ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #30 : [FEATHER] Betrayal

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 62
      5
      11 พ.ค. 62

    Betrayal

    [ F E A T H E R ]


     

    สีหน้าของเฟเธอร์แอบแฝงไว้ซึ่งความสับสน

    เบียร์ในแก้วใสบัดนี้เหลืออยู่แค่ครึ่งหนึ่ง ถึงกระนั้นเขาก็ทำได้เพียงนึกทบทวนซ้ำไปซ้ำมาเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งจะได้ยิน ปล่อยให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ใช้ความคิด ควีนมองใบหน้าของนายทหารหนุ่ม ริมฝีปากที่เม้มเรียบเป็นเส้นตรงบ่งบอกสิ่งที่อยู่ในหัวได้อย่างชัดเจน ในตอนนี้ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ทั้งสองคนทำได้เพียงนั่งอยู่เงียบๆ ขณะปล่อยให้เวลาเลยผ่านไป

    เป็นไปไม่ได้ที่พวกสวีปเปอร์ที่จะมีน้ำมันของแอตลาสต์ไว้ในครอบครอง

    แต่ทำไม...แกลลอนน้ำมันของกองทหารถึงไปถูกพบอยู่ในค่ายของพวกนั้นได้ล่ะ?

    "คุณคิดว่าพวกนั้นขโมยไปหรือเปล่า"

    ควีนเอ่ยถาม เธอไม่อยากนั่งให้บรรยากาศเงียบชวนกดดันขนาดนี้ ถึงแม้ว่าวิทยุตัวเล็กที่ตั้งอยู่ตรงมุมจะยังคงส่งเสียงเพลง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคือสีหน้าของเฟเธอร์...พอได้ยินเรื่องน้ำมันนั่นก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง หญิงสาวยังคงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เธอเฝ้ารอให้อีกฝ่ายแสดงความคิดเห็นออกมา แต่นานเข้านอกจากที่เขาจะไม่ยอมพูดอะไรเพิ่มแล้ว ชายหนุมก็ดันหยิบขวดเบียร์มากระดกอีก ทำเอาควีนขมวดคิ้วเลยทีเดียว

    ต่อให้สถานการณ์ในตอนนี้จะแลดูเคร่งเครียดมากแค่ไหน อย่างน้อยเครื่องดื่มในมือก็พอจะช่วยให้เขาโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง ร่างสูงกระแทกขวดสีน้ำตาลใสลงบนเคาน์เตอร์ จากเบียร์ที่มีอยู่เกือบเต็ม บัดนี้ลดลงไปอย่างน่าใจหาย เฟเธอร์หยิบส่วนที่อยู่ในแก้วขึ้นมาดื่มจนหมด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของควีน ชายหนุ่มหันกลับมา แล้วเขาก็ยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มต่อหน้าอีกฝ่าย การกระทำนั้นแทบจะทำให้ควีนเบือนหน้าหนี แต่เธอก็เลือกที่จะถอนหายใจหนักๆ ออกมาแทน

    จนในที่สุดเบียร์ในขวดก็หมดเกลี้ยง ผู้กองหนุ่มวางขวดแก้วสีน้ำตาลในมือลงอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของเขาจะดูหดหายไปเล็กน้อย ยังไม่ทันที่ขวดจะได้ตั้งดี มันก็ดันล้มลงแล้วกลิ้งไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงขอบเคาน์เตอร์บาร์ ควีนเฝ้ามองขวดแก้วนั่น เธอเริ่มตาโตเมื่อรู้ว่ามันกำลังจะกลิ้งตกลงไป อีกไม่นานก็คงจะได้สะดุ้งโหยงกับเสียง เพล้ง! ที่อาจจะดังตามมาก็เป็นได้

    หญิงสาวหันน้าหนี แต่ผิดคาด ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นต่อจากนั้น เพลงในวิทยุยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนเงียบสงบ

    ดูเหมือนว่าขวดเบียร์นั่นจะถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน ควีนค่อยๆ เหลือบมองไปยังสีหน้าของนายทหารหนุ่มผู้นั้น ต่อให้ตอนนี้เขาจะดูมึนๆ กับฤทธิ์ของเครื่องดื่ม แต่อย่างน้อยก็ยังมีไหวพริบที่ดีพอจะไม่ปลอยให้ขวดเบียร์นั่นร่วงแตก เฟเธอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือวางขวดแก้วสีน้ำตาลเอาไว้บนเคาน์เตอร์อีกครั้ง นัยน์ตาคมกริบจ้องมองไปยังหญิงสาวคนเดิม ควีนพยายามยืนยันคำพูดของตนเอง เขาอาจจะคิดว่าเธอโกหก...หรือแค่ตาฝาดไป แต่ขอสาบานเลยว่าสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้คือความจริง

    "คุณคงจะไม่เชื่อฉันใช่มั้ย"

    อีกฝ่ายไม่ตอบ เขายังคงมองหน้าเธอ

    "สาบานเลยว่าแกลลอนน้ำมันนั่น..มีตราแอตลาสต์ประทับอยู่จริงๆ และฉันแค่สงสัยว่าพวกสวีปเปอร์ขโมยมันไปจากค่ายของคุณได้ยังไง"

    "...นั่นสินะ"

    "นั่นสินะ?"หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น ในที่สุดเขาก็ยอมพูดอะไรสักที"คุณรู้เหรอ?"

    "ผมไม่รู้หรอก"

    เฟเธอร์ปฏิเสธ ซึ่งมันก็จริง ต่อให้เขาจะเป็นนายทหารคนหนึ่งที่ใช้น้ำมันของกองทัพ แต่เขาก็ไม่อาจรับประกันสมมติฐานของเธอได้ ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ นั่นเป็นเหตุให้ควีนต้องลุกขึ้นตามด้วย ผู้กองหนุ่มคอยๆ ดึงหน้ากากบาลัคคลาวาขึ้น สวมหมวกทหารให้เรียบร้อย แล้วคว้าอาวุธประจำตัวมาถือไว้ นัยน์ตาสีเข้มเหลือบมองไปยังหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเบื่อ ความจริงเขาอยากจะนั่งๆ นอนๆ อยู่ในบาร์ให้นานกว่านี้ด้วยซ้ำ...

    ร่างสูงหันไปมองหญิงสาวคนเดิม เห็นได้ชัดจากสายตานั่นเลยว่าเขากำลังเอ่ยคำสาปส่งเธอในใจ ควีนขมวดคิ้ว อาจจะเป็นเพราะว่าสิ่งที่อีกฝ่ายคิดในหัวมันซับซ้อนมาก ดังนั้นเธอถึงไม่รู้สักทีว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่

    "คุณ..จะไปไหนน่ะ"

    "ก็ไปตามหาไอ้หัวขโมยนั่นน่ะสิ"เฟเธอร์พูดพลางใช้มือจัดขนนกที่อยู่บนสายรัดหมวก"ให้ตายเถอะ กะจะนั่งซดเบียร์แบบสบายๆ สักหน่อย"

    "เดี๋ยวนะ คุณกำลังบอกว่าฉันมารบกวนเวลาดื่มของคุณงั้นเหรอ?"

    "ก็ใช่นะ"

    กะแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ ควีนถอนหายใจอย่างเอือมระอา ในขณะที่นายทหารคนนั้นกำลังเดินออกไปยังประตู ทิ้งให้เธอยืนขบคิดกับพูดของเขาอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงบานพับโลหะดังขึ้น แต่ทว่าเขาก็ยังไม่เดินออกไป เฟเธอร์หันกลับมาหาควีนอีกครั้งหนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีเข้มคู่นั้นหรี่ลงพร้อมๆ กันกับที่อาการไม่พอใจเล็กๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในอากาศ

    "จะมาด้วยรึเปล่าครับ?"นายทหารหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

    "โอเคๆ ก็ได้..."


    แม้จะเป็นเวลาช่วงเช้า ทว่าบรรยากาศภายในค่ายของกองกำลังแอตลาสต์ก็ยังคงวุ่นวายไม่เปลี่ยนแปลง ทหารมากมายเดินขวักไขว่กันเต็มไปหมด ดูท่าทางพวกเขาจะยุ่งอยู่กับกิจวัตรประจำวันของตนเองเสียเหลือเกิน แม้ในตอนนี้โลกภายนอกจะทอดทิ้งคนที่อยู่ในซีโรโซนไปหมดแล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังคงปฏิบัติตามหน้าที่เดิมอย่างไม่บกพร่อง คนที่มีหน้าที่ขนส่งเสบียงก็เริ่มจะขนของขึ้นท้ายรถ เสียงออกคำสั่งดังลั่นของพวกทหารทำให้ค่ายแอตลาสต์แห่งนี้แลดูคล้ายกับเมืองขนาดเล็ก

    ควีนพยายามเดินตามหลังผู้กองหนุ่มตรงหน้า จริงๆ แล้วอาจจะเรียกได้ว่าแทบจะเดินติดตัวเขาเลยก็ได้ ถึงแม้ทหารที่นี่จะรู้จักเธอในฐานะนักกีฬาคนดัง แต่มันก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้อยู่ดี หญิงสาวถอนหายใจ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังบรรยากาศรอบตัวช้าๆ ควีนเห็นทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านตนเองไป เสียงนับจังหวะฝีเท้าดังพร้อมเพรียงกัน นอกจากการฝึกวิ่ง สิ่งที่ทหารแอตลาสต์ทำนอกจากนั้นคือการยิงปืน

    ด้านหน้าลานกว้างที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสนามยิงปืนเต็มไปด้วยผู้คน เหล่าชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบกลุ่มนั้นเหนี่ยวไกปืนตามคำสั่ง เสียงกัมปนาทดังประสานกันในชั่วเวลาเพียงไม่กี่วินาที ลูกตะกั่วจากปืนพกพุ่งตรงไปยังเป้าเหล็กที่ถูกทำขึ้นเอง เสียงปะทะกันระหว่างกระสุนกับเป้าซ้อมยิงดังกึกก้อง มันดังพอที่จะทำให้ควีนยกมือขึ้นปิดหู แต่สำหรับเฟเธอร์...ดูเหมือนว่าเสียงปืนจะกลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเสียแล้ว

    ทั้งสองเดินทางกันมาเกือบครึ่งค่อนของค่ายใหญ่ ท่ามกลางหิมะที่กำลังตกโปรยปรายและสายลมอันแสนจะเย็นยะเยือก ควีนยกมือขึ้นโอบแขน ลมหายใจพ่นออกมาเป็นควันสีขาวชัดเจน ในหัวเฝ้าถามตนเองซ้ำไปซ้ำมาว่านายผู้กองนี่จะพาเธอไปไหน แต่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว...เฟเธอร์คงจะพอรู้ว่าเขาควรจัดการเรื่องนี้ยังไง ถ้าน้ำมันของแอตลาสต์โดนขโมยไปจริงๆ ทหารที่ดูแลเรื่องพวกนี้ก็อาจจะรู้อะไรบ้าง แต่ทางเดินไปโรงเก็บน้ำมันที่ว่านี่มันก็ไกลเสียเหลือเกิน

    ร่างบางหันไปรอบตัว สายตากวาดมองสภาพความเป็นอยู่ของฝูงชนในเครื่องแบบลายพราง ในขณะนั้นขาทั้งสองก็ยังก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้หันไปมองเส้นทางตรงน้า จนกระทั่งเผลอเดินเข้าไปชนหลังของใครบางคนพอดี ควีนชะงักนิ่ง ความรู้สึกปวดๆ ทำให้เธอต้องยกมือขึ้นสัมผัสบริเวณหน้าผากเล็กน้อย แหงสิ ก็ดันเดินเข้าไปชนกับหลังของเฟเธอร์ซะพอดีเลยนี่? หมอนั่นสวมเสื้อเกราะหนาเตอะอย่างกะรถถัง ไม่เจ็บก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว

    "ซุ่มซ่าม"นายทหารหนุ่มสบถเบาๆ แต่ในใจก็แอบขำอยู่เล็กน้อย"ระวังหน่อยสิ"

    "จ้าๆ ขอโทษได้มั้ยล่ะ?"

    "เปลี่ยนจากคำขอโทษเป็นอย่างอื่นจะดีกว่านะ"

    จะบ้าตาย ควีนเบ้ปาก สีหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความเอือมระอาแบบสุดๆ ร่างบางยกมือขึ้นกอดอกอีกครั้ง ใบหน้าสะสวยหันไปมอง 'โรงเก็บน้ำมัน' ที่อยู่ในการดูแลของแอตลาสต์ตรงหน้า มีทหารเฝ้ายามเต็มไปหมด ถ้าจะให้นับก็น่าจะประมาณสิบหรือสิบห้าคน แต่ละนายติดอาวุธพร้อมที่จะจู่โจมผู้บุกรุกได้ทุกเมื่อ อันที่จริงขนาดของโรงเก็บน้ำมันก็ไม่ได้ใหญ่เหมือนที่คิดเอาไว้ เป็นเพียงแค่โกดังเก่าๆ ทรงสี่เหลี่ยม หลังคาทำจากแผ่นสังกะสีบางๆ ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ส่วนประตูเข้าออกก็เป็นแค่ประตูรั้วเลื่อนธรรมดา

    แต่สิ่งที่อยู่ด้านในนั้นทำให้แอตลาสต์ยอมทุ่มเอาทหารส่วนหนึ่งมาเฝ้า อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ล่มสลายขึ้น ทรัพยากรทั้งหมดภายในเมืองก็ถูกช่วงชิงกันอย่างบ้าระห่ำ ใครโชคดีพอก็ได้เป็นเจ้าของ ส่วนถ้าคนโชคร้าย...ถ้าไม่ตายก็ได้ไปใช้เพียงเล็กน้อย กองกำลังแอตลาสต์คงจะจัดอยู่ในกลุ่มคนโชคดีมากกว่า เพราะพวกเขามีน้ำมันให้ใช้แทบไม่อั้นในแต่ละวัน ด้วยจำนวนแกลลอนของเชื้อเพลิงที่อยู่ในโกดังเบื้องหน้า ก็อาจจะเรียกได้เลยว่าตอนนี้แอตลาสต์คือคนกลุ่มเดียวที่ครอบครองน้ำมันมากที่สุด

    ทว่าครั้งนี้สิ่งที่ควีนเจอทำให้ความคิดนั่นผิดไปอย่างสิ้นเชิง

    ถ้าน้ำมันไม่ได้ถูกขโมยไป ก็อาจจะมี 'คนใจดี' บางคนที่แอบแจกของของตนเองให้พวกสวีปเปอร์โดยที่ไม่มีใครรับรู้

    เฟเธอร์หันซ้ายหันขวา เขากำลังมองหาใครบางคน...ใครก็ได้ที่ทำงานอยู่กับโกดังนี้ทุกวี่วัน หลังจากยืนรอมานาน ในที่สุดพลทหารคนหนึ่งก็เดินผ่านมาแถวนั้นพอดี ชายหนุ่มอายุน้อยสวมเครื่องแบบลายพรางสีเทา รองเท้าคอมแบต กับผ้าพันคอผืนหนาเตอะไว้ป้องกันความหนาว ในมือถือเอกสารเป็นปึก ท่าทางคงจะกำลังรีบเร่งอยู่

    แต่ต่อให้จะรีบแค่ไหน เขาก็ต้องชะงักเพราะคำเรียกของทหารผู้มียศสูงกว่า 

    "เดนนิส!"

    พลทหารเดนนิสหันควับ สายตาเหลือบไปเห็นผู้กองเฟเธอร์เจ้าของเสียง ข้างๆ ของอีกฝ่ายมีหญิงสาวชาวเอเชียยืนกอดอกอยู่ ทหารหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปสมทบกับบุคคลดังกล่าวนั้น

    "อรุณสวัสดิ์ครับท่าน"เขาเอ่ยทักทาย"มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?"

    "อ้อ--มีแน่ เอกสารนั่นเกี่ยวกับน้ำมันรึเปล่า"

    "ครับ ใช่ครับท่าน"

    "ผมขอดูหน่อย"

    สมุดบันทึกเล่มนั้นถูกยื่นมาให้ เฟเธอร์รับมันไว้ขณะพยักหน้าหงึกหนึ่ง มือใหญ่เริ่มเปิดแผ่นกระดาษไปมาเรื่อยๆ ควีนพยายามชะเง้อดู แต่ด้วยความสูงที่ต่างกันทำให้เธอต้องเขย่งเท้า ความพยายามนั้นไม่ได้สำเร็จเท่าที่ควร แต่ก็พอจะทำให้รู้ได้บ้างว่าเอกสารที่ผู้กองหนุ่มกำลังถืออยู่ตอนนี้...คือบันทึกการใช้งานน้ำมันของกองทัพ

    เฟเธอร์เปิดหน้ากระดาษในมือ นัยน์ตาสีฟ้าเข้มเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด เขาอ่านข้อความที่อยู่ในเอกสารอย่างละเอียด บันทึกวันล่าสุดถูกเขียนเอาไว้เมื่อวันก่อน ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะหลังจากยึดโรงพยาบาลกลับมาได้แล้ว โควาสกีก็ให้น้ำมันสี่แกลลอนเป็นการตอบแทน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเปิดกลับไปดูบันทึกก่อนหน้านี้ อย่างน้อยก็น่าจะพอทำให้รู้ได้ว่าน้ำมันส่วนใหญ่หายไปไหน

    "อืม..."

    "ขอดูหน่อยสิ!"ควีนร้องบอก เธอพยายามอ่านข้อความที่อยู่ในบันทึกนั่น

    "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนนอกสักหน่อย"

    "แต่อย่างน้อยฉันก็เป็นคนนอกที่เอาเรื่องนี้มาบอกคุณนะ!"

    ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ ต่อให้จะรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เขาพูดมันก็ถูก...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างเธอ ถ้าอีกฝ่ายจะไม่ไว้ใจ มันก็คงไม่แปลก เฟเธอร์หันไปหาพลทหารคนเดิมอีกครั้ง จากการอ่านข้อความที่บันทึกอยู่ในเอกสารเมื่อราวๆ สองสามอาทิตย์ก่อนหน้านี้ มันก็พอจะทำให้เขารับรู้เรื่องจำนวนแกลลอนน้ำมันที่ถูกใช้ไปแบบคร่าวๆ แล้ว แต่นั่นก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้

    "ให้ตายสิ..."เฟเธอร์อุทาน เขายังคงจับจ้องไปยังหน้ากระดาษในมือ"เราใช้น้ำมันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ"

    "เอ่อ--คงงั้นมั้งครับ?"

    "หายไปเกือบยี่สิบแกลลอนเลยนะ แปลกจัง ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ?"

    "ท่านครับ ต้องขออภัยด้วยที่ผมให้รายละเอียดมากกว่านี้ไม่ได้..."

    พลทหารเดวิสทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็ต้องชะงักอยู่แค่นั้น เพราะสายตาของอีกฝ่ายทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนเป็นความกดดัน ยิ่งมีลมหนาวพัดมาหวิวๆ แบบนี้ด้วยแล้ว...มันก็ยิ่งทำให้ปากแข็งจนแทบพูดอะไรไม่ออก

    ท่ามกลางสถานการณ์อันแสนจะตรึงเครียดนั้นเอง ควีนค่อยๆ มองไปยังใบหน้าของเฟเธอร์ หญิงสาวสะดุ้งเฮือกอยู่ในใจ ชายหนุ่มเริ่มก้าวเท้าเข้าไปประชิดตัวพลทหารผู้นั้น เอกสารในมือถูกยกขึ้นชูให้อีกฝ่ายได้เห็นอย่างชัดเจน นัยน์ตาสีเข้มฉายแววเคร่งขรึมชวนให้กดดัน ทว่ามันก็เต็มไปด้วยความสงสัย เดนนิสกลืนน้ำลายลงคอ เดาว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงจะไม่อยากฟังรายละเอียดของเขามากเสียเท่าไหร่

    "พลทหารเดนนิส--"เฟเธอร์ลากเสียงชวนให้รู้สึกขนลุก"จำได้มั้ยว่าผมกำชับคุณไว้ว่าอะไร"

    "จ..จำได้ครับ"

    "ไม่เห็นได้ยินเลย"

    "จำได้ครับท่าน!"

    "ไหนทวนมาซิ"

    "ท...ท่านบอกว่า..."น้ำเสียงอันสั่นคลอนลากยาวต่อไป สายตาอันแสนกดดันนั่นยังคงจับจ้องมาที่เขา"...ต้องรายงานเรื่องน้ำมันทุกครั้ง..ครับ"

    "งั้นทำไมไม่รายงานเรื่องนี้กับผมล่ะเดนนิส?"เขายื่นเอกสารเข้าไปใกล้หน้าพลทหารหนุ่มมากขึ้น"...บอกหน่อย ทำไมผมถึงไม่รู้ว่ามีไอ้พวกเห็นแก่ตัวเอาน้ำมันกองทัพไปใช้เยอะขนาดนี้?"

    "ค...คือว่า! เรื่องน้ำมันยี่สิบแกลลอนนั่น--"

    ท่าทางการข่มขวัญแบบนี้จะได้ผลดีพอควร แต่ในทางตรงกันข้ามมันก็ยิ่งทำให้ตัวตนของเขาดูแย่ในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะกับควีน หญิงสาวเริ่มอยากจะก้าวถอยออกไปไกล สีหน้าแสดงให้เห็นความประหม่าอยู่เล็กๆ ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอดูไม่ค่อยจะอยากยืนอยู่ข้างเฟเธอร์เลย แต่ถึงเธอจะมองเขาเป็นปิศาจ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกังวลอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่เฟเธอร์สนใจคือ...เกิดอะไรขึ้นกับน้ำมันยี่สิบแกลลอนที่หายไป

    "ผม...ผมคิดว่า--ท่านน่าจะไปลองติดต่อจ่าเบเกอร์ดูนะครับ!"

    "จ่าเบเกอร์? เขาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?"

    "จ่าแกเป็นคนยื่นคำร้องขอใช้น้ำมันเองนะครับท่าน! ตอนแรกผมก็นึกว่าเขาจะรายงานให้ท่านทราบแล้วซะอีก..."

    จ่าเบเกอร์...

    ให้ตายสิ ชักได้กลิ่นไม่ดีแล้ว เฟเธอร์ตัดสินใจหยุดท่าทางน่ากลัวของตนเองเอาไว้เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะทำพลทหารหนุ่มสติแตกไปเสียก่อน เขาส่งสมุดบันทึกในมือของตนเองกลับคืนไปอย่างสุภาพ โชคยังดีที่เดนนิสมีสติพอที่จะโต้ตอบกับท่าทางชวนขนลุกนั่น แต่ยังไงซะผู้กองก็ยังรู้สึกฉุนๆ อยู่ในใจ 

    "คุณไม่ทำตามคำสั่งของผมเลย พลทหาร"เขายกมือขึ้นกอด"ผมควรทำยังไงดีล่ะ"

    "อ...เอ่อ..."

    "เฟเธอร์--"

    ผู้กองหนุ่มถอนกายใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าดันมีคนกล้าเข้ามาขัดจังหวะสำคัญแบบนี้ด้วย เขาหันกลับไป ท่าทางจะลืมไปเสียสนิทเลยว่ามีควีนยืนอยู่ข้างๆ แถมเธอก็ดูท่าทางเหมือนลูกแมวหรืออะไรทำนองนั้นเลย เฟเธอร์นิ่ง ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น พาให้คนอื่นรู้สึกงงงวยกันเป็นแถว ส่วนพลทหารเดนนิสก็ทำได้แค่มองตามใบหน้าของคู่สนทนา

    "ฮ่าๆ--ให้ตายสิ!"คำพูดติดเสียงหัวเราะทำให้พลทหารหนุ่มขมวดคิ้ว"เกือบลืมไปเลยว่า..วันนี้ผมพาสาวมาด้วย"

    "อะไรนะ--"ควีนทำท่าจะแย้งแต่ก็ถูกขัดเอาไว้

    "ถ้าไม่ติดที่มีสุภาพสตรียืนอยู่กับผมละก็...ป่านนี้คุณคงจะโดนไม่น้อยเลยล่ะพลทหาร"

    นัยน์ตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นฉายแววอะไรบางอย่าง ร่างสูงถอนหายใจ เขาเอามือทั้งสองข้างกุมประสานไว้ด้านหลัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดครึ้มที่เต็มไปด้วยเมฆและเกล็ดหิมะสีขาวบริสุทธิ์

    "ที่นี่...ในแอตลาสต์"เฟเธอร์เอ่ย"กฎระเบียบคือสิ่งสำคัญที่ทหารอย่างเราจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และเพราะการที่มีกฎระเบียบตราเอาไว้...มันก็คอยเป็นเส้นขีดล้อมไม่ให้เราเถลไถลออกไปนอกกรอบ"

    ควีนเงียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองไปยังนายทหารหนุ่ม

    "ถ้าไม่มีกฎ เราก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ เข้าใจมััยเดนนิส?"

    "ครับท่าน...ผม..รับทราบครับ"

    "ดี"เฟเธอร์พยักหน้า"ไปได้"

    "ครับท่าน!"

    ทหารหนุ่มยกมือขึ้นทำความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะรีบวิ่งออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง ท่าทางเดนนิสจะดูกลัวแบบสุดๆ แหงล่ะ ก็ดันไม่รายงานเรื่องสำคัญให้เบื้องบนทราบนี่ ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่โดนลงโทษตามวินัยเหมือนคนอื่นเขา

    นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยมองตามหลังร่างของนายทหารที่วิ่งออกไป สลับกับใบหน้าเรียบๆ ที่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากของบุคคลที่ยืนอยู่ข้างตนเอง ควีนได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่เฟเธอร์จะเริ่มสาวเท้าเดินไปมา ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะทำให้เขากลายเป็นคนคิดมากไปเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปยังแสงสว่าง ณ ปลายขอบฟ้า ในหัวครุ่นคิดเรื่องเดิมวนไปเวียนมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด มือใหญ่ทั้งสองบัดนี้ถูกยกขึ้นมากอดอกเอาไว้

    "แล้ว...เอาไงต่อล่ะ"

    ควีนเอ่ยถามเบาๆ เสียงของเธอแทบจะโดนกลืนกินด้วยความเงียบโดยรอบ แต่สุดท้ายมันก็ดังพอที่จะทำให้อีกฝ่ายหันมา ดวงตาสีเข้มคู่นั้นฉายแววความมุ่งมั่น ตอนนี้เฟเธอร์คงจะกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ในหัว

    "ก็ต้องไปตามหาจ่าเบเกอร์"เขาตอบ"ถ้าหมอนั่นเป็นคนขโมยน้ำมันไปให้สวีปเปอร์จริงๆ...ผมก็อยากจะรู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น"

    จ่าสิบโทเบเกอร์ได้รับหน้าที่เป็นคนส่งของประจำค่าย ทุกๆ เช้าเขาจะรีบขนของจำพวกเสบียง ยา อาวุธ แล้วออกไปแจกจ่ายให้กองลาดตระเวนด้านนอก แต่ทว่าในตอนนี้...ดูเหมือนว่านายทหารคนนั้นจะเริ่มทำหน้าที่เลยเถิดไปมากกว่าเดิมแล้วล่ะ บางครั้งเฟเธอร์ก็หวังให้สิ่งที่เขาคิดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เขาไม่ใช่พวกที่ทนทำใจกับเรื่อง 'เกลือเป็นหนอน' ได้ดีเท่าที่ควร แต่ถ้าสิ่งนัั้นเป็นความจริง...คนทรยศก็ต้องถูกกำจัด

    สายลมหนาวพัดมาปะทะใบหน้า ธงของกองทัพที่ถูกหลงลืมพลิ้วไสวอยู่เหนือตึกบัญชาการ มองเลยขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยกลีบเมฆสีเทาครึ้ม แสงอาทิตย์อันอบอุ่นก็ค่อยๆ สาดกระทบลงมา เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกับการวนเวียนอยู่หน้าโรงเก็บน้ำมัน ในที่สุดใครคนหนึ่งก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำพูดขึ้น

    "เรื่องนี้..."เฟเธอร์ลากเสียง เขาค่อยๆ หันไปหาควีน"มันชักจะทำให้ผมได้กลิ่นไม่ดี"

    "กลิ่นไม่ดี?"

    "กลิ่นของพวกทรยศ"

    ชายหนุ่มเว้นวรรค

    "ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์นรกแตกแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็มักจะมีคนๆ หนึ่งที่เห็นผลประโยชน์ตัวเองมากกว่าเพื่อนร่วมโลก...คนที่ยอมละทิ้งได้แม้กระทั่งสหายเพื่อสิ่งที่ดีกว่า"

    ควีนยังคงยืนฟังคำพูดต่อไปของเขา ในขณะที่นายทหารหนุ่มส่งเสียงหึในลำคอ สายตาจับจ้องไปยังหญิงสาวพร้อมกับริมฝีปากที่กำลังกระตุกยิ้ม แม้ว่าหน้ากากที่เขาสวมจะทำให้เธอมองไม่เห็นรอยยิ้มนั่น แต่อย่างน้อย เธอก็พอเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อได้เป็นอย่างดี ควีนเหลือบมองไปยังขนนกที่ประดับอยู่บนหมวกของเขา มันแทบจะไม่พลิ้วไสวไปตามสายลม ราวกับทุกคำพูดของเฟเธอร์มันดูมีน้ำหนัก..และทรงพลังเสียเหลือเกิน

    "..และเพราะที่โลกมีคนแบบนั้นอยู่"ชายหนุ่มเอ่ยต่อ"มันก็เป็นการยากนักที่จะทำให้ผมเชื่อใจใครได้"

    "แล้วคุณ...เชื่อใจฉันมั้ย"

    คำถามของควีนถูกเอ่ยออกมาสั้นๆ แต่คำตอบที่อาจจะถูกพูดออกมากลับมีหลายล้านความหมาย ยอมรับเลยก็ได้ว่าเธออยากจะรู้จักเขา รู้จักกับผู้กองคนนี้ อย่างน้อยการที่เอาเรื่องน้ำมันมาบอกพอจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาได้บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงอีกฝ่ายได้จริงๆ นั้นก็คือ 'ความเชื่อใจ' 

    นายทหารหนุ่มไม่ตอบ นัยน์ตาสีฟ้าเข้มคู่เดิมจับจ้องไปยังร่างบางในชุดเสื้อกันหนาวตัวหนา ควีนเองก็พยายามอ่านสายตานั่น แต่นอกจากจะไม่รู้อะไรเพิ่มแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาดันกลายเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

    ทันใดนั้นเฟเธอร์ก็หัวเราะ

    "ฮะๆ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?"

    "ก็...ก็คุณบอกว่าฉันเป็นคนนอกนี่"หญิงสาวพูด แววตาของเธอแลดูลกๆ ลนๆ ผิดปกติยามมองใบหน้าที่ถูกปกปิดนั่น"ฉันคิดว่าคุณคงจะไม่เชื่อใจฉัน"

    ควีนพยายามหลบหน้า แก้มเนียนเริ่มปรากฏให้เห็นสีแดงระเรื่อ ความเขินอายก่อตัวขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ และแล้วใครคนหนึ่งก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเขามาหาเธอ ร่างสูงสันทัดเข้าประชิดตัวโดยที่ไม่อาจรับรู้ได้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย สบสายตาเย็นยะเยือกคู่นั้นสักพักหนึ่ง เฟเธอร์ดูเหมือนว่าจะกระตุกยิ้มภายใต้หน้ากากลับๆ แต่นั่นก็ทำให้เธอดูออกได้ไม่ยากว่าเขาคิดอะไรอยู่

    "ผมไม่มีปัญหาเรื่องไว้ใจคนนอกหรอกครับ"


    "ถ้าเขา...หรือเธอคนนั้นมีประโยชน์กับผมมากพอ"

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×