คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [QUEEN] Ordinary World (2)
Ordinary
World (2)
[
C I V I E S ]
ก็มีอยู่หลายครั้งนะที่ฉันหวังให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ฝันร้าย
ความหวาดกลัวเดียวที่เกรงกลัวมาตลอดชีวิตของฉันก็คือ
การที่ฝันร้ายหนึ่งเกิดกลายเป็นความจริงขึ้นมา เหมือนกับตอนนี้
โค้ชเฝ้าบอกกับฉันเสมอว่าคนเราไม่สามารถต้านกระแสน้ำได้ ถ้าเอาแต่ฝืน
เรานี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายโดนกระแสน้ำพัดพาไป ซึ่งมันก็จริง...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดถูกต้องมั้ยล่ะ?
ตอนนี้ฉันยังคงอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับที่กบดาน
อาจจะเรียกว่าบ้านเลยก็ได้
มาถึงตอนนี้พวกคุณคงจะยังไม่รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่บนโลกนี้คนเดียว
ยังคงมีใครสักคนรอฉันอยู่ที่บ้าน รอเสบียงที่อยู่ในกระเป๋าบนหลัง
ขณะก้าวเดินไปทีละก้าว เกล็ดหิมะบนถนนก็ติดพื้นรองเท้าบูทหนังที่ฉันสวม
ความเย็นยะเยือกซึมซาบผ่านเนื้อผ้า เสียงซวบๆ ดังในความเงียบ
หิมะยังคงตกไม่หนักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับวันก่อน
แต่มันก็ยังหนาวอยู่ล่ะนะ
ก่อนมุ่งตรงเข้าไปที่อะพาร์ทเมนท์ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของตัวเอง
ฉันตัดสินใจเดินเที่ยวเตร่ไปแถวๆ ร้านขายของแถวนั้นเสียหน่อย
ไม่ต้องห่วงล่ะว่าฉันจะเผลอทำซุ่มซ่ามแบบนางเอกในละครน้ำเน่า
เพราะทุกฝีก้าวที่เดินฉันจะระวังตัวอยู่เสมอ
สิ่งเดียวที่ทำให้พลเรือนเสียเปรียบกว่าคนกลุ่มอื่นก็คืออาวุธ
พวกเราส่วนใหญ่ไม่มีอาวุธ พลเรือนทำเพียงแค่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในบ้าน เพราะฉะนั้นการที่จะเจอใครสักคนที่มีปืนอยู่
มันก็คงเป็นไปได้ยากเลยล่ะ
บางทีก็คิดนะว่าทำไมเราถึงไม่ลองไปขอยืมจากพวกทหารบ้าง?
ก็แบบ...ขอยืมชั่วคราวน่ะ
ฟิตเนสแฟคทรีเป็นร้านค้าขายอุปกรณ์ทางกีฬาชั้นนำของชิคาโก
แน่นอน ฉันเป็นขาประจำของร้านนี้ ในทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ประตูกระจกที่บัดนี้มีรอยแตกขนาดยักษ์ปรากฏอยู่
ฉับพลันมันก็เลื่อนเปิดให้ฉันโดยอัตโนมัติ ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจเสียเท่าไหร่ แม้ว่าชิคาโกจะถูกตัดจากโลกภายนอก แต่ก็ยังดีที่ไฟฟ้าทุกแห่งในเมืองยังใช้งานได้ตามปกติ
"โอเค...เจ๋งเลย"
ฉันแอบเช็ดเท้ากับพรมซึ่งถูกวางเตรียมเอาไว้เล็กน้อยแม้จะรู้ว่ามันไม่จำเป็นเท่าไหร่
แต่อย่างน้อยการรักสะอาดก็เป็นนิสัยของฉันละนะ เมื่อเริ่มหันมองไปรอบๆ ตัว
สภาพภายในร้านที่ฉันเคยรู้จักกลับกลายเป็นเพียงความฝัน
ชั้นวางที่เคยมีรองเท้าผ้าใบถูกวางจัดเอาไว้ บัดนี้กลับล้มระเนระนาดเละเทะ
รองเท้าแต่ละคู่ร่วงกระจายเต็มพื้น เศษกระจกจากบานประตูร้านกระเด็นไปทั่ว
สภาพเหมือนกับเข้ามาอยู่ในโลกหลังเกิดหายนะอะไรทำนองนั้น
นอกจากอุปกรณ์กีฬาซึ่งบัดนี้ถูกทำลายไปจนเกือบหมด
ภายในร้านก็ยังมีแจ๊คเก็ตขายอีกด้วย ฉันหยุดอยู่ตรงหน้าแผนกเครื่องแต่งกายก่อนจะมองตัวเอง
สเวตเตอร์สีดำที่สวมอยู่ไม่ค่อยจะคลายหนาวได้เท่าไหร่
เพราะมันทั้งบางแถมไม่เหมาะกับการเอามาใส่กลางหิมะแบบนี้ด้วย
ฉันมองไปยังเสื้อแจ๊คเก็ตมีฮู้ดสีน้ำเงินตรงหน้า เนื้อผ้าหนาๆ
ของมันอาจจะช่วยป้องกันความหนาวได้ดีกว่าก็ได้
"24 เหรียญเหรอ"ฉันคลี่ยิ้มเล็กน้อยขณะมองป้ายติดราคา"ไม่เอาน่า..."
อย่างที่รู้กัน
เมื่อโลกจะแตก ทุกอย่างจะกลับกลายเป็นของฟรีปลอดภาษีในทันทีเลยล่ะ
เพราะแบบนี้เสบียงในร้านค้าใกล้ๆ ถึงหายไปหมด
ฉันถึงต้องลำบากออกเดินทางไปละแวกอื่น เสี่ยงทั้งดงกระสุนและพวกโจรอีกต่างหาก
เมื่อสวมเสื้อกันหนาวตัวใหม่เรียบร้อยแล้ว
แทนที่จะเดินออกจากร้านตามที่วางแผนเอาไว้
ฉันกลับเลือกที่จะเดินเที่ยวต่ออีกสักพักหนึ่ง
เผื่อบางทีอาจจะเจอของมีประโยชน์หลงเหลืออยู่อีกก็ได้
ฉันเดินเลี่ยงเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น ก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง
ก่อนจะเดินตรงไปยังแผนกที่ฉันชอบมากที่สุด ใช่...แผนกรองเท้าสเก็ต
ตอนที่ฉันโดนลากจากลานแข่ง สัมภาระทุกอย่างถูกเก็บเอาไว้ในรถ แน่นอน
ตอนเกิดอุบัติเหตุฉันไม่ได้เอารองเท้าคู่โปรดออกมาจากรถซะด้วย
เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันจึงกลายเป็นนักกีฬาฟิกเกอร์สเก็ต
ที่ไม่มีรองเท้าสเก็ตใส่ พอๆ กันกับคนที่เป็นนักกีฬาแบดมินตันแต่กลับไม่มีไม้แบดนั่นแหละ
แถมในตอนนี้ชั้นวางรองเท้าสเก็ตที่เคยหวังว่ามันจะมีหลงเหลืออยู่อีกสักกล่อง
กลับว่างเปล่าอย่างน่าตกใจเลย
แต่เดี๋ยวนะ
ฉันขมวดคิ้วสับสน
สายตาจ้องมองไปยังกล่องกระดาษกล่องหนึ่งซึ่งถูกวางปนๆ เอาไว้กับรองเท้าสนีกเกอร์
ด้วยความสนใจ ฉันจึงเดินเบียดตัวไปยังชั้นวางที่ว่าก่อนจะย่อตัวลงนั่ง
กล่องกระดาษคุ้นๆ ตาแบบนี้...อย่าบอกนะว่า..
"ให้ตายสิ..."
ใช่
กล่องรองเท้าสเก็ต
เยี่ยม!!
ไม่ทันที่จะได้ชื่นชมกับสิ่งที่ตัวเองค้นพบ
ในความเงียบงันนั้นเองฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
...เรื่องแย่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น
เพล้ง!!
บ้าเอ้ย--
ฉันรีบก้มตัวลงแทบจะในทันทีทันใด
เสียงกระจกแตกดังสะท้อนเข้าไปในหัวที่กำลังใช้ความคิด
ฉันคว้ากล่องรองเท้าสเก็ตมากอดไว้แน่นประหนึ่งว่ามันคือชีวิตของตัวเอง
ในตอนนั้นหูก็เริ่มได้ยินเสียงดังตามมา มันฟังดูเหมือนกับ...เสียงของรองเท้าหนักๆ
ที่กำลังเหยียบลงบนเศษกระจก กรอบ...แกรบ.. ให้ตายสิ!
นี่ฉันต้องบ้าตายไปแล้วแน่ๆ! ก่อนที่สติตัวเองจะเตลิดหายไป
ฉันเริ่มคลานอย่างระมัดระวังเพื่อหาที่หลบ
เงาสูงใหญ่ของกลุ่มคนปรากฏขึ้นตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่อยู่ไม่ไกลจากฉันเลย
ไม่ใช่ไอ้กลุ่มเมื่อกี้แน่ ฉันคิด
เสียงรองเท้าบูทหนักๆ
ทั้งสามคู่ดังย่ำไปทั่วร้าน ในขณะที่กำลังมองหาที่หลบอย่างกระวนกระวาย
ฉันเหลียวหลังกลับไปมองตำแหน่งของคนพวกนั้นเป็นระยะๆ
พวกมันเริ่มเดินสำรวจอาณาเขตที่ตัวเองยืนอยู่
ท่าทางของสามคนนั่นทำให้ฉันแทบจะสติแตก พวกมันสวมเสื้อแจ๊คเก็ตตัวหนา
สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันแน่ใจว่าพวกมันไม่ใช่กลุ่มผู้เก็บกวาดก็คือ...ไม่มีใครสักคนในกลุ่มนั้นเลยที่สวมหน้ากากกันแก๊ส
แต่บนใบหน้ากลับถูกปกปิดด้วยหน้ากากโม่งแทน
พระเจ้า
ให้ตายสิ! ฉันไม่น่ามาที่นี่เลย!
หลังจากที่คลานแบบหลบๆ
ซ่อนๆ มานาน ในที่สุดฉันก็ได้ที่หลบอันแสนจะปลอดภัย (ละมั้ง) จนได้ นั่นก็คือด้านหลังสุดของร้าน
ที่ฉันคิดว่ามันปลอดภัยมากก็เพราะส่วนนี้เป็นส่วนที่ถูกทำลายมากที่สุด
ชั้นวางแทบจะทั้งหมดร่วงลงมากองทับกันซึ่งใช้เป็นกำบังได้อย่างดี
พวกมันคงไม่ฉลาดเดินสำรวจมาถึงนี่หรอก...ฉันเอาแต่เฝ้าบอกตัวเองแบบนั้น
ขณะที่จ้องมองพฤติกรรมของชายติดอาวุธทั้งสามคนอย่างหวาดกลัวหลังชั้นวางของ
พวกมันถือปืนคนละกระบอก
แถมยังมีปืนสำรองสะพายเอาไว้ด้านหลังพร้อมกับกระเป๋าเป้อีกด้วย
พระเจ้า...ฉันไม่รู้จักพิษสงของปืนที่พวกมันถืออยู่หรอกนะ
แต่ต้องอย่าให้หนึ่งในพวกมันเจอตัวเด็ดขาด ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ
พยายามควบคุมสติของตนเอง ทางออกอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่
น่าจะอาศัยจังหวะที่พวกมันเผลอแล้วหนีออกไปได้แน่
"เฮ้ดูนี่สิวะ"
เสียงทุ่มหนาของหนึ่งในสามคนนั้นดังขึ้น
ฉันรู้ว่ามันไม่ได้เรียกให้ฉันไปดูอะไรหรอก
แต่มันก็อดที่จะยืดตัวขึ้นไปแอบมองไม่ได้เลย
และสิ่งที่เห็นก็แทบจะทำให้หัวใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มอีกครั้งหนึ่ง
ชายร่างสูงสวมเสื้อหนังหยิบอะไรบางอย่างขึ้น
เขาชูให้อีกสองคนที่เหลือเห็นสิ่งที่ตัวเองพบเจอด้วยท่าทางประหลาดใจ
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ
สิ่งที่อยู่ในมือของไอ้หมอนั่นก็คือเสื้อสเวตเตอร์ของฉันเองนี่ล่ะ!
ฉันยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง
ไม่อย่างนั้นความหวาดกลัวเมื่อครู่นี้คงจะเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องดังลั่นร้านไปแล้วแน่ๆ
สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือเฝ้ามองอย่างเงียบงันในขณะที่เสื้อสเวตเตอร์ตัวนั้นถูกโยนไปให้กับชายอีกคนหนึ่ง
"โอ้ให้ตายสิ..."คนที่ได้รับเสื้อสเวตเตอร์เอ่ย
ฉันรู้สึกสยองมากเลยล่ะในตอนที่เห็นว่ามันสูดดมกลิ่นจากเสื้อตัวนั้น"หอมฉิบหายเลยว่ะ"
"เฮ้ย--น้อยๆ หน่อยไมค์ ฉันว่าหาเจ้าของเสื้อตัวนี้ให้เจอดีกว่ามั้ง"
"หล่อนคงจะหนีไปไกลแล้วว่ะ"
ถ้าพวกมันคิดได้แบบนั้นแล้วเดินออกไปก็ดีสิ
แต่มันไม่ใช่!
โจรคนที่สามเดินกลับเข้าไปสมทบกลุ่มของตัวเอง
ฉันมองเห็นร่างสูงสวมฮู้ดนั่นเริ่มกล่าวอะไรกับเพื่อนๆ ของมัน
"ไม่ไกลหรอก"เสียงของไอ้หมอนั่นดูแตกต่างจากคนอื่น
"นายว่าไงนะ"
"เห็นรอยหิมะนี่มั้ย"เขาชี้นิ้วลงบนพื้น
และนั่นก็ทำให้ฉันสติแทบแตก"มันยังไม่ละลาย แสดงว่าเธอคงเพิ่งจะเข้ามาไม่นาน แถมยังไม่มีรอยเท้าตอนเดินออกไปอีกด้วย"
ให้ตายสิ
ทำไมไอ้หมอนี่ไม่โง่เหมือนเกลอสองคนของมันนะ!
นี่มันบ้า...บ้า
บ้า บ้า!
"เธอยังอยู่ในนี้"
ฉันยกมือขึ้นปิดหู
ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้นที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ในหัวเริ่มนึกภาพอันแสนทรมานในตอนที่สามคนนั้นเจอคนที่หลบอยู่ด้านหลังร้าน บ้าเอ้ย! แต่...ไม่นะไม่ ฉันสูดหายใจอีกครั้ง
พยายามเรียกสติของตัวเองกลับมาก่อนที่มันจะเตลิดหายไปไกล ตอนนี้สามคนนั้นเริ่มเดินสำรวจมากกว่าเดิม
แต่เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันยังไม่ได้สังเกตเห็นฉันที่กำลังแอบอยู่
ดังนั้นจะต้องใช้แผนเดิม
ถ้าเผลอเมื่อไหร่ค่อยหนี
ใช่...รอจนกว่าพวกมันจะเผลอ
การเลือกที่จะทำตามแผนนี้อาจเป็นทางรอดทางเดียวก็ได้
ฉันเริ่มคลานหนีออกจากจุดเดิมอย่างเชื่องช้าและใจเย็นที่สุด
มือข้างขวายังคงถือกล่องรองเท้าสเก็ตไว้แน่น
ทั้งที่รู้ดีอยู่ในใจว่าเพราะรองเท้าเวรนี่แหละที่ทำให้ลำบากขนาดนี้
จากการสังเกตคร่าวๆ สามคนนั่นแบ่งกันเดินสำรวจหา
และคนเดียวที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือไอ้โจรถือปืนลูกซอง ถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวรับรองว่าตายแน่
แต่ยังโชคดีที่ไอ้หมอนี่ยังไม่ฉลาดถึงกับมาชะเง้อดูด้านหลังชั้นวาง
ดังนั้นการคลานหนีออกไปจึงไม่ใช่เรื่องยาก
...แต่ก็ไม่ได้ง่ายนัก
กรอบ...
เวรแล้ว!
"หืม? เสียงอะไรวะ"
ฉันแทบร้องลั่นเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสแปลบๆ
ที่หัวเข่า การคลานบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษกระจกนี่ดูเป็นอะไรที่โง่สุดๆ เลย
เพราะนอกจากจะต้องเคลื่อนที่อย่างใจเย็นที่สุดแล้ว
ยังมีโอกาสเสี่ยงโดดกระจกบาดอีกด้วย
และในตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าฉันจะโดนกระจกบาดเข่าเรียบร้อยแล้วด้วย ไม่ได้นะไม่ได้!
อย่า..ร้อง...
เลือดเริ่มจะไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ
แต่ยังไงซะก็ต้องคลานต่ออยู่ดี
ดังนั้นฉันจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันทนความเจ็บปวด
ไม่อยากจินตนาการตอนก้มลงไปมองเข่าตัวเองเลยสักนิด
หวังว่าเศษกระจกที่ทำฉันเจ็บเมื่อกี้คงไม่ได้ขนาดใหญ่มากหรอกนะ
แต่แทนที่จะไปกังวลกับเรื่องบาดแผล
ตอนนี้ฉันควรจะกังวลกับสถานการณ์ในตอนนี้มากกว่า
เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้นแม้แต่นิดเดียว เจ้าพวกนั้นก็เงยหน้าขึ้นในทันที
ไอ้ตัวถือปืนลูกซองเป็นตัวที่อยู่ใกล้ฉันมากที่สุด
มันเริ่มก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เสียงกรอบแกรบยามพื้นรองเท้าบูทเหยียบย่ำบนเศษกระจกแทบทำให้สติแตก
ฉันตัดสินใจหยุดคลานก่อนที่จะทำเรื่องบานปลายไปมากกว่านี้ ต้องรอนิ่งๆ
ให้มัน...ผ่านไป...
อย่ามาทางนี้นะ...
ช่องว่างเพียงเล็กน้อยเป็นเพียงจุดเดียวที่ทำให้ฉันมองเห็นฝีเท้าของมัน
หมอนั่นหยุดนิ่ง แล้วก็เริ่มหมุนตัวไปมา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังมองหาฉันอยู่
ถ้าขยับตอนนี้มีหวังจบเห่แน่ แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างนิดหน่อย
เพราะในทันทีที่มันไม่เห็นอะไร เจ้าหมอนั่นก็เดินกลับไปหาเพื่อนของมันอีกคน
"ไม่มีอะไรหรอกว่ะ กลับเหอะ"
"ให้ตายสิ นี่มันบ่ายสามแล้วนี่หว่า"
โชคดีไปนะ...พวกมันตรงต่อเวลาซะด้วย
ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อได้ยินเสียงคนพวกนั้นเดินย่ำกระจกออกไปจากร้านก็ยิ่งทำให้โล่งอกกว่าเดิม
ฉันตัดสินใจดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง พิงหลังกับกำแพง
ต้องดูแผลที่เข่าสักหน่อยล่ะ...สภาพไม่ได้แย่กว่าที่คิดนะ ยังดีที่เศษกระจกไม่ได้ใหญ่มากนัก
ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจหยิบมันออกได้โดยไม่ยาก ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บอยู่บ้างก็เถอะ
ตอนนี้คนพวกนั้นคงจะเดินออกไปจนหมดแล้ว ทุกอย่างเริ่มกลับมาสงบอีกครั้งหนึ่ง
จนกระทั่งเงามืดปริศนาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
"อ๊ะ--"
ฉันพลาดอะไรไปงั้นเหรอ?
คำถามนั้นดังขึ้นในหัว
ในขณะที่ตอนนี้สายตาเย็นยะเยือกของบุคคลตรงหน้ากำลังจับจ้องฉันอยู่
ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นส่องประกายในความมืด
มันทำให้ฉันนึกถึงสายตาของยมทูตที่กำลังจะมาเอาชีวิตไป
เมื่อเริ่มคิดได้ว่าความผิดพลาดของตัวเองกำลังจะทำให้จุดจบมาเยือน
ฉันก็ห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
...พระเจ้า ฉันน่าจะรอบคอบกว่านี้!
ใบหน้านั่นถูกปกปิดด้วยหน้ากากผ้าสีดำ
เขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีเทาเข้ม สวมฮู้ดบนศีรษะ
แถมยังสวมผ้าพันคอลายพลางสีเทาอีกต่างหาก
ที่ยิ่งกว่าใบหน้าและการแต่งตัวก็คือมีดพกขนาดใหญ่ในมือของเขา
ฉันอดคิดไม่ได้เลยว่ามีดเล่มนั้นเคยสังหารคนมาแล้วเท่าไหร่...และมันก็ยิ่งทำให้ความหวาดกลัวทวีขึ้นมากกว่าเดิม
ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป ไม่มีแม้กระทั่งอาวุธ หรือทักษะการต่อสู้
ความสามารถเดียวที่ฉันมีก็คือฟิกเกอร์สเก็ต
ซึ่งมันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับฉันในตอนนี้เลย!
ดวงตาเย็นยะเยือกจับจ้องมาไม่กระพริบ
เดาไม่ออกเลยว่าหมอนี่กำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ฉันทำอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
แต่สัญชาตญาณที่ต้องการมีชีวิตกลับบอกให้ทำอะไรบางอย่าง
ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย
"ได้โปรดเถอะ..."
ความคิดเห็น