ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #5 : [QUEEN] Ordinary World (2)

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 62


    Ordinary World (2)

    [ C I V I E S ]

     

    ก็มีอยู่หลายครั้งนะที่ฉันหวังให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ฝันร้าย

    ความหวาดกลัวเดียวที่เกรงกลัวมาตลอดชีวิตของฉันก็คือ การที่ฝันร้ายหนึ่งเกิดกลายเป็นความจริงขึ้นมา เหมือนกับตอนนี้ โค้ชเฝ้าบอกกับฉันเสมอว่าคนเราไม่สามารถต้านกระแสน้ำได้ ถ้าเอาแต่ฝืน เรานี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายโดนกระแสน้ำพัดพาไป ซึ่งมันก็จริง...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดถูกต้องมั้ยล่ะ?

    ตอนนี้ฉันยังคงอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับที่กบดาน อาจจะเรียกว่าบ้านเลยก็ได้ มาถึงตอนนี้พวกคุณคงจะยังไม่รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่บนโลกนี้คนเดียว ยังคงมีใครสักคนรอฉันอยู่ที่บ้าน รอเสบียงที่อยู่ในกระเป๋าบนหลัง ขณะก้าวเดินไปทีละก้าว เกล็ดหิมะบนถนนก็ติดพื้นรองเท้าบูทหนังที่ฉันสวม ความเย็นยะเยือกซึมซาบผ่านเนื้อผ้า เสียงซวบๆ ดังในความเงียบ หิมะยังคงตกไม่หนักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับวันก่อน

    แต่มันก็ยังหนาวอยู่ล่ะนะ

    ก่อนมุ่งตรงเข้าไปที่อะพาร์ทเมนท์ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของตัวเอง ฉันตัดสินใจเดินเที่ยวเตร่ไปแถวๆ ร้านขายของแถวนั้นเสียหน่อย ไม่ต้องห่วงล่ะว่าฉันจะเผลอทำซุ่มซ่ามแบบนางเอกในละครน้ำเน่า เพราะทุกฝีก้าวที่เดินฉันจะระวังตัวอยู่เสมอ สิ่งเดียวที่ทำให้พลเรือนเสียเปรียบกว่าคนกลุ่มอื่นก็คืออาวุธ พวกเราส่วนใหญ่ไม่มีอาวุธ พลเรือนทำเพียงแค่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในบ้าน เพราะฉะนั้นการที่จะเจอใครสักคนที่มีปืนอยู่ มันก็คงเป็นไปได้ยากเลยล่ะ

    บางทีก็คิดนะว่าทำไมเราถึงไม่ลองไปขอยืมจากพวกทหารบ้าง?

    ก็แบบ...ขอยืมชั่วคราวน่ะ

     

    ฟิตเนสแฟคทรีเป็นร้านค้าขายอุปกรณ์ทางกีฬาชั้นนำของชิคาโก แน่นอน ฉันเป็นขาประจำของร้านนี้ ในทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ประตูกระจกที่บัดนี้มีรอยแตกขนาดยักษ์ปรากฏอยู่ ฉับพลันมันก็เลื่อนเปิดให้ฉันโดยอัตโนมัติ ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจเสียเท่าไหร่ แม้ว่าชิคาโกจะถูกตัดจากโลกภายนอก แต่ก็ยังดีที่ไฟฟ้าทุกแห่งในเมืองยังใช้งานได้ตามปกติ 

    "โอเค...เจ๋งเลย"

    ฉันแอบเช็ดเท้ากับพรมซึ่งถูกวางเตรียมเอาไว้เล็กน้อยแม้จะรู้ว่ามันไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยการรักสะอาดก็เป็นนิสัยของฉันละนะ เมื่อเริ่มหันมองไปรอบๆ ตัว สภาพภายในร้านที่ฉันเคยรู้จักกลับกลายเป็นเพียงความฝัน ชั้นวางที่เคยมีรองเท้าผ้าใบถูกวางจัดเอาไว้ บัดนี้กลับล้มระเนระนาดเละเทะ รองเท้าแต่ละคู่ร่วงกระจายเต็มพื้น เศษกระจกจากบานประตูร้านกระเด็นไปทั่ว สภาพเหมือนกับเข้ามาอยู่ในโลกหลังเกิดหายนะอะไรทำนองนั้น

    นอกจากอุปกรณ์กีฬาซึ่งบัดนี้ถูกทำลายไปจนเกือบหมด ภายในร้านก็ยังมีแจ๊คเก็ตขายอีกด้วย ฉันหยุดอยู่ตรงหน้าแผนกเครื่องแต่งกายก่อนจะมองตัวเอง สเวตเตอร์สีดำที่สวมอยู่ไม่ค่อยจะคลายหนาวได้เท่าไหร่ เพราะมันทั้งบางแถมไม่เหมาะกับการเอามาใส่กลางหิมะแบบนี้ด้วย ฉันมองไปยังเสื้อแจ๊คเก็ตมีฮู้ดสีน้ำเงินตรงหน้า เนื้อผ้าหนาๆ ของมันอาจจะช่วยป้องกันความหนาวได้ดีกว่าก็ได้

    "24 เหรียญเหรอ"ฉันคลี่ยิ้มเล็กน้อยขณะมองป้ายติดราคา"ไม่เอาน่า..."

    อย่างที่รู้กัน เมื่อโลกจะแตก ทุกอย่างจะกลับกลายเป็นของฟรีปลอดภาษีในทันทีเลยล่ะ เพราะแบบนี้เสบียงในร้านค้าใกล้ๆ ถึงหายไปหมด ฉันถึงต้องลำบากออกเดินทางไปละแวกอื่น เสี่ยงทั้งดงกระสุนและพวกโจรอีกต่างหาก

    เมื่อสวมเสื้อกันหนาวตัวใหม่เรียบร้อยแล้ว แทนที่จะเดินออกจากร้านตามที่วางแผนเอาไว้ ฉันกลับเลือกที่จะเดินเที่ยวต่ออีกสักพักหนึ่ง เผื่อบางทีอาจจะเจอของมีประโยชน์หลงเหลืออยู่อีกก็ได้ ฉันเดินเลี่ยงเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น ก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินตรงไปยังแผนกที่ฉันชอบมากที่สุด ใช่...แผนกรองเท้าสเก็ต ตอนที่ฉันโดนลากจากลานแข่ง สัมภาระทุกอย่างถูกเก็บเอาไว้ในรถ แน่นอน ตอนเกิดอุบัติเหตุฉันไม่ได้เอารองเท้าคู่โปรดออกมาจากรถซะด้วย

    เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันจึงกลายเป็นนักกีฬาฟิกเกอร์สเก็ต ที่ไม่มีรองเท้าสเก็ตใส่ พอๆ กันกับคนที่เป็นนักกีฬาแบดมินตันแต่กลับไม่มีไม้แบดนั่นแหละ แถมในตอนนี้ชั้นวางรองเท้าสเก็ตที่เคยหวังว่ามันจะมีหลงเหลืออยู่อีกสักกล่อง กลับว่างเปล่าอย่างน่าตกใจเลย 

    แต่เดี๋ยวนะ

    ฉันขมวดคิ้วสับสน สายตาจ้องมองไปยังกล่องกระดาษกล่องหนึ่งซึ่งถูกวางปนๆ เอาไว้กับรองเท้าสนีกเกอร์ ด้วยความสนใจ ฉันจึงเดินเบียดตัวไปยังชั้นวางที่ว่าก่อนจะย่อตัวลงนั่ง กล่องกระดาษคุ้นๆ ตาแบบนี้...อย่าบอกนะว่า..

    "ให้ตายสิ..."

    ใช่ กล่องรองเท้าสเก็ต

    เยี่ยม!!

    ไม่ทันที่จะได้ชื่นชมกับสิ่งที่ตัวเองค้นพบ ในความเงียบงันนั้นเองฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

    ...เรื่องแย่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น

    เพล้ง!!

    บ้าเอ้ย--

    ฉันรีบก้มตัวลงแทบจะในทันทีทันใด เสียงกระจกแตกดังสะท้อนเข้าไปในหัวที่กำลังใช้ความคิด ฉันคว้ากล่องรองเท้าสเก็ตมากอดไว้แน่นประหนึ่งว่ามันคือชีวิตของตัวเอง ในตอนนั้นหูก็เริ่มได้ยินเสียงดังตามมา มันฟังดูเหมือนกับ...เสียงของรองเท้าหนักๆ ที่กำลังเหยียบลงบนเศษกระจก กรอบ...แกรบ.. ให้ตายสิ! นี่ฉันต้องบ้าตายไปแล้วแน่ๆ! ก่อนที่สติตัวเองจะเตลิดหายไป ฉันเริ่มคลานอย่างระมัดระวังเพื่อหาที่หลบ เงาสูงใหญ่ของกลุ่มคนปรากฏขึ้นตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่อยู่ไม่ไกลจากฉันเลย

    ไม่ใช่ไอ้กลุ่มเมื่อกี้แน่ ฉันคิด

    เสียงรองเท้าบูทหนักๆ ทั้งสามคู่ดังย่ำไปทั่วร้าน ในขณะที่กำลังมองหาที่หลบอย่างกระวนกระวาย ฉันเหลียวหลังกลับไปมองตำแหน่งของคนพวกนั้นเป็นระยะๆ พวกมันเริ่มเดินสำรวจอาณาเขตที่ตัวเองยืนอยู่ ท่าทางของสามคนนั่นทำให้ฉันแทบจะสติแตก พวกมันสวมเสื้อแจ๊คเก็ตตัวหนา สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันแน่ใจว่าพวกมันไม่ใช่กลุ่มผู้เก็บกวาดก็คือ...ไม่มีใครสักคนในกลุ่มนั้นเลยที่สวมหน้ากากกันแก๊ส แต่บนใบหน้ากลับถูกปกปิดด้วยหน้ากากโม่งแทน

    พระเจ้า ให้ตายสิ! ฉันไม่น่ามาที่นี่เลย!

    หลังจากที่คลานแบบหลบๆ ซ่อนๆ มานาน ในที่สุดฉันก็ได้ที่หลบอันแสนจะปลอดภัย (ละมั้ง) จนได้ นั่นก็คือด้านหลังสุดของร้าน ที่ฉันคิดว่ามันปลอดภัยมากก็เพราะส่วนนี้เป็นส่วนที่ถูกทำลายมากที่สุด ชั้นวางแทบจะทั้งหมดร่วงลงมากองทับกันซึ่งใช้เป็นกำบังได้อย่างดี พวกมันคงไม่ฉลาดเดินสำรวจมาถึงนี่หรอก...ฉันเอาแต่เฝ้าบอกตัวเองแบบนั้น ขณะที่จ้องมองพฤติกรรมของชายติดอาวุธทั้งสามคนอย่างหวาดกลัวหลังชั้นวางของ

    พวกมันถือปืนคนละกระบอก แถมยังมีปืนสำรองสะพายเอาไว้ด้านหลังพร้อมกับกระเป๋าเป้อีกด้วย พระเจ้า...ฉันไม่รู้จักพิษสงของปืนที่พวกมันถืออยู่หรอกนะ แต่ต้องอย่าให้หนึ่งในพวกมันเจอตัวเด็ดขาด ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามควบคุมสติของตนเอง ทางออกอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ น่าจะอาศัยจังหวะที่พวกมันเผลอแล้วหนีออกไปได้แน่

    "เฮ้ดูนี่สิวะ"

    เสียงทุ่มหนาของหนึ่งในสามคนนั้นดังขึ้น ฉันรู้ว่ามันไม่ได้เรียกให้ฉันไปดูอะไรหรอก แต่มันก็อดที่จะยืดตัวขึ้นไปแอบมองไม่ได้เลย และสิ่งที่เห็นก็แทบจะทำให้หัวใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มอีกครั้งหนึ่ง 

    ชายร่างสูงสวมเสื้อหนังหยิบอะไรบางอย่างขึ้น เขาชูให้อีกสองคนที่เหลือเห็นสิ่งที่ตัวเองพบเจอด้วยท่าทางประหลาดใจ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ สิ่งที่อยู่ในมือของไอ้หมอนั่นก็คือเสื้อสเวตเตอร์ของฉันเองนี่ล่ะ! ฉันยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ไม่อย่างนั้นความหวาดกลัวเมื่อครู่นี้คงจะเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องดังลั่นร้านไปแล้วแน่ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือเฝ้ามองอย่างเงียบงันในขณะที่เสื้อสเวตเตอร์ตัวนั้นถูกโยนไปให้กับชายอีกคนหนึ่ง

    "โอ้ให้ตายสิ..."คนที่ได้รับเสื้อสเวตเตอร์เอ่ย ฉันรู้สึกสยองมากเลยล่ะในตอนที่เห็นว่ามันสูดดมกลิ่นจากเสื้อตัวนั้น"หอมฉิบหายเลยว่ะ"

    "เฮ้ย--น้อยๆ หน่อยไมค์ ฉันว่าหาเจ้าของเสื้อตัวนี้ให้เจอดีกว่ามั้ง"

    "หล่อนคงจะหนีไปไกลแล้วว่ะ"

    ถ้าพวกมันคิดได้แบบนั้นแล้วเดินออกไปก็ดีสิ แต่มันไม่ใช่!

    โจรคนที่สามเดินกลับเข้าไปสมทบกลุ่มของตัวเอง ฉันมองเห็นร่างสูงสวมฮู้ดนั่นเริ่มกล่าวอะไรกับเพื่อนๆ ของมัน

    "ไม่ไกลหรอก"เสียงของไอ้หมอนั่นดูแตกต่างจากคนอื่น

    "นายว่าไงนะ"

    "เห็นรอยหิมะนี่มั้ย"เขาชี้นิ้วลงบนพื้น และนั่นก็ทำให้ฉันสติแทบแตก"มันยังไม่ละลาย แสดงว่าเธอคงเพิ่งจะเข้ามาไม่นาน แถมยังไม่มีรอยเท้าตอนเดินออกไปอีกด้วย"

    ให้ตายสิ ทำไมไอ้หมอนี่ไม่โง่เหมือนเกลอสองคนของมันนะ!

    นี่มันบ้า...บ้า บ้า บ้า!

    "เธอยังอยู่ในนี้"

    ฉันยกมือขึ้นปิดหู ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้นที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ในหัวเริ่มนึกภาพอันแสนทรมานในตอนที่สามคนนั้นเจอคนที่หลบอยู่ด้านหลังร้าน บ้าเอ้ย! แต่...ไม่นะไม่ ฉันสูดหายใจอีกครั้ง พยายามเรียกสติของตัวเองกลับมาก่อนที่มันจะเตลิดหายไปไกล ตอนนี้สามคนนั้นเริ่มเดินสำรวจมากกว่าเดิม แต่เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันยังไม่ได้สังเกตเห็นฉันที่กำลังแอบอยู่ ดังนั้นจะต้องใช้แผนเดิม 

    ถ้าเผลอเมื่อไหร่ค่อยหนี

    ใช่...รอจนกว่าพวกมันจะเผลอ

    การเลือกที่จะทำตามแผนนี้อาจเป็นทางรอดทางเดียวก็ได้ ฉันเริ่มคลานหนีออกจากจุดเดิมอย่างเชื่องช้าและใจเย็นที่สุด มือข้างขวายังคงถือกล่องรองเท้าสเก็ตไว้แน่น ทั้งที่รู้ดีอยู่ในใจว่าเพราะรองเท้าเวรนี่แหละที่ทำให้ลำบากขนาดนี้ จากการสังเกตคร่าวๆ สามคนนั่นแบ่งกันเดินสำรวจหา และคนเดียวที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือไอ้โจรถือปืนลูกซอง ถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวรับรองว่าตายแน่ แต่ยังโชคดีที่ไอ้หมอนี่ยังไม่ฉลาดถึงกับมาชะเง้อดูด้านหลังชั้นวาง ดังนั้นการคลานหนีออกไปจึงไม่ใช่เรื่องยาก

    ...แต่ก็ไม่ได้ง่ายนัก

    กรอบ...

    เวรแล้ว!

    "หืม? เสียงอะไรวะ"

    ฉันแทบร้องลั่นเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสแปลบๆ ที่หัวเข่า การคลานบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษกระจกนี่ดูเป็นอะไรที่โง่สุดๆ เลย เพราะนอกจากจะต้องเคลื่อนที่อย่างใจเย็นที่สุดแล้ว ยังมีโอกาสเสี่ยงโดดกระจกบาดอีกด้วย และในตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าฉันจะโดนกระจกบาดเข่าเรียบร้อยแล้วด้วย ไม่ได้นะไม่ได้! อย่า..ร้อง...

    เลือดเริ่มจะไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ แต่ยังไงซะก็ต้องคลานต่ออยู่ดี ดังนั้นฉันจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันทนความเจ็บปวด ไม่อยากจินตนาการตอนก้มลงไปมองเข่าตัวเองเลยสักนิด หวังว่าเศษกระจกที่ทำฉันเจ็บเมื่อกี้คงไม่ได้ขนาดใหญ่มากหรอกนะ แต่แทนที่จะไปกังวลกับเรื่องบาดแผล ตอนนี้ฉันควรจะกังวลกับสถานการณ์ในตอนนี้มากกว่า เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้นแม้แต่นิดเดียว เจ้าพวกนั้นก็เงยหน้าขึ้นในทันที ไอ้ตัวถือปืนลูกซองเป็นตัวที่อยู่ใกล้ฉันมากที่สุด

    มันเริ่มก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า เสียงกรอบแกรบยามพื้นรองเท้าบูทเหยียบย่ำบนเศษกระจกแทบทำให้สติแตก ฉันตัดสินใจหยุดคลานก่อนที่จะทำเรื่องบานปลายไปมากกว่านี้ ต้องรอนิ่งๆ ให้มัน...ผ่านไป...

    อย่ามาทางนี้นะ...

    ช่องว่างเพียงเล็กน้อยเป็นเพียงจุดเดียวที่ทำให้ฉันมองเห็นฝีเท้าของมัน หมอนั่นหยุดนิ่ง แล้วก็เริ่มหมุนตัวไปมา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังมองหาฉันอยู่ ถ้าขยับตอนนี้มีหวังจบเห่แน่ แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างนิดหน่อย เพราะในทันทีที่มันไม่เห็นอะไร เจ้าหมอนั่นก็เดินกลับไปหาเพื่อนของมันอีกคน

    "ไม่มีอะไรหรอกว่ะ กลับเหอะ"

    "ให้ตายสิ นี่มันบ่ายสามแล้วนี่หว่า"

    โชคดีไปนะ...พวกมันตรงต่อเวลาซะด้วย

    ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อได้ยินเสียงคนพวกนั้นเดินย่ำกระจกออกไปจากร้านก็ยิ่งทำให้โล่งอกกว่าเดิม ฉันตัดสินใจดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง พิงหลังกับกำแพง ต้องดูแผลที่เข่าสักหน่อยล่ะ...สภาพไม่ได้แย่กว่าที่คิดนะ ยังดีที่เศษกระจกไม่ได้ใหญ่มากนัก ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจหยิบมันออกได้โดยไม่ยาก ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บอยู่บ้างก็เถอะ ตอนนี้คนพวกนั้นคงจะเดินออกไปจนหมดแล้ว ทุกอย่างเริ่มกลับมาสงบอีกครั้งหนึ่ง

    จนกระทั่งเงามืดปริศนาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า

    "อ๊ะ--"

    ฉันพลาดอะไรไปงั้นเหรอ?

    คำถามนั้นดังขึ้นในหัว ในขณะที่ตอนนี้สายตาเย็นยะเยือกของบุคคลตรงหน้ากำลังจับจ้องฉันอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นส่องประกายในความมืด มันทำให้ฉันนึกถึงสายตาของยมทูตที่กำลังจะมาเอาชีวิตไป เมื่อเริ่มคิดได้ว่าความผิดพลาดของตัวเองกำลังจะทำให้จุดจบมาเยือน ฉันก็ห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

    ...พระเจ้า ฉันน่าจะรอบคอบกว่านี้!

    ใบหน้านั่นถูกปกปิดด้วยหน้ากากผ้าสีดำ เขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีเทาเข้ม สวมฮู้ดบนศีรษะ แถมยังสวมผ้าพันคอลายพลางสีเทาอีกต่างหาก ที่ยิ่งกว่าใบหน้าและการแต่งตัวก็คือมีดพกขนาดใหญ่ในมือของเขา ฉันอดคิดไม่ได้เลยว่ามีดเล่มนั้นเคยสังหารคนมาแล้วเท่าไหร่...และมันก็ยิ่งทำให้ความหวาดกลัวทวีขึ้นมากกว่าเดิม ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป ไม่มีแม้กระทั่งอาวุธ หรือทักษะการต่อสู้ ความสามารถเดียวที่ฉันมีก็คือฟิกเกอร์สเก็ต ซึ่งมันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับฉันในตอนนี้เลย!

    ดวงตาเย็นยะเยือกจับจ้องมาไม่กระพริบ เดาไม่ออกเลยว่าหมอนี่กำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ฉันทำอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่สัญชาตญาณที่ต้องการมีชีวิตกลับบอกให้ทำอะไรบางอย่าง ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย

    "ได้โปรดเถอะ..."

     

           
    Z Y C L O N
      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×