คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : [ANNA] Bottoms-Up
1/1/2019
Bottoms-Up
[
C I V I E S ]
ฉันยกมือขึ้นโอบตัวเองเอาไว้
แม้จะช่วยอะไรได้ไม่มาก
แต่อย่างน้อยถุงมือหนาที่สวมอยู่ก็พอจะป้องกันความหนาวเหน็บเอาไว้ได้บ้าง
ก่อนที่จะหันไปสบตากับสถานที่เบื้องหน้าในขณะนั้น
สายตาก็แอบเหลือบมองกลับไปยังรอยล้อรถที่ลากยาวมาหยุดอยู่ข้างๆ ตัว
รถคันนั้นเพิ่งจะขับออกไปเมื่อไม่นานมานี้...พวกเขาขับพาฉันมาทิ้งเอาไว้ที่นี่
แอรอน
บาร์ทเลทท์—หรือที่คนอื่นเรียกว่าเจ้าหน้าที่บาร์ทเลทท์ได้ทำการ 'ขอร้อง' อะไรบางอย่าง
ฉันหมายถึง..ขอร้องแบบมีปืนจ่อที่หัวแถมยังเอากล้องถ่ายรูปเป็นตัวประกันละนะ
จากที่ได้ฟังมา พวกเอสเอซีกำลังหาทางแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้อยู่
พวกเขาเชื่อว่ามีบางคนที่ยังคิดค้นยารักษาของโรคเอาไว้
แต่เจ้าหน้าที่ที่เคยดูแลเรื่องนั้นกลับขาดการติดต่อไปซะดื้อๆ
...ตอนนั้นเองฉันก็ถามออกไป
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ”
ชายหนุ่มยืนนิ่ง
ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกับท่าทางขำขันของเจ้าหน้าที่อีกคนในห้องมืด
(ซึ่งฉันมารู้ทีหลังว่าไอ้หน้าโหดนั่นชื่อ 'วูล์ฟฟ์' หน้าโหดสมชื่อเลยแฮะ)
พวกนั้นดูเหมือนว่าจะตลกกับท่าทางสับสนของฉันเป็นอย่างมากเลยล่ะ
แต่สุดท้ายบาร์ทเลทท์ก็เฉลยคำตอบนั่นอยู่ดี
“เพราะคุณไปยุ่งอะไรไม่เข้าเรื่อง”นั่นทำให้ฉันคิ้วขมวดกว่าเก่า”และอีกอย่าง เจ้าหน้าที่ของแซคหายไปคนหนึ่ง
ผมต้องการ...ใครสักคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้”
“ไม่เอาหรอกย่ะ”
“งั้นก็สวยสิน้อง! อย่าหวังว่าจะได้กล้องคืนเลย”
พูดจบเขาก็โยนกล้องถ่ายรูปตัวโปรดไปให้กับเจ้าหน้าที่วูล์ฟฟ์
หมอนั่นหยิบกล้องไปตั้งท่าก่อนจะกดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง เสียงแชะดังสั้นๆ
ในความเงียบ
เขาเก็บภาพใบหน้าสุดเหวอของฉันเอาไว้ในเมมโมรีการ์ดพร้อมกับเสียงหัวเราะแหบแห้ง
นี่มันบ้าชัดๆ
ในตอนนั้นฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่พวกนี้เด็ดขาด
แต่ให้เดาสิ...ฉันมีทางเลือกซะที่ไหนล่ะ
ยังไงสิ่งที่อยู่ในกล้องนั้นก็สำคัญอย่างเป็นที่สุด
แถมถ้าเกิดคำพูดของบาร์ทเลทท์เป็นความจริงเรื่องที่ฉันเข้าไปยุ่งอะไรเกินตัว
หลังออกไปจากชิคาโกได้มีหวังฉันได้โดนอุ้มพอดีน่ะสิ
“โอเค—ต้องทำไงบ้าง”
“ยอมแล้วเหรอ”
ฉันพยักหน้า”ใช่”
“เห็นมั้ยบาร์ท บอกแล้วว่าแม่นี่เชื่องยังกะแมว ไม่เห็นต้องโหดเลย”
“ก่อนว่าคนอื่นหัดดูสารรูปตัวเองหน่อยก็ดีนะ เจ้าหน้าที่วูล์ฟฟ์”
“ให้ตายสิ จะบอกมั้ยเนี่ย!”
แค่ทำให้มันจบๆ
ไปก็พอ...ในตอนนั้นฉันคิดเพียงแค่นี้ เพราะตัวเองมีทางเลือกไม่ค่อยมากเท่าไหร่
แถมยังต้องเอากล้องตัวสำคัญกลับคืนมาด้วย
บาร์ทเลทท์อธิบายสิ่งที่ต้องทำให้ฟังในตอนนั้น
เขาบอกว่า—
“เจ้าหน้าที่ที่หายไปดำเนินงานไปจนเกือบจะถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
เขาส่งที่อยู่ของแพทย์ที่คิดค้นเรื่องยารักษาให้กับเราก่อนที่จะขาดการติดต่อไป
ตามหลักแล้ว...จะมีเจ้าหน้าที่แซคอีกคนรับหน้าที่ช่วงต่อแทน”
“สิ่งที่คุณต้องทำคือไปหาหมอนั่น
เขาเป็นโร้กอีกคนที่แฝงตัวอยู่ในกองกำลังแอตลาสต์ แน่นอน
เขาสวมเครื่องแบบของพวกนั้นและหมายความว่าคุณต้องระวังตัวแบบสุดๆ เอาที่อยู่นี่ไป
เมื่อเจอตัวเจ้าหน้าที่คนนั้นก็เอาให้เขาซะ
ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอนั่นเอง”
เพราะแบบนี้
โร้กทั้งสองนายจึงขับรถพาฉันมาส่งถึงหน้าฐานทัพใหญ่ของกองกำลังทหารผู้ถูกลืม
โดยระหว่างทางที่เข้ามาด้านในพื้นที่ของกองทัพ
ทหารในเครื่องแบบหลายสิบนายต่างจับจ้องท่าทีของเราอย่างระมัดระวังตัว
ขนาดนั่งอยู่บนรถ ฉันยังกลัวปืนที่คนพวกนั้นถือเอาไว้ในมือเลย
แต่บาร์ทเลทท์กล่อมฉันเอาไว้ว่าถ้าไม่หาเรื่องอะไรกับพวกนั้น
แอตลาสต์ก็จะไม่มายุ่งอะไรกับคุณ
ฝีเท้าค่อยๆ
รู้สึกถึงไอเย็นจากหิมะทีละน้อย ฉันคงยืนอยู่หน้าประตูลูกกรงนี่นานไปแล้วล่ะ
ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่เดินเข้าไปเลยหลังจากที่รถขับมาส่ง เดาว่าทหารติดอาวุธสองนายที่ยืนเฝ้าประตูอยู่คงจะเป็นคำตอบที่ดีเลยล่ะ
สองคนนั่นจ้องมองมาที่ฉันราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อ
ใบหน้าถูกปกปิดเอาไว้ด้วยหน้ากากสีขาวเทา
ปืนไรเฟิลจู่โจมในมือประคองเอาไว้แน่นเตรียมพร้อมใช้งานทุกเมื่อ
แอตลาสต์นี่มีวิธีต้อนรับแขกที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เลยนะ
ฉันสูดหายใจเข้าปอด พยายามรวมสติเอาไว้อยู่กับตัวก่อนจะสาวเท้าไปเบื้องหน้า
แต่เพียงแค่เดินไปเพียงก้าวหนึ่ง
ร่างสูงสวมเครื่องแบบลายพรางสีเทาทั้งสองคนนั้นก็ชี้ปืนมาทางฉันทันที
แน่นอนว่าก็ต้องมีสะดุ้งกันบ้าง
ฉันรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองไม่มีอาวุธ
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยสักนิด
“แจ้งจุดประสงค์มาซะ”
“อ...เอ่อ”อยู่ๆ ปากก็แข็งอย่างไม่น่าเชื่อ
ฉันกระพริบตาสองสามครั้งขณะคิดหาจุดประสงค์ของตัวเอง”..ฉันมาตามหา...คนที่ชื่อ...เอ่อ...”
ให้ตายสิ! หมอนั่นชื่ออะไรนะ?!
ทันใดนั้นเองคำพูดของบาร์ทเลทท์ก็ผุดขึ้นมาในหัว
เฟเธอร์
“ใช่! ฉันมาหาร้อยเอกเฟเธอร์!”
“ใครส่งคุณมา”ทหารอีกคนถาม
ฉันก้มหน้าเล็กน้อย
มือค่อยๆ ขยับอย่างระมัดระวังและช้าพอที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายโวยวาย
ป้ายชื่อขนาดเล็กที่ทำจากแก้วถูกหยิบออกมาจากด้านในเสื้อคลุม
ฉันชูสิ่งขอในมือให้ทหารสองนายนั้นดู
หวังว่าสัญลักษณ์พิเศษของหน่วยงานลับแซคนี่จะช่วยให้ผ่านประตูไปได้นะ
หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาใกล้
เขาหยิบป้ายชื่อไปตรวจสอบอย่างละเอียดยิบ
ฉันพยายามข่มความรู้สึกสั่นคลอนเอาไว้ในใจขณะยืนรอให้อีกฝ่ายเสร็จธุระ
ดูเหมือนว่าจะได้ผล พวกเขายอมลดปืนลงก่อนจะส่งป้ายชื่อนั่นกลับคืนมาให้ฉัน
แถมยิ่งไปกว่านั้นคือยังเปิดประตูไว้ให้ด้วยล่ะ ฉันกระซิบคำขอบคุณให้กับทหารสองคนนั้นเบาๆ
ในขณะที่ทั้งสองเดินไปประจำตำแหน่งของตัวเองอีกครั้ง
คราวนี้คงได้เวลาเดินเข้าไปด้านในฐานทัพของแอตลาสต์แล้วล่ะ
นึกภาพไม่ออกเลย..มันจะเหมือนกับค่ายทหารที่เคยไปมั้ยนะ?
หรือมันจะพิเศษกว่า?
แต่ดูเหมือนว่าภาพที่จิตนาการเอาไว้จะแตกต่างจากความจริงอย่างสิ้นเชิง
สภาพภายในฐานทัพของกองกำลังแอตลาสต์ดูไม่เหมือนกับค่ายทหารสังกัดอื่น พวกเขาตั้งเต็นท์ลายพรางเอาไว้ทั่วสำหรับจัดตั้งเป็นห้องปฏิบัติการลับ
กระสอบทรายตั้งสูงโอบทั่วทั้งค่ายเอาไว้ประหนึ่งกำแพง
ทหารแต่ละนายทำกิจวัตรประจำวันในช่วงเช้าอย่างแข็งขัน ฉันเดินหันมองไปรอบตัว
รู้สึกแปลกๆ ชอบกล...อาจจะเป็นเพราะว่าที่นี่กว้างใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ละมั้ง
“เฮ้! หลีกหน่อย!”
เสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านหลัง
แน่นอนฉันแทบเบี่ยงตัวหลีกกองทหารที่วิ่งมาไม่ทันแหน่ะ
ที่นี่ดูเหมือนกับลานฝึกไปในตัวด้วย มีอุปกรณ์มากมายที่ฉันไม่เคยเห็นรวมถึงสนานซ้อมยิงปืน
แอตลาสต์บางคนกำลังขัดเกลาฝีมือด้วยการเล็งเป้า ฉันเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆ
จุดนั้นสักครู่หนึ่ง ชายหญิงในเครื่องแบบหยุดอยู่ตรงเป้าซ้อม
เมื่อได้ยินสัญญาณเสียงจากผู้ฝึก พวกเขาก็ชักปืนออกมาเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว
กระสุนพุ่งตรงเข้าเป้าทุกนัดอย่างแม่นยำ
นอกจากสนามฝึกแล้ว
ฉันก้าวเท้าเลยออกมาเล็กน้อยจากกลุ่มทหารที่ยืนตรวจสอบสภาพอาวุธอยู่
เบื้องหน้าคือสิ้นสุดทางเดินจากประตูทางเข้า อาคารทำการขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน
มีขบวนรถจอดอยู่นับได้เกือบสิบคัน
แถมที่ยิ่งไปกว่านั้นคือรถทุกคันถูกติดตั้งปืนกลไว้ด้วย จากอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่เห็นมาตลอดทาง
ฉันมั่นใจในระดับหนึ่งเลยว่าแอตลาสต์สามารถจัดตั้งเป็นกองกำลังก่อรัฐประหารได้เลยถ้าพวกเขาต้องการ
ยังไงซะ...ที่พวกเขาก็ถูกทิ้งเอาไว้ในเมืองก็เพราะการตัดสินใจของรัฐบาลนั่นล่ะ
ก่อนที่จะเสียเวลาไปกับการเดินชมฐานทัพมากกว่านี้
ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง
นั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทหารแอตลาสต์คนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี
ชายร่างสูงคนนั้นหอบเอกสารมาด้วย ท่าทางจะต้องเอาไปส่งให้กับคนแถวนี้ละมั้ง? แม้จะดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังรีบ
แต่ก็ยังมีจังหวะสั้นๆ พอให้ฉันได้เรียกเขาได้อยู่
"ข..ขอโทษนะคะ"
ร่างสูงหันมา
ใบหน้าเข้มขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย"ครับ?"
"ฉันมาตามหาร้อยเอกเฟเธอร์น่ะค่ะ
พอจะทราบมั้ยว่า--"
"ผู้กองแกน่าจะอยู่ที่บาร์นั่นแหละ
ผมขอตัวก่อนนะ"
นายทหารหนุ่มทำท่าจะสาวเท้าเดินออกไปอีกครั้ง
แต่เดี๋ยวสิ...ฉันยังไม่รู้เลยว่าบาร์นั่นอยู่ไหน
"ล...แล้วบาร์อยู่ไหนล่ะ"
"ให้ตาย--ทางนั้น"
เป็นน้ำใจมากที่อีกฝ่ายยังพอมีเวลาชี้นิ้วไปยังทิศทางของสถานที่ดังกล่าวได้
ฉันพยักหน้าแทนคำขอบคุณ แต่ไม่ทันไรเขาก็วิ่งออกไปซะแล้วจนมองแทบไม่ทัน
ท่าทางจะรีบจริงๆ สินะ? แต่คงไม่แปลกหรอก
ทหารเขาก็ทำงานกันแบบนี้ล่ะ
หลังจากเดินตามเส้นทางที่นายทหารคนนั้นบอกมา
ในที่สุดฉันก็มาถึงจุดหมายของตัวเองได้สักที
ฉันยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าสถานบันเทิงขนาดเล็ก ป้ายไฟนีออนติดๆ ดับๆ
ซึ่งถูกแขวนเอาไว้อยู่เหนือศีรษะแสดงชื่อของบาร์นี้เอาไว้...แบร์รีส์
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในค่ายทหารแบบนี้จะมีบาร์อยู่ด้วยแฮะ
ฉันถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นปัดเกล็ดหิมะบนไหล่
ในใจยังคงหวังอยู่ว่าจะพบเจอกับบุคคลที่บาร์ทเลทท์กำลังตามหาอยู่จริงๆ
และแล้วประตูไม้ก็ถูกเปิดออก
เสียงกระดิ่งวันคริสต์มาสที่แขวนอยู่เหนือประตูส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงผู้มาเยือนคนใหม่ได้เป็นอย่างดี
ผิดคาด...ฉันคิดว่าในบาร์จะครึกครื้นเหมือนที่อื่นเสียอีก แต่ที่ไหนได้
ถ้าจะให้เทียบกับข้างนอกบรรยากาศในนี้ดูเหมือนกับป่าช้าเลยด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ติดที่มีใครคนหนึ่งใจดีเปิดเพลงยุค 90
ทิ้งเอาไว้ด้วย แสงไฟสีส้มสลัวพอทำให้มองเห็นสภาพภายในบาร์อันแสนสงบ
มีที่นั่งวางอยู่ทั่วเป็นจุดๆ ด้านหน้าเป็นเคาน์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่
มีชั้นที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มหลากชนิดตั้งอยู่ด้านหลังนั้น
ฉันขยี้ตา
พยายามปรับทัศนวิสัยให้เข้ากับแสงอบอุ่นรอบตัว
ทันใดนั้นเองก็เหลือบไปเห็นร่างปริศนาที่นั่งนิ่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์
ถ้าลองเพ่งดูใกล้ๆ
แล้ว...เครื่องแบบลายพรางที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ทำให้รับรู้ได้เลยว่าเป็นทหารแน่
แถมในบาร์นี่ก็ไม่มีใครนอกจากบุคคลนั้นด้วย หรือว่า...ฉันสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วผ่อนลมออกมา
ทำไมถึงต้องตื่นเต้นแบบนี้ด้วยนะ
เสียงฝีเท้าของฉันดังก้องคลอไปกับเสียงเพลง
แสงสลัวโดยรอบสว่างพอที่จะทำให้มองเห็นปืนประจำกายของเขา
มันถูกวางพิงเอาไว้ด้านล่างเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มคนนั้นยังไม่ปริปากอะไรขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้
เขารู้ว่ามีคนเข้ามาในบาร์
แต่ก็ถึงยังทำนิ่งราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนอยู่ในบาร์นี้เลยอะไรทำนองนั้น
ฉันตัดสินใจรวบรวมความกล้าของตัวเอง...ก่อนจะย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เขา
สายตาจ้องมองไปยังบุคคลที่ตัวเองพบอย่างเงียบงัน
นัยน์ตาสีฟ้าสะท้อนกับแสงไฟในบาร์เหล้าฉายแววบางอย่าง
มือทั้งสองวางนิ่งพร้อมกับถือแก้วใสบรรจุเครื่องดื่มเอาไว้ นายทหารหนุ่มแสดงไว้ซึ่งสีหน้าเรียบเฉยขณะเหลือบมองมาทางฉัน
ผมสีน้ำตาลตัดสั้นอย่างเป็นระเบียบตามวิถีของนักรบ ใบหน้านั่นปรากฏให้เห็นหนวดเคราอยู่บ้างพอให้ดูเข้มแข็ง
ริมฝีปากปิดสนิท ฉันมองเห็นรอยถลอกบางๆ ที่อาจจะได้มาจากการรบอยู่บนแก้มของเขา
บนเคาน์เตอร์บาร์ที่ทำจากไม้บัดนี้ถูกใช้เป็นที่วางหมวกทหาร
ด้วยเครื่องประดับขนนกสีดำที่ติดอยู่อาจจะทำให้มันแลดูพิเศษกว่าหมวกใบอื่น
แต่เดี๋ยวนะ...ฉันขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
ขนนกงั้นเหรอ?
"คุณคือ..."ฉันลากเสียง"...ร้อยเอกเฟเธอร์ใช่มั้ย"
ชายหนุ่มเงียบเล็กน้อย
ท่าทางของเขาแลดูเปลี่ยนไปอยู่บ้างแต่สีหน้าก็ยังเรียบเหมือนเดิม
ชายนิรนามไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น
เขาเอื้อมไปหยิบขวดเบียร์ออกมาก่อนจะรินใส่แก้วตัวเอง แล้วนั่งจิบอย่างสบายใจเฉิบ
ฉันคิดว่าเขาคงไม่สนใจคำถามเลยละมั้ง
แต่นิสัยนักข่าวก็พอทำให้ทนกับพฤติกรรมแบบนี้ได้อยู่บ้าง
ฉันเคยผ่านงานสัมภาษณ์คนมาหลายครั้งแล้ว
ไม่แปลกที่ผู้ถูกสัมภาษณ์จะไม่ใส่คำถามในตอนแรก ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจนั่งนิ่งๆ
รอให้เขาดื่มจนเสร็จ...คงจะดีกว่า
เวลาผ่านไปไม่นานนัก
เบียร์ที่เคยมีอยู่ปริ่มแก้วก็ถูกดื่มเข้าไปจนเกือบหมด
"มีธุระ"น้ำเสียงนั่นฟังดูแหบพล่า
นัยน์ตาเข้มคู่เดิมจ้องมองกลับ"...กับผมเหรอ"
"คุณเป็นโร้กที่แฝงตัวอยู่ในแอตลาสต์สินะ"
อีกฝ่ายไม่ตอบ
"คือว่า--เจ้าหน้าที่บาร์ทเลทท์ให้ฉันส่งที่อยู่นี่ให้กับคุณ"
ในที่สุดก็เข้าประเด็นสักที ฉันคิด
ขณะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อก่อนจะหยิบป้ายชื่อที่มีลักษณะเป็นแก้วใสยื่นให้อีกฝ่าย
แม้จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้กองหนุ่มหยุดชะงักแก้วเบียร์ในมือ
แต่สุดท้ายเขาก็รับสิ่งของนั่นไป เฟเธอร์รู้งานดี เขาเลื่อนแก้วเบียร์มาตรงหน้าก่อนจะทิ้งป้ายชื่อลงไป
ทันทีที่มันสัมผัสกับของเหลวเย็นยะเยือก
ข้อมูลซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ในแท็กก็แสดงออกมาอยู่ตรงหน้า นี่มันเทคโนโลยีอะไรกันนะ?
ฉันตั้งข้อสงสัย
สายตาจ้องมองไปยังข้อมูลที่ลอยเป็นภาพโฮโลแกรมดังกล่าวนั้น
มันคือแผนผังส่วนในสุดของตัวเมืองชิคาโก
ถ้าจำไม่ผิด ส่วนในสุดของที่นี่ถูกปิดตายเอาไว้เนื่องจากการระบาดอย่างหนักของเชื้อโรค
และมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าต้นตอของมหันตภัยทั้งหมดนี่จะมาจากที่นั่นด้วยเช่นกัน
เฟเธอร์อ่านข้อมูลที่ได้รับอย่างละเอียดก่อนจะล้วงมือลงไปหยิบป้ายชื่อในแก้วเบียร์
จากนั้นจึงคืนกลับมาให้ฉันตามเดิม
"ฝากกลับไปบอกแอรอนว่า...ผมลาออกแล้ว"
เพียงแค่นั้นความสับสนก็ผุดขึ้น"อะไรนะ"
"ก็ไม่เห็นต้องอธิบายให้มากความ
ผมเป็นแอตลาสต์"
"ไม่ใช่สักหน่อย
คุณแค่แฝงตัวมา--"
"ตอนนี้ไม่ใช่"เฟเธอร์ถอนหายใจ"ผมลาออกจากหน่วยเอสเอซีอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ"
"อะไรกัน!"
ฉันแทบเอามือทุบโต๊ะ
ในหัวสับสนกับคำพูดและท่าทางของอีกฝ่ายซะจนไม่รู้จะทำยังไงต่อ
ไอ้ที่พูดว่าลาออกแล้วนั่นมันหมายความว่าไงกัน เขาจะไม่ทำงานต่อแล้วเหรอ
หรือว่าเขาจะลืมไปแล้วว่าตัวเองแค่แฝงตัวมาอยู่ในกองกำลังนี้
คำถามมากมายปั่นหัวจนแทบมึนตึบ แต่แทนที่จะช่วยคลายข้อสงสัย ตรงกันข้ามเฟเธอร์กลับเอาแต่สนใจเบียร์ในแก้วมากกว่าด้วยซ้ำ
เขายกมันขึ้นมาดื่มจนหยดสุดท้าย แล้วรินลงไปเพิ่มอีก นัยน์ตาเข้มยังคงมองมาขณะนั้น
ในที่สุดเขาก็วางแก้วลง
คงจะสมเพชที่ฉันอยู่ในสถานะมึนงงขั้นสูงสุดล่ะมั้ง?
"คุณน่าจะเห็นนะ"เฟเธอร์เม้มริมฝีปาก"คนตายหมดเมืองแล้ว
ตอนนี้ชิคาโกกลายเป็นดินแดนที่ถูกพวกรัฐบาลหลงลืม
พวกมันไม่ใส่ใจเรื่องยารักษานั่นหรอก แล้วอีกอย่าง...แพทย์หญิงเอริกา
คอร์เทซที่บาร์ทเลทท์กำลังตามหาอยู่ เธอตายไปแล้ว"
"ตายไปแล้วเหรอ? คุณรู้ได้ไงว่าเธอตายไปแล้ว"
"เชื่อสิ"เขาดื่มเบียร์เข้าไปอีก"ไอ้แผนผังที่คุณให้ผมดูเมื่อกี้นี้น่ะ
แอตลาสต์เรียกเขตนั้นว่าซีโร่พอยท์ เป็นพื้นที่ต้องห้ามของผู้รอดชีวิตที่นี่
ประเด็นก็คือคอร์เทซขังตัวเองเอาไว้ในนั้น ถ้าไม่ตายก็เหนือมนุษย์แล้วล่ะ"
"แล้วคุณจะปล่อยเธอเอาไว้งั้นเหรอ!"
"ผมไม่สนใจเรื่องการฟื้นฟูเมืองที่ตายไปแล้วหรอกนะ"น้ำเสียงนั่นเอ่ยอย่างมั่นคง"แอตลาสต์ก็ด้วย"
"ได้โปรดล่ะ--ถ้าคอร์เทซคิดค้นยารักษาได้แล้วจริงๆ
เธอคือทางออกของเรา--"
เพียงเท่านั้นนายทหารหนุ่มก็หยุดคำพูด
เขากระแทกแก้วเบียร์กับโต๊ะเคาน์เตอร์ด้วยความโมโหอย่างหยุดไม่ได้
การทำแบบนั้นได้ผลเป็นอย่างมาก ฉันเงียบไป
รู้สึกกลัวและหวาดระแวงบุคคลที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยเหลือเกิน
โดยเฉพาะกับแววตาที่ดูเข้มแข็งเสียจนน่ากลัวของอีกฝ่าย พวกเราเงียบกันไปอยู่นาน
มีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุตัวเก่าเท่านั้นที่ยังคงดังคลออยู่
เฟเธอร์ละสายตาจากฉันแล้วหันไปสนใจกับแก้วเบียร์แทน เขากระแอมเบาๆ
ราวกับต้องการให้บรรยากาศกลับมาเงียบสงบตามเดิม
"งั้นก็ให้พวกโร้กไปจัดการกันเอาเองสิ"
ฉันยังคงเงียบ
รู้สึกสิ้นคำพูดอย่างบอกไม่ถูก
มือยังคงกำป้ายแก้วขนาดเล็กเอาไว้แน่นขณะใช้ความคิดในหัว
ตอนนี้ฉันกำลังพยายามมองหาทางออกอื่น ยังไงสถานการณ์มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
เฟเธอร์ลาออกจากหน่วยแซคอย่างเป็นทางการ
แถมยังโยนงานที่เหลือกลับคืนมาให้พวกโร้กที่เหลือจัดการกันเองอีก ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมบาร์ทเลทท์ถึงไม่เข้าไปช่วยหมอคนนั้นเองตั้งแต่แรก
แต่ถ้าเขายืนยันว่าเฟเธอร์จะทำงานนี้ต่อ...ฉันเองก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
เพลงเก่าตามฉบับยุคปี
90 คอยสร้างบรรยากาศไม่ให้เงียบราวป่าช้า
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ผู้กองหนุ่มก็ยังคงเอาแต่ดื่มเบียร์ในแก้วเหมือนทองไม่รู้ร้อน
นิ้วชี้เคาะตามจังหวะเสียงเพลงอย่างสบายใจเฉิบ
ปล่อยให้ฉันนั่งใช้ความคิดอยู่เพียงฝ่ายเดียว
สุดท้ายมาที่นี่ก็ไม่ได้อะไรเลย
ไม่นานนักนายทหารหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
ฉันเงยหน้าขึ้นมองตามขณะที่เขากำลังสวมหน้ากากผ้าให้ตัวเอง
ก่อนจะสวมหมวกที่ประดับด้วยขนนกสีดำลงบนศีรษะเป็นขั้นสุดท้าย
เฟเธอร์เอื้อมลงไปหยิบอาวุธปืนขึ้นมาถือ ท่าทางเขาคงจะหมดเวลาพักสำหรับวันนี้แล้ว
ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป แต่ในเมื่อมันกลายเป็นสถานการณ์แบบนี้ ก็คงต้องกลับไปรายงานให้โร้กทราบเรื่องการตัดสินใจของเขา
"ทำไม..."ฉันยังคงสงสัย"ทำไมคุณถึงไม่ทำงานนี้ต่อล่ะ"
"ผมเกลียดหน่วยเอสเอซี และแน่นอนผมเกลียดรัฐบาล
คนพวกนั้นทิ้งทหารเอาไว้ที่นี่เพียงเพราะว่าไม่มีเวลาพากลับออกไป
ทิ้งให้ผม...กับคนของผมตายห่ากลางดงโรคระบาด ในขณะที่พวกเรากำลังดิ้นรนอยู่ตอนนี้
บางทีพวกมันอาจจะกำลังคิดแผนเอาระเบิดมาลงอยู่ก็ได้"
ตลอดเวลาที่พูดเหตุผลนั่น
น้ำเสียงของชายหนุ่มแสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นภายใต้โทนเสียงอันเรียบสนิท
ฉันก้มหน้าลงอีกครั้งหนึ่ง
มองกลับลงไปยังป้ายชื่อในมือที่ยังคงมีกลิ่นเบียร์ลอยคละคลุ้ง
ในตอนนั้นเองที่เฟเธอร์วางมือลงบนหัวไหล่ของฉันเบาๆ และทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง
ตอนนี้เขาสวมเครื่องแบบเต็มตัวแล้ว ใบหน้าถูกปิดบังอย่างมิดชิดด้วยหน้ากากไอ้โม่ง
หมวกประดับขนนกสวมอยู่บนศีรษะ
นัยน์ตาสีฟ้าที่กำลังจ้องเขม็งอยู่ทำให้รู้สึกถึงความสิ้นหวัง
"ขอถามชื่อหน่อยได้มั้ย"เขาเอียงคอเล็กน้อย"...คุณผู้หญิง?"
ฉันถอนหายใจเบาๆ"แอนนา"
"ถ้าอย่างนั้น แอนนา ตั้งใจฟังสิ่งที่ผมพูดให้ดีล่ะ"
เฟเธอร์ยกมือออกไป
เขาชี้นิ้วมาตรงหน้าราวกับต้องการกำชับคำพูดต่อไปแก่ฉัน
ความเงียบเข้าปกคลุมแทบจะในทันทีที่สิ้นเสียงเพลง
ฉันรับรู้ได้ถึงความกดดันจากแววตาเข้มแข็งของอีกฝ่าย แล้วเขาก็เริ่มพูด
"อยู่ห่างๆ
คนของรัฐบาลเอาไว้ซะ"เขาเตือน"โดยเฉพาะกับพวกโร้ก--แล้วก็บาร์ทเลทท์"
ทำไมล่ะ? คำถามนั่นเอ่ยขึ้นในหัว
ฉันลองนึกถึงหน้าของคนที่เฟเธอร์เอ่ยถึง แม้แอรอน
บาร์ทเลทท์จะดูเหมือนกับคนเลวก็จริง
แต่ฉันกลับสัมผัสได้ถึงเจตนาดีที่แฝงอยู่ในแววตาของเขา
แอรอนแค่ต้องการช่วยให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านไปเร็วๆ สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่พาแพทย์หญิงคนนั้นออกมาพัฒนาเรื่องยารักษา
ทำไมน้ำเสียงของเฟเธอร์ถึงฟังดูไม่ไว้ใจเขานัก ทั้งๆ ที่เคยทำงานด้วยกันแท้ๆ
อันที่จริงแล้วคนที่ควรอยู่ห่างเอาไว้ควรจะเป็นนายทหารคนนี้มากกว่าละมั้ง
ร่างสูงในเครื่องแบบเดินออกห่างจากเคาน์เตอร์บาร์
เสียงพื้นรองเท้าคอมแบทกระทบกับแผ่นไม้กระดานดังก้อง
จนกระทั่งเสียงนั้นหยุดอยู่ตรงประตูทางออก ฉันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
พยายามทำให้อีกฝ่ายมองเห็นเจตนาที่ตัวเองมี
แต่สิ่งที่ตอบกลับมา...กลับเป็นเพียงแววตาที่ไร้ซึ่งความเห็นใจ
ราวกับว่าเจ้าของของมันไม่รู้สึกถึงความเห็นอกเห็นใจแก่ใครทั้งสิ้น
ชายหนุ่มหรี่ตาลง
ปืนไรเฟิลจู่โจมถูกยกขึ้นพาดเอาไว้บนไหล่ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตู
เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อประตูนั่นถูกผลักเปิดออกไปข้างนอก
ลมหนาวหอบเอาเกล็ดหิมะเข้ามาในบาร์ ฉันหันไปมองเฟเธอร์
มือทั้งสองยกขึ้นโอบแขนของตัวเองอีกครั้ง ร่างสูงยืนปะทะกับสายลมโดยไม่รับรู้ถึงความหนาวเย็นใดๆ
ทั้งสิ้น นัยน์ตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นฉายแววอะไรบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ...และจะไม่มีวันเข้าใจ
"จนกว่าจะดำดิ่งลงสู่จิตใจของคนๆ
หนึ่ง"เขาเอ่ย"คุณก็ไม่มีวันรับรู้ได้หรอกว่าเขาเป็นคนดี...หรือคนเลว"
"แล้วคุณล่ะ คนดีหรือคนเลวกันแน่"
เสียงลมเป็นคำตอบกลับ
ฉันเห็นบริเวณมุมปากที่ถูกหน้ากากปิดเอาไว้ของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย
"ก็นะ..."
"พอดีผมเป็นพวกผีเข้าผีออกอยู่ด้วยสิ”
ความคิดเห็น