คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [QUEEN] Ordinary World (1)
12/28/2018
Ordinary World (1)
[ C I V I E S ]
[ฉันชื่อ...]
[…]
[เมื่อก่อนคนอื่นจะเรียกฉันว่าควีน]
[ทำไมน่ะเหรอ? ไม่อยากจะโม้หรอก]
[ก็ฉันเป็นนักกีฬาฟิกเกอร์สเก็ตที่เก่งที่สุดในชิคาโกนี่?]
[…ให้ตาย นี่ขนาดไม่อยากโม้นะ]
[เอาเป็นว่า
ต่อจากนี้คือเรื่องราวของฉัน]
3 วันหลังการระบาด
ทุกอย่างแลดู 'เละเทะ' ไปเสียหมด
ลองจินตนาการภาพเดิมที่เมืองนี้เคยเป็นสิ
ฉันยังจำตอนที่ยืนชมวิวริมระเบียงจากคอนโดชั้นสามสิบของตัวเอง
อากาศหนาวยามค่ำคืนโชยมาสัมผัสแขน ไฟหลากสีสะท้อนระยับราวกับดวงดาว
แต่ตอนนี้แสงไฟเดียวที่ฉันเห็นก็คือ...แสงตะเกียง
มันแย่สุดๆ เลยล่ะ
แต่ที่แย่กว่านั้นคือการที่จะต้องมานั่งบอกตัวเองทุกวันว่า
ฉันคงไม่มีวันหนีออกจากที่นี่ไปได้แน่
หลังจากการระบาดของโรคติดต่อปริศนา
ชิคาโกก็กลายเป็นเมืองปิด เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ประกาศจะดังขึ้น
ฉันยังหมุนตัวอยู่กลางลานน้ำแข็ง สวมรองเท้าสเก็ต วิ่งโลดแล่นไปบนลานลื่นสีใสอย่างอิสระ
แต่เมื่อเสียงนิ่งๆ ของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้น ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นหายนะ
ฉันถูกโค้ชลากตัวออกมาจากลานแข่งขันทั้งๆ
ที่ยังไม่ได้เอ่ยลาผู้ชม ใบหน้าของเขาในตอนนั้นแลดูหวาดผวาเหลือเกิน ทำไมกันนะ?
ฉันสงสัย แต่แล้ว...ฉันก็ได้รู้คำตอบเมื่อออกมาข้างนอกเมืองอีกครั้ง
ทุกอย่างแลดู 'เละเทะ' ไปเสียหมด
...ใช่ เละเทะจริงๆ
ทั้งรถพยาบาล ตำรวจ คนป่วย
ราวกับเมืองนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นลานผู้อพยพอะไรทำนองนั้นล่ะ
ฉันทำได้เพียงแค่เหลือบตามองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโดนโค้ชลากขึ้นรถไป
เมื่อรถสตาร์ท คนขับก็พาฉันกับโค้ชออกไปจากบริเวณนั้นโดยทันที
ฉันตัดสินใจอะไรไม่ถูกเมื่อได้เห็นภาพรอบตัว ทั้งรถพยาบาลที่ขับผ่านไปคันแล้วคันเล่า
เสียงไซเรนที่ดังกึกก้อง...
ผู้คน...กับซากศพ
ให้ตายสิ
ในตอนนั้นฉันคิดว่าสิ่งที่กำลังเห็นเป็นอะไรที่แย่สุดๆ
แล้ว มันยังมีอะไรที่แย่กว่านี้เกิดขึ้นอีก
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าบางสิ่งกำลังเข้ามาใกล้
และในวินาทีนั้นรถทั้งคันก็ถูกกระแทกด้วยแรงมหาศาล
คิว!
ฉันรู้สึกราวกับตัวเองกำลังอยู่ในห้วงอวกาศ
ลอยเคว้งคว้างอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง
รถลิมูซีนสีดำตีลังกาอย่างรุนแรงก่อนจะพลิกคว่ำในที่สุด
โชคดีที่ฉันคาดเข็มขัดเอาไว้เลยไม่เป็นอะไรมาก แต่...
“ไม่...”
ไม่นะ...ไม่
คงไม่ต้องบอกก็รู้
ฉันเสียโค้ชคนสนิทของฉันไปในวันนั้น
ด้วยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
มืออันสั่นเทาเริ่มเอื้อมไปปลดเข็มขัดออก
ร่างของฉันถูกทิ้งลงในทันทีเมื่อถอดสายเข็มขัด ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกาย
ฉันมองลงไปบนเข่าข้างหนึ่งของตนเอง เศษกระจกหล่นกระจายเต็มไปหมด
ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อหลบเลี่ยงมัน
จนกระทั่งตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายว่าจะต้องหนีออกไปจากรถคันนี้
ความเจ็บปวดไม่เป็นอุปสรรคเลยเมื่อต้องการจะเอาชีวิตรอด
ฉันเอื้อมมือไปดึงล็อกขึ้น แต่ทว่าเมื่อพยายามเปิดประตูออกไป
กลับดูเหมือนว่าบานประตูจะติดกับอะไรบางอย่าง ฉันสับสน
ปากพึมพำอย่างสิ้นหวังก่อนจะเริ่มใช้เท้าเตะประตูแรงๆ
เสียงตึงดังซ้ำอยู่สองสามครั้ง
และประตูก็เปิดออกในที่สุด
ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย
แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ 'นรก' เท่านั้น
...นรกบนดิน
แต่...
นับจากตอนนั้น ก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะผ่านมานานมากแล้ว ตอนนี้ชิคาโกกลายเป็นเมืองร้าง สิ่งเดียวที่ฉันเห็นตลอดการเดินทางบนถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ คือรถจำนวนมากที่ถูกจอดทิ้งเอาไว้ กระดาษหนังสือพิมพืพาดหัวข่าวตัวโตว่า "โรคปริศนาระบาดทั่วเมือง" ฉันกระชับสายสะพายกระเป๋าขึ้นบนไหล่ที่แลดูจะหนักกว่าปกติ สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
พวกนั้นอาจจะโผล่มาตอนไหนก็ได้ ไม่ว่าจะซอกตึกข้างๆ หรือมันอาจจะกำลังแอบซุ่มอยู่ตามซากรถรอดักเหยื่ออยู่ ด้วยเหตุนั้นเองฉันถึงต้องระวังให้มากขึ้น แม้แต่ก่อนจะไม่เคยเป็นพวกขี้ระแวงแบบนี้ก็ตาม
เกล็ดหิมะปลายเดือนธันวาคมร่วงลงบนเสื้อคลุม ฉันใช้มือปัดออกเบาๆ หลังจากหาจุดพักชั่วคราวได้ มือเปิดกระเป๋าแล้วหยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะเปิดฝาแล้วดื่มแก้กระหายไปแล้ว แต่ทว่าในตอนนี้ ถ้าคุณหาน้ำหรืออาหารได้ คุณจะต้องแน่ใจอย่างสูงว่าบรรจุภัณฑ์ของมันไม่ได้ชำรุด ก็นะ...ตามประกาศเขาว่าไว้อย่างนั้น ใครไม่เชื่อก็คงโง่น่าดูเลยล่ะ ฉันพลิกขวดพลาสติกในมือไปมาเล็กน้อย ตรวจดูให้ละเอียดว่ามัน 'ปลอดภัย' จริงๆ และเมื่อแน่ใจแล้วจึงจะเปิดฝาดื่ม
ที่พักชั่วคราวของฉันในตอนนี้คือหลังถังขยะในตรอกมืดแห่งหนึ่ง คงจะอนาถใจน่าดูเลยนะถ้ามีคนมาเห็นราชินีนั่งกินอาหารอยู่ข้างกองขยะแบบนี้ และฉันก็คงจะดีใจไม่น้อยเลยถ้าหากคนๆ นั้นเดินผ่านมาจริงๆ คงจะเพราะความคิดแบบนี้ละมั้งถึงทำให้ฉันชอบชะโงกหน้าออกไปดูด้านนอกอยู่เรื่อย ตรงหน้าคือถนนอันแสนว่างเปล่า รถแต่ละคันจอดระเกะระกะไร้ซึ่งระเบียบ หิมะเกาะอยู่เต็มกระจกหน้า สภาพเมืองชิคาโกดูเหมือนจะยังปกติอยู่แต่...
ความคิดทั้งหมดนั้นหยุดลงเมื่อฉันได้ยินเสียงกรีดร้อง
"ช่วยด้วย!!"
"ใครก็ได้--! ช่วยพวกเราที!!"
มือแทบจะอ่อนปวกเปียกเมื่อได้ยินเสียงของชายหญิงสองคนนั้น ฉันตัดสินใจพับฝาอาหารกระป๋องลงมาปิดก่อนจะเก็บไว้ในกระเป๋า ขณะนั้นเองก็พยายามชะโงกออกไปดูเหตุการณ์ข้างนอก สิ่งที่ฉันเห็นคือร่างของชายหนุ่มและหญิงสาาวคู่หนึ่ง พวกเขากำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างมา ท่าทางแลดูหวาดกลัวสุดขีด
ในวินาทีนั้นเองเสียงนึ่งก็ดังขึ้น ปัง! ฉันสะดุ้งเฮือก ถ้าไม่ได้ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองก็คงจะกรี๊ดแตกไปแล้ว ร่างของหนึ่งในสองคนนั้นล้มลงบนพื้นหิมะ เสียงผู้หญิงกรีดร้องลั่น เดาว่าคนที่ล้มลงไปน่าจะเป็นผู้ชาย
"เดวิด! ไม่นะ!"
"ไปซะอลิซ! ไป!"
พระเจ้า...
ฉันอยากให้ตัวเองมีความกล้ามากกว่านี้ ฉันอยากออกไปช่วยสองคนนั้น พวกเขาเป็นคนปกติกลุ่มแรกที่ฉันเห็นตลอดสามวันนี้ เพราะนอกจากคนอื่นๆ แล้ว...ก็ไม่มีใครอีกเลย ฉันกัดฟันแน่น ความเห็นใจเมื่อครู่แทบจะมลายหายไปในทันทีเมื่อหวนนึกถึงความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้น
กลุ่มคนปริศนาที่เดินตามหลังสองคนนั้นปรากฏกายต่อหน้าฉัน พวกเขาสวมชุดเสื้อกันหนาวมิดชิด มือทั้งสองข้างถูกป้องกันอย่างดีด้วยถุงมือหนา ใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากกันแก๊ส ฉันค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปหลบด้านถังขยะ แต่ในตอนนั้นเองก็ยังคงเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ผู้หญิงคนนั้น...อลิซ เธอไม่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกเลย หญิงสาวพยายามใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดพยุงร่างอันหนักอึ้งขึ้นมา แต่ในทันใดนั้นเอง...
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง และคนที่เหนี่ยวไกก็คือหนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นเอง ร่างของเดวิดล้มลงบนพื้นอีกครั้งในสภาพจมกองเลือด คราวนี้เขาคงไม่รอดแล้วจริงๆ ฉันกำหมัดแน่น สายตาจับจ้องไปยังสิ่งที่ปรากฏอย่างไม่ลดละ ผู้หญิงคนเดิมพยายามตะเกียกตะกายเข้าไปหาคนรักของตัวเอง ฉันเห็นน้ำตาที่อาบอยู่บนใบหน้าของเธอ ก่อนที่ร่างในชุดป้องกันสีเหลืองสว่างจะเดินเข้าไปหาเธอ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ปากพยายามพึมพำร้องขอชีวิตจากชายคนนั้น แต่ทว่าสิ่งเดียวที่ฉันได้ยิน...
"ทุกคนจะต้องถูกชำระล้าง"ชายคนนั้นเว้นวรรค"...ตามประสงค์ของพระเจ้า"
"ไม่..ด...ได้โปรดเถอะ--"
ฉันรู้ว่ามันสายไปแล้ว
เมื่อคนพวกนั้นปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจะเผาผลาญทุกชีวิตด้วยเปลวเพลิง คำพูดสวยหรูที่กล่าวถึงพระเจ้านั้นก็แค่น้ำผึ้งที่คอยชะโลมจิตใจพวกเขาตอนฆ่าคน สิ่งต่อมาที่ฉันเห็นคือชายร่างสูงอีกคน เขาค่อยๆ สาวเท้าก้าวเข้ามาตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น ด้านหลังสะพายถังอะไรบางอย่าง มือของเขาถืออุปกรณ์ที่แลดูคล้ายกับปืนเอาไว้แน่น
ใบหน้าภายใต้หน้ากากกันแก๊สจับจ้องไปยังเหยื่อตรงหน้า
ต่อให้หล่อนพยายามจะร้องขอชีวิตมันก็สายไปแล้ว
ฉันรีบดึงตัวกลับที่เดิมในทันที เปลวไฟสว่างวาบเป็นประกายรอบจุดนั้น มันร้อนมากเสียจนฉันเองก็รับรู้ได้แม้จะอยู่ห่างออกมา เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังก้องอยู่ในความเงียบงัน เป็นเสียงกรีดร้องอันแสนทรมานกับร่างกายที่กำลังแหลกสลายเพราะเปลวเพลิง ฉันหลับตาสนิท กัดฟันแน่น มือเกร็งเสียจนไม่รู้สึกถึงความหนาวเหน็บรอบตัวเอง นี่ฉันต้องทนฟังเสียงร้องของผู้หญิงคนนั้นอีกนานแค่ไหนนะ?
โลกนี้โหดร้ายชะมัด
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นชะตากรรมของพวกเราทั้งสิ้น
เสียงกรีดร้องนั่นเงียบหายไปแล้ว ฉันเอาแต่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างถังขยะ...ไม่รู้ตัวเลยว่ายกมือขึ้นปิดหูตั้งแต่เมื่อไหร่ ในทันทีที่เอามือออก คนพวกนั้นก็เริ่มพูดอะไรบางอย่าง แม้จะไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะชะโงกหน้าออกไปดูอีกครั้ง ที่เห็นคือชายสวมชุดสีเหลืองอ่อนแบบที่พวกกู้ภัยใส่กำลังจดบันทึกอะไรบางอย่าง ในขณะเดียวกันไอ้คนที่ถือปืนพ้นไฟก็เดินเข้ามาสมทบ ทิ้งให้ร่างของสองชายหญิงต้องตายอย่างทรมานในกองเพลิงของตนเอง
ที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่มีความสำนึกผิดในแววตาของพวกมันเลย
ราวกับการฆ่าคนพวกนี้เป็นเพียงกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งอะไรทำนองนั้นเลยล่ะ
"รายที่ 13 และ 14..."
"ผมเชื่อว่าต้องมีเยอะกว่านี้แน่ครับบอส"
"ใช่...แล้วเราจะต้องไปตามหาพวกนั้น"
"พวกเขาต้องได้รับการชำระล้าง"
"ถูกต้อง พวกเขาต้องได้รับการชำระล้าง..."
ทุกอย่างกลับมาสงบอีกครั้ง
ฉันเริ่มก้าวขาออกไปด้านนอกเมื่อคนพวกนั้นเดินหายไปไกลแล้ว รู้สึกแย่เหลือเกินเมื่อต้องทนมองร่างไร้วิญญาณของสองคนนี้ เปลวไฟที่ลุกท่วมร่างของพวกเขายังคงลุกโชติช่วง ละลายเอาหิมะที่อยู่ๆ รอบไปจนหมด ฉันทำได้เพียงกัดฟันและกำหมัดแน่นๆ ในใจภาวนาว่าขออย่าให้เป็น...เหมือนคนพวกนี้
ให้ตายสิ ฉันคิดถึงโลกภายนอกที่สุดเลย
เมื่อไหร่ถึงจะได้กลับออกไปนะ?
ความคิดเห็น