คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [PEARCE] Rogue
Rogue
[ C A R T E L ]
ข้อมูลนักโทษสังกัดเรือนจำชิคาโก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลทั่วไป ชื่อ
อัลเดน “เพียร์ส” กอนซาเลซ เพศ
ชาย สัญชาติ อเมริกัน / อังกฤษ / แมกซิกัน อายุ
32 วันเกิด 14/6/1986 มอนเตร์เรย์,
แมกซิโก สัญลักษณ์พิเศษ แผลเป็นที่แก้มข้างขวา |
ข้อมูลประจำตัวนักโทษ หมายเลขประจำตัว 08352 คดี
ปล้น ชิงทรัพย์ ขู่กรรโชก ก่อวินาศกรรม บุกรุกสถานที่ข้าราชการ ขัดขืนการจับกุม ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ มียาเสพติดในครอบครอง
ใช้อาวุธโดยไม่มีใบอนุญาต ลักพาตัว ฆาตกรรม โทษตัดสิน ประหารชีวิต วันสำเร็จโทษ 25/12/2018 |
[คุณนิยามคำว่า “คนเลว” แบบไหน]
[...ผมไม่รู้]
[บางคนอาจจะคิดว่าโจร ฆาตกร
พวกค้ายาเสพติด มาเฟีย คือ “คนเลว”]
[แต่...พวกเขาไม่รู้อะไรเลย]
[จนกว่าเราจะดำดิ่งลงสู่จิตใจของคนๆ
หนึ่ง]
[เราไม่มีวันรับรู้ได้หรอกว่าเขาเป็น
“คนดี” หรือ “คนเลว”]
[…]
[ผมชื่อเพียร์ส]
[และในโลกที่กำลังล่มสลายนี้--]
[...ผมรับหน้าที่เป็น “คนเลว”]
ความมืดมิดยามวิกาลปกคลุมไปทั่วทั้งย่านชุมชนขนาดเล็ก ถนนสายเดียวซึ่งตัดผ่านใจกลางชุมชนถูกขนาบข้างด้วยบ้านสองชั้นกว่าสิบหลัง แต่ละหลังมีบริเวณไม่กว้างมากนักแต่ก็พอใช้จัดสวนหย่อมได้ ทุกหลังเริ่มมีการจัดสวนเพื่อต้อนรับเทศกาลที่กำลังจะมาถึง อากาศหนาวจนหิมะตกปกคลุมไปทั่ว ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงบรรยากาศชัดเจน ทั้งเสียงเห่าของสุนัข เสียงลม เสียงใบไม้ไหว ความเงียบยามค่ำคืนเช่นเดียวกันกับเมื่อก่อน
บนถนนสายยาวเริ่มปรากฏให้เห็นเงามืดของใครคนหนึ่ง แม้เมื่อก่อนถ้าเริ่มตกดึกก็จะไม่เห็นผู้คนออกมาเดินนอกบ้านแล้วก็ตาม แต่ทว่าร่างนั้นกลับทอดน่องเดินอย่างไม่รีบร้อน เสียงฝีเท้าดังก้อง เหยียบย่ำลงบนพื้นหิมะ หนึ่งในสุนัขเฝ้าบ้านพันธุ์เล็กตัวหนึ่งผงกหัวขึ้นเมื่อเห็นคนแปลกหน้า มันเริ่มเห่าด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมของมันเพื่อขับไล่บุคคลที่มันคิดว่าเป็นผู้บุกรุก แต่ทว่าเงาปริศนานั่นกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเดินต่อไปบนเส้นทางภายใต้แสงนีออน
เจ้าของเงามืดที่ว่านั้นคือชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ตตัวสีเทาเข้ม กางเกงยีนขายาวกับรองเท้าบูทหนัง ท่าทางจะไม่ใช่คนละแวกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ศีรษะซึ่งถูกสวมทับด้วยหมวกฮู้ดของเสื้อหันมองสภาพโดยรอบ ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นไอสีขาวในทุกจังหวะลมหายใจ
การเดินทางของเขาตั้งแต่เช้าจบลงเมื่อหยุดตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง อยู่ด้านในสุดและเป็นส่วนที่ติดกับแม่น้ำสายใหญ่แห่งเมืองชิคาโก เขาหันไปอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ตึกสูงมากมายตอนนี้ถูกประดับด้วยไฟระยิบระยับ มองเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางคืน สภาพโดยรอบตัวถูกประดับด้วยเกล็ดหิมะสีขาว ร่างสูงละสายตาจากทิวทัศน์สวยงามดังกล่าวแล้วหันไปยังเป้าหมายตนเอง ซึ่งก็คือบ้านหลังตรงหน้า บ้านสีขาวสองชั้นขนาดเล็ก อาณาเขตห้อมล้อมด้วยรั้วไม้ มีตุ๊กตาหิมะสีขาววางคู่กับกวางเรนเดียร์อยู่บริเวณที่จัดสวนหย่อม
เขายืนนิ่ง
มือค่อยๆ เอื้อมไปเลื่อนประตูรั้ว สัมผัสอันเย็นยะเยือกซึมซายผ่านผิวหนัง เมื่อประตูถูกเปิดออก ฝีเท้าก็เริ่มก้าวเข้าไปในเขตของตัวบ้าน ท่าทางเจ้าของจะยังไม่รู้ว่าตนเองมีแขก ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เขาไม่อยากให้ใครรับรู้ว่ากำลังจะมีคนมาที่นี่ เพราะอย่างนั้นถึงไม่มีจดหมายแจ้งล่วงหน้าไปให้กับเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว กระดิ่งสีทองขนาดเล็กซึ่งประดับอยู่ตรงลูกบิดช่วยดึงความสนใจเป็นอย่างดี
ชายหนุ่มยืนนิ่งเล็กน้อย เขาตัดสินใจกดกริ่งหนึ่งครั้ง...สั้นๆ
...ความเงียบเข้าปกคลุม
เวลาผ่านไปเกือบห้านาที เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไร้การขยับ ไอเย็นเริ่มจับตัวภายใต้เสื้อที่สวมอยู่ ถ้ายังขืนยืนอยู่ด้านนอกในที่ๆ อากาศหนาวแบบนี้อีกละก็ ไม่นานเขาก็คงกลายเป็นมนุษย์หิมะสมใจอยากแน่
แล้วประตูก็เปิดออกโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่เขากลับคาดไม่ถึงเลยว่าคนที่เปิดประตูจะเป็น...เด็กผู้ชายคนหนึ่ง
ร่างสูงค่อยๆ ถอดฮู้ดออก เพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจนขึ้น หลังจากยืนเงียบอยู่นาน รอยยิ้มก็เริ่มปรากฏบนใบหน้าของเด็กน้อย เขาแสดงอาการดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"พ...พ่อ!"
ร่างเล็กนั่นโผเข้ากอดบุคคลตรงหน้าโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว เขาหัวเราะเบาๆ แขนทั้งสองโอบร่างผู้เป็นลูกชายเอาไว้แน่นด้วยความรัก จนกระทั่งเด็กน้อยเป็นฝ่ายคลายอ้อมกอดออกไปแทน
"รอก่อนนะฮะ! เดี๋ยวผมกลับมา!"
เขาพยักหน้า"ได้สิชาร์ลส์"
หลังจากนั้นเด็กชายก็วิ่งหายเข้าไปในบ้าน ท่าทางดีใจยังคงมีให้เห็นอยู่แม้จะเหลือเพียงแค่เสียง ชายหนุ่มยืนกอดอกอยู่หน้าประตู แม้จะรู้สึกดีใจที่ได้กลับบ้าน แต่ทว่าเขากลับรู้สึกอะไรแปลกๆ กับการมาเยือนของตนเองในครั้งนี้ และความรู้สึกนั่นก็ประดังขึ้นมามากขึ้นเมื่อชาร์ลส์เดินกลับมา...พร้อมกับร่างเพรียวของหญิงสาวคนหนึ่ง
เธอสวมเสื้อยืดแขนกุด กางเกงขายาว เรือนผมสีบลอนด์น้ำตาลถูกรวบเอาไว้ด้านหลังเป็นหางม้า มือข้างหนึ่งถือถาดคุกกี้ที่เพิ่งจะอบเสร็จใหม่ๆ ดวงตาสีเขียวคู่สวยฉายแววความประหลาดใจยามมองมาที่เขา ดูเหมือนว่าการมาเยือนครั้งนี้จะเกินคาดสำหรับเธอไปหน่อย แน่นอน ผู้หญิงคนนั้นเกือบทำถาดคุกกี้ในมือของตนเองร่วงพื้นเลยด้วยซ้ำ แต่เด็กชายกลับรู้สึกในทางตรงกันข้ามกับผู้เป็นแม่
"...อัลเดน"
เจ้าของชื่อถอนหายใจเล็กน้อย เขาอยากโผเข้าไปสวมกอดร่างบางนั่นเสียจนแทบขาดใจ แต่สำหรับตอนนี้ แม้เขาจะพยายามก้าวเข้าไปหาเธอมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ยิ่งถอยห่างจากเขามากเท่านั้น ชายหนุ่มจึงตัดสินใจยืนอยู่หน้าประตูแทน
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองไปยังสมาชิกในครอบครัวทั้งสองคน
...เขาคิดถึงภรรยาสุดที่รักและลูกชายคนนี้เสียเหลือเกิน
แต่ทว่า...คำถามต่อไปกลับทำให้ความรู้สึกนั้นมลายหายไปในทันที
"คุณมาทำอะไรที่นี่"
ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดนั้นจะออกมาจาก...ปากของบุคคลที่เขาสาบานต่อหน้าบาทหลวงว่าจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าดวงตาคู่นั้นจะแปรเปลี่ยนไปเสียน่าใจหายเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน อัลเดนถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง เขาหันไปมองรอบๆ ตัวอย่างกระวนกระวาย อากาศหนาวโดยรอบทำให้แทบอยากจะขอเข้าไปพักในบ้าน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองผู้เป็นภรรยา เขาก็แทบไม่อยากจะเอ่ยอะไรอีกเลย
"ผม...ก็แค่อยากจะมาดูให้แน่ใจ"ชายหนุ่มเอ่ย"ว่าคุณกับลูกปลอดภัย"
"เรื่องโรคระบาดเหรอ?"
เขาพยักหน้า
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง เธอวางถาดคุกกี้เอาไว้บนโต๊ะโทรศัพท์ก่อนจะจับแขนลูกชายเอาไว้ เด็กน้อยเงยหน้ามองแม่สลับกับใบหน้าของพ่ออย่างสับสน อายุเพียงแค่นี้คงจะยังไม่เข้าใจถึงปัญหาของครอบครัว แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ชัดเจนเสียเหลือเกิน อัลเดนเหลือบมองลูกชายกลับ พยายามจะส่งสายตาบอกว่า 'ไม่เป็นไร' แต่ก็โดนคำพูดของแม่ขัดเอาไว้เสียก่อน
"ใช่ ฉันกับชาร์ลส์ปลอดภัยดี คราวนี้กลับไปซะ"
เธอทำท่าจะปิดประตูใส่ แต่ก็โดนมือของชายหนุ่มขัดเอาไว้เสียก่อน
"เดี๋ยวสิเอเดล"
"อะไรอีกล่ะ"
"คุณกับชาร์ลส์--"อัลเดนเหลือบมองเด็กน้อย"ควรจะไปจากเมืองนี้ซะ"
"หมายความว่าไง โรคนั่นไม่ระบาดข้ามมาถึงนี่หรอก อีกอย่าง คุณก็รู้ดีว่าเราไม่มีที่ไปแล้ว"
บรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้งหนึ่ง เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร สถานการณ์ในตอนนี้แลดูจะตึงเครียดมากกว่าเมื่อก่อนมาก ตั้งแต่ที่เขาโดนตีตราในคดีทางกฎหมาย รวมถึงกาารพัวพันกับพวกแก็งค์ค้ายาเสพติด นั่นทำให้ชีวิตของคนในครอบครัวไม่ปลอดภัยอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เขาจะลาใบหน้าของลูกชายและภรรยาสุดที่รักไป เขาก็อยากให้ทั้งสองคนไปเริ่มชีวิตใหม่...ที่ดีกว่านี้
อัลเดนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมา ซองกระดาษสีน้ำตาลไหม้ถูกยื่นให้กับหญิงสาว สีหน้าแลดูสับสนเล็กน้อยเมื่อมองสิ่งของในมือสลับกับใบหน้าของเขา แน่นอน เอเดลรู้ว่าในซองนั้นมีอะไร
เพราะอย่างนั้นเธอถึงตัดสินใจปัดมันทิ้ง
"ฉัน..."หญิงสาวกัดฟันแน่น"...ไม่ต้องการเงินสกปรกของคุณ"
"เอเดล--ได้โปรดเถอะผม..."
"ไปซะ! ไม่งั้นฉันเรียกตำรวจแน่!"
เด็กชายยังคงแอบอยู่ใกล้ๆ ขณะเฝ้ามองเหตุการณ์ ตอนที่แม่ขึ้นเสียงมันยิ่งทำให้จิตใจของเขาสั่นคลอน ชาร์ลส์เหลือบมองแววตาของพ่อ เด็กน้อยรู้ดีว่าอีกฝ่ายมองเห็นตนเองแม้จะหลบซ่อนอยู่ ซองสีน้ำตาลนั่นวางนิ่งอยู่บนพื้น ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ตรงนั้น ชาร์ลส์ตัวน้อยหน้าเสีย มือที่เกาะอยู่บนกำแพงเริ่มกำหมัดแน่น รับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดหวังในใจ
อัลเดนเงียบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องเขม็งไปยังใบหน้าผู้เป็นภรรยา ไม่รู้เลยว่าตอนนี้มือซ้ายกำลังกำหมัดแน่นจนเริ่มชาไปด้วยไอเย็นจากหิมะ แต่มือของเขาก็ยังไม่เยือกเย็นเท่ากับแววตาของสุดที่รักตนเอง
ในตอนนั้นเองเขาก็ตัดสินใจก้มลงไปเก็บซองสีน้ำตาลดังกล่าว
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น
...ทุกอย่าง
ก็มลายหายไปหมด
12/28/2018
"เพียร์ส"
เจ้าของชื่อตื่นจากภวังค์ ไม่รู้ตัวเลยว่ายืนอยู่ตรงหน้าบ้านร้างหลังนี้มานานแค่ไหนแล้ว เขาหันกลับไป ใบหน้าซึ่งบัดนี้ถูกปกปิดอย่างมิดชิดด้วยหน้ากากโม่งสีดำ มีเพียงดวงตาสีน้ำตาลคู่เดิมเท่านั้นที่ถูกเปิดเผย
หญิงสาวสวมเสื้อโค้ทขนสัตว์คือเจ้าของเสียงเรียกเมื่อครู่นี้ เรือนผมสั้นสีดำขลับพลิ้วไสวอยู่เบื้องหลัง ใบหน้าสวมหน้ากากอนามัยป้องกันโรค คนทั่วไปอาจจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงธรรมดา...ถ้าไม่ติดที่หญิงสาวคนนี้สะพายปืนไรเฟิลจู่โจมเอาไว้ด้านหลังด้วย แน่นอน เขารู้จักกับเธอ
"กะแล้วว่าต้องเจอคุณที่นี่"มาเรียเลิกคิ้ว"รำลึกความหลังเหรอ"
เพียร์สไม่เอ่ยอะไร ขณะหันกลับไปยังบ้านหลังเดิมซึ่งบัดนี้ราวกับกำลังจมอยู่ในกองหิมะ ทุกอย่างเละเทะไปหมด ไม่มีความเงียบสงบเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ที่นี่ก็ถูกโรคระบาดคุกคามเช่นเดียวกันกับในตัวเมือง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดรอดจากมันไปได้...ครอบครัวของเขาเองก็เช่นกัน
ชายหนุ่มพยักหน้า"ใช่"
"บอริสอยากพบคุณ"
"ทำไม"
"น่าจะเรื่องเสบียงละมั้ง ได้ข่าวจากประกาศว่าพรุ่งนี้ทหารจะเอาเสบียงมาแจกนี่"
เขาหันหน้ากลับไปมองทางเดิม"เข้าใจแล้ว แจ้งเขาว่าเดี๋ยวผมไป"
สายลมหนาวหอบเอาไอเย็นและเกล็ดหิมะ ปะทะลงบนใบหน้าของมาเรียเสียจนเธอรู้สึกเย็นจนแสบบริเวณแก้ม หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้นสักครู่ก่อนจะพยักหน้า แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม เธอเดินกลับไปทางเดิมโดยทิ้งให้เขายืนอยู่เบื้องหลัง
ความเงียบงันเข้าย่างกราย และมันทิ้งคำถามให้กับเขา
ทำไมเขาถึงยังไม่ตาย?
ทำไมพระเจ้าถึงยังไว้ชีวิตของเขาอยู่?
ทั้งที่ก่อนหน้านี้กำลังจะถูกนำไปประหารแล้วแท้ๆ แต่เมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ทุกคนก็พากันเป็นบ้าไปจนหมด ไม่มีใครที่มีสติพอจะควบคุมกับนักโทษที่เหลือไม่ให้อาละวาดได้ โรคระบาดกำลังกัดกินสมองและสติของมนุษย์ ที่ยิ่งกว่านั้นคือมันกำลังทำให้เขาเป็นบ้า เมื่อได้รู้ถึงข่าวอัตราการเสียชีวิตที่พุ่งสูงจนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียร์สก็ล้มเลิกความหวังของตนเองไปเลย...ว่าครอบครัวของเขายังมีชีวิตอยู่
ตอนนี้มีเพียงนรกกับสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นเท่านั้น
บอริสคงเรียกพบเขาเรื่องวางแผนการชกชิงเสบียงในวันพรุ่งนี้ ซึ่งปกติแล้วมันจะเป็นหน้าที่ของเขากับคนอื่นๆ ที่ค่อนข้างมีฝีมือของคาร์เทล ตอนนี้เขายังไม่ได้รายละเอียดอะไรมากนัก แต่ก็เดาได้เลยว่างานนี้จะต้องไม่พลาดเลยแม้แต่จุดเดียว
ชายหนุ่มกระชับอาวุธปืน G36C เอาไว้ในมือ เขากับอาวุธคู่ใจค่อยๆ เดินห่างออกจากบ้านหลังนั้นโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องครอบครัว...หรือเรื่องที่ว่าเอเดลกับชาร์ลส์จะคิดยังไงเมื่อต้องมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้ มีเพียงความคิดเดียวในหัวเท่านั้นที่คอยผลักดันเขา ความต้องการที่จะเอาชีวิตรอด สัญชาตญาณดิบของมนุษย์ตั้งแต่เก่าตอนนี้กำลังลุกฮืออยู่ในร่างกาย
เพียร์สยกมือขึ้นดึงหมวกฮู้ดของเสื้อตัวโปรดลงมาให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววนักล่าอย่างเห็นได้ชัด
ความคิดเห็น