ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #9 : [PEARCE] Blood Runs Cold

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 62


    12/29/2018

    Blood Runs Cold

    [ C A R T E L ]

     

    “นี่คือจุดที่พวกทหารจะมาแจกเสบียง”

    บอริสชี้นิ้วลงบนแผนผังเมืองขนาดใหญ่พร้อมกับแจ้งให้คนอื่นทราบ พวกเขาประชุมอยู่ในห้องปฏิบัติการที่ทั้งมืดและแคบ ฐานทัพของพวกคาร์เทลมีหลายจุดในชิคาโก และดูท่าทางจะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ หลังจากการระบาดของเชื้อโรคปริศนา สถานที่ในตอนนี้ของพวกเขาก็คือหนึ่งในฐานทัพใหญ่ของคาร์เทลเช่นกัน มีบอริสเป็นหัวหน้ากลุ่ม มีมือขวาเป็นอาชญากรผู้เลือดเย็นอย่างเพียร์ส พวกเขามักจะทำงานด้วยกันเสมอ และไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของบอริสเด็ดขาด

    นอกจากจะมีชายฉกรรจ์ร่างสูงเจ้าของใบหน้าอำมะหิตสี่คนแล้ว หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องนี้กลับกลายเป็นจุดเด่นที่สุดในการประชุม มาเรียยืนกอดอกอยู่ข้างเพียร์ส เธอเป็นคนสำคัญที่จะช่วยทำให้แผนการนี้สมบูรณ์ วงกลมสีแดงที่ถูกตราลงบนแผนผังเมืองคือจุดปล่อยเสบียงจุดต่างๆ โดยมีเธอเป็นผู้สังเกตการณ์และรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้ทั้งนั้นมาเรียก็เปรียบเสมือนกับมันสมองประจำกลุ่มคาร์เทล ด้วยความสามารถที่ไม่เป็นรองใคร...และปูมหลังที่เคยเป็นอาชญากรผู้โด่งดังแห่งชิคาโก

    "จุดที่เราวางแผนจะจู่โจม"บอริสชี้นิ้วลงบนบริเวณใจกลางเมืองซึ่งถูกวงกลมเอาไว้"คือตรงนี้ ลงมือพร้อมกันกับที่อื่น เมื่อเราจู่โจม คนอื่นก็จะลงมือพร้อมกับเรา"

    "แล้ว...ไอ้เสบียงที่ต้องไปชิงเนี่ย มันคุ้มรึเปล่า?"

    ใครคนหนึ่งถามขึ้น เป็นคำถามเช่นเดียวกันกับที่สมาชิกอีกหลายคนสงสัย คงไม่มีใครอยากเสียกระสุนเสียแรงเปล่าๆ ไปกับอาหารกระป๋องหรือน้ำดื่มแน่ คนพวกนี้ต้องการอะไรที่มากกว่านั้น โดยเฉพาะเสบียงของพวกทหารซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธและยุทโธปกรณ์อีกจำนวนมาก ตอนแรกไม่มีใครตอบ จนกระทั่งผู้หญิงคนเดียวภายในห้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

    "คุ้มแน่"มาเรียเอ่ย เธอยกมือขึ้นกอดอก นัยน์ตาสีฟ้าสดใสจ้องมองไปยังเจ้าของคำถาม"โดยเฉพาะสำหรับพวกนาย ได้ยินมาว่าทหารขนยามาเยอะอยู่ ฉันรับรองว่าต้องมีพวกมอร์ฟีน แอสไพริน หรือไมดาโซแลม ที่พวกนายอยากจะเอาไปใส่แก้วเหล้าใครที่ไหนก็ได้"

    "งั้นก็เยี่ยม..."

    "เอาล่ะ! ใครจะมอมยาใครก็ช่างหัวแม่งละกันนะ แต่พรุ่งนี้ถ้าตื่นไม่ทันก็อดกันหมด เข้าใจ!?"

    "ครับ!"

    บอริสพยักหน้า หลังจากเลิกการประชุมผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคาร์เทลจึงตัดสินใจเดินหายเข้าไปในห้องของตนเอง แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าในขณะที่คนอื่นพากันเดินออกไปหมดแล้ว แต่ยังคงมีคาร์เทลอีกคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะตัวใหญ่ เพียร์สเพ่งพินิจไปยังผังเมืองดังกล่าว มองจุดทุกจุดที่ถูกหมายเอาไว้ ถึงแม้ว่าแผนการทุกอย่างจะถูกแจ้งแก่สมาชิกทุกคนอย่างชัดเจนแล้ว อาชญากรหนุ่มคนนี้ก็มักจะอยู่ในห้องจนคนสุดท้ายเสมอ

    "มีอะไรเหรอไอ้ลูกชาย"

    ร่างสูงเงยหน้า ดวงตาซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่สามารถเห็นได้เมื่อมองไปยังใบหน้าของเขาเหลือบขึ้น มันจ้องเขม็งมายังผู้เป็นหัวหน้าด้วยท่าทางสับสน บอริสถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมากอดอก นัยน์ตากลวงลึกจ้องมองชายหนุ่มกลับ

    "ท่าทางจะดูสับสนนะ"

    "ครับ"เขายอมรับ"นิดหน่อย"

    "ไม่เข้าใจส่วนไหนของแผนนี้เหรอ"

    "...ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจแผนนี้ดี"

    "งั้นสงสัยอะไร"

    เพียร์สก้มหน้า ดูก็รู้แล้วว่าต้องมีอะไรอยู่ในหัวแน่ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็เลือกที่จะลืมคำถามของตนเอง แล้วบอกลาบอริสโดยไม่ลืมที่จะทิ้งให้อีกฝ่ายสงสัยบ้าง

    "เปล่าครับ ผมขอตัวก่อนนะ"

    โดยไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ร่างสันทัดสวมฮู้ดก็หันหลังแล้วเดินออกไปทางประตูอย่างไม่เร่งรีบ ในขณะที่บอริสทำได้เพียงแค่ยืนกอดอกนิ่งอยู่ตรงโต๊ะวางแผน เขามีศักดิ์เป็นถึงหัวหน้ากลุ่มคาร์เทล ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าเขาจะมองความคิดของลูกน้องไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมือขวาของตนเอง ถึงกระนั้นชายชาวรัสเซียก็ไม่คิดจะเอ่ยปากดึงรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ เพราะเขารู้ดีว่าข้อสงสัยอะไรที่อยู่ในหัวของชายหนุ่มคนนั้น

    เสียงปิดประตูดังอยู่เบื้องหลัง เพียร์สตัดสินใจถอดหมวกฮู้ดของตนเองลงจากศีรษะ เสียงถอนหายใจภายใต้หน้ากากผ้าดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางโถงทางเดินอันเงียบสงบ เขายืนอยู่ตรงนั้นเกือบห้านาทีเต็ม ยืนจนได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่ยังยืนอยู่หน้าห้องวางแผน มาเรียเองก็ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ไม่ไกล หญิงสาวเหลือบมองมาเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววราวกับรู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกจ้องมอง

    ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาสวมฮู้ดกลับเข้าไปอีกครั้ง

    "คุณไม่อยากทำงานนี้ใช่มั้ย"

    คำถามนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าเล็กๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกทีมาเรียก็มายืนกอดอกอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาสีสวยคู่เดิมยังคงจับจ้องมาที่เขา เครื่องหน้าเรียบสนิทไร้อารมณ์พร้อมกับทรงผมสั้นสีดำ ลักษณะการแต่งตัวด้วยเสื้อโค้ทหนังทำให้เธอแลดูน่าเกรงขามเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลขนาดใหญ่บริเวณฝ่ามือข้างซ้าย ที่ทำให้เธอต้องสวมถุงมือข้างเดียวปกปิดมันอยู่ตลอดเวลา

    "ทำไมคิดว่าผมไม่อยากทำล่ะ"

    "สีหน้าคุณมันฟ้อง"หญิงสาวถอนหายใจ เธอเดินมายืนอยู่ข้างเขา"อีกอย่าง ได้ข่าวว่าคุณเองก็ลาวงการไปนานเลยล่ะสิ"

    "ถ้าคุณพูดถึงวงการคนเลวแห่งชิคาโกละก็"เพียร์สลากเสียง"ไม่ต้องห่วงหรอก วงการนี้เข้าแล้วออกยาก"

    "ฮะๆ นั่นสิ"

    เธอหัวเราะ แต่หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ยืนเงียบ ไม่มีใครเอ่ยปากอะไรออกมาทั้งสิ้น ราวกับต้องการให้ความเงียบนี้ทำให้จิตใจสงบมากขึ้น ชายหนุ่มยังคงยืนพิงหลังทั้งที่ในหัวก็เต็มไปด้วยความคิดมากมาย จนกระทั่งบุคคลที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบกลับเป็นมาเรียเสียเอง

    "เสียใจด้วยนะ เรื่อง...ครอบครัวของคุณน่ะ"

    "ขอบคุณ"

    "เพราะพวกเขาหรือเปล่าคุณถึงไม่อยากทำงานนี้"

    สิ่งที่เธอสันนิษฐานอาจจะจริง อาจจะเป็นเพราะเขาคิดเรื่องครอบครัวมากเกินไปจนลืม "ตัวตน" ที่แท้จริงที่เคยเป็น หลังจากชิคาโกล่มสลายด้วยเชื้อโรคมรณะ เขาก็กลายเป็นอาชญากรผู้เต็มไปด้วยความสับสน เอาแต่คิดอยู่เสมอว่าทุกสิ่งที่ลงมือทำลงไปเพื่ออะไรกันนแน่ แต่ตอนนี้...เพียร์สตัดสินใจยืดตัวขึ้น เขาเดินออกมาจากกำแพงห้องแล้วหันหน้าไปทางเดิน มาเรียเดินตามเขามาก้าวหนึ่งก่อนจะหยุดนิ่ง ใบหน้าของหญิงสาวแฝงไปด้วยความคาดหวังในบางอย่าง

    "ไม่ต้องห่วง"ชายหนุ่มเอ่ย ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววบางอย่างเมื่อเขาหันมามองเธอ"ผมจะไม่ทำให้บอริสผิดหวัง"

    จบบทสนทนา

    มาเรียยังคงมองไล่หลังเขาจนกระทั่งร่างสูงนั้นเดินผายเข้าไปในเงามืด ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งเมื่อไร้ซึ่งเสียงคำพูด เจ้าของเรือนผมสีดำขลับทำได้เพียงแค่หวังว่าสิ่งทีอีกฝ่ายพูดนั้น...จะเป็นจริง "ตลอดไป"



    วันกำหนดแจกเสบียง

    จุดแจกเสบียงใจกลางเมืองชิคาโก เวลา 7:50 น.

    เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงครึ่งแล้วที่เหล่าผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์โรคระบาดมานั่งชุมนุมกัน พวกเขาไม่ได้นั่งรวมเป็นกลุ่มใหญ่ แต่จะแยกเป็นกลุ่มย่อยๆ หรือบ้างก็มาเพียงแค่คนเดียว เสียงพูดคุยไม่ได้แผดดังเช่นเมื่อก่อน ท่ามกลางความหนาวเหน็บและเกล็ดหิมะที่กำลังร่วงโปรยปราย แน่นอนว่าส่วนใหญ่มีอาการสั่นเทาเนื่องจากสภาพอากาศ แต่ก็มีบางคนที่แสดงอาการ "ป่วย" ออกมาจนคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้

    ควีน สตีฟ และเดวิสนั่งรวมกับคนอื่นอยู่หน้าห้างสรรพสินค้า พวกเขาแลดูกระตือรือร้นก็จริงแต่ก็ปฏิเสธความเบื่อหน่ายแบบนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะกับเดวิส ชายหนุ่มเอาแต่นั่งบ่นอุบอิบตั้งแต่ยังมารอได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่ก็เรื่องที่ทหารไม่ยอมรักษาเวลา แหงล่ะ ตอนนี้เกือบจะแปดโมงตรงแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววอะไรเลย คนที่นี่ก็ค่อนข้างใจร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าพวกนั้นมาแจกเสบียงไม่ทันก็เป็นอันว่าต้องใช้ชีวิตแบบแร้นแค้นแบบนี้ต่อไปอีก

    มือทั้งสองข้างยื่นเข้าไปอังไออุ่นจากกองเพลิง ลมหายใจสีขาวถูกพ่นออกมาเป็นจังหวะ ควีนถอนหายใจ รู้สึกเหนื่อยหน่ายและหนาวไปในเวลาเดียวกัน ส่วนหนึ่งก็เหนื่อยเรื่องการมาเอาเสบียงในครั้งนี้ แล้วก็เบื่อเดวิสด้วย สองชั่วโมงผ่านไปแล้วหมอนี่ยังบ่นไม่หยุดแถมยังเอาแต่บ่นเรื่องเดิมๆ ฟังแล้วน่ารำคาญ แต่เธอเอือมระอาเกินกว่าจะพูดแล้ว

    "ให้ตายสิเมื่อไหร่พวกนั้นจะมาเนี่ย..."เดวิสถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาดูเหมือนเด็กงอแง"ทำไมเราต้องเสียเวลาแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า แล้วต้องมานั่งรออะไรแบบนี้เป็นชั่วโมงสองชั่วโมงด้วยเนี่ย"

    "เพราะมันคุ้มไง"สตีฟตอบ

    "ใช่ อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องออกมาหาของอีก"ควีนเสริม"เพราะฉะนั้นแล้วนายช่วยหุบปากไปหน่อยได้มั้ย สักสิบนาทีนี่จะเป็นบุญกับฉันมากๆ เลยล่ะ"

    "ฟังนะ ฉันไม่ใช่พวกความอดทนสูงนะเว้ย!"

    "ก็เรื่องของนายสิเดฟ แต่อย่างทำคนอื่นเขารำคาญ โอเค?"

    ต้องขอบคุณสตีฟที่ช่วยทำให้หมอนั่นหุบปากได้ ควีนถอนหายใจอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองอย่างเหนื่อยหน่ายไปยังสภาพเบื้องหน้า นอกจากพวกเขาสามคน ผู้รอดชีวิตอีกกว่ายี่สิบคนก็แทบจะเอือมระอาไม่แพ้กัน ไม่มีใครชอบคนมาผิดนัดหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่รัฐบาลส่งมา แถมการมานั่งรวมกลุ่มอะไรแบบนี้มันเตะตาพวกคาร์เทลกับพวกสวีปเปอร์เป็นอย่างมาก พวกเขาต้องรีบเอาเสบียงแล้วรีบกลับ ไม่อย่างนั้นก็คงจะโดนพวกแก็งค์โจรปล้นซะหมดตัว หรือไม่ก็อาจโดนเผาตายเสียก่อน

    เหล่าผู้รอดชีวิตนั่งรอกันต่อมาเกือบครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็เกือบจะแปดโมงครึ่งแล้ว และในที่สุดควีนก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถดังขึ้นสักที มันดูราวกับเสียงสวรรค์ของคนที่นี่ หญิงสาวกระพริบตาสองสามครั้งราวกับไม่เชื่อตนเอง เธอลุกขึ้นยืน สตีฟกับเดวิสก็ลุกขึ้นตามเช่นกัน ขบวนรถบรรทุกสามครั้งวิ่งตามหลังเข้ามาในเขตหมายเลขศูนย์ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ เมื่อทหารผู้เป็นคนขับรถเห็นกลุ่มของพวกผู้รอดชีวิตแล้ว เขาก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลงแล้วจอดรถ

    เสียงตะโกน เสียงกรีดร้อง และถ้อยคำสบถหยาบคายดังไปทั่วจนแทบสิ้นสติ แต่พวกเขาต้องทำตามหน้าที่ ผู้ที่นำเสบียงเข้ามาแจกในครั้งนี้นอกจากจะมีทหารแล้วยังมีเจ้าหน้าสาธารณสุขอีกสองสามคน ซึ่งพวกเขาทำหน้าที่แจกยา ทั้งหมดนั้นติดอาวุธ สวมหน้ากากแก๊สป้องกันโรคระบาดมิดชิด 

    ทหารอีกสามนายประจำอยู่ท้ายรถแต่ละคัน เมื่อเห็นถุงผ้าสีขาวถูกโยนออกมากองเตรียมไว้ เหล่าผู้รอดชีวิตเริ่มกรูเข้าไปท้ายรถอย่างบ้าคลั่ง กลุ่มของควีนแยกออกไปเอาเสบียงจากรถทั้งสามคัน เธอโดนใครคนหนึ่งผลักจนล้มแต่ก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาได้ ภาพที่เห็นคือผู้คนกว่ายี่สิบ...หรืออาจจะมากกว่านั้นที่เข้าไปรุมกันอยู่ท้ายรถ เหมือนกับปลาที่เข้าไปออกันตรงขอบตู้เมื่อเห็นซองอาหาร เสียงตะโกนร้องแผดดังลั่น

    "เอามาสิวะ!"

    "ฉันต้องได้ก่อนนะ ฉันมีลูกสาว!"

    "กรุณาเป็นระเบียบด้วยครับ!"

    "เอามานี่!"

    ควีนพยายามเบียดตัวเข้าไป เสียงตะโกนร้องกึกก้องของคนในรุมกันอยู่นั่นดังจนน่ารำคาญ หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหู ขาทั้งสองพยายามก้าวเข้าไปในวงล้อมอย่างยากลำบาก ทั้งกลิ่นเหม็น เสียงไอ เสียงร้อง ทั้งหมดนี้ถาโถมใส่เธอแต่เพียงผู้เดียว แต่แล้วความพยายามก็สำฤทธิ์ผล ในที่สุดเธอเข้าไปยังบริเวณที่อยู่ใกล้เสบียงจนได้ นอกจากนั้นแล้วเธอต้องขอบคุณนายทหารคนหนึ่งที่เผลอทำถุงเสบียงตกใส่มือเธอพอดิบพอดี

    "เฮ้ย! กูต้องได้ก่อนสิวะ!"

    "อย่าแซงสิโว้ย!"

    เธอต้องจับถุงเสบียงนี้เอาไว้ให้แน่นประหนึ่งว่ามันคือของมีค่าในชีวิต ไม่อย่างนั้นคนอื่นมาชิงไปก่อนแน่ ควีนกลั้นหายใจขณะก้าวเท้าออกจากกลุ่ม ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีผู้รอดชีวิตจากที่อื่นเข้ามากระโจนใส่จุดแจกเสบียงด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าสตีฟกับเดวิสจะได้ของมาหรือเปล่า แต่ตอนนี้เธอต้องรักษาของตนเองเอาไว้ให้ดี

    แต่แล้วในขณะที่ทุกคนกำลังชุลมุนวุ่นวาน คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลัง ปืนไรเฟิลจู่โจมและอาวุธอีกหลายประเภทที่อยู่ในมือบ่งบอกสถานะของพวกเขาได้ดี สมาชิกคาร์เทลกว่าสิบคนนำทีมด้วยบอริส พวกมันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและรอคำสั่งจากหัวหน้า ชายชาวรัสเซียกระโดดขึ้นไปยืนบนรถเก๋งจมหิมะคันหนึ่ง สายตาทอดมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังชกชิงเสบียงอย่างคลั่ง 

    "เห็นนั่นมั้ย! ไอ้พวกไร้น้ำยากำลังเอาเสบียงของพวกเราไป!"บอริสรองตะโกน"ไปเอามันกลับมา!"

    เสียงร้องเฮดังกึกก้อง ทันใดนั้นกลุ่มคาร์เทลก็เริ่มปฏิบัติตามแผนที่วางเอาไว้ทันที มาเรียยกปืนขึ้นประทับบ่าก่อนจะเหนี่ยวไกสังหารเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง กระสุนทะลุหน้าผากอย่างแม่นยำ เพียร์สวิ่งตามบอริสไปติดๆ เขาเป็นคนคุ้มกันหัวหน้าด้วยปืนคู่กายเพียงกระบอกเดียว ชายหนุ่มทำเหมือนกับคนอื่น และกระสุนของเขาก็จัดการทหารไปไม่น้อย แม้บอริสจะสั่งเอาไว้ว่าสังหารทุกคนที่มาเอาเสบียงไป แต่เขาก็ไม่อยากฆ่าคนให้มากนัก

    ฝ่ายทหารเริ่มตอบโต้ เมื่อผู้รอดชีวิตคนอื่นเตลิดแล้ววิ่งหนีไปทั่วทุกทิศทาง นั่นก็เป็นโอกาสให้พวกเขาสามารถยิงคุ้มกันรถขนเสบียงได้ แต่แค่จำนวนก็รับรู้ได้ทันทีว่าพวกคาร์เทลชนะขาดรอย สงครามปะทุขึ้นในบริเวณใจกลางเมือง ทั้งเสียงปืนเสียงระเบิด เสียงโห่ร้องของพวกกองโจร เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีเต็มตอนนี้ก็ไม่เหลือใครให้ยิงอีกแล้ว ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่หนีกันไปหมด บางคนตายเพราะอยู่กลางดงกระสุน แต่ต่อให้คนพวกนี้จะตายหมดบอริสก็ไม่สน เพราะสิ่งเดียวที่เขาหมายปองก็คือถุงเสบียงที่ยังเหลืออยู่บนรถนั้นเอง

    "เอาล่ะ--เสบียงทั้งหมดเป็นของเราแล้ว"

    "ให้มันได้อย่างนี้สิวะ! กลับไปพ่อจะฉลองยันฟ้าสางเลย!"

    เพียร์สเดินผ่านร่างไร้วิญญาณของเหล่าผู้คน หิมะสีขาวตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีแดงฉานของเลือด ขณะสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังประตูรถขนเสบียง ทันใดนั้นเองมือปริศนาก็ดึงเท้าของเขาเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นก่อนจะก้มลงไปดู ทหารคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่เบื้องล่าง ศีรษะของเขาอาบไปด้วยเลือด แถมต้นคอก็ถูกกระสุนปืนยิงตัดหลอดลมจนปรากฏให้เห็นรอยเหวอะหวะ 

    "ม..ไม่...อย่า--"

    ดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ด้วยรอยแผลบริเวณคอทำให้เสียงนั้นไม่ดังเท่าที่ควร เพียร์สมองนายทหารผู้นั้นด้วยสายตาสมเพช ยิ่งเขาพยายามพูด เลือดก็ยิ่งไหลออกมาจากบาดแผลมากขึ้น มันหยดลงบนหิมะที่อยู่รอบตัวของเขา อากาศโดยรอบถูกสูดเข้าไปอย่างกระเสือกกระสน

    อาชญากรหนุ่มไม่พูดอะไรทั้งสิ้นตอนที่เขาหยิบปืนพกออกมาเหนี่ยวไกสังหาร กระสุนขนาด 9 มม. พุ่งเข้าศีรษะอย่างพอดิบพอดี ปลิดชีพนายทหารคนนั้นจากความทรมานไปชั่วนิรันดร์

    "เพียร์ส"

    เจ้าของชื่อหันไป เขาเดาไม่ผิดเลยว่านั่นคือมาเรีย"ว่าไง"

    "บอริสให้พารถบรรทุกไปด้วย"เธอตอบพลางยกปืนไรเฟิลจู่โจมขึ้นพาดไหล่"คุณขับคันนี้ไป"

    "แล้ว?"

    หญิงสาวยืนนิ่งอยู่สักพักหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยฉายแววบางอย่างออกมาชัดเจน เขารู้ว่าเธอคิดอะไรแต่ก็ไม่อยากจะถาม คงต้องรอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเองน่าจะดีกว่า

    "ฉัน...ไปด้วยได้มั้ย"

    เพียร์สถอนหายใจเบาๆ ใบหน้าที่ถูกปกปิดมองกลับไป มาเรียดูท่าทางจะ...เขินหรืออะไรสักอย่าง เพราะหน้าเธอแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวละมั้ง? เขาได้ยินมาว่าเธอไม่ค่อยถูกกับอากาศหนาวหรือเกล็ดหิมะเท่าไหร่ ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าให้เธอตากหิมะอยู่แบบนี้...ท่าทางจะไม่ดีแน่

    "ได้สิ"ในที่สุดชายหนุ่มก็ตกลง"ขึ้นรถ"

    "ขอบคุณค่ะ"

    มาเรียส่งรอยยิ้ม เธอเดินย่ำเท้าไปยังที่นั่งข้างคนขับอย่างไม่รีบร้อนขณะปล่อยให้เพียร์สยืนข้างนอก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้าสลับกับถุงสีขาวซึ่งอยู่เต็มท้ายรถ เสบียงมากพอควร เดาว่าพวกทหารคงจะแจกได้ไม่มากเท่าไหร่ก่อนที่คาร์เทลจะเข้ามาขัดจังหวะ ร่างสูงชายตามองไปยังอดีตทหารนายเดิมอีกครั้ง แม้ว่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปแล้วเลือดก็ยังไหลออกมาไม่หยุด ดวงตาสีฟ้าใสเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว กลางหน้าผากมีรอยกระสุนปรากฏอยู่

    เขาต้องสลัดภาพพวกนี้ทิ้งไป โดยนึกถึงใบหน้าและคำขอบคุณของมาเรียเมื่อครู่นี้ เธอคงจะไปรอเขาอยู่ในรถแล้วล่ะ ซึ่งเขาเองก็ต้องรีบเหมือนกันก่อนที่พวกทหารจะส่งกำลังเสริมมาอีก


    "...ด้วยความยินดี"


           
    Z Y C L O N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×