ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War and Sacrifice : Route to the War

    ลำดับตอนที่ #52 : From a Man who sold the World จากปากชายผู้ขายโลกทั้งใบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 79
      3
      24 มี.ค. 61

    War and Sacrifice

    Side Story : From a Man who sold the World

     

     

    “ลูกสาวคุณ...”

    “...เธอสวยดีนะครับ”

     

    ร่างสูงสันทัดเดินลากสังขารตนเองไปเรื่อยโดยไร้ซึ่งจุดหมาย

    รอบกายไม่เพียงแต่จะเป็นเศษซากที่เหลืออยู่ของสนามรบ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตึกนับร้อยหลังที่พังทลายลงมาจนกลายเป็นปูนชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ใช่เพียงแค่รถถังเยอรมันขนาดยักษ์ซึ่งบัดนี้จอดแน่นิ่งอยู่บนเนินหิน ปลายกระบอกปืนของมันเบี้ยวจนแทบจะหักออกเป็นสองส่วนราวกับท่อนไม้แข็งๆ ปลอกกระสุนจำนวนมากทิ้งเกลื่อนเต็มพื้นดินอันแสนจะร้อนระอุด้วยไอแดด แสงอาทิตย์เหนือศีรษะยังคงไม่มีทีท่าว่าจะถูกบดบังโดยเงาเมฆ สายลมหอบเอากลิ่นอายของคาวเลือดและซากศพมาเป็นระยะตามฉบับสนามรบทั่วไป

    ...ไม่มีพลเรือน ไม่มีทหาร หลังสงครามจบทุกสิ่งก็กลับกลายเป็นความว่างเปล่า

    แต่ถึงกระนั้นเอง ไม่ว่าเจ้าของร่างสูงนั้นจะเป็นใครเขาคงไม่ใช่คนที่ทำให้โลกกลายเป็นแบบนี้แน่ จากเครื่องแบบที่สวมใส่อยู่ก็คงจะพอเดาได้ว่าชายคนนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้รับใช้สงคราม ไหล่ด้านซ้ายซึ่งสะพายปืนซุ่มยิงสัญชาติอเมริกันเอาไว้นั้นดูท่าทางจะบาดเจ็บสาหัส กำปั้นสวมถุงมือสีดำขาดๆ กุมบริเวณชายโครงซ้ายเอาไว้ราวกับกำลังระงับความเจ็บปวดของตนเอง ชายหนุ่มแทบจะไม่สูดเอากลิ่นอายซากศพเข้าไปเลยแม้แต่น้อยยามเขาเดินผ่านร่างไร้วิญญาณของทหาร ลมหายใจหนักผ่อนเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง แต่อย่างน้อยแม้จะบาดเจ็บเสียขนาดนั้นเขาก็ยังอดทนมาได้

    มืออีกข้างที่ไม่ได้กุมความเจ็บปวดเอาไว้ดูท่าทางจะสำคัญที่สุด ซองเอกสารกำแน่นเอาไว้จนปรากฏรอยยับยู่ยี่ คราบเลือดบริเวณฝ่ามือยังคงไหลรินและหยดติ๋งลงบนผืนอันแห้งแล้งจนเกิดเป็นรอยทางยาว...จังหวะก้าวเดินของทหารหนุ่มค่อยๆ ช้าลงและช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าเรี่ยวแรงแทบจะที่มีทั้งหมดนั้นถูกกลืนหายไป แม้จะผ่านสมรภูมิมามากมายแล้วตั้งแต่ต้นสงครามแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน ทว่าสิ่งเดียวที่คอยบังคับไม่ให้ร่างทรุดลงไปนั้นคือภารกิจสุดท้ายในหัวของตนเอง และแน่นอนมันต้องเกี่ยวข้องกับเอกสารในมือของเขา

    แต่สุดท้าย...เขาก็ยังเป็นมนุษย์

    ฟุ่บ—

    ในที่สุดความเหนื่อยล้าก็เอาชนะพละกำลังอันมหาศาล ร่างในเครื่องแบบเปื้อนเลือดสีซีดทรุดตัวลงบนพื้น แล้วนอนแน่นิ่งไปราวกับกลายเป็นซากศพไปแล้วภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงหายใจรวยรินดังออกมาอย่างแผ่วเบาจนแทบจะถูกสายลมกลืนกลบ หูยังคงได้ยินเสียงแตกเปรี๊ยะของกองเพลิงขนาดยักษ์ที่กำลังเผาไหม้ตึก จมูกได้กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพของเหล่าผู้รับใช้สงครามและควันไฟ ดวงตาที่เริ่มจะไร้ชีวิตคู่นั้นกระพริบอย่างยากลำบาก พยายามนึกถึงภารกิจสุดท้ายราวกับหวังว่านั่นจะช่วยให้ตนเองสามารถลุกขึ้นยืนได้ ซองเอกสารในมือซึ่งได้มาจากการแย่งชิงเมื่อครู่นี้กำแน่นมากกว่าเดิม

    ทหารหนุ่มพลิกตัวให้นอนหงาย ใบหน้าสัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุจากสะเก็ดไฟซึ่งกระเด็นออกมาโดน นัยน์ตาสีครามเหลือบเทาคู่นั้นมองขึ้นไปยังท้องนภาสีเงินอันถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ ในใจแอบหวังไว้เล็กน้อยว่าจะให้สายฝนเทลงมาดับเพลิงสงครามนี้บ้าง ราวกับเวทมนตร์ที่ทำให้คำอธิษฐานของเขาเป็นจริง ไม่ทันที่จะได้หลับตาลง พลันหยดน้ำขนาดเล็กก็ร่วงลงมากระทบบนใบหน้าหยดหนึ่ง ไอความเย็นเริ่มก่อตัวขึ้นท่ามกลางความร้อนระอุ จนในที่สุดแล้วหยดน้ำนับล้านหยดก็เทลงมากระทบกับร่างสูงในเครื่องแบบนั่น ความเปียกชื้นกลายเป็นสิ่งเดียวที่สามารถรับรู้ได้ในตอนนี้

    “สุดท้ายแล้ว...ก็ยังเป็นแค่มนุษย์สินะ”

    เสียงนั่นดังขึ้นอย่างแผ่วบาง รอยยิ้มมุมปากปรากฏบนใบหน้าอันเต็มไปด้วยบาดแผลช้าๆ แทนที่จะลุกขึ้นตามสัญชาตญาณของตนเอง ทหารหนุ่มคนนั้นกลับเลือกที่จะนอนแผ่อยู่ที่เดิมท่ามกลางหยาดฝน เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทาครึ้มเบื้องบนอย่างสงบ...แล้วจึงหลับตาลง

    “ดีเหมือนกัน”

    เขากล่าวอีกครั้งขณะหลับตา

    “...ตายกลางสายฝน”

     

     

    “คุณเจอเขาที่ไหนเนี่ย?”

    “เบอร์ลิน สงครามจบแล้วแต่หมอนี่ก็ยังไม่กลับไปหน่วยตัวเอง”

    “...คุณรู้จักเขาสินะ?”

    “ก็ไม่เชิงหรอก”

     

    เปลือกตาบางแต่หนักอึ้งค่อยๆ ลืมเปิดอย่างเชื่องช้าจากการหลับใหล เบื้องหลังนั้นคือนัยน์ตาสีครามเทาคู่เดิมของทหารหนุ่มคนนั้น ภาพแรกที่เขาเห็นคือพัดลมซึ่งแขวนอยู่บนเพดานไม้เหนือเตียงนอน เขาก้มลงมองตนเองอีกครั้ง...ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบทหารแต่เป็นแค่เสื้อลำลองตัวเก่า

    ร่างสูงสันทัดพยายามดันตนเองให้ลุกขึ้นจากที่นอนอย่างยากลำบาก แม้ความเจ็บปวดภายในร่างกายจะไม่ได้หายไปโดยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยมันก็พอช่วยให้เขามีชีวิตรอดอยู่ได้แม้จะถูกปฐมพยาบาลด้วยผ้าพันแผลเพียงม้วนเดียว ใบหน้าหันมองไปยังบริเวณโดยรอบด้วยท่าทางสับสนเล็กน้อย และในทันทีที่หันไปยังบานประตู...เขาก็มองเห็นใครคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

    หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธออยู่ในชุดเดรสตัวยาวสีแดงชาดราวกับสีของกลีบกุหลาบ แขนทั้งสองถูกยกขึ้นกอดอกเอาไว้พลางเอียงคอไปด้านขวา นัยน์ตาสีฟ้าอันแสนคุ้นตาคู่นั้นจ้องมองชายหนุ่มราวกับว่าตนเองมีความแค้นต่ออีกฝ่ายมากเพียงใด แทนที่จะเอ่ยชื่อของหญิงสาวคนนั้นตามที่เคยเป็น ตรงกันข้ามเขากลับเลือกที่จะปิดปากเงียบและแสดงสีหน้านิ่งสนิทไร้อารมณ์ จนท้ายที่สุดบุคคลที่เป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก็คือหญิงสาวชุดแดงคนนั้น

    “สภาพดูไม่ได้เลยนะ”เธอกล่าว น้ำเสียงนั่นคุ้นหูเสียเหลือเกิน”ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณรอดมาได้ถึงตอนนี้”

    แต่ว่าสภาพของเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากซากศพนักหรอก

    ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างแผ่วบาง เขาก้มหน้าลงด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความรู้สึกบางอย่างออกมาครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยขึ้นสบตาร่างเพรียวในชุดสีแดงอีกครั้ง คราวนี้เธอไม่ได้ยืนอยู่ตรงประตูแต่กลับมานั่งอยู่บนเตียงข้างๆ เขาแทน นัยน์ตาสีฟ้าสวยคู่นั้นฉายแววความยั่วยวนออกมาอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ไม่ทันไรที่เขาจะได้แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ มือเรียวนั่นก็ถูกยกขึ้นมาก่อนจะสัมผัสลงบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน ราวกับว่าเธอต้องการบรรเทาให้ความเจ็บปวดของเขาหายไป

    “คุณคงจะเข้าใจแล้วสินะ...ว่าความรู้สึกนั่นน่ะเป็นยังไง”

    เขาเงียบ

    “..ช่างน่าปลื้มปิติเสียจริง ที่อย่างน้อยคุณก็ยังมีความรู้สึกผิดอยู่”

    นัยน์ตาไร้อารมณ์คู่นั้นจ้องมองหญิงสาว ปากยังคงปิดสนิทและไม่เอ่ยคำพูดใดออกไป...จนกระทั่งใบหน้าสะสวยนั่นเริ่มจะแสดงสีหน้าบางอย่างออกมา

    ...มันคือความเศร้าโศก

    “คุณทำอะไรลงไปคุณรู้ตัวบ้างไหม”

    น้ำตาเริ่มไหลรินออกมาอาบแก้มนวลทั้งสอง เสียงสะอื้นดังก้องเข้าไปในความคิดอันว่างเปล่าของเขา มือยังคงวางนิ่งอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มและไม่มีวันถูกยกออกไปง่ายๆ หญิงสาวคนนั้นเริ่มไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตนเองได้อีกต่อไป เธอก้มหน้าลง พลันน้ำตาก็หยดลงบนผ้าห่มผืนบ้างที่ปกคลุมร่างของเขาอยู่ ในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกในเบื้องลึกประดังออกมามากขึ้นกว่าเดิม สีหน้านิ่งสนิทแปรเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ

    “...คุณ..ฆ่าเขา”

    คำพูดนั้นราวกับเป็นเข็ม มันแทงทะลุความรู้สึกภายในจนความเจ็บปวดปลดปล่อยออกมา

    “ฉัน..ไม่มีวันให้อภัยคุณ”

    อยู่ๆ บางสิ่งก็บังคับความคิดของเขาแทน มือใหญ่ทั้งคู่ซึ่งบัดนี้ถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวค่อยๆ ยกขึ้นมาราวกับกำลังจะใช้โอบกอดร่างบางนั่น มันเหมือนกับช่วงเวลาในสมัยอดีตซึ่งถูกลืมเลือนไว้ในความทรงจำอันแสนเจ็บปวด ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นล่องลอยอยู่ในหัวราวกับภาพหลอนในเงากระจก เสียงของเธอ...กลายเป็นเพียงความทรงจำ กลิ่นน้ำหอมที่เธอใช้มักจะทำให้เขาคลั่งทุกครั้งที่ได้สัมผัส

    ...ความเกลียดชังของเธอที่มีต่อเขา

    และทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็ตัดสินใจโอบกอดหญิงสาวคนนั้นเอาไว้ เสียงร้องไห้ของเธอดูเหมือนจะดังขึ้นมากกว่าเดิม ใบหน้าซุกลงบนอกกว้างของทหารหนุ่มผู้นั้นอย่างอ่อนโยน เขาตัดสินใจเอ่ยคำกระซิบบางสิ่งอย่างแผ่วบางข้างหูของเธอ และหวังว่ามันจะใช้ทำลายความเศร้าโศกนั้นได้ไม่มากก็น้อย

    “...ผมขอโทษ..”

    ทว่า ทุกสิ่งก็กลับตาลปัตร แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในความเงียบงันนั้น

    “คำขอโทษ—“แอดเลอร์ลากเสียง”...มันมีไว้สำหรับกล่าวต่อหน้าหลุมศพเท่านั้นล่ะ”

    “เฮ้คุณ...”

    ราวกับทุกอย่างนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา

    ไม่มีแล้ว แอดเลอร์ไม่เคยมีตัวตนอยู่ที่นี่ตามที่เขาคิด เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นเพราะความรู้สึกผิดในการกระทำของตนเอง ตรงหน้าไม่ใช่ร่างเพรียวระหงของหญิงสาวคนนั้นอีกต่อไป หากแต่กลับกลายเป็นร่างสูงแบบทหารของชายผู้หนึ่งแทน อีกฝ่ายนั้นยืนนิ่งอยู่ตรงปลายเตียงพร้อมกับบุคคลอีกคนหนึ่ง แน่นอนเขาจำหน้าผู้หญิงคนนั้นได้จากรูปถ่ายในห้องทำงานของเอมิลล์...เธอคืออังเจลิค ลูกสาวของเขา

    เบิร์ตพยายามลุกขึ้นนั่ง ไม่มีใครช่วยพยุงตัวเขาเลยแม้แต่คนเดียว สองคนนั้นดูท่าทางวิตกกังวลอยู่ในระดับหนึ่งโดยเฉพาะอังเจลิค แน่ล่ะเธอเป็นลูกสาวของผู้บัญชาการใหญ่ของนาซีคงไม่มีวันที่เธอจะไม่เคยรู้จักทหารอย่างเขา แต่อีกคนหนึ่ง ชายร่างสันทัดคนนั้น...เขาไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายมาก่อน แต่ดูจากท่าทีระแวดระวังผิดปกติพร้อมกับสายตาล่อกแล่กนั่น ก็สามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่าเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากนักรบที่ผ่านการฝึกมา

    “ที่นี่...ที่ไหน”ชายหนุ่มเอ่ยถาม

    “โลกคนเป็น”เขาตอบ”คุณนอนสลบไปเกือบสองเดือน”

    “...งั้นเหรอ ใครชนะล่ะคุณรู้มั้ย”

    นั่นเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอยู่แล้ว แน่นอนหลังจากที่เขาได้เอกสารสำคัญนั่นมาจากเอมิลล์สงครามก็จบลง คนแพ้คือกองทัพนาซีและฝ่ายอักษะส่วนคนชนะก็คงเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การที่เขาเอ่ยถามออกไปแบบนั้น...เพราะเขาต้องการทดสอบว่าชายตรงหน้าในตอนนี้คือทหารตามที่ตนเองคิดจริงๆ หรือไม่ แต่คำตอบที่คาดจะได้รับกลับกลายเป็นความเงียบงัน ชายคนนั้นไม่ตอบ ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองกลับมาที่เขา

    เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีไม่ยอมตอบคำถาม อังเจลิคจึงตัดสินใจตอบแทน

    “คุณชนะ”เธอกล่าว”เราแพ้”

    “เขาไม่ใช่นาซี”

    ใช่ ชายคนนั้นไม่ใช่พวกนาซีหรือทหารจากฝ่ายอักษะ โครงหน้าที่มีเคราบางๆ กับทรงผมสั้นสีเข้มนั่น...รวมไปถึงดวงตาของเขา ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ลักษณะของชายสัญชาติเยอรมันแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นคือสำเนียงในการสื่อสารซึ่งแตกต่างจากภรรยาอย่างสิ้นเชิง มันเป็นสำเนียงที่ไม่เคยได้ยินมานาน...สำเนียงแบบคนอเมริกันโดยแท้จริง

    “ใช่ ผมไม่ใช่เยอรมัน”

    “งั้นผมก็คงแปลกใจที่...คุณอยู่กินกับลูกสาวของผู้บัญชาการนาซี”

    “เขาไม่ใช่พ่อฉัน”

    คำพูดนั้นทำให้เบิร์ตเลิกคิ้วสูง นัยน์ตาสีอำพันเข้มบนใบหน้าสะสวยของหญิงสาผู้นั้นหลุบลงมองพื้นด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวที่แอบแฝงอยู่

    “ไม่เป็นไรอังเจลิค...”ชายคนนั้นกล่าวปลอบโยนเมื่อเริ่มสังเกตเห็นหยดน้ำใสๆ ในดวงตาของเธอ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคู่สนทนาอีกครั้ง”คุณคงไม่ถนัดเรื่องคุยแบบผู้ดีใช่มั้ยครับ”

    “พอดีคนสอนมารยาทผมเธอไม่อยู่ซะแล้ว ก็เลยมีปัญหานิดหน่อย”

    “งั้นผมจะสอนมารยาทเบื้องต้นก่อนละกันนะครับผู้พัน”

    และทันใดนั้นเองชายหนุ่มผมเข้มคนนั้นก็ยื่นมือขวาของตนเองไปเบื้องหน้าอีกฝ่าย เขาดูท่าทางไม่เกรงกลัวเลยแม้จะรู้ว่าบุคคลที่ตนเองช่วยมานั้นคือใคร และมีความสำคัญอย่างไรกับกองทัพอเมริกัน เบิร์ตไม่แสดงกิริยาโต้ตอบต่อใบหน้าขุ่นเคืองนั่น แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดสินใจยื่นมือออกไปจับทักทายอีกฝ่ายอยู่ดีตามที่เขาต้องการ

    “เพียร์สัน เทอร์เนอร์”เขากล่าว”คุณล่ะ”

    “คาร์ล”

    “แค่คาร์ลเฉยๆ เหรอ ผมนึกว่าคุณคือพันตรีอัลเบิร์ต ไอเด็น คาร์ลจากกองทหารราบที่หนึ่งเสียอีก”

    “เขาก็คือผมนั่นล่ะ”เบิร์ตส่งเสียงหึในลำคอเล็กน้อย”ผมอยู่ที่ไหน”

    คราวนี้อังเจลิคเป็นคนตอบ”นอกเมืองเบอร์ลิน”

    ฟังจากคำตอบแล้ว ชายหนุ่มดูไม่พอใจเสียเท่าไรนักที่ตนเองถูกช่วยมาดื้อๆ แบบนี้ทั้งที่อุตส่าห์วางแผนจะตายอย่างมีเกียรติท่ามกลางสายฝนแล้วเสียอีก แต่ทันใดนั้นเองก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นได้ นัยน์ตาสีครามอ่อนเหลือบมองไปรอบกายอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังมองหาบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นจะไม่อยู่ในมือของเขาแล้ว

    แต่ทันใดนั้นเทอร์เนอร์ก็ส่งบางสิ่งในมือของตนเองกลับคืนให้อีกฝ่าย

    “ของคุณสินะ”เขากล่าว”ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้เปิดอ่านมันหรอก”

    “ก็ดีแล้ว ไม่งั้นครอบครัวของคุณไม่สงบสุขแน่”

    “นั่นฟังคล้ายกับคำขู่เลยนะ แต่ขอโทษด้วยผมไม่กลัวมันหรอกเพราะผมไม่ใช่คนที่จะซวยถ้าทำมันหาย”

    เบิร์ตเหลือบมองใบหน้าของชายผู้นั้นเล็กน้อย

    “คุณควรจะกลัวมันนะ คุณเทอร์เนอร์”

     

     

    เวลาผ่านไป

    และทุกสิ่งก็ดูเหมือนจะปกติดี

    จากทหารผู้รับใช้สงคราม ไม่มีใครรู้โชคชะตาหลังจากนั้นของเบิร์ต คาร์ลเลยว่าเขาจะได้กลายเป็นชายธรรมดาคนหนึ่ง การหายตัวไปของเขาไม่ใช่เพียงแค่ทำให้กองทัพดูวุ่นวายแต่ดูเหมือนจะส่งผลไปถึงกระทรวงกลาโหมด้วย ในช่วงเกือบสองเดือนให้หลังมานี้ยังไม่มีชายร่างสูงในเครื่องแบบมาตามเขากลับไปบ้าน แต่สัญชาตญาณก็ยังบอกให้ชายหนุ่มระวังตัวและรอบคอบอยู่เสมอ ทั้งอาวุธปืนของเขาและสิ่งของอันตรายทั้งหมดตอนนี้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้โดยฝีมือของเจ้าบ้าน แน่ล่ะ ถ้าเทอร์เนอร์เป็นทหารเขาก็น่าจะรู้ถึงชื่อเสียงของมือดีแห่งกองทัพสัมพันธมิตรอยู่ในระดับหนึ่ง จึงไม่แปลกที่ทำไมป่านนี้เขายังไม่ได้ปืนกลับ

    เบิร์ตนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยมตัวเล็ก สายตาจับจ้องไปยังคีย์ขาวดำของเครื่องดนตรีโปรดในขณะใช้มือทั้งสองบรรเลงเพลงอันคุ้นเคย ในความคิดยังคงว่างเปล่าแม้ว่าเสียงเปียโนจะดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถงรับแขก ตอนนี้เทอร์เนอร์ดูเหมือนว่าจะออกไปล่าสัตว์ตามประสานายพราน ดังนั้นบุคคลที่อยู่ในบ้านนอกจากเขาคืออังเจลิค

    งานอดิเรกของเธอคือการถักไหมพรม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอมักจะมีความสุขอยู่เสมอที่ได้ทำงานที่ตนเองรักอยู่ในบ้าน แต่ทว่าตอนนี้กลับไม่ใช่ เมื่อคนแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาอยู่ร่วมชายคาหญิงสาวก็เอาแต่รู้สึกหวาดระแวง นัยน์ตาคู่สวยสีอำพันยังคงแอบมองไปที่ร่างสูงของชายหนุ่มหน้าแกรนด์เปียโนขนาดใหญ่เป็นระยะ มือยังคงถักไหมพรมต่อไปได้แม้ว่าสายตาจะไม่ได้จดจ่ออยู่ที่อุปกรณ์ก็ตาม แม้ว่าเขาจะดูราวกับคนธรรมดา แต่อย่างไรก็ตามนักฆ่าก็คือนักฆ่าวันยังค่ำ และนั่นคือเหตุผลที่ดีที่ว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมไว้วางใจชายผู้นั้นเสียที

    เปียโนยังคงบรรเลงต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีแม้แต่การหยุดชะงัก นั่นบ่งบอกได้อย่างดีว่าฝีมือของเขารวมไปถึงความสามารถทางด้านการดนตรีนั้นอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว เพลงที่ทหารหนุ่มคนนั้นเล่นคือเพลงโซนาตาของนักดนตรีชาวเยอรมันที่ชื่อบีโธเฟน...ลำนำแห่งแสงจันทรา เธอไม่รู้หรอกนะว่าเพลงนี้อยู่ในระดับยากแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่มีสมุดโน้ตเพลงให้ดู มือนั้นวาดลวดลายลงบนแป้นต่างสีของเครื่องดนตรียักษ์อย่างชำนาญ เสียงเพลงที่ดังออกมาช่างไพเราะเสนาะหู แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของชายหนุ่มก็ยังนิ่งสนิท

    “เปียโนนั่นของเพียร์สัน”หญิงสาวกล่าวขึ้นเมื่อเพลงเล่นจบแล้ว แน่นอนชายหนุ่มหันมามองเธอเล็กน้อย”เขาเคยเป็นนักเปียโนก่อนจะถูกเกณฑ์มาทำงานในสงคราม”

    เบิร์ถอนหายใจเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้คุยกับหญิงสาว...แต่อย่างไรซะ เขาก็พยายามใช้น้ำเสียงที่อยู่ในโทนเรียบสื่อสารกับเธอ

    ...ความเคยชินจำได้ไม่ปรากฏออกมา

    “เขาอยู่หน่วยไหน”

    “หน่วยไหนเหรอ หึ—“เธอก้มหน้า วางเครื่องถักในมือลง”เขาไม่เคยบอกด้วยซ้ำ”

    “คุณดูท่าทางผิดหวังนะ”

    “แน่ล่ะ ฉันไม่อยากให้ลูกสงสัยว่าพ่อของเขาเป็นใคร”

    เมื่อได้ยินดังนั้น เบิร์ตตัดสินใจลุกขึ้นจากเปียโนโดยไม่ลืมที่จะดึงที่ปิดคีย์ลงมาปิดเอาไว้ ก่อนจะตัดสินใจสาวเท้าตรงไปยังหญิงสาวคนนั้น เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้อีกตัวและพยายามรักษาระยะห่างให้พอดี เพราะเขาสามารถรับรู้ถึงความอึดอัดในดวงตาคู่สวยนั้นได้ ในตอนนั้นเองที่เขาได้รับรู้ว่า...อังเจลิคกำลังตั้งครรภ์

    “มีชื่อรึยัง”เขาเอ่ย เสียงหัวเราะของเธอดังขึ้นเบาๆ

    “มีสิ เพียร์สันตั้งเอาไว้ก่อนหน้าที่ฉันจะรู้ซะอีก”

    หญิงสาวเว้นวรรคเล็กน้อย เธอลูบท้องของตนเองอย่างอ่อนโยนก่อนเงยหน้าขึ้น

    “เขาชื่อโจเซฟ...โจเซฟ วูล์ฟฟ์ เทอร์เนอร์

    “โจเซฟ วูล์ฟฟ์...?”ชายหนุ่มเอ่ยถึงเสียงสูงด้วยความสงสัย

    “ใช่ ตอนแรกเขาอยากตั้งชื่อว่าคริสเตียน วูล์ฟฟ์...ตามชื่อนักคณิตศาสตร์ที่เขาชอบ”อังเจลิคกล่าวด้วยเสียค่อย เธอก้มหน้าลงแล้วคลี่ยิ้ม”แต่ฉันว่าชื่อนั้นเชย โจเซฟน่าจะดีกว่า”

    “...คริสเตียนก็ไม่ใช่ชื่อที่เชยนักหรอก”

    หญิงสาวปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แม้ในดวงตาคู่นั้นจะฉายแววความเศร้าโศกและความเจ็บปวดออกมาก็ตาม ทหารหนุ่มยังคงนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาเฝ้ามองใบหน้าของเธอด้วยท่าทีที่ไร้การตอบสนอง ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศภายในห้องชั่วขณะหนึ่ง...จนในที่สุดอังเจลิคก็ตัดสินใจหยิบไหมพรมขึ้นมาถักอีกครั้ง เวลาผ่านไปโดยมีความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ตลอดทุกวินาที

    ...ก่อนที่บางสิ่งจะเกิดขึ้น

    เสียงฝีเท้าหนักของใครคนหนึ่งทำลายความเงียบงันภายในตัวบ้าน ร่างสูงในชุดเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาลไหม้สะพายปืนไรเฟิลวิ่งเข้ามาด้านในอย่างรีบร้อน สภาพของเทอร์เนอร์หลังการล่าสัตว์ดูโทรมราวกับว่าไปสู้กับเสือมา แต่ในทางตรงกันข้ามไม่มีสัตว์ตัวใดที่เขาล่ามาได้เลยแม้แต่ตัวเดียว แทนที่จะวางปืนเอาไว้ ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะถอดมันลงมาจากไหล่ก่อนจะเตรียมตั้งท่าป้องกันตัว อังเจลิคซึ่งได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกของผู้เป็นสามีจึงตัดสินใจเอ่ยถามด้วยใบหน้าสับสน

    “เพียร์สัน เกิดอะไรขึ้น—“

    “ผมเห็นพวกทหาร!”ชายร้อง”มันอยู่อีกด้านหนึ่งของป่าแล้วก็กำลังตรงมาที่นี่!

    “ทหารไหน”

    เทอร์เนอร์หันกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มคนนั้น”ทหารที่คุณไม่ต้องการเจอหลังจากสงครามสงบ พวกกองทัพแดง

    “ถ้าอย่างนั้นคุณคงต้องคืนสัมภาระของผมมาได้แล้วล่ะ”

    นี่ไม่ใช่เวลาที่ดีถ้าหากจะมาต่อปากต่อคำกับใคร ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างหัวเสียพลางถอนหายใจหนัก เขาชี้นิ้วไปทางตู้ไม้ขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังเก้าอี้ที่เบิร์ตนั่งอยู่ สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

    “ถ้าเป็นเพราะเอกสารนั่นของคุณ—“เขาลากเสียง”คุณต้องรับผิดชอบเรื่องนี้คาร์ล”

    “ผมบอกแล้วว่าคุณควรจะกลัวมัน”

    “นี่ไม่ใช่เวลานะ! ถ้าพวกนั้นอยู่อีกด้านของป่าก็คงใช้เวลาไม่นานนักหรอกถ้าจะมาที่นี่!

    ความโกลาหลวุ่นวายในตอนนี้ดูท่าทางจะไม่ส่งผลกระทบกับเบิร์ตเสียเท่าไรนัก ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้ไม้ที่ๆ เก็บอาวุธทั้งหมดของเขาเอาไว้อย่างใจเย็น เมื่อแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งของด้านในนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ทหารหนุ่มหยิบปืนไรเฟิลซุ่มยิงและปืนพก 1911 อาวุธประจำตัวออกมาบรรจุกระสุนเพื่อเตรียมตัวปะทะกับข้าศึก สัญชาตญาณดิบในสนามรบถูกปลุกออกมาจากการหลับใหล แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้คนที่เป็นกังวลมากที่สุดคือคุณและคุณนายเทอร์เนอร์มากกว่า

    เพียร์สันเป็นห่วงภรรยาของเขา รวมไปถึงลูกของตนเองด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะแลดูเตลิดมากกว่าที่ควรจะเป็น...ใจหนึ่งอยากจะพาเธอหนีออกไปไกลๆ แต่อีกใจก็พยายามบอกให้ตั้งรับอยู่ที่นี่ แต่ดูจากสภาพของอังเจลิคแล้วเธอคงไม่น่าไหวเสียเท่าไรนักในการวิ่งหนี ดังนั้นตัวเลือกสุดท้ายคงจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้ ชายหนุ่มตรวจดูความเรียบร้อยของอาวุธในมือซ้ำไปซ้ำมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อและความกังวล ตรงกันข้ามกับเบิร์ตซึ่งบัดนี้แลดูใจเย็นสุดๆ ราวกับอันตรายที่ตนเองเป็นต้นเหตุนั้นคือปัญหาง่ายๆ ที่สามารถจัดการได้ในช่วงเวลาอันสั้น

    “ฟังนะเราอยู่ที่นี่นานไม่ได้”เบิร์ตตัดสินใจกล่าวกับอังเจลิคเมื่อรับรู้ว่าสามีของเธอดูท่าทางสติเตลิดเกินว่าจะทนฟังเขา”ถ้าเมื่อไหร่ที่พวกนั้นบุกเข้ามา คุณต้องหนี”

    “หนีไปไหนล่ะ!

    “พ้นจากป่าไป ให้ไกลที่สุด ถ้าพวกนั้นรู้ว่าคุณสองคนเคยเห็นเอกสารที่ผมเอามา ไม่มีทางแน่ที่พวกนั้นจะไว้ชีวิตคุณ”

    “แต่สงครามจบแล้ว! นี่มันไม่ใช่—“

    ก่อนที่จะได้กล่าวคำพูดอะไรออกมานั้น หญิงสาวก็ถูกสายตาคมและแลดูเลือดเย็นคู่นั้นสะกดให้อยู่นิ่งราวรูปปั้น เบิร์ตจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอด้วยความสัตย์จริง

    “สงครามจบแล้ว ใช่”เขากล่าว”แต่ไม่ใช่ครั้งนี้”

    “พวกมันมาแล้ว!

    เทอร์เนอร์เก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ เขาพยายามส่งสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความเงียบสงบโดยเฉพาะภรรยาของเขา เบิร์ตเดินเข้าไปสมทบพร้อมกับหยิบปืนไรเฟิลซุ่มยิงขึ้นมาประทับบ่า ดวงตาหลับลงข้างหนึ่งขณะจ้องมองเป้าหมายผ่านเลนส์สโคปปืน นิ้วแตะอยู่ในโกร่งไกปืนและพร้อมที่จะเหนี่ยวไกทุกเมื่อในทันทีที่เป้าหมายปรากฏตัวขึ้น...

    แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าปะทะกับใคร เสียงกัมปนาทก็ดังขึ้นนัดหนึ่งท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย และสิ่งที่ตามมาจากนั้นคือร่างของชายหนุ่มที่ทรุดตัวลงไปนอนบนพื้น

    ภาพที่เห็นทำให้อังเจลิคถึงกับสติแตก เธอกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและเศร้าโศกไปในเวลาเดียวกันขณะรีบรุดเข้าไปประคองร่างสามีของตนเอง น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสอง นัยน์ตาสะท้อนภาพของชายหนุ่มที่กำลังนอนจมกองเลือด เสียงหายใจรวยรินของเทอร์เนอร์แทบจะถูกความเงียบกลืนกิน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามดันตนเองให้ลุกขึ้นจากพื้นแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกก็ตามว่าสภาพของตนเองยังไงก็ไม่มีวันรอด รอยแผลฉกรรจ์จากลูกตะกั่วแข็งซึ่งตัดผ่านบริเวณหลอดลมทำให้การใช้คำพูดของเขาแลดูจะลำบากกว่าเดิม แต่อย่างน้อยดวงตาทั้งคู่ก็ยังกลอกไปมาและแสดงแววชีวิต

    เบิร์ตมองสภาพปางตายนั่นอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้จักความรักระหว่างคนสองคนอย่างชัดเจนนักก็จริง แต่การที่ได้เห็นอังเจลิคร้องไห้เพราะกำลังจะเสียคนรักของเธอไปทำให้เขานึกถึงบางสิ่งขึ้น บางสิ่ง...ใครบางคนที่เขาเลือกที่จะหลงลืมไปและปล่อยไว้เป็นเพียงความทรงจำ ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อยราวกับว่าความคิดเมื่อครู่นี้นั้นทำให้ทุกสิ่งที่จัดเตรียมไว้หายไปหมด เขาลดปลายนิ้วลงจากไกปืน ก่อนจะวางอาวุธลงบนพื้นและปล่อยให้ทหารราบกลุ่มนั้นคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นในทุกวินาที

    ทันใดนั้นเองเสียงบางอย่างก็ดังขึ้น

    “ดูซิว่าเราเจอใคร”

    สัมผัสเย็นยะเยือกจากปลายกระบอกปืนพกซึ่งบัดนี้ได้จ่อชิดอยู่ที่ขมับด้านซ้ายเป็นสิ่งเดียวที่เขารับรู้ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะขยับตัวเพราะรู้ดีว่าบุคคลนั้นคงจะเหนี่ยวไกจัดการเขาก่อนที่จะได้ก้มลงไปหยิบอาวุธ ร่างสูงของผู้มาเยือนในเครื่องแบบทหารจากกองทัพแดงยืนนิ่ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่เล็กน้อยยามมองไปที่ทหารหนุ่มคนนั้น ราวกับว่าเขาคือผลงานชิ้นเอกของตนเอง

    “เบิร์ต คาร์ล—“คิวานอฟลากเสียง”หาพลิกแผ่นดินมาตั้งนาน ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณจะมาอยู่ที่นี่”

    เขาไม่ตอบ และไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใดออกไปด้วย ใช่...เบิร์ตรู้ดีว่าทำไมทหารเอกอย่างคิวานอฟถึงมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ทุกคนรู้ดีว่าทำไมเบิร์ต คาร์ลถึงมีค่ามากมายขนาดนี้ แต่ที่จริงแล้วสิ่งเดียวที่ทำให้ทุกคนพยายามตามหาเขากลับไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็นเอกสารสำคัญนั่นต่างหาก

    ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงคำพูดแว่วๆ คิวานอฟกล่าวกับคนของเขาด้วยสำเนียงกระซิบภาษารัสเซีย แม้ว่าจะยินไม่ค่อยถนัดชัดเจนเสียเท่าไรนักแต่เขาก็พออ่านปากของอีกฝ่ายออก

    “จัดการสองคนนั่นซะ”

    “อย่ายุ่งกับพวกเขา”

    ทหารรัสเซียหนุ่มชะงักครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีเทาราวกับนัยน์ตาหมาป่านั่นเหลือบกลับไปมองเจ้าของคำพูดและแฝงไปด้วยความเหลือเชื่อ คิวานอฟส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างผู้มีชัยขณะสาวเท้าไปที่ร่างของอังเจลิค ตอนนี้บุคคลที่น่าเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่เธอกับลูกในท้อง แต่เป็นเทอร์เนอร์ที่กำลังนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นต่างหาก เขาเป็นแพทย์สนาม..ดังนั้นการมองชีวิตที่กำลังตายตรงหน้าเพียงแค่ชั่วครู่ก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นเหลือเวลาเท่าใด

    และเกรงว่าเวลาของเทอร์เนอร์คงจะเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ส่งเสียงหัวเราะชวนจนลุกนั่นออกมาเสียหรอก ชายหนุ่มมองใบหน้าของหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของชายบาดเจ็บคนนั้นสลับกับใบหน้าของสามีเธอ ใบหน้านั่นเต็มไปด้วยเหงื่อและสั่นเทาจากอาการเสียเลือด ยิ่งไปกว่านั้นผิวของเขาเริ่มกลายเป็นสีเนื้อซีดราวกับซากศพ กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งชั้นบรรยากาศภายในบ้านและมันช่วยทำให้อะดรีนาลินในร่างกายพุ่งพล่านได้เป็นอย่างดี

    “ผมไม่ยุ่งกับพวกเขาแน่”ทหารหนุ่มผู้มาเยือนกล่าวด้วยรอยยิ้ม”แต่ดูจากท่าทางแล้วเขาคงมีเวลาเหลือไม่ถึงสิบนาทีใช่มั้ย”

    เบิร์ตไม่ตอบ เขารู้ดีว่าการตอบคำถามนั่นไม่ได้ช่วยให้ทุกสิ่งดีขึ้น

    “ก็นะ...ผมจะขอเข้าเรื่องเลยละกัน เอกสารของเอมิลล์ วอลตซ์อยู่ที่ไหน”

    นัยน์ตาคู่นั้นเหลือบมองสลับใบหน้าของทหารหนุ่มทั้งสองคนอย่างหวาดกลัว หญิงสาวพยายามใช้มือกดแผลและห้ามเลือดของบุคคลอันเป็นที่รักเท่าที่จะทำได้ แต่ดูเหมือนว่าแผลนั่นมันเป็นเรื่องที่ใหญ่จนเกินกว่าจะแก้ไข ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถช่วยชีวิตเทอร์เนอร์ได้คือการปฐมพยาบาลโดยด่วน ไม่เช่นนั้น...อังเจลิคข่มตาลงด้วยความหวาดกลัวเมื่อมองเห็นภาพฝันร้ายในหัว เธอไม่อยากเสียเขาไป เธอไม่อยากบอกลูกของตนเองว่าพ่อของเขาตายเพราะฝีมือของคนพวกนั้น

    คิวานอฟมองใบหน้าของหญิงสาวอีกครั้งหนึ่ง

    “เขาเหลือเวลาห้านาที”ชายหนุ่มกล่าวขณะจ้องมองสีหน้าซีดเซียวของชายคนดังกล่าว”ถ้าคุณไม่บอกว่าเอกสารนั่นอยู่ไหน ผมจะลดเวลาของเขาไปเรื่อยๆ”

    คำพูดจิตวิทยานั่นพยายามบีบบังคับจิตใจอันกล้าแกร่งให้คายความลับออกมา เบิร์ตแอบเหลือบมองสองสามีภรรยาคู่นั้นเล็กน้อย จริงๆ แล้วจากการฝึกอันแสนทรหดในอดีตแค่คำพูดจิตวิทยาของคิวานอฟก็คงไม่ทำให้เขาคายอะไรออกมาง่ายๆ แม้จะมีปลายกระบอกปืนจ่อประชิดศีรษะและพร้อมเหนี่ยวไกตลอดเวลาก็ตาม แต่ในสถานการณ์นี้ ถ้าเขาตั้งกฎขึ้นมาเป็นของตนเอง...สร้างเงื่อนไขสลับซับซ้อนกับคิวานอฟ คนแรกที่จะตายไม่ใช่ตนเองแต่อาจจะเป็นเทอร์เนอร์หรืออังเจลิค

    ทันใดนั้นเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น

    “คุณช้าไปเยอะเลยนะ อัลเบิร์ต”

    ปัง!

    “ไม่นะ!—

    กระสุนอีกนัดถูกยิงออกไป คราวนี้มันไม่ได้เพียงแต่ทำลายอวัยวะสำคัญเท่านั้นแต่กลับทำให้เลือดของชายหนุ่มไหลรินออกมามากกว่าเดิม เบิร์ตพยายามบังคับไม่ให้เขาหันกลับไปมองเหตุการณ์เบื้องหลัง เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมานของอังเจลิคยังคงดังก้องสนั่นในห้วงความคิด เธอรู้ดีว่าสามีของตนเองเหลือเวลาเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น หากไม่ปฐมพยาบาล—

    “สองนาทีห้าสิบวินาที ผมมีเวลาให้คุณตัดสินใจพูดว่าเอกสารนั่นอยู่ที่ไหน”

    ความกดดันนี้มีมากเสียเหลือเกิน แต่ก็น่าแปลกที่คิวานอฟกลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของใครคนหนึ่งดังขึ้นในความเงียบงัน และคงจะไม่ตกใจเท่าไรนักที่เจ้าของเสียงหัวเราะนั่นจะเป็นเบิร์ต คาร์ล

    “คุณฆ่าเขาไปเลยก็ได้นะ”ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าระรื่น”เพราะยังไงซะผมก็ไม่ได้รู้จักเขาอยู่แล้ว”

    อังเจลิคเหลือบตามองอีกฝ่ายในทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว ใบหน้าของเธอแม้จะเต็มไปด้วยหยดน้ำตาแต่ก็ยังเผยให้เห็นอารมณ์โกรธ เธอเข้าใจไม่ผิดจริงๆ ตั้งแต่เจอหน้าชายคนนั้นในครั้งแรกที่สามีช่วยเขามา สักวันหนึ่งอย่างไรซะเขาก็คงคิดจะจัดการกับเธอและเทอร์เนอร์อยู่ดีถ้ามีโอกาส แต่ถึงจะกล่าวออกไปเช่นนั้นก็จริง ก็ยังมีครู่หนึ่งที่แววตาของชายหนุ่มเปลี่ยนไป

    “งั้นสิ ใช่ ใครจะตายมันก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ...สินะ?”

    “ถูกต้อง”

    “ถ้าเป็นเธอคนนี้ล่ะ”

    รูปถ่ายใบหนึ่งถูกหยิบออกมาจากด้านในเสื้อเครื่องแบบสีซีด ก่อนจะทิ้งลงบนพื้นและปล่อยให้มันปลิวว่อนไปตามสายลมอ่อนๆ รูปถ่ายปริศนานั่นหยุดนิ่งอยู่ตรงปลายเท้าของทหารหนุ่มแล้วไม่ปลิวว่อนไปไหนอีก เบิร์ตจ้องมองบุคคลในรูปถ่ายขาวดำบนพื้นเปื้อนฝุ่นเบื้องล่างอยู่ระยะหนึ่ง ใบหน้านั่นไม่มีวันที่เขาจะไม่นึกออกว่าเป็นใคร เรือนผมสีน้ำตาล ดวงตาคมแข็งกร้าว เครื่องแบบนักเรียน...ทั้งหมดนี้คือลักษณะโดยรวมของบุคคลในรูปนั่น

    ทันใดนั้นเองชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด...แอดเลอร์

    “ถ้าคุณไม่บอกว่าเอกสารนั่นอยู่ไหน ผมสัญญาเลยว่าผู้หมวดแอดเลอร์ไม่มีวันอยู่อย่างสงบแน่”

    เขาเงียบ ดวงตาสีครามเหลือบเทาอ่อนยังคงจ้องมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่ตนเองเคยรู้จัก เบิร์ตรู้ดีว่าจะไม่มีใครหน้าไหนตามตัวแอดเลอร์พบแน่ ตอนนี้เธอหายไปแล้วและอยู่ในการคุ้มครองระดับสูงจากกองทัพ เขาเชื่อใจสเปนเซอร์จึงขอให้เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นเป็นฝ่ายดูแลเธอแทนตนเอง

    ...ไม่มีวันที่คิวานอฟจะเจอเธอ

    “คุณคงคิดว่าผมไม่มีวันหาตัวเธอพบใช่มั้ย?”คิวานอฟกล่าวติดเสียงหัวเราะ นั่นทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายอ่านความคิดของตนเองออกตั้งแต่แรก”คุณคิดผิดแล้ว”

    สีหน้านั่น...มีเล่ห์เหลี่ยมแฝงอยู่ในดวงตาประกายความดุร้ายคู่นั้น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลากี่สิบปีแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเอาจริง เบิร์ตยังคงเงียบและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามใดต่อไป เสียงสะอื้นของหญิงสาวที่ดังก้องอยู่ด้านหลังเงียบหายไปแล้ว มีเพียงแค่เสียงหายใจรวยรินของเทอร์เนอร์เท่านั้นที่ยังเป็นเสียงเดียวที่ได้ยินชัดเจนที่สุด ท่ามกลางความเงียบงันนั้นเองที่ทำให้เขาได้ใช้ความคิด ตอนนี้ชีวิตของเทอร์เนอร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปลายกระบอกปืนพกในมือของคิวานอฟ แต่มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเองที่จะเลือกอย่างไร

    ถ้าหากเขาเลือกที่จะไม่มอบเอกสารนั้นให้ ทุกคนที่นี่จะตายกันหมดไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง ทั้งอังเจลิค...ลูกของเธอและรวมไปถึงเทอร์เนอร์ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือคำสาบานของคิวานอฟที่ว่าจะตามไปจัดการกับแอเลอร์ด้วยเช่นกัน

    ...ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขายอมทำตามคำพูดนั่นแล้วมอบเอกสารลับให้ฝ่ายกองทัพโซเวียต ไม่ใช่เพียงแต่แอดเลอร์เท่านั้น ทั้งโลกจะตกอยู่ในอันตรายจากอาวุธเคมีที่พ่อของเธอสร้างขึ้นมา

    “มันขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”

    “เบิร์ต! ได้โปรดเถอะ—“

    เขาควรเลือกอะไร

    ...ทุกสิ่งมีทางตันเสมอ

    “หืม?”

    ทหารรัสเซียหนุ่มอุทานขึ้นมาเบาๆ ในช่วงนั้นเองที่เขาสั่งให้คนใต้บัญชาการลดปืนและอาวุธทั้งหมดลง เบิร์ตได้ตัดสินใจทำสิ่งที่ควรจะทำแล้วในที่สุด...ร่างสูงล้วงมือเข้าไปด้านในเสื้อคลุมตัวเก่าที่ตนเองสวมอยู่ แล้วจึงหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลไหม้ออกมาก่อนจะยื่นให้กับฝ่ายตรงข้าม นัยน์ตาสีครามอ่อนคู่นั้นไม่ได้ฉายแววความรู้สึกใดออกมาเลยแม้แต่น้อย คิวานอฟตีสีหน้านิ่งครู่หนึ่งแล้วจึงกระตุกยิ้มมุมปาก มือใหญ่คว้าซองเอกสารดังกล่าวนั้นมาถือเปิดดูสิ่งที่อยู่ด้านใน

    แผ่นกระดาษเพียงแผ่นเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้ใครคนหนึ่งที่ครอบครองมันสามารถใช้ครองโลกได้ทั้งใบ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ ด้วยความปลื้มปิติก่อนจะส่งสัญญาณบอกกลุ่มทหารด้านหลังตนเอง

    “ฉลาดมาก—“คิวานอฟลากเสียง”นี่สิถึงจะเรียกว่าทหารที่แท้จริง”

    “คุณก็แค่หมากตัวหนึ่งในสงครามครั้งนี้”

    “ใช่ แต่หมากตัวนั้นก็...”เขาลากเสียง“...จัดการกับอัศวินเอกได้แล้ว”

    มือเอื้อมลงไปหยิบรูปถ่ายซึ่งวางนิ่งอยู่บนพื้นขึ้นมาอีกครั้ง คิวานอฟพลิกให้ชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามดูครู่หนึ่งราวกับว่าต้องการให้อีกฝ่ายบอกลาบุคคลในรูปซะ แล้วจึงเก็บกลับเข้าไปด้านในเครื่องแบบตามเดิม เขาไม่อยากคิดว่าทำไมทหารเอกของกองทัพแดงถึงมีรูปของแอดเลอร์เอาไว้ในครอบครอง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสียเท่าไรนัก

    ..ช่างทำเวลาดีเหลือเกิน คิวานอฟคิดในใจ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาทำก็ไม่ต่างไปจากการส่งใครคนหนึ่งให้ไปลงนรก ปืนซึ่งถูกถือแน่นเอาไว้ในมือชี้ปลายลำกล้องไปยังร่างของชายหนุ่มผู้บาดเจ็บคนนั้นอีกครั้ง แล้วสิ่งที่อังเจลิคไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็ทำให้หญิงสาวถึงกับสติแตก

    ปัง!

    “คราวนี้เขาเหลือเวลาแค่...สามสิบวินาที ใช้ให้คุ้มซะ”

    หญิงสาวบัดนี้ตกอยู่ในห้วงแห่งความโศกเศร้าและความแค้นเคือง อังเจลิคมองทหารรัสเซียหนุ่มผู้เลือดเย็นคนนั้นด้วยดวงตาประกายความโกรธเกรี้ยว เทอร์เนอร์ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ถ้าเขาเหลือเวลาแค่สามสิบวินาทีจริงๆ ตามคำพูดนั่น ดังนั้นสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำก็คือการลืมตาดูโลกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกล่าวอำลาครอบครัว

    เบิร์ตทำได้เพียงแค่ยืนนิ่ง แม้ในตัวจะมีความสามารถที่ได้มาจากการฝึกในสนามรบก็ตามแต่เขาก็ไม่อาจใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ หลังจากที่กองทหารรัสเซียผู้รุกรานนั่นถอนกลับไปแล้วในบ้านก็กลายเป็นสถานที่อันสงบอีกครั้ง เสียงแห่งความเงียบก้องกระจายอยู่ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่น กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งชั้นบรรยากาศ อังเจลิคส่งเสียงสะอื้นเบาๆ แม้เธอจะพยายามทำใจให้เข้มแข็งก็ตาม นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นจ้องมองผู้เป็นสามีอย่างเจ็บปวด เทอร์เนอร์พยายามใช้ลมหายใจอันแสนแผ่วบางประคองวิญญาณไม่ให้หลุดออกจากร่าง

    มือเปื้อนเลือดสัมผัสลงบนใบหน้าของหญิงผู้เป็นที่รักอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากค่อยๆ แสดงรอยยิ้มอันแฝงไปด้วยความทรมานแสนสาหัส

    “ผ..ผม..ขอโทษ...”

    “ไม่นะไม่...ไม่...ได้โปรดเถอะ...”

    ในตอนนั้นเองที่เขาตัดสินใจเอ่ยเรียกใครคนหนึ่ง”ผ..ผู้พัน...ครับ..”

    นัยน์ตาสีครามอันแสนไร้ความรู้สึกคู่นั้นเหลือบมองกลับมา ร่างสูงสันทัดของชายหนุ่มตัดสินใจก้าวเข้ามาย่อตัวลงนั่นข้างๆ ร่างที่กำลังนอนจมกองเลือดสีแดงเข้ม เบิร์ตไม่กล่าวอะไร เขาไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้าแห่งความเศร้าโศกดังที่ควรจะทำ แต่ทว่าลึกๆ แล้วในใจก็ยังแอบรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตนเองเป็นต้นเหตุ

    “เทอร์เนอร์”เขากล่าวเบาๆ อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกเล็กอย่างแผ่วบาง

    “ด..ดูแล...เธอด้วย..”

    “เพียร์สัน—ได้โปรดเถอะ...”

     

    ..ได้โปรด...

     

    ผมขายโลกทั้งใบให้กับศัตรูตั้งแต่ผมมอบเอกสารแผ่นนั้นให้กับฝ่ายโซเวียต และผมรู้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย ร้อยเอกเพียร์สัน เทอร์เนอร์เป็นทหารที่น่ายกย่องและเป็นพ่อที่ดี ผมรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตนเองลงมือทำไป และไม่หวังให้ใครหน้าไหนมอบความเมตตาให้กับผม

    แค่หายตัวไป คงยังไม่พอถ้าหากจะชดใช้ความผิดนี้

    ดังนั้นแล้ว คุณคือคนเดียวที่ผมไว้ใจและเชื่อมั่นมากที่สุด ผมอยากมอบงานนี้ให้คุณจัดการและช่วยสานต่อแทนผมที ผมรู้ว่าคุณคงจะไม่ให้อภัยผมที่ทำให้ทุกคนที่คุณรักต้องตกอยู่ในอันตราย

    แต่ได้โปรด ไม่มีใครต้องการให้สงครามเกิดขึ้นและผมเชื่อว่าคุณเองก็คงไม่ต้องการแบบนั้น

    นำเอกสารนั้นคืนกลับมาจากกองทัพโซเวียต แล้วทำลายมันซะ อย่าให้ใครครอบครองมันได้อีกเป็นครั้งที่สอง และถ้าให้ดี...จัดการกับคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมันด้วย

     พ่อจะต้องภูมิใจในตัวคุณ

    บีเค

     

    “ผู้หมวดครับ”

    ชายหนุ่มละสายตาจากแผ่นกระดาษในมือ ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปสบตามองกับเจ้าของคำพูดเมื่อครู่นี้อย่างเงียบๆ

    “คุณ—“

    บุคคลที่มารบกวนเวลาส่วนตัวของเขาเมื่อครู่นี้ก็ไม่ใช่นอกจากจะเป็นทหารบัญชาการของเขา เด็กหนุ่มคนนั้นดูท่าทางเป็นห่วงผู้นำหมู่ในสายตา แต่ถึงกระนั้นเองเมื่อมองเห็นอีกฝ่ายตัดสินใจม้วนเก็บกระดาษแผ่นเล็กในมือเขาก็พอโล่งใจได้ขึ้นมาบ้าง ตอนนี้บรรยากาศโดยรอบไม่เพียงแค่ชื้นด้วยหยาดน้ำฝนแต่กลับหนาวยะเยือกผิดปกติ ร่างสูงในชุดเครื่องแบบสีเขียวเข้มนั่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ขณะเก็บซองจดหมายเอาไว้ในกระเป๋า มือใหญ่เอื้อมไปหยิบหมวกเหล็กขึ้นมาสวมเพื่อเตรียมตัวออกจากที่พักของตนเอง ดวงตาภายใต้เงามืดคู่นั้นไม่ฉายประกายใด

    “เรียกพบสมาชิกในหมู่ของผมทุกคน”ผู้หมวดหนุ่มตัดสินใจกล่าวทำลายความเงียบงัน”ผมมีงานให้พวกคุณทำ”

    “รับทราบครับผู้หมวด”

    เขาพยักหน้ารับคำสั่งนั้นแทนที่จะยกมือขึ้นทำความเคารพ แน่นอนนี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นการแสดงถึงการไม่ให้ความเคารพแก่ผู้เป็นหัวหน้าแต่อย่างใด หากแต่การทำความเคารพทหารชั้นสูงในสมรภูมิอันรายล้อมไปด้วยป่าทึบและศัตรูเช่นที่แห่งนี้อาจเป็นสิ่งไม่สมควรเสียเท่าใด พลทหารหนุ่มคนนั้นวิ่งออกไปจากเต็นท์ที่พักแล้ว ตอนนี้บุคคลเพียงคนเดียวที่ยังยืนนิ่งไม่แสดงปฏิกิริยาใดก็มีเพียงแค่ชายร่างสันทัดคนนั้นเพียงผู้เดียว

    เสียงถอนหายใจดังออกมา ใบหน้านั้นก้มลงเล็กน้อย ในหัวยังคงเต็มไปด้วยข้อความมากมายที่ตนเองได้อ่านมาจากเนื้อหาในจดหมาย จริงๆ แล้วนั่นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นจดหมายที่ลับที่สุดในกองทัพทหารเลยก็ว่าได้ เขาไม่เคยได้รับจดหมายจากชายคนนั้นโดยตรงมาก่อน...แต่ก็ใช่ว่าชื่อตัวย่อตอนท้ายนั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยิน คำพูดของแม่ซึ่งเขาได้ยินมาตลอดวัยเด็กในอดีตคอยกล่าวซ้ำไปซ้ำมาอยู่เสมอเกี่ยวกับทหารมือดีแห่งกองทัพอเมริกัน เขาคือคนที่นำจุดจบของสงครามโลกและนำชัยชนะมาสู่ฝ่ายสัมพันธมิตร

    ทว่าในตอนนี้...เขาคนนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากวิญญาณนักหรอก รู้ว่ามีตัวตน แต่หาไม่เจอ

    ทันทีที่ก้าวออกมานอกร่มผ้าใบหนาสีเขียวเข้ม หยดน้ำจากสวรรค์ก็พลันตกกระทบบนหมวกเหล็กบนศีรษะเกินเป็นแรงสะเทือนเล็กน้อย ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น...ก่อนจะตัดสินใจถอดหมวกเหล็กนั่นออกมาถือเอาไว้ในมือ ใบหน้าเงยขึ้นมองท้องนภาซึ่งยามนี้ได้เปลี่ยนจากสีครามใสเป็นสีเทาเข้มครึ้ม เสียงกัมปนาทดังก้องในสายลมอย่างแผ่วเบาแต่ไม่มีสายฟ้าปรากฏขึ้นด้านบน และตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงแปลกประหลาดแว่วมาตามสายลมพัด

    เสียงกรีดร้อง

    เสียงปืน

    ...ผู้หมวดหนุ่มสัมผัสหยดน้ำเย็นยะเยือกบนใบหน้าของตนเอง นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่ แม้เหนือน่านฟ้านั่นจะไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์

    เขานึกถึงบุคคลในจดหมายคนนั้น และตัดสินใจการกระทำต่อไปอย่างเงียบๆ

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    Read more >> War and Sacrifice : The Red Cardinal


    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×