันไปซะ แล้วอย่าพูดเรื่องคนทรยศให้ฉันได้ยินอีก"

    "ทั้งหมดเลยเหรอ?"

    ท่าทางอ้ำอึ้งของท่านนายพลถูกแสดงออกมาชัดเจน เฟเธอร์รู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายก็คงไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่คำถามคือ เขาควรจะทำยังไงต่อ? ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก แววตาแน่นิ่งจ้องมองไปยังผู้อาวุโสกว่าอย่างครุ่นคิด ขณะนี้เขามีเพียงแค่สองทางเลือกเท่านั้น หนึ่งคือทำตามที่โควาสกีบอก สองคือยืนกรานคำเดิมและทำตามที่ใจสั่ง

    ดูเหมือนว่าช่วงเวลาในการตัดสินใจจะยืดเยื้อพอควร แต่ถึงกระนั้นนายทหารยศสูงก็ยังคงนั่งรอคำตอบ ใบหน้าเข้มไม่หันหนีไปจากผู้เป็นลูกชาย เขารู้จักกับเฟเธอร์มานานเกินจนเข้าใจตัวตนของอีกฝ่ายดี นั่นจึงทำให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า ไอ้นิสัยชอบต่อรองและทุกสิ่งต้องมีของแลกเปลี่ยนของเขา จะช่วยทำให้เฟเธอร์ไม่กลับเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

    โควาสกีพยักหน้า"ทั้งหมด"

    "ทำไมล่ะ?"ชายหนุ่มส่งเสียงหึในลำคอราวกับรู้ความคิดของท่านนายพลเป็นอย่างดี"ไอ้เรื่องพวกนี้มันเลวร้ายจนถึงต้องกันไม่ให้ผมเข้าไปยุ่งเลยเหรอ?"

    "ก็ทำนองนั้น"

    "รู้มั้ยว่าคนแถวบ้านผมเรียกที่คุณทำว่าอะไร"

    ผู้กองหนุ่มยืนนิ่ง ดวงตาสีเข้มจับจ้องไปยังบุคคลที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงานอย่างแน่วแน่ สิ่งที่อยู่ในแววตานั่นทำให้ท่านนายพลใจสั่น เขาอธิบายไม่ถูก แต่ก็ดูราวกับว่าเฟเธอร์คงจะยังไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ 

    ใช่...เขารู้สิ่งที่ลูกชายต้องการจะสื่อ

    เกี่ยวกับเรื่องในตอนนี้

    "เขาเรียก จ่ายใต้โต๊ะ เพียงแต่คุณไม่ได้ใช้เงินก็เท่านั้น"

    "แล้วตกลงหรือเปล่าล่ะผู้กอง?"

    "ก็นะ--"ชายหนุ่มลากเสียง เขากระตุกยิ้มมุมปากพลางโชว์ลูกกุญแจขึ้น"ถ้าอยากรู้ว่าผมตกลงหรือเปล่า จบเรื่องนี้แล้วก็อย่าลืมแวะไปดูที่โรงเก็บน้ำมันล่ะ ถ้าแกลลอนไหนหายไปก็เป็นอันว่ารู้กัน"

    "เฟเธอร์ คุณต้องไม่..."

    "ผมไม่พูดหรอก"

    การยืนอยู่ในห้องนี้นานๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนเล่นงานโดยอะไรบางอย่าง อยู่ๆ สถานการณ์ก็พลิกจากหน้ามือเป็น...อะไรที่แย่กว่านั้น โควาสกีมีความลับบางอย่าง และเขาก็ไม่อยากบอกให้ใครรู้แม้กระทั่งลูกชายของตนเอง ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ถ้าจะให้ถามก็คงเป็นอะไรที่โง่มาก ท่านนายพลไม่ยอมปริปากบอกแน่ หนำซ้ำอาจจะโดนอะไรที่หนักกว่านั้นอีกก็เป็นได้

    นัยน์ตาสีฟ้าเข้มเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เข็มยาวเลื่อนไปจนเกือบจะทาบอยู่บนเลขเก้าอยู่แล้ว เวลาผ่านไปเร็วกว่าที่คิด แถมยังเป็นอะไรที่น่าเสียดายแบบสุดๆ อีกด้วย เฟเธอร์นึกถึงตำแหน่งตอนไล่ล่าเบเกอร์เมื่อคืนนี้ เขายังจำได้แม่นว่าเผลอทำ 'ขนนก' หลุดไปจากหมวก ถ้าไม่รีบไปเอาคืนมีหวังมันคงได้ปลิวหายไปแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างสูงก็เริ่มขยับตัว เขายกมือขึ้นทำความเคารพผู้นำเป็นครั้งสุดท้าย แม้อีกฝ่ายจะยังมองมาแบบไม่ไว้ใจก็ตาม

    "ขออภัยครับท่าน แต่เกรงว่าผมมีธุระที่ต้องไปสะสางให้เสร็จ"

    "งั้นเหรอ"

    โควาสกีหลิ่วตา ท่าทางเหมือนจะยังนั่งจับผิดผู้กองหนุ่มอยู่ลับๆ เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่เห็น แต่ผิดคาด เฟเธอร์เลือกที่จะไม่สนใจมันต่างหาก เขามีอะไรที่สำคัญกว่านั้นและต้องจัดการให้เสร็จ คงไม่มีเวลามานั่งต่อปากต่อคำกับเรื่องไร้สาระพวกนี้แน่ ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งท่านนายพลยกมือซ้ายขึ้น ส่งสัญญาณให้กับนายทหารใต้บัญชาภายในห้องของตนเอง

    "เลิกแถว"เขากล่าว"อย่าลืมสิ่งที่ฉันพูดไว้ล่ะ"

    "...ไม่ต้องห่วง ผมไม่ลืมหรอกครับท่าน"



    Zero Zone

    1/18/2019, 9:45 AM


    ควีนหันมองออกไปด้านนอกกระจกติดฟิล์ม

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกเบื่อเสียเหลือเกิน ถ้าจะให้นับช่วงเวลา มันก็นานโขแล้วตั้งแต่รถขับออกมาจากค่ายแอตลาสต์ พวกเขาผ่านมายังเส้นทางเมื่อคืนนี้ เฟเธอร์บอกว่าเขา 'ลืม' อะไรบางอย่างเอาไว้ตอนขับรถไล่ล่า แถมยังเป็นของสำคัญอีกด้วย จึงจำเป็นต้องจอดรถชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นนายทหารหนุ่มก็เปิดประตูออกไป คุ้ยหาสิ่งของที่ว่าโดยปล่อยให้ควีนนั่งรออยู่ในรถ

    รอยล้อจากเหตุเมื่อคืนยังไม่จางหาย มันอาจจะติดตรึงแบบนี้ต่อไปอีกนานเลยก็ว่าได้ เพราะแม้แต่ตัวเธอเอง ควีนก็คงจะไม่มีวันลืมเรื่องราวเมื่อคืนนี้ ทั้งเสียง ภาพเหตุการณ์ ทุกอย่างวนเวียนอยู่ในหัวจนยากที่จะทำให้หายไป หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอพิงหลังลงบนพนักเบาะแล้วเหยียดมือไปด้านหน้า ดวงตาจ้องมองถุงมือสีเทาที่สวมอยู่เล็กน้อย ควีนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองในใจ

    นี่เธอมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วล่ะ?

    นึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว ถ้าในวันนั้นเธอรู้จักเชื่อคำพูดของวาเลนไทน์สักนิด มันก็คงจะไม่กลายเป็นเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้แน่ ควีนเหลือบตาขึ้น ทอดมองไปยังผืนฟ้าสีเทาครึ้มที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ในความเงียบนั้น หญิงสาวได้ยินเสียงคนที่อยู่ข้างนอกกำลังคุ้ยหาของในกองปุยนุ่นสีขาว ควรจะออกไปช่วยดีมั้ย? ถึงเฟเธอร์จะไม่ใช่พวกชอบร้องขอความช่วยเหลือจากใคร แต่อย่างน้อยการออกไปคุ้ยหิมะเล่น ก็คงดีกว่านั่งเฉยๆ อยู่ในรถให้ตนเองเบื่อไปเปล่าๆ

    ร่างบางเม้มริมฝีปาก ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูรถไปด้านนอก ในทันทีที่ขาข้างหนึ่งก้าวพ้นตัวรถ ไอเย็นจากบรรยากาศโดยรอบก็เผลอทำให้หนาวสั่นโดยไม่รู้ตัว ควีนปิดประตูรถเอาไว้เบื้องหลัง ก่อนจะเริ่มสาวเท้าผ่านมันไป เธออาศัยเสียงคุ้ยหิมะเป็นตัวบอกตำแหน่งของผู้กองหนุ่มคนนั้น

    เฟเธอร์ท่าทางจะยุ่ง ร่างสูงสันทัดนั่งคุกเค่าบนพื้นที่เต็มไปด้วยไอหนาวยะเยือกและเกล็ดปุยนุ่นของหิมะ แต่เขาก็คงจะไม่กลัวโดนน้ำแข็งกัดหรอก แน่นอนว่าสนับเข่าที่สวมอยู่ช่วยป้องกันปัญหานั้นได้ในระดับหนึ่ง เขาสะพายปืนไรเฟิลจู่โจมเอาไว้ด้านหลัง ส่วนมือทั้งสองก็กอบโกยหิมะไปรวมๆ กันเอาไว้ ทำแบบนี้มาเกือบสิบรอบแล้วมั้ง? แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหาของสำคัญเจอเลย

    หญิงสาวยืนโอบแขนอยู่เหนือร่างของเขา เฟเธอร์ตัดสินใจหยุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย เรือนผมหยักศกสีบลอนด์ทองสยายอยู่บนไหล่ข้างหนึ่ง ใบหน้าสะสวยแบบสาวเกาหลีจ้องกลับมา แค่มองก็รู้แล้วว่าเธออยากช่วย แต่คงจะไม่กล้าถาม นายทหารหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปจดจ่อกับการกระทำเดิมอีกครั้ง

    "ผมแนะนำแล้วนะว่าให้นั่งอยู่ในรถ"เขากล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้น"ข้างนอกหนาวจะตาย"

    ก็นะ ต่อให้มันจะอุ่นกว่าแต่ก็น่าเบื่อ สู้ออกมาตากหิมะข้างนอกไม่ดีกว่ารึไง? ควีนยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะกระแอมในลำคอเบาๆ ตอนนี้เฟเธอร์ไม่ได้มองเธอแล้ว

    "ให้ฉัน..ช่วยมั้ย?"

    เขาเงยหน้าขึ้นแล้วหันมาอีกครั้ง ท่าทางงงงวย"อะไรนะ?"

    "หาของน่ะ คือบางที--ฉันน่าจะช่วยคุณได้นะ"

    มีท่าทางลังเลอยู่ในแววตาสีเข้มคู่นั้น แต่สุดท้ายแล้วนายทหารหนุ่มก็พยักหน้า ควีนถอนหายใจ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งคุกเข่าในแบบเดียวกับที่เขาทำ ลงมือคุ้ยหาสิ่งของบางสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก จริงสิ ถ้าไม่รู้ว่าควรหาอะไรป่านนี้มันก็คงจะเจออยู่หรอก หญิงสาวชะงักเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มหันไปหาบุคคลเดิมซึ่งกำลังนั่งหันหลังอยู่ข้างๆ ถุงมือหนาแบบทหารที่เฟเธอร์สวมบัดนี้เปรอะไปด้วยหิมะ

    "คุณหาอะไรอยู่เหรอ?"

    ชายหนุ่มไม่ตอบ เขายกมือขึ้นชี้ขนนกที่อยู่บนสายรัดหมวกแทน 

    การกระทำนั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอรู้เป้าหมายของตนเอง ท่าทางเมื่อคืน...ตอนที่เขาชะโงกออกไปนอกรถ เฟเธอร์คงจะเผลอทำขนนกหลุดไปละมั้ง? ควีนพยักหน้า เธอตัดสินใจเอื้อมมือลงไปใต้พื้นหิมะแล้วขุดมันขึ้นมา ทำแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่ ทว่าในใจก็ยังคงตั้งคำถาม ควีนสงสัยเสียเหลือเกินว่าทำไมขนนกเรเวนพวกนั้นถึงสำคัญกับเขานัก ทั้งที่ตอนเกิดเหตุการณ์ล่มสลายของชิคาโก นกพวกนั้นก็ดูเหมือนจะกลายเป็น 'ยมทูต' ประจำเมืองไปเลยด้วยซ้ำ

    ควีนกระตุกยิ้มแหยๆ อันที่จริงก็อยากจะลองถามดูนะ แต่มันติดที่ความกล้าเนี่ยแหละ ไหนว่าเธออยากจะลองทำความรู้จักกับเขาดูไง? เรื่องแค่นี้ถ้าไม่ถามต่อไประหว่างพวกเขาก็มีแต่คำว่าคนแปลกหน้าละมั้ง

    โอเค..ลองดูไม่เสียหายอะไรเธอสูดหายใจลึกๆ อีกครั้ง

    "ทำไมขนนกพวกนี้--"ควีนลากเสียง"ถึงสำคัญกับคุณนัก"

    "ไม่ใช่ขนนก"

    "คะ?"

    เฟเธอร์เงยหน้าขึ้น เขาหันกลับมาหาเธอ"คุณเรียกมันว่า ขนนก แต่อันที่จริงแล้วมันมีชื่อ"

    เดี๋ยวนะ? หมอนี่ตั้งชื่อให้ขนนกที่อยู่บนหมวกด้วยเหรอ?

    ให้ตายสิ ช่างเป็นงานอดิเรกที่แปลกจริงๆ

    "คุณตั้งชื่อให้พวกมัน ทำไมล่ะ?"

    "ไม่ใช่งานอดิเรกหรอกนะ"ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ"แต่ขนนกพวกนี้มันทำให้ผมนึกถึงคนที่เคยรู้จัก เพื่อนร่วมรบ...คนที่ตายไปแล้ว"

    "ฉัน..ขอถามได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา"

    เฟเธอร์เงียบ บริเวณมุมปากใต้หน้ากากสีดำเผยอขึ้นเล็กน้อย

    "คำตอบก็คือ ไม่ได้"

    "ง...งั้นเหรอ? ฉัน..ฉันขอโทษนะ"

    ให้ตายสิ เธอดันไปถามอะไรที่ไม่เข้าเรื่องซะได้ หญิงสาวก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด ท่าทางแสดงออกชัดเจนพอจะทำให้อีกฝ่ายรับรู้ ชายหนุ่มส่ายหน้าขณะหันกลับไป เธอได้ยินเสียงคุ้ยกองหิมะอีกครั้ง

    "อย่ามัวแต่ขอโทษ"เฟเธอร์กล่าวเสียงเรียบโดยไม่หันกลับมา"ทำตัวให้ดีกว่าเดิมสิ"

    "ค...ค่ะ"

    เวลาผ่านไปไม่นานนัก ในที่สุดสิ่งของสำคัญก็ถูกค้นพบเสียพอดิบพอดี ควีนชะงักงันตอนที่ปลายนิ้วมือสัมผัสได้ถึงบางอย่างใต้กองหิมะ แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะหยิบมันขึ้นมาดูก่อน สิ่งของในมือคือขนนกที่หายไป ตอนนี้เส้นละเอียดของมันมีเกล็ดสีขาวเล็กๆ เกาะติดอยู่ ทำให้ดูเหมือนกับขนนกลายจุด ดูสวยไปอีกแบบ แต่เฟเธอร์คงจะพึงพอใจกับแบบเดิมมากกว่า หญิงสาวจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือ เธอตัดสินใจหันไปทางนายทหารหนุ่มผู้เดิม

    "อ...เอ่อ ฉันคิดว่าฉันเจอแล้วนะ"

    "หืม?"เขาหันกลับมา"ท่าทางจะจริงนะนั่น"

    "นี่ค่ะ"

    ควีนส่งสิ่งของดังกล่าวกลับคืนให้เจ้าของเดิม เขารับมันเอาไว้ ก่อนจะเริ่มสะบัดเอาหิมะออกจากเส้นขนสีดำนั่น ชายหนุ่มพลิกขนนกไปมาเพื่อตรวจสอบว่ามันเสียรูปหรือไม่ ก่อนจะนำขึ้นไปปักเอาไว้รวมกับที่เหลือบนหมวก เธอมองตามการกระทำนั่นอย่างสงสัย ขนนกสีดำเกือบสิบเส้นพลิ้วไปตามลมบนหมวกทหารของชายหนุ่ม เฟเธอร์ไม่กล่าวอะไรต่อ เขาลุกขึ้นยืน มือทั้งสองข้างปัดคราบสกปรกที่ติดบนขากางเกงออกไป แต่ควีนยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม

    เธอหวังว่าสักวันหนึ่งตนเองจะได้รับรู้เรื่องราวนั้น อะไรก็ตามที่เฟเธอร์พูดถึงเมื่อกี้นี้ มันคงนักหนาเกินกว่าที่เขาจะเล่าให้ใครฟัง หรือบางทีเธออาจไม่ใช่คนสนิท ควีนนึกถึงนายทหารอีกคนที่เป็นเพื่อนกับผู้กองคนนี้ เธอน่าจะจำชื่อของเขาได้ ไมเยอส์ละมั้ง? เดาว่าเขาคงจะรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับกองกำลังนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องรางเบื้องลึกของนายทหารที่ใช้นามแฝงว่าเฟเธอร์

    ในขณะที่ใช้ความคิดอยู่นั้น ฉับพลันมือข้างหนึ่งก็ยื่นลงมา หญิงสาวชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าเข้มจับจ้องมาที่เธอ มันแฝงไปด้วยประกายของอะไรบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ แต่ถ้าจะให้เดา ตอนนี้เขาคงอยากจะช่วยพยุงให้เธอลุกขึ้น

    "ขอบคุณ..."ควีนกระซิบเบาๆ แล้วจับมือใหญ่ข้างนั้นเอาไว้

    เฟเธอร์ดึงร่างบางขึ้นจากพื้น พยายามไม่กำข้อมือของอีกฝ่ายแน่นจนเกินไป เขาไม่กล่าวอะไรกับเธอ นัยน์ตาสีเข้มยังคงไม่ละไปจากใบหน้าของหญิงสาว ควีนหันหน้ามองซ้ายขวาสักครู่ สุดท้ายก็หันมาสบตากับนายทหารหนุ่ม เขายังคงจับมือเธอไว้หลวมๆ แววตานิ่งสนิทแลดูลึกลับจนทำให้รู้สึกกดดัน แต่ควีนก็ไม่หันหนีไป เธอเลือกที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แม้ในความจริงจะรู้สึกสั่นๆ อยู่บ้างก็ตาม

    ความสูงที่ต่างกันเกือบหนึ่งฟุตทำให้ต้องเงยคางขึ้น และการทำอะไรแบบนั้นก็ช่วยเพิ่มความกดดันได้เป็นอย่างดี ควีนมองไปยังใบหน้าที่ถูกปกปิด..มองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น เธอหวังจะได้รู้อะไรเพิ่มบ้างเกี่ยวกับตัวเขา แต่กลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย

    เฟเธอร์กระตุกยิ้มมุมปาก เขาตัดสินใจปล่อยมือของหญิงสาวให้เป็นอิสระ

    "ขอบคุณที่ช่วยหา"เขากล่าวขณะเดินกลับไปที่รถหรูของตนเอง ควีนตามหลังไป"ทีแรกกะว่าจะพาไปส่งค่าย แต่...ผมคงต้องเปลี่ยนใจแล้วล่ะ"

    "ห๊ะ? แล้วคุณจะไปไหนเหรอ?"

    "ผมต่างหากที่ต้องถาม คุณนั่นแหละที่จะไปไหน"

    ควีนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ ใบหน้าชวนขำทำให้ผู้กองหนุ่มถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมา มันดังกึกก้องเพราะหน้ากากบาลัคคลาวาที่เขาสวมอยู่ แต่ก็ขำขันพอจะทำให้เธอคลี่ยิ้ม

    เฟเธอร์ยกมือขึ้นเท้าสะเอว

    "งั้นถามแบบนี้ดีกว่า"ชายหนุ่มกระแอม"คุณอยากไปไหนมั้ยล่ะ?"

    "จะพาไปงั้นเหรอ พูดจริงมั้ยเนี่ย"

    "จริงสิ"

    หญิงสาวคลี่ยิ้มแก้มปริ ท่าทางควีนคงจะไม่ได้ไปไหนเลยตั้งแต่ผันตัวเป็นสมาชิกของลีเจียน แหงล่ะ สิ่งเดียวที่จะทำให้คนอย่างเธอสามารถออกไปด้านนอกได้ ก็มีแค่การไปหาเสบียงละมั้ง? เพราะแย่างนั้นเธอถึงได้ตื่นเต้นกับคำเชิญชวนของเขานัก ผู้กองหนุ่มยังคงจ้องมองท่าทางดีใจนั่น เขารู้สึกเอ็นดูแม่สาวนี่แบบแปลกๆ ก็นะ..ไม่ได้ถามอายุมาหรอก แต่ควีนดูเหมือนเด็กกว่าที่เขาคิด

    "งั้นฉันไป"เธอตอบอย่างไม่ลังเล

    "...โอเค ที่ไหนล่ะ?"

    นั่นสิ ที่ไหนล่ะ? มีหลายที่ที่เธออยากไป แต่ที่มากที่สุดก็น่าจะเป็น...ร่างบางนิ่งคิดสักครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองไปยังรถดีบีไนน์คันเดิม ในหัวพยายามนึกถึงสถานที่สุดโปรดที่ชอบไปก่อนจะเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น...

    แล้วควีนก็คิดออก เธอเงยหน้า จ้องมองไปยังนายทหารหนุ่มอีกครั้ง

    "ที่ไหนก็ได้...ใช่มั้ย?"

    ท่ามกลางความเงียบและสายลมหนาวยะเยือก คำถามนั่นดังก้องอยู่ในอากาศ ก่อนที่มันจะได้รับคำตอบจากการพยักหน้าเพียงครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ อีกครั้ง แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ถูกปิดเอาไว้ แต่มันก็แสดงออกได้ชัดเจนเหลือเกินผ่านแววตา ควีนคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข...เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงออกมานานเหลือเกิน

    เฟเธอร์เอ่ยด้วยเสียงกระซิบ

    "...ใช่"



    "ที่ไหนก็ได้"

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×