ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War and Sacrifice : Route to the War

    ลำดับตอนที่ #26 : War and Sacrifice. Episode 3: The true way of life.

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 58


    -ถึง พันตรีเบิร์ต คาร์ล-

    ฉันรู้ดีว่าไม่ควรจะพูดถึงเรื่องนี้ให้คุณฟังอีก..แต่จะยังไงฉันก็ไม่มีวันล้มเลิกเรื่องนี้ง่ายๆหรอกนะ ฉันมีบางอย่างที่จะบอกคุณ...แต่ไม่รู้ว่าคุณจะทำใจยอมรับมันได้รึเปล่านะเพราะมันก็ทำให้ฉันตกใจเหมือนกัน เหอะ...พล่ามอีกแล้วสินะ...

    ...ฉันอยากจะขอร้องคุณ...

    ..ฉันอยากจะบอกคุณว่า...ตลอดเวลานั่น คุณกำลังเดินในทางที่ผิดมาตลอดเลย...เพื่อนอเมริกันที่คุณฆ่าเขาตายในสนามรบ...เขาอยากจะบอกคุณเสมอ..คุณเดินทางผิดแล้วเบิร์ต..

    ...และมีคนไม่มากหรอกนะ...ที่จะได้รับโอกาสเป็นครั้งที่สองน่ะ..                                                                                                   
                                         -Effie Beckett-

         พอทสดัม,เยอรมนี 16 กันยายน 1942
          ในขณะนี้เขายังคงเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องบัญชาการไม่มีหยุด เขาเลิกแขนเสื้อขึ้น หากดูจากนาฬิกาก็คงจะบอกเขาได้ว่านี่มันเกือบจะครั่งชั่วโมงแล้วที่หัวหน้าคนใหม่ของเขาไม่ออกมาจากห้องนี่เลย ในมือของเขาถือแฟ้มเอกสารอีกสี่ถึงห้าแฟ้ม ในเอกสารนั่นต้องการให้หัวหน้าของเขารับรองทุกใบเลย ในขณะที่สงครามกำลังปะทุขึ้นทุกวัน เขากลับมีงานที่ฐานทัพล้นมือ
         ครืด...      
         ในที่สุดเบิร์ตก็เดินไปลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งรออยู่หน้าห้องบัญชาการ มันอาจจะดูน่าขันกับการกระทำนี้..แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องหรอกนะที่เขาต้องมานั่งรอทุกวัน เมื่อครู่ก่อนที่เขาจะเดินมาตรงนี้ เขาเห็นหลังหัวหน้าของเขาแวบหายไปในห้องบัญชาการและก็ยังไม่ได้กลับออกมาเลย บอกตรงๆว่าเขาก็ไม่ได้ชอบหัวหน้าคนใหม่มากนัก งานค้างเป็นกองแต่ก็ยังไปเที่ยวเล่นในหน่วยพยาบาลได้...ไปทำไมน่ะเหรอ..ก็ที่นั่นมีสาวๆทำงานอยู่นี่      
         ...และอีกอย่าง..หัวหน้านั่นชอบมาตอมแอดเลอร์อย่างกับผึ้งตอมน้ำหวานอยู่บ่อยๆ ซึ่งเขาก็เกลียดตรงนี้ล่ะนะ...      
         "ไง.."
         เสียงทักทายคุ้นหูดังขึ้นเหมือนกับทุกวัน หญิงสาวในเครื่องแบบทหารเกล้าผมที่กำลังยืนกอดอกยิ้มมุมปากอยู่นั้นคือแอดเลอร์... เขาหันไปช้าๆมองเธอนิดหน่อยราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เธอมาทักเขาแบบนี้ทุกวัน 
         "มีอะไรล่ะจ่า"
         "เปล่า..ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ทักเฉยๆ"
         เธอหุบยิ้มทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั่นออกมา หญิงสาวก้าวเดินไปยังเขาก่อนจะมองไปที่ประตูห้องบัญชาการ..
         "มารอหัวหน้านั่นอีกแล้วเหรอ ไม่เบื่อบ้างรึไงเนี่ย"
         "..."
         ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกันต่อ ประตูห้องบัญชาการก็เปิดออกมาพลันปรากฏร่างของชายวัยกลางคนในเครื่องแบบสีเดียวกับขายหนุ่ม เขามองลูกน้องของตนสลับกับใบหน้าสะสวยของทหารหญิงอีกคนพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย
         "มีเรื่องอะไรรึเปล่า"
         "ครับ...กรุณาช่วยเซ็นรับทราบตรงนี้ด้วยนะครับ"เบิร์ตพูดพลางยื่นเอกสารไปให้แต่กลับโดนมือปัดมา ราวกับไม่ต้องการจะเห็นมัน
         "ฉันไม่ได้ถามนาย--ฉันถามแม่สาวนี่ต่างหาก"
         เขาจ้องเธอตาเป็นมันในขณะที่เดินเข้าไปใกล้ แต่หญิงสาวว่องไวพอที่จะลอดใต้ช่องแขนเขาออกมา เธอทำสีหน้ายียวนพลางกระตุกยิ้มอย่างมีชัย...นี่มันไม่ใช่นิสัยของเธอเลยสักนิดเดียว
         "กรุณา...ช่วยเซ็นตรงนี้.."เบิร์ตกล่าวด้วยเสียงเย็นยะเยือก"..ให้ผมด้วยครับ"
         หัวหน้าคนใหม่ของเขาถอนหายใจเฮือกยาว ก่อนจะยื่นมือไปรับเอกสารนั่นมาเปิดผ่านๆ"ไหนล่ะ ใครมีปากกาบ้าง"
         แอดเลอร์หันไปมองหน้าชายหนุ่มอย่างสงสัย ก่อนจะตัดสินใจหยิบปากกาในเครื่องแบบของตนออกมาแล้วยื่นให้เขาที่กำลังโวยวายอยู่ตรงนั้น
         "นี่ค่ะ"
         "โอ้...ขอบใจแม่สาวน้อย"เขาพูดพลางเซ็นเอกสารแล้วส่งคืนให้กับเบิร์ต"ชื่ออะไรน่ะเรา"
         "ขอบคุณมากครับหัวหน้า คราวนี้เชิญไปทำงานของตัวเองได้เลยครับ"
         เขายิ้มให้นายทหารยศสูงกว่าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่อื่น แอดเลอร์ก็ทำอะไรไม่ค่อยจะถูก จึงได้แต่เดินตามเขามาตรงทางเดิน เธอสังเกตท่าทางของเขาได้ตั้งแต่แวบแรกที่เจอ..เขากำลังเครียด...แต่เครียดเรื่องอะไรล่ะ หญิงสาวได้แต่คิดวนไปวนมาจนในที่สุด..
         "มีอะไรรึเปล่า"
         "ผมยศใหญ่กว่าคุณนะ กรุณาเรียกมีหางเสียงด้วย"
         เธอถอนหายใจ"ไม่ทราบว่า..มีอะไรรึเปล่าคะ" 
         แต่ถึงจะใส่หางเสียงลงไปท้ายประโยค เขาก็ยังคงเงียบ แอดเลอร์ขมวดคิ้วมองเขาอย่างสงสัย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้...เรื่องที่หัวหน้าคนเก่าของเขาโดนไล่ออกจากกองทัพก็คงไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจเขามากขนาดนี้ หญิงสาวเดาเอาไว้ได้ว่า.. เขาต้องมีปัญหาใหญ่แน่ๆ
         ในที่สุดหญิงสาวก็ไม่ได้ตัดสินใจพูดอะไรกับเขาอีก เธอเดินตามหลังขายหนุ่มออกมาข้างนอกตัวอาคาร ในระหว่างที่เธอเดินออกมาเธอเอาแต่ยกมือขึ้นลูบเส้นผมสีน้ำตาลของตนที่ถูกเกล้าเอาไว้อย่างรำคาญ เธออยากจะแกะมันออกเหลือเกินแต่ก็คงจะทำไม่ได้...
         "ให้ตายสิ ฉันอยากจะปล่อยผมออกจริงๆเลย!"
         "ก็แกะมันออกสิ"เขาพูดเสียงเรียบ"ผมชอบคุณตอนปล่อยผมมากกว่า"
         แอดเลอร์ยิ้ม เธอยกมือขึ้นอีกครั้งก่อนทำท่าจะแกะผมออก แต่กลับถูกชายหนุ่มฉุดมือเอาไว้ 
         "แต่ไม่ใช่ตอนนี้"
         เธอยิ้มแล้วค่อยๆยกมือแกะมือของเขาออก"ก็แล้วแต่.."
         พวกเขาก้าวเดินออกมาด้านนอกเป็นที่เรียบร้อย แอดเลอร์เงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า.. ลมอ่อนๆพัดมาปะทะใบหน้าของเธอราวกับกำลังกล่าวทักทายหญิงสาว แสงแดดสาดส่องผ่านเมฆสีหม่นมายังพวกเขา...เสียงใบไม้เสียดสีกันดังขึ้นแว่วๆ บรรยากาศพวกนี้ไม่เคยได้มีมานานแล้วหลังจากเกิดสงคราม เบิร์ตยกมือขึ้นถอดหมวกออกแล้วถือเอาไว้ ผมสีเข้มของเขาสะบัดไปตามลมราวกับมีชีวิต
         "นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะที่ผมไม่ตอบคำถามคุณ"
         "ฉันรู้.."เธอหันมามองเขา"..มัลเลอร์สินะ"
         ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง
         "เขาเป็นหัวหน้าผม..ไอ้พวกนั้น..."
         เสียงของเขาเริ่มจะเข้มขึ้นทีละน้อย
    เบิร์ตกำมัดแน่น...เขาไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เรื่องที่มัลเลอร์..หัวหน้าของเขาโดนไล่ออกก็เป็นเหตุมาจากเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น...เอมิลล์และหัวหน้าของเขามีปากเสียงกันด้วยเหตุผลบางอย่าง..บางอย่างที่เกี่ยวกับลูกน้องอย่างเขา..
         "คุณกำลังโกรธ..พันตรี.."เธอพูดราวกับกำลังห้ามเขา"...ใจเย็น"
         "คุณคงไม่อยากเห็นผมตอนที่ผมกำลังโมโหสินะ..."
         เขาเดินเข้ามาใกล้เธอก่อนจะยกมือขึ้นแตะใบหน้าสะสวยนั่น ดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยสะท้อนกับแสงอาทิตย์เป็นประกายราวกับดวงดาว แม้จะโกรธแค่ไหนเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวก็ช่วยทำให้อารมณ์ของเขาเย็นลงทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแสดงออกมากกว่าทหารที่มียศต่างกัน แต่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เธอไม่ปฏิเสธเหมือนเมื่อก่อน
         "แอดเลอร์...ผมมีบางอย่างจะบอกคุณ.."
         "..."เธอได้แต่มองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไร
         "...พรุ่งนี้คุณจะไม่เห็นหน้าผมอีก.."เขาพูดพลางก้มหน้า"...ผมตัดสินใจได้แล้ว"
         แอดเลอร์หรี่ตาลง เธอไม่เข้าใจคำพูดของเขาเท่าไรนัก"อะไรนะ หมายความว่าไงตัดสินใจได้แล้ว"
         "ผมจะไปเข้าร่วมกับกองทัพสัมพันธมิตร"
         แล้วทันใดนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุม..มือของเขายังคงสัมผัสใบหน้าของหญิงสาวอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เริ่มจะขมวดคิ้วขึ้น...นี่เขาต้องล้อเล่นแน่ๆ..
         แอดเลอร์มองตรงไปยังใบหน้านิ่งสนิทที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเขา...เธอเริ่มจะเข้าใจขึ้นทีละน้อยว่าเขากำลังหมายถึงอะไร...และสิ่งที่เธอเข้าใจนั่น...
        เขาจะเข้าร่วมกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร!
        "นี่คุณ...จะบ้าเหรอคาร์ล.."เธอพูดเสียงแผ่วบาง"..อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นล่ะ.."
         เขาก้มหน้าลงก่อนจะทิ้งหมวกที่ถืออยู่ในมืออีกข้างหนึ่งลงบนพื้นคอนกรีต...เขาเริ่มจะเปลี่ยนไปทีละน้อย...
         "มีคนจากกองทัพอเมริกาคนหนึ่ง...เธอชอบมาพูดเรื่องนี้กับผมบ่อยครั้ง...แต่แล้ว.."
         "แล้วอะไร.."
         "เมื่อวานเธอเขียนจดหมายถึงผม..บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงและ..."เขาลากเสียง "..มันทำให้ผมตัดสินใจได้..ว่าแท้จริงแล้วผมควรจะอยู่ฝ่ายไหน"
         ลมยามเย็นพัดมาอีกครั้ง...แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องมาที่พวกเขาทั้งสอง...เงาของพวกเขาที่ทอดลงบนพื้นนั่นทำให้แอดเลอร์เห็นอะไรบางอย่าง...เธอรู้ได้ทันทีว่าถ้าหากเขาแปรไปอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นจะเกิดผลอะไรตามมา...เขาจะถูกไล่ล่า...จนในที่สุดเขาก็จะถูกฆ่าตาย...แต่ในขณะเดียวกัน หากเขาเก่งพอที่จะหลบหนี...และอยู่รอดได้จนถึงฝั่ง..
         ..พวกอเมริกัน..ก็จะได้อาวุธสังหารไปครอบครอง...
         "ถ้าคุณทำแบบนั้นคุณจะ...โดนฆ่าตาย..." เธอเริ่มจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระริก"..ไม่คาร์ล
    คุณอย่าทำแบบนี้เลย.."
        "ผมตัดสินใจได้แล้ว"
         เขายังคงยืนยันด้วยเสียงแผ่วบางอันหนักแน่น...หญิงสาวมองหน้าของเขาที่อีกครึ่งหนึ่งถูกบดบังด้วยเงามืด...นัยน์ตาสีครามเหลือบเทาฉายให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่เขามีอยู่..เขารู้ดีว่าจะเป็นแบบนี้..รู้มาตลอดว่าสักวันหนึ่งเอฟฟี่จะโน้มน้ามใจเขาสำเร็จ และวันนั้น...มันก็มาถึงแล้ว..
         แอดเลอร์ก้มหน้าลง เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต..ความรู้สึกที่เป็นเหมือนกับโดนทิ้ง...เธอจะอยู่ต่อไปอย่างไรหากไม่มีเขา...เธอเพิ่งจะเข้ามาในนี้ไม่กี่ปี..แต่คนที่ปั้นให้เธอเป็นแบบนี้กลับทิ้งให้เธออยู่คนเดียวท่ามกลางคนที่ไม่รู้จัก...
         "ผมเชื่อว่าคุณต้องอยู่ในนาซีได้ดีกว่านี้...หากไม่มีผม.."
         "ไม่"
         เธอกล่าวขึ้นเบาๆ เบิร์ตเอียงหน้าไปดูเธอแต่กลับก้มหน้าลงจนมองแทบไม่เห็น
         "คุณขวางผมไม่ได้หรอก...เฟราไลน์"
         "ฉันไม่ได้จะขวาง.."เธอเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะกระตุกยิ้ม"...สักหน่อย"
         เขาเผยอปากขึ้นยิ้ม...ก่อนจะเอามือลงจากใบหน้าเธอ...
         "พรุ่งนี้ผมต้องไปเบอร์ลิน"
         "โชคดี..."เธอกล่าวพลางยื่นมือไปตรงหน้าชายหนุ่ม"...พันตรีเบิร์ต คาร์ล"
         เขายื่นมือไปจับมือของเธอทำความรู้จักอีกครั้ง...
         "ผมจะกลับมา..เมื่อคุณเรียกผม"
         .....
         ....
         ...
         ..
         .
         สองปีต่อมา...
         ฐานทัพลับของฝ่ายอเมริกัน, 23 สิงหาคม ค.ศ.1944
         พลั่ก!!
         ไม่ทันทีชายหนุ่มจะได้ตั้งตัว...หมัดขวาของอีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามายังลำตัวของเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ว่าจะพยายามหลบหลีกหรือตั้งการ์ดใดๆ หมัดนั่นก็ฝ่าทะลุการ์ดของเขามาทุกครั้ง ไม่มีทางที่เขาจะหลบหลีกได้เลยสักนิดเดียว ในวินาทีนั้น...เขาจะต้องคิด..
         "เซไปเลยนะไอ้หนุ่ม!! เข้ามาอีกสิวะ!"
         ว่าแล้วชายคนนั้นก็ใส่หมัดมายังเขาอีกครั้งหนึ่งจนชายหนุ่มเซลงไปนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ...เขารู้สึกมึนงงอย่างบอกไม่ถูก สายตาที่เคยชัดเจนกลับพล่ามัวยามเมื่อมองสิ่งรอบตัว ที่จริงแล้วเขาไม่น่าจะมาดวลหมัดกับทหารอเมริกันคนนี้เลย มันแทบจะทำให้ชายหนุ่มสติแหกกระเจิง!
         เขากระเสือกกระสนคุมตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งทั้งๆที่ร่างกายแทบจะรับไม่ไหว คู่แข่งของเขาเอียงคอไปมาพลางกระตุกยิ้มเมื่อเห็นเขากำลังจะลุกขึ้นยืน มันเป็นเหมือนภาพลูกสุนัขที่กำลังตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเมื่อพบว่าตนกำลังจมน้ำยิ่งนัก...
         ตึก...ตึก...
         เสียงก้าวเท้าดังขึ้นมาด้านหลังจนเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง หญิงสาวเจ้าของผมสั้นสีน้ำตาลแดงยืนกอดอกพลางกระตุกยิ้มมุมปากให้เขาเป็นนัยๆ เธอมาพร้อมกับเพื่อนของเธออีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาเหล่มองเธอจนกระทั้งเธอเดินไปนั่งที่เก้าอี้
         และทันใดนั้น...
         พลัก!!
         ท่ามกลางเสียงโห่ร้องกึกก้องของเหล่าทหารอเมริกันเป็นสิบๆคน หมัดที่ถูกปล่อยออกมาพุ่งตรงมายังบริเวณท้องของเขาราวกับสายฟ้า ชายหนุ่มเซไปมาอีกครั้งจนล้มลงบนพื้น เขารู้สึกเจ็บปวดมากจนบอกไม่ถูก และวินาทีนั้น...เขาก็ถามตนเองว่าจะยอมแพ้ดีไหม...
         "เขาชนะแน่"
         หญิงสาวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วบางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
         "เหอะ! ไม่จริงหรอกน่า...ดูสิ ไอ้นาซีนั่นมันกำลังโดนริคกี้ไล่อัดจนจะเละอยู่แล้ว เธอคิดว่ามันจะชนะอีกเหรอ.."
         "จะยังไงก็เถอะ..."เธอยกนิ้วขึ้นม้วนปลายผมตนเอง"...เขา..ชนะแน่ๆ"
         ผัวะ!!
         "เฮ้ย!! ดูสิวะไอ้หมอนั่นล่วงลงไปอีกแล้วเว้ย!!"
         ตุบ..
         และแล้วเขาก็ลงไปกองกับพื้นอีกครั้งหลังจากโดนหมัดเต็มๆเขาที่หัว ทหารนี่มันกำลังจะฆ่าเขาชัดๆ...เห็นที่เขาจะต้องรีบจัดการให้มันล้มไปก่อนที่มันจะทำให้เขาล้มอีกครั้ง... ชายหนุ่มเริ่มจะมองหาจุดอ่อน...เขามองได้ไม่ค่อยชัดนักราวกับสิ่งรอบตัวเขามันเบลอไปเอง ทันใดนั้น...ไอ้ทหารอเมริกันโหดก็ย่างสามขุมเข้ามาเขาหมายจะกำจัดเขาทิ้งอีกรอบ...แต่เมื่อมันเดินเข้ามาใกล้เขาอีก..ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป..
         "แย็ปซ้าย.."
         ผลัก!!
         "เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย!?"
         "อัพเปอร์คัทขวา.."
          พลั่ก!
         ดูเหมือนกับว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปหมด ทุกคนเริ่มจะร้องฮือหนักกว่าเดิมเมื่อเริ่มจะสังเกตเห็นที่ทหารอเมริกันที่ชื่อริคกี้นั่นจะล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหลังจากโดนหมัดอัพเปอร์คัทและการแย็ปซ้ายไปเต็มๆ หญิงสาวกระตุกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นทหารนั่นล้มลงไปท่ามการเสียงนับเลข...ทุกสิ่งที่เธอพูดขึ้นเมื่อครู่ดูเหมือนกับเป็นการสั่งการจากที่เธอนั่งไปยังชายหนุ่ม เขายืนตั้งรับอยู่ในสังเวียรพลางหอบหายใจแรง...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะชนะได้จริงๆ
         "ให้ตายสิวะ!! ฉันอุตสาห์พนันร้อยเหรียญเลยนะเว้ยให้แกชนะน่ะริคกี้!! ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้!!?"
         "เหอะ สมแล้วล่ะ"
         เรน่าพูดพลางกรอกตามองไปรอบๆอย่างรำคาญใจ เธอเห็นร่างของริคกี้ถูกลากออกไปนอกสังเวียรหลังจากโดนหมัดจนน่วม หญิงสาวมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังสวมเครื่องแบบของตนอยู่หลังจากที่ถูกซ้อมมานานกว่าหนึ่งชั่วโมง เธอยิ้มอย่างพอใจก่อนจะก้าวเดินไปหาเขา
         "กะแล้วว่าคุณต้องมา"เขากล่าวพลางเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก
          "ฉันก็กะแล้วว่าคุณต้องชนะ"เธอยิ้มอย่างอบอุ่น"ลมอะไรหอบคุณเข้ามาชกในสังเวียรนี้ละเนี่ย"
         "เปล่า...ผมแค่อยากจะหาอะไรทำหน่อย"
         เธอหัวเราะขบขันนิดหน่อยให้กับคำพูดของเขาก่อนจะลากเขาออกมาด้านนอก
         "เจสันเรียกคุณน่ะรู้รึเปล่า รีบๆไปซะสิ"
         "เขา..มีงานให้ผมทำเหรอ"
         "อาจจะเป็นอย่างนั้น"เธอยังคงพูดเป็นนัยๆ"เข้าไปสิ.."
         เบิร์ตพยักหน้าอีกครั้งแล้วเปิดประตูเข้า ไปในห้องบัญชาการ ภายในห้องมีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยเอกสารมาก มายกองเต็มไปหมด บุคคลที่ถูกเรียกว่าเจสันนั่งอยู่หลังโต๊ะนั่นท่าทางจะยุ่งอยู่กับกองเอกสารพวกนั้นอยู่ ด้านหลังของเขาคือแผนที่แผ่นใหญ่ที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งของฐานทัพนาซีที่ต่างๆในเบอร์ลิน มีวงกลมสีแดงมากมายวงล้อมที่ใดที่หนึ่งในแผนที่เต็มไปหมด เขาคิดว่าอาจจะเป็นที่อยู่ของพวกนาซีก็ได้...แต่มีที่หนึ่งที่ถูกวงกลมเอาไว้แล้วถูกขีดกากบาททับลงไปอีก...
         ตรงนั้น...อยู่ในพอทสดัม..
         ไม่ทันจะได้ถิดอะไรต่อ เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา เจสันวางเอกสารในมือลงบนโต๊ะก่อนจะเริ่มสนทนากับเขา
         "ไงพันตรีเบิร์ต คาร์ล"เขากล่าวเชิงทักทาย"คุณสินะที่มาจากนาซีน่ะ"
         "ครับ.."
         เจสันยกมือขึ้นกอดอก นัยน์ตาที่ดูแข็ง กร้าวดุดันมองตรงมาที่ชายหนุ่มอย่างสนใจ เขาพินิจพิจารณาสักครู่ก่อนจะเริ่มกล่าวต่อ
         "คุณดูดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลย เป็นไงมาไงได้ย้ายมาอยู่ฝั่งนี้ล่ะผู้พัน"
         "มีคนขอร้องมาน่ะครับ"
         "๋อ๋อ งั้นสินะคุณถึงมีสีหน้าแบบนี้น่ะ ดูคุณไม่เต็มใจเลยนะเนี่ย"เขาพูดพลางผายมือมาตรงหน้าเขา"แต่ช่างเถอะ มันอยู่ที่คุณแล้ว"
         เจสันหรือพันเอกเจสัน เจมส์ เคยเป็นทหารในแนวหน้าก่อนจะย้ายมาประจำการที่นี่ เขามีประสบการณ์จากการรบมากมายแต่ไม่ขอที่จะใช้มันเพราะว่า...เขาไม่อยากจะทำงานแนวนั้นอีกแล้ว วางระเบิด..ซุ่มลอบฆ่าพวกทหารฝ่ายตรงข้าม..เป็นสิ่งที่เขาโยนทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว
         เขายกมือแตะลงบนแผนที่ ซึ่งตรงนั้นคือตรงที่มีกากบาทกาทับอยู่ 
         "ตรงนี้คือที่ๆคุณต้องไป"เขาเริ่มอธิบาย"เป็นอาคารที่พวกเยอรมันอาศัยอยู่.. และคุณจะต้องระเบิดมันให้เป็นจุล ดูไร้เหตุ ผลนะ แต่คุณต้องทำ"
         "ครับ"
         "อ้อ..ที่สำคัญ.."ผู้พันเจสันลากเสียง"ที่นั่นมีคนที่คุณต้องคุ้มกันอยู่"
         ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ประโยคเมื่อครู่ทำให้เขานึกถึงใครคนหนึ่งที่เขารู้จักแต่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เขาจำได้ว่ายังไม่ได้ฉลองวันเกิดให้เธอมาสองปีแล้ว เธอยังคงอยู่ในพอทสดัม..และเขาก็จะไปหาเธอ...
         และทันทีที่เจสันพูดชื่อของคนๆนั้นออกมา..
         "ร้อยโทครีนัส แอดเลอร์"
         "..."
         "คนที่คุณต้องคุ้มกันและพาเธอมาที่นี่ เธอเป็นลูกของดร ไคลร์ที่ถูกลอบสังหารเมื่อตอนปี 1918 พ่อของเธอตายไปแล้วและผมไม่ต้องการที่จะให้เธอตายตามพ่อไปอีก"
          เขาเน้นเสียงหนักขึ้นตอนประโยคท้าย เบิร์ตเงยหน้าขึ้นมามองเขา"เธอเป็นเพื่อนผม และผมจะให้เธอตายไม่ได้"
         "ใช่ๆ ต้องอย่างนั้น!"เจสันกระตุกยิ้มให้เขาเล็กน้อย"...จะว่าไปคุณเป็นเพื่อนเธอ
    เหรอ จากที่รู้มาคุณน่าจะเป็น...หัวหน้าเธอมากกว่านะ"
         เบิร์ตหัวเราะใหลำคอเบาๆ
         "งาน..จะเริ่มวันไหนครับ"
         "พรุ่งนี้ละกัน"นั่นคือคำตอบ"งานนี้สำคัญมากนะ อย่าทำให้พลาด"
         คำกำชับที่อยู่ท้ายประโยคสกิดใจเขาอีกครั้ง นั่นเป็นสิ่งที่เตือนใจเอาไว้ว่า..หากเขาทำพลาด จะมีอะไรตามมาบ้าง..และสิ่งที่ตามมา..มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
         "แน่นอนครับ"
         ....
         ...
         ..
         .
         24 สิงหาคม ค.ศ.1944 
          พอทสดัม,เยอรมนี 
         8.23 PM
         ในคืนนั้นค่อนข้างจะเป็นคืนที่เงียบสงัด ไม่มีแสงจันทร์ที่สว่างเฉิดฉายอยู่บนฟ้าเหมือนแต่เก่า..มีเพียงแค่ดาวดวงเล็กที่พยายามฉายแสงให้เทียบเท่ากับดวงจันทร์เท่านั้นที่คอยประดับท้องฟ้ายามรัตติกาลให้ดูดีขึ้นมา เบิร์ตแง่นหน้าขึ้นมองฟ้าแวบหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล้องส่ขึ้นมาส่องดูไปยังอาคารตรงข้ามที่เขาอยู่ เพียงไม่นานนัก..ประตูห้องๆหนึ่งก็เปิดออก พลันร่างของหญิงสาวคนหนึ่งก็โผล่เข้ามาในห้อง ท่าทางเธอจะดูเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ
         ชายหนุ่มเผลอกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของเธอผู้นั้นแล้ว จะเป็นใครที่ไหนได้นอกจากอดีตคนที่เขารู้จัก เธอถอดเสื้อคลุมหนังสีดำเดินไปวางเอาไว้ก่อนจะลากเก้าอี้ออกมานั่ง เขาสังเกตเห็นแฟ้มเอกสารบางอย่างในมือเธอ..เขาซูมกล้องเข้าไปใกล้และพบว่า...มีชื่อของเขาพาดอยู่ตรงหน้าปกแฟ้มนั่น เธอคงไม่อยากจะอ่านมันเท่าไรเพราะสีหน้าของเธอแสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน
         เขาจ้องมองเธอผ่านเลนส์กล้องในมือ...ผมยาวสีน้ำตาลนั่นดูกระเซอะกระเซิงกว่าที่ผ่านมาราวกับว่าเธอไม่ได้แตะหวีมาเป็นอาทิตย์แล้ว หล่อนยังคงอ่านแฟ้มนั่นไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกง่วงแล้วก็ตาม เบิร์ต
    มองเห็นเธอได้ชัดมากจากตรงนี้ เขาเห็นแม้กระทั่งท่านั่งของเธอในตอนนี้...สายตาของเธอ...ทุกอิริยาบถที่เธอแสดงอยู่...เขามองเห็นสิ่งพวกนั้นได้อย่างชัดเจน...
          ดูเหมือนว่าเธอจะพึมพำบางอย่างหลังจากที่อ่านเอกสารพวกนั้นจบ เขาอ่านปากของเธอและรู้ในที่สุดว่าเธอพึมพำว่าอะไร...
         ไร้สาระ...
         เขาคิดว่าตนเองควรจะเก็บกล้องได้แล้วกระมัง..
         ชายหนุ่มในชุดสีเขียวเทาค่อยๆลดกล้องในมือต่ำลง เขาไม่ได้เจอเธอมาสองปีแล้วแต่เธอกลับเปลี่ยนไปเมื่อเขามาเจอเธออีกครั้งหนึ่งในตอนนี้...เขาจำได้ว่าหล่อนไม่เคยพูดประโยคแบบนั้นเลยสักครั้งเมื่อตอนที่หล่อนยังเจอกับเขา แต่ตอนนี้...มันเปลี่ยนไปแล้ว
          แอดเลอร์...ไม่ใช่เด็กสาวอายุสิบแปดเหมือนเมื่อก่อน...ตอนนี้เธออายุเพิ่มขึ้นมาอีกสิบปี..และเธอเปลี่ยนไป
         ฟึ่บ..
         เบิร์ตหยิบกล้องขึ้นมาอีกครั้ง เขาส่องไปตรงที่เดียวกับเมื่อครู่ แต่ก็พบว่าหญิงสาวคนนั้นฟุ่บลงบนโต๊ะไปแล้ว ท่าทางเหมือนกับว่าเธอผล็อยหลับไปอย่างไรอย่างนั้น แฟ้มและเหล่าเอกสารยังคงวางกองเต็มโต๊ะที่เธอนอนคุบอยู่ ชายหนุ่มเผยอยิ้มนิดหน่อย..เขาคงจะไม่ระเบิดอาคารนี่ภายในคืนนี้แน่ แต่บางที..
    เขาอาจจะระเบิดมันตอนเช้า...ตอนไหนก็ได้ที่มันไม่สายเกินไปสำหรับเขา
         ...แต่ตอนนี้เขาควรจะปล่อยให้เธอคนนั้นพักไปก่อน...
         ----------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×