คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : Come back. การกลับมา
ไม่เอาน่า...อย่าลืมสิคุณเป็นคนเขี่ยเธอออกเองนะจำไม่ได้รึไง ถ้าเธอจะกลับมาแค้นขนาดนี้มันก็คงไม่แปลกหรอก...หรือบางทีเธออาจจะกลับมาแก้แค้นฉันก็ได้
-Krinas Adler-
---------------------------------------------------------------------
ตึก...ตึก...ตึก..
เสียงก้าวเท้าของใครคนหนึ่งดังขึ้นในยามราตรี ร่างที่เปียกปอนไปด้วยน้ำค่อยๆเดินสาวเท้าเร็วมากขึ้นกว่าเดิมในขณะที่กวาดสายตามองไปรอบๆตัว มือข้างหนึ่งของเธอถือซองเอกสารที่มีรอยเปียกน้ำอยู่ตรงมุมล่างของซองเอาไว้แน่นราวกับกำลังจะบดขยี้มัน มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเสยเส้นผมสีบลอนด์ให้ไปพ้นใบหน้าของตนเอง หูของเธอยังคงได้ยินถึงเสียงฟ้าคำรามเบาๆมาตามสายลม
บ้าเอ๊ย...เธอพลาด!
ใช่! เธอพลาดท่าให้ไอ้พวกเวรนั่นจนมันจับเธอได้ว่าเธอเป็นสายลับทั้งๆที่ก็เนียนมานานหลายปีจนกระทั้งความเนี่ยนของเธอเหลือศูนย์ก็เพราะวันนี้นี่ล่ะ! คิดแล้วเธออยากจะเอาน้ำมันไปราดแช้วจุดไฟเผาอาคารนั่นให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย เธอคิดถึงทุกเหตุการณ์ที่เธอทำให้พวกนั้นจับเธอได้ซ้ำไปซ้ำมา เธอพลาดได้อย่างไรกัน? ไม่มีครั้งไหนที่เธอแสดงอาการอะไรที่มันน่าสงสัยเลยสักนิด ตอนนี้เธออยากจะกลับไประบายใส่พี่ชายตัวแสบของเธอจริงๆเลยเกี่ยวกับไอ้งานบ้านี่! ใช้อะไรคิดเนี่ย!?
"บ้าเอ๊ย คิวานอฟนะคิวานอฟ! อย่าให้ฉันเจอตัวละกันฉันจะไล่เอามีดปาใส่หน้าเลยคอยดู!"
อเล็กซิสบ่นอุบอิบไปเรื่อยในขณะที่กำลังล้วงหากุญแจที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ แต่ทว่าหาเท่าไรก็ไม่เจอเสียที เธอเริ่มขมวดคิ้วขึ้น...สงสัยจะตกตอนกระโดดลงมาจากหน้าต่าง ใช่! ต้องตอนนั้นแน่ๆ ให้ตายสิ! รู้อย่างนี้เธอเอาใส่ไว้ในกระถางต้นไม้เสียก็ดี คราวนี้เธอจะเข้าบ้านกันอย่างไรล่ะ กุญแจไม่มี อะไรๆก็ไม่มี ชีวิตดีจริงๆเลยอเล็กซิส!
ฟึบ..
หญิงสาวตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าบ้านอย่างไม่สบอารมณ์ นัยน์ตาสีเขียวมรกตกวาดมองไปรอบๆอย่างเบื่อๆพลางถอนหายใจยาว เธอผ่านการฝึกเป็นสายลับมาตั้งแต่อายุยัง 13 โดยอดีตสุดยอดสายลับรัสเซียถึงสามคนแต่กลับต้องมาหมดปัญญาก็เพราะไม่มีกุญแจเข้าบ้านเนี่ยนะ ป่านนี้ถ้าเกิดว่าไอ้พี่ชายของเธอรู้เรื่องนี้เขาคงจะหัว เราะเยาะเธอสะใจแน่ ครั้งหนึ่งเธอเคยทำไอดารีหาย ตอนนั้นเขายังหัวเราะเธอเลย! ยิ่งไปกว่านั้นยังเยาะเย้ยเธอด้วยการพูดว่า"สมน้ำหน้า"อีกด้วย
ใช่ซี่...ชีวิตเธอก็เป็นแบบนี้ล่ะ อีกหน่อยพายุก็คงจะมาแล้ว...เธอคงได้หนาวตายกันอยู่ข้างนอกนี่ล่ะนะ..
...ซ่า..ซ่า..
ยังไม่ทันที่เธอจะไปคิดเรื่องอื่นหยาดน้ำฝนก็เทลงมาใหญ่แถมยังมีฟ้าร้องฟ้าผ่าอีกต่างหาก จะว่าไปเธอน่าจะมีกุญแจสำรองเอาไว้อีกสักดอกนะเนี่ย ป่านนี้ถ้ามีกุญแจสำ รองเธอคงได้เข้าบ้านไปนานแล้ว แต่เอาเถอะอะไรจะเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิด...ชีวิตเธอมันซวยตั้งแต่เธอเกิดมาแล้วล่ะ...
แต่แล้วทันใดนั้น...บางอย่างก็ถูกยื่นลงมาตรงหน้าเธอ ซึ่งนั่นก็คือกุญแจของเธอไง!
"ของคุณใช่มั้ย"
อเล็กซิสเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงอันคุ้นเคยนั่นก่อนจะพบกับ...
"แอสเตอร์..?"
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกไม่เข้าใจกับการมาของอีกฝ่ายเสียเท่าไร แต่การที่เขายื่นกุญแจมาให้เธอนี่มันดีสำหรับเธอมากๆเลยล่ะ!
"ผมเจอมันตกอยู่น่ะ"
"เอ่อ...ขอบคุณนะ"
อเล็กซิสยื่นมือไปรับกุญแจสีเงินดอกนั้นออกมาจากมือของเขาอย่างใจเย็นทั้งๆที่รีบอยากกลับเข้าบ้านสุดๆ เธอหลีกเลี่ยงที่จะไม่สบตากับเขาแบบตรงๆเช่นที่เคยทำมาก่อน เรื่องที่เธอทำลงไป...คำโกหกทุกๆคำของเธอคงไปกระทบกระเทือนจิตใจของเขาอย่างหนักกระมังเขาถึงได้เฉยชาแบบนี้ แต่ถึงจะอย่างไรก็ตาม..เขาไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเธอเลยสักนิดเดียวแต่เขาก็ไม่ให้อภัยเธอเหมือนกัน แต่บางอย่างที่ทำให้เธอรู้ว่า..เขาไม่ได้โกรธเธอแน่ๆ ไม่งั้นเขาคงไม่ปล่อยเธอออกมาพร้อมกับส่งกุญแจบ้านถึงมิอเธอขนาดนี้หรอกใช่ไหม
กุญแจดอกเล็กถูกหยิบออกไปจากมือของชายหนุ่ม เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขากลายเป็นคนเงียบแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็ช่างเถอะ..ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะอยู่ที่นี่ต่อแล้วล่ะ
ชายหนุ่มกำลังจะหันหลังกลับไป หากแต่เขารู้ได้ถึงบางอน่างที่สัมผัสมือของเขาอยู่..เหมือนกับว่ามันฉุดเขาไม่ให้ไปไหน ความรู้สึกนั่นทำให้เขาต้องหันไปแม้จะไม่อยากก็ตาม...
"คุณจะไปแล้วเหรอ"เธอเอ่ยถามเขา แต่สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นเพียงแค่ความเงียบและใบหน้าอันเฉยชาของเขาเท่านั้น
"..."
"ฉันมีอะไรจะพูดกับคุณ...นั่งก่อนได้มั้ย"
นั่นอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเท่าไรเมื่อต้องมองหน้าเขา แต่ถึงแม้ว่าชไวเกนจะไม่ปริปากพูดอะไรออกมาก็ตาม เขาก็ยังคงตอบรับคำเชิญที่เธอกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขานั่งลงบนขั้นบันไดแทนที่จะนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้าๆกับเก้าอี้ที่หญิงสาวนั่งอยู่ มือข้างหนึ่งยกขึ้นถอดหมวกออกมาถือเอาไว้ตามนิสัยในขณะที่ทอดสายตามองไปด้านหน้า
เธอสังเกตเห็นเครื่องแบบสีดำที่เขาสวมอยู่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำฝนแทบจะทั้งหมดซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะว่าตอนเขาเดินมาเขาคงไม่ได้กางร่มมาด้วย เธออยากจะสลัดมันทิ้งพลางพูดว่า"ช่างมัน"อย่างที่เคยทำมาตลอดแต่ก็ทำไม่ได้ เรื่องที่เธอโกหกเขามันใหญ่เกินกว่าที่เธอจะทิ้งมันไปง่ายๆเหมือนเรื่องอื่นเสียอีก
"ฉันขอโทษ"
"..."
เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน เธอก็ต้องพูดคำนั้นออกไป...คำขอโทษ
"ฉันโกหกคุณ..หลอกคุณมาหลายต่อหลายปีเพื่องานของฉัน"
"..."
"นี่แหละ คำขอโทษของฉัน"
ชไวเกนค่อยๆก้มหน้าลงมองพื้นขั้นบันได นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาเหล่มองไปทางอื่นในขณะที่ก้มลง เขารู้ดีว่าเธอผิด..เธอโกหกเขา เธอหลอกเขา และที่สำคัญ...เธอเป็นสายลับให้กับโซเวียตซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเยอรมนี จริงๆแล้วในเหตุผลแบบนี้เขาคงไม่น่าจะให้อภัยเธอเลยแม้จะสงสารเธอแค่ไหนก็ตาม แต่..เมื่อไม่นานมานี้เธอต้องหลุดมือทหารพวกนั้นออกมาด้วยการช่วยเหลือของเขา ซ้ำเขายังช่วยเอากุญแจมาคืนเธออีก...
"ผมไม่โกรธคุณหรอกนะ"
คำพูดของเขาทำให้เธอเหล่ตามามองเขาที่กำลังก้มหน้าอยู่
"...แต่ผมรับคำขอโทษของคุณเอาไว้ไม่ได้จริงๆ"
สีหน้าและแววตาของอเล็กซิสเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินประโยคนั้นออกมาจากปากของเขา และยังไม่ทันที่เธอจะได้อธิบายอะไรต่อร่างของเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไปจากหน้าบ้านของเธอท่ามกลายสายฝนที่กระหน่ำตกลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อนลงง่ายๆ หญิงสาวก้มลงมองกุญแจในมือของเธอด้วยท่าทางเศร้าแล้วลุกขึ้นยืน เธอเดินไปไขประตูก่อนจะเปิดมันเข้าไปด้านใน
หญิงสาวปิดประตู เธอกวาดสายตามองไปรอบๆตัวเองอย่างแปลกใจ...ไฟในบ้านมันเปิดเองได้อย่างไรกัน?
..และไม่ทันที่เธอจะได้เดินสำรวจอะไรต่อ ก็มีบางอย่างปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ
"ไงอเล็กซ์"
เสียงทักทายนั่นมาจากร่างสูงใหญ่ของชายผมเข้มคนหนึ่งตรงหน้าเธอ ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร
"คิวานอฟ?"
"ฟังดูแปลกใจนะ เธอคงอยากถามล่ะสิว่าพี่มาทำอะไรที่นี่"
"รู้แล้วก็ตอบมาซะสิ"
ชายหนุ่มหัวเราะ เขาวางถ้วยกาแฟในมือลงช้าๆ
"งานสายลับของเธอไง อเล็กซ์"
"ทำไมล่ะ ฉันโดนเรียกตัวกลับแล้วเหรอ"
คิวานอฟคลี่ยิ้มบางๆให้กับเธอเล็กน้อยแล้วหยิบถ้วยกาแฟที่มีไอร้อนอยู่ขึ้นมาจิบอึกใหญ่อย่างสบายใจเฉิบ เขาไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบสีขาวเช่นแต่ก่อนที่เคยทำมาเสมอ หากแต่เขาในตอนนี้กลับอยู่ในชุดสูทสีดำทั่วไปพร้อมหมวกใบสีดำและเสื้อคลุมตัวสีดำเช่นกันที่คลุมตัวเขาไว้อยู่ตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเขาเปลี่ยนไปหมดยกเว้นนิสัยและคำพูดที่ใช้พูดกับอเล็กซิส..น้องสาวของเขา
"อันที่จริง"เขาเว้นวรรค ก่อนจะดื่มกาแฟของโปรดเข้าไปอีก"เขายังให้เธอทำงานนี้ต่อน่ะ"
"แล้ว?"
"แต่ว่า จะมีงานอื่นเข้ามาแทรกอีกที ซึ่งงานนี้เธอต้องสวมบทเป็นแมวจับหนูร่วมกับสายลับโอเอสเอส"
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันทีโดยอัตโนมัติ
"ไม่เด็ดขาดยะ เอาไอ้พวกนั้นไปไกลๆส้นสูงฉันเลยนะ!"
"เฮ้..."เขายกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากช้าๆเพื่อห้ามเธอไม่ให้พูดอะไรต่ออีก"...พี่บอกกี่ครั้งแล้วเนี่ยกับเรื่องคำพูดเธอน่ะ หัดพูดให้มันสุภาพสมกับให้เป็นผู้หญิงหน่อยสิ"
"ผู้หญิง? พวกโลกสวยทั้งหลายน่ะเหรอ ไม่มีทางหรอกน่า..."
"ยังไงก็ได้ แล้วแต่เลย"
อเล็กซิสค่อยๆสงบปากสงบคำลงก่อนจะพาตัวเองเข้าเรื่องอีกครั้งแม้จะไม่อยากฟังต่อก็ตาม
"ว่าแต่ สายลับนั่นใคร"
"เธอรู้จักหล่อนในชื่อ...แอดเลอร์"
"แอดเลอร์?"เธอทวนคำซ้ำราวกับว่าไม่เข้าใจในบางอย่าง"หล่อนเป็นนาซีไม่ใช่เหรอนั่น"
"ไม่แล้ว ตอนนี้เธอเป็นเจ้าหน้าที่โอเอสเอส"
หญิงสาวนัยน์ตาสีมรกตขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัยราวกับว่ายังไม่เข้าใจเรื่องราวอย่างแท้จริง เท่าที่เธอเคยได้ยินมาว่า"แอดเลอร์"คือเจ้าหน้าที่นาซีที่สังกัดหน่วยเอสเอสสุดโหดนั่นเป็นลูกสาวของดร.ไคลร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่ทำงานให้กับกองทัพเยอรมันก่อนจะเกิดสงครามโลก เธอไม่ใช่นาซีธรรมดาทั่วไปเพราะเหตุผลที่ว่าเธอก็มีเชื้ออังกฤษอยู่ด้วย แต่เธอเป็นหนึ่งในนาซีไม่กี่คนที่พวกสัมพันธมิตรกลัวอยู่บ้าง...หนึ่งในสามคนสุดยอดเจ้าหน้าที่จากหน่วยเอสเอส...
ถ้าจะถามเธอว่ามีใครบ้าง เธอก็ขอตอบตรงๆเลยว่าเธอไม่รู้ รายชื่อพวกนั้นมีคนรู้อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น และพี่ชายสุดแสบของเธอก็ดันรู้ด้วยเสียอีก แต่ก็ช่างเถอะ..รายชื่อไร้สาระพวกนั้นเธอไม่สนอยู่แล้วแต่ประเด็นมันอยู่ที่"แอดเลอร์"ต่างหากล่ะ
อเล็กซิสยกมือทั้งสองขึ้นกอดอกพลางสัมผัสได้ถึงชุดของเธอที่ยังชื้นอยู่ในขณะที่หูยังคงรับรู้ได้ถึงเสียงน้ำฝนที่เทลงมาดังราวกับฟ้าจะคล่มอยู่ด้านนอก ในเวลานี้เธอค่อนข้างจะเครียดและสงสัยเป็นพิเศ๋ในขณะที่พี่ชายของเธอกลับทำตัวสบายๆดื่มกาแฟอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก็แน่ล่ะเขาไม่ได้เป็นสายลับที่จะทำงานนี้นี่ อย่างไรก็ตามเธอก็อดไม้ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เช่นแต่ก่อน
"พี่บ้ารึเปล่าเนี่ย? อยู่ๆจะส่งฉันไปร่วมงานกับคนที่ฉันไม่รู้จักได้ไงกันล่ะ โอ้ให้ตายสิฉันอยากจะบ้าตาย"
"เธอจะได้รับส่วนแบ่งครึ่งนึงจากองค์กรฝึกสายลับของเธอดีมั้ยล่ะ"
"ส่วนแบ่งเหรอ เหอะ..ล้อเล่นไปได้ ฉันทำงานให้โซเวียตตั้งแต่ฉันอายุสิบสาม ฉันยังไม่เคยได้เลยซะด้วยซ้ำไอ้ส่วนแบ่งเวรไรเนี่ย"
คิวานอฟถอนหายใจออกมาโดยอัตโนมัติ เขาไม่ชอบเอาเสียเลยกับนิสัยต่อปาดงกต่อคำของน้องสาว ก็จริงอยู่ที่เธอพูดแบบนั้นนะ แต่ว่า...
"พี่เลี้ยงพุดดิ้งเธอทั้งชีวิตเลยก็ได้เอามั้ย"
หญิงสาวหันมาช้าๆ
"เอาขนมมาล่อฉันก็ไม่ไปหรอกน่า"
"เพื่อนพี่มีร้านขายขนมอยู่ ร้านเขาขึ้นชื่อเริ่องขนมมากๆเลยนะโดยเฉพาะพุดดิ้ง แน่ใจเหรอว่าไม่อยากลอง?"
อเล็กซิสยังคงหันหน้าไปทางอื่นทั้งๆที่ได้ยินคำพูดของเขาทุกประโยค แบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรเลยกับการเอาขนมมาล่อเด็ก แต่ข้อเสนอก็ดูน่าสนดีนะเนี่ย
"เออก็ได้ ฉันต้องทำไง"
"ง่ายๆน่า เธอก็แค่..."
18 กรกฎาคม ค.ศ.1944
ฟึ่บ...
ชายหนุ่มลดกล้องส่องทางไกลในมือลงช้าๆก่อนจะหยิบปืนไรเฟิลซุ่มยิงขึ้นมากระ ชับไว้แทนที่ สายตาอันคมกริบของเขาจ้องมองเข้าไปในสโคปปืนที่ส่องตรงไปยังค่ายทหารที่อยู่เบื้องล่างอย่างใจเย็น ตอนนี้ค่ายทหารนั่นโดนพวกทหารราบอเมริกันยึดไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อราวๆไม่กี่นาทีก่อน บนพื้นถนนเต็มไปด้วยชายหนุ่มในเครื่องแบบสัญชาติเยอรมันหลายคนนั่งอยู่ในวงล้อมของทหารหน้าโหดหลายคน บางคนที่นั่งอยู่นั้นสวมเครื่องแบบเช่นพวกยศสูง บางคนก็สวมเครื่องแบบธรรมดา เท่าที่เขาได้ยินมาว่าที่ค่ายแห่งนี้มีเอกสารสำคัญเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ และพวกเขาต้องชิงไปก่อนที่จะโดนตัดหน้า แผนการนี้เตรียมไว้ตั้งแต่หลายวันก่อน...โดยแอดเลอร์
บนดาดฟ้าตึกสูงใหญ่ใต้เงาอาทิตย์ที่เขาใช้เป็นจุดซุ่มนั้นสามารถมองได้รอบทิศทาง เขาใช้ที่แห่งนี้ในการซุ่มตั้งแต่ก่อนที่ปฏิบัติการจะเริ่มเสียอีก ตึกสูงใหญ่ที่อยู่ทิศทางเดียวกันกับดวงอาทิตย์...ไม่มีแสงสะท้อนให้เห็น ค่อนข้างจะสังเกตยากหน่อย แต่ก็นับว่านี่เป็นวิธีที่ดีเลยทีเดียว
ตอนนี้เขาเริ่มสังเกตเห็นชายร่างกำยัำในเครื่องแบบทหารคนหนึ่งย่างก้าวออกมาจากตึกที่คาดว่าน่าจะเป็นที่เก็บเอกสารอย่างช้าๆดูท่าทางแล้วเขาคงจะอารมณ์ไม่ดีเสียเท่าไร เขารู้จักทหารคนนั้นนะ...เขาชื่อริคกี คนที่เคยท้าเขาชกในสังเวียรใต้อาคารทำการของหน่วยโอเอสเอสมาแล้วครั้งหนึ่งและชัยชนะก็ตกเป็นของเขาในวันนั้น ริคกีค่อนข้างจะเป็นคนดุร้ายและหยาบคายมาก แต่เขาก็รู้จักหน้าที่ของตนเองและไม่เคยไปมีเรื่องกับใคร ชื่อเสียงอันโด่งดังของเขาคือการทรมาณะวกเยอรมันด้วยวิธีการโหดๆตามนิสัยของเขา จากเหตุของความแค้นที่พวกนั้นเผาบ้านของเขา...บ้านที่ลูกๆและภรรยาอยู่เสียราบคาบ
"อย่าสะเออะหนีเชียวนะเว้ย!"
เสียงใหญ่ทุ้มของเขาทำเอาขวัญของเหล่าทหารเยอรมันพวกนั้นแทบจะกระเจิง
"ไอ้พวกเวรนี่ฟังอังกฤษไม่ออกหรอกน่า เปลืองน้ำลายเปล่าๆ"เสียงของทหารคนหนึ่ง
"ก็ให้มันรู้ไปสิวะ ใครคิดหนีละก็...หัวเละเป็นซุปมะเขือเทศเน่าๆแน่"
แต่ดูเหมือนกับว่าคำเตือนของเขาจะใช้ไม่ได้การเสียเท่าไรนัก ทหารเยอรมันหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมนอกก็ลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว มันวิ่งซิกแซ็กไปมาราวกับว่ากำลังเล่นอยู่กับสไนเปอร์คนอื่นๆที่ประจำอยู่ไม่ให้เล็งเป้าได้นิ่งๆ แต่ทันใดนั้น...
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นราวกับเสียงกัมปนาท และในขณะเดียวกันลูกตะกั่วขนาดเล็กก็พุ่งแหวกสายลมมาอย่างรวดเร็วไปยังศรีษะที่สวมหมวกเหล็กอยู่นั่น ลูกกระสุนเจาะทะลุหมวดเหล็กใบเก่าสีดำเข้าไปในสมองใต้หมวกนั่นก่อนที่ของเหลวสีแดงจะกระฉูดออกมาพร้อมๆกับร่างไร้วิญญาณของทหารหนุ่มคนนั้นจะล้มลงไปต่อหน้าพวกเพื่อนๆและหัวหน้าที่นั่งอยู่ด้วยกัน ภาพนี้ทำเอาขวัญของเหล่าทหารกระเจิดกระเจิงไม่เป็นท่าจนพวกนั้นเริ่มจะทำท่าทีลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด ริคกียิ้มอย่างพอใจก่อนจะเหลือบตาขึ้นไปมองบนดาดฟ้าตึกตรงหน้านั่นแล้วขยับหมวกขึ้นราวกับแสดงท่าทีขอบคุณ เบิร์ตลดปืนไรเฟิลลงก่อนจะมองลงไปด้านล่างพลางกระตุกยิ้ม แม้อีกฝ่ายจะมองไม่ค่อยเห็นก็ตาม
ริคกีหันไปทำหน้าตาขู่กับพวกนาซีที่ไร้ทางสู้พวกนั้น
"ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็น่าจะฉลาดบ้างนะ ไอ้พวกเศษสวะเอ้ย"
ไม่ทันที่จะได้สั่งสอนอะไรต่อ ทหารคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งออกมาจากอาคารด้านหลังนั่น ถ้าให้ทายละก็คงไม่ใช่ข่าวดีแน่...
"เฮ้ยเราเจอตู้เซฟว่ะ!"เขาพูดพลางหอบด้วยความเหนื่อย"แต่ดันมีรหัสซะได้"
"รหัสเหรอ? บ้าเอ้ยมีใครพูดเยอรมันเป็นบ้างวะ!? มาถามไอ้พวกนี้ดูหน่อยซิ!"
ริคกีร้องลั่นด้วยความไม่สบอารมณ์มากในขณะที่รอให้ทหารอเมริกันอีกคนก้าวเดินเข้ามา เขานั่งยองๆลงก่อนจะถอดหมวดเหล็กหนักๆออกมาวางไว้บนพื้นถนน สายตาจ้องมองไปยังทหารนาซีหนุ่มตรงหน้าราวกับจงกำลังจะกินเลือดกินเนื้อ
"รหัสเซฟ"เขาพูดสั้นๆเป็นภาษาเยอรมันชัดเจน หากแต่อีกฝ่ายกับเลี่ยงที่จะตอบ
"..."
"บอกมา"
เขาพยายามบีบให้อีกฝ่ายพูด แต่กลับไม่เป็นผลจนกระทั่งอารมณ์ของเขาเริ่มเดือด
"บอกรหัสตู้เซฟมาสิวะ!"
"...!"
ปืนพกถูกชักออกมาจากซองใส่ปืนอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะจ่อมันเข้าไปที่คางของอีกฝ่ายด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวที่เขาไม่ได้คำตอบมาเสียที ทหารเยอรมันหนุ่มก็ยังคงเงียบ...เขาคงไม่รอดแน่ถ้าไม่พูด
"ได้ งั้นก็ลาก่อน"
"เดี๋ยวไนเจล"
เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของชายหนุ่ม เขาค่อยๆหันกลับไปมองที่มาของเสียงอย่างรวดเร็วก่อนจะสังเกตเห็นหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มในเคริ่องแบบคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเขา ในมือของเธอกระชับปืนพกรัสเซียไว้แน่น นัยน์ตาสีฟ้าสดใสที่สะท้อนเงาของเขาจ้องมองมาอย่างเงียบๆ
"หมวดแอดเลอร์?"เขาเรียกชื่อเธอในที่สุด
เธอละสายตาจากชายหนุ่ม แล้วมองไปยังทหารเยอรมันคนนั้นแทน
"ดูเหมือนว่าคุณจะถามผิดคนนะจ่า"หญิงสาวพูดพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย"พลทหารมันไม่รู้เรื่องสูงๆแบบนี้หรอกนะ ถ้าจะถามละก็...คนข้างหลังอาจจะช่วยได้"
จ่าไนเจิลตั้งท่าจะเดินไปหาทหารในเครื่องแบบอีกคนข้างหลังที่ดูเหมือนว่ายศจะสูงกว่า แต่ก็ถูกกันไว้ด้วยมือของแอดเลอร์ เธอพยักหน้าให้เขาช้าๆ..ราวกับกำลังบอกเขาเดี๋ยวเธอจัดการกับมันเอง
แอดเลอร์เดินเบียดตัวพวกทหารออกมาแล้วมุ่งหน้าไปยังทหารยศสูงคนนั้นอย่างใจเย็น เสียงก้าวเท้าของเธอดังขึ้นในความเงียบพร้อมๆกับจังหวะหัวใจของทหารในเครื่องแบบคนนั้นที่เต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมานอกอก ใครๆก็รู้ดีว่าเธอเป็นคนทรยศ...โดยเฉพาะคนพวกนี้
"ไง..."
เธอเริ่มจากการทักทายเขาเป็นภาษาเยอรมัน ในขณะที่เขากลืนน้ำลายลงคออจกใหญ้...เขากำลังคิดอยู่ว่า เขาจะรอดหรือเปล่า
"พอดีเราเจอตู้เซฟในนั้น...ฉันอยากรู้รหัส"
"...."เขาเริ่มสั่นๆ
เบิร์ตยังคอยดูสถานการณ์จากด้านบนเช่นเดิม เขามองการกระทำของเธอผ่านเลนส์กล้องในมือบนดาดฟ้าตึกสูง...ในใจของเขารู้อยู่แล้วว่าเธอจะทำแบบนี้ และรู้อีกด้วยว่าการกระทำต่อไปของเธอจะเป็นแบบไหน
"บอกมา"
"..."
ไม่ว่าจะบีบอย่างไรทหารคนนี้ก็ไม่ยอมบอกรหัสของเธอสักทีจนเธอเริ่มจะแสดงอาการทนไม่ไหวขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอจะโวยออกมาเหมือนกับไนเจลไม่ได้...ใจเย็นเข้าไว้แอดเลอร์ นี่แหละวิธีที่ดีที่สุด
หญิงสาวโน้มหน้าไปกระซิบที่หูของมันอย่างช้าๆ...
"บอกรหัสมาซะ แล้วฉันจะปล่อยคุณให้เป็นอิสระ"
"..."
เขาก้มหน้าลงสักครู่หนึ่ง เธอมองก็รู้แล้วว่าเขากำลังจำนน
ทหารคนนั้นเริ่มกระซิบบอกรหัสผ่านใส่หูของเธอ
"1..8..."
"แล้วอะไรต่อ"
"...7..4"
ได้รหัสตู้เซฟมาแล้ว หญิงสาวค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆแต่ตาของเธอยังคงจ้องมองไปยังทหารคนนั้นใบหน้าของเขาชื้นไปด้วยคราบน้ำตาจางๆอย่างเห็นได้ชัด สงสัยเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปไหม?
ปัง!
ร่างของเขาค่อยๆล่วงลงไปกองกับพื้น ปืนพกที่เธอถืออยู่ถูกนำเก็บเข้าซองทันทีด้วยสีหน้าเรียบเฉยของเธอ หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ
"นี่และอิสระ"
"..."
"..ถ้าฉันปล่อยให้เขาหนีไป เขาก็ต้องโดนพวกเอมิลล์ตามล่าอยู่ดีนั่นล่ะ!"
"..."
หญิงสาวหันไปรอบๆ เธอตัดสินใจเดินเข้าไปในอาคารพร้อมกับริคกีและพลทหารอีกสองสามคนอย่างรีบๆ รหัสที่เธอได้มา..1874 มันเป็นเลขที่เธอเคยเจอบนโต๊ะทำงานของเอมิลล์เมื่อนานมาแล้วตั้งแต้เธอยังเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ตอนนั้นเธอไม่รู้เลยว่ามันคือเลยอะไร แต่มันตรงกันข้ามกับตอนนี้...
แอดเลอร์ยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่มีแต่ฝุ่นเกาะเต็มไปฟมด ตู้เซฟขนาดเล็กวางอยู่บนโต๊ะตัวนั้นพร้อมกับกองเอกสารอีกมากที่มันแทบจะกลายเป็นขยะไปเลยสำหรับเธอ หญิงสาวก้มลงหมุนรหัสช้าๆอย่างใจเย็นก่อนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังออกมา เซฟเปิดออกในที่สุดท่ามกลางสีหน้าเคร่งเครียดของแต่ละคนที่เฝ้ามองเธออยู่ข้างๆ ด้านในไม่มีสิ่งใดนอกจากซองเอกสารเก่าๆสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังถูกเธอนำออกมา เมื่อเปิดซองดูแล้วมันก็ไม่มีอะไรเลย...ที่หมายความว่าเอกสารนั่นอยู่ในนี้
"บ้าเอ๊ย! นี่มันขยะชัดๆ"ริคกีเริ่มหัวเสีย คนอื่นๆก็เช่นกัน"แหล่งข่าวต้องผิดแน่ๆเลย เสียเวลาชะมัด!"
"ไม่หรอก"
เสียงของเธอห้ามไม่ให้เขาพูดอะไรอีก แอดเลอร์พลิกซองไปดูด้านหลัง...และทุกคนก็ต้องสงสัย
"รอยลิปสติก..?"
ใครคนหนึ่งพูดขึ้น เธอพยักหน้าช้าๆพลางใช้นิ้วแตะรอยสีแดงหลังซองนั่น..มันติด มือของเธอออกมานิดหน่อย แต่สีมันก็ชัดมาก
"ยังไม่แห้งซะด้วย...ของใครกันละนี่"
คำพูดของเธอทำเอาทุกคนสงสัยกันไปหมด...อันที่จริงเธอรู้อยู่แล้วล่ะว่ารอยลิป สติกนี่เป็นของใคร สีแบบนี้มีคนเดียวในโลกเท่านั้นล่ะที่ใช้อยู่
แอดเลอร์หัวเราะออกมาเบาๆ
"ยินดีต้อนรับกลับมานะ"เธอพูดก่อนจะเก็บซองเอกสารมา"..นังแม่มด"
-กลางดึกคืนนั้น-
เสียงเพลงออร์เคสตร้าที่ดังออกมาเบาๆจากวิทยุเก่าๆที่ตั้งอยู่บนชั้นวางของทำเอาแอดเลอร์ตื่นจากภวังค์แม้เสียงมันจะเบามากก็ตาม เธอแทบจะหลับไปหลายรอบกับการนั่งแกะเอกสารบนโต๊ะในบาร์นี่ถ้าไม่ได้กาแฟร้อนๆช่วยเอาไว้ หญิงสาวยกมือขึ้นขยี้ตาก่อนจะก้มหน้าหาวเหมือนกับเด็กขี้เซา ตาที่พร่ามัวยังคงจดจ่ออยู่กับตัวอักษรแปลกประหลาดของพวกเยอรมันจนเธอเริ่มจะอ่านมันไม่ออก มือข้างหนึ่งคว้าถ้วยกาแฟมาจะดื่มหากแต่ว่าภายในแก้วมันไม่มีอะไรเลยนอกจากคราบกาแฟเท่านั้น เธอเริามนับจำนวนแก้วกาแฟที่ผ่านมา...ให้ตายสิเธอดื่มไปเกือบสิบแก้วแต่ยังง่วงมากแบบนี้อีก..
ฟึ่บ..
หญิงสาวตัดสินใจวางเอกสารในมือลงก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับแล้วอ้าปากหาวอีกครั้ง เสียงเพลงยังคงดังขึ้นเรื่อยราวกับว่าทีคนไปเพิ่มเสียงมันอย่างไรอย่างนั้นจนเธอแทบจะเอาแก้วกาแฟขว้างใส่วิทยุนั่น เพลงนั้นเธอรู้จัก"ฮังกาเรียน แดนซ์ หมายเลข 5" นั่นคือชื่อของมัน เพลงนี้เป็นผลงานของโยฮันเนส บราห์ม หนึ่งในคีตกวีที่เธอชื่นชอบ นี่เป็นงานประพันธ์หนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก แต่ถึงแม้ว่ามันจะดังมากแค่ไหน ทำนองของมันก็ไม่เข้ากับบรรยากาศในตอนนี้เลยจริงๆ
ก่อนที่เธอจะหลับลงเสียก่อน เธอก็สังเกตเห็นใบหน้าของใครบางคนที่ก้มลงมามองเธอด้วยความสงสัยอยู่ด้านหน้า
"จะหลับแล้วรึไง"เขาพูด จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่คาร์ล"แกะเอกสารได้กี่แผ่นแล้วล่ะ"
"ไปตายซะคาร์ล..."เธอพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงงัวเงียเหมือนกับคนอดหลับอดนอนมาเป็นปีอย่างไรอย่างนั้น
"ผมแค่ถามน่า"
แอดเลอร์นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ถึงแม้จะอยากหลับเสียแค่ไหนแต่เสียงเพลงก็ทำเอาหลับไม่ลงอยู่ดี เขาค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตรงหน้าเธอก่อนจะยื่นไปหยิบเอกสารมาดู เธอแกะมันได้อย่างไรบ้างเขาไม่รู้ แต่เธอก็แกะได้เยอะเลยทีเดียว...ในเวลาสามชั่วโมงที่ผ่านมา ก็นับว่าไม่เลวสำหรับคนอดนอนอย่างเธอ
"ตื่นก่อนสิผู้หมวด"เขาพูดพลางดีดนิ้วตรงหน้าเธอ"ยังมีงานอีก..."
"ทำไปก่อนเลย ฉันจะนอนแล้ว..."
เบิร์ตถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเดินไปปิดวิทยุที่ดังอยู่ให้เงียบสนิทก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม ปรากฏว่าเธอได้ผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้วในทันทีืี่เขาปิดวิทยุ เขาถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยใจในขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ เหลืออีกไม่กี่แผ่นเท่านั้นที่เธอยังไม่ได้ทำ นี่แหละคืองานที่เขาต้องทำต่อจากเธอ...
..แต่ก่อนที่เขาจะจัดการกับงานนี่
"เฮ้.."
"..."
เขาก้มหน้าลงมองเธออีกครั้ง เธอหลับไปแล้วแน่ๆ
"ให้ตายสิ หลับง่ายขนาดนี้เลยรึไง"
เบิร์ตก้มมองเธอสักครู่แต่มือและเส้นผมสีน้ำตาลของเธอบังใบหน้าของเธอจนหมด เขาเลิกก้มลงมองเธอแล้วกลับมาจดจ่ออยู่กับแผ่นกระดาษตรงหน้าอีกครั้ง แต่ตราบใดที่เธอยังคงนอนคุบโต๊ะอยู่ตรงหน้าเขา..มันก็ทำให้เขาไม่มีสมาธิอยู่ดี
เขาเหล่ขึ้นมองเธออีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมของเธอเบาๆ ถ้าเธอยังตื่นอยู่ป่านนี้เขาคงโดนเธอไล่บี้จนเละไปแล้ว แต่ตอนนี้..เธอหลับ
"ราตรีสวัสดิ์ แอดเลอร์"
เขาพูดก่อนที่จะชักมือตัวเองออกมาช้าๆ...สายตาหลุบลงไปมองเอกสารในมืออีกครั้ง
"เอาล่ะ...คุณทิ้งอะไรไว้ให้ผมบ้าง เรน่า ฮิลล์..."
-----------------------------------------------------
ความคิดเห็น