คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : [QUEEN] Feather
Feather
[
C I V I E S ]
"ตอนนี้คนๆ เดียวที่มีหน้าที่ตัดสินว่าพลเรือนอย่างพวกคุณจะติดเชื้อหรือเปล่า...คือผม"
ไม่มีทางหนี
ไม่มีที่ให้หลบ
ตอนนี้จนมุมแบบสุดๆ
แล้ว
ฉันพยุงร่างของสตีฟขึ้นก่อนที่เขาจะล้มลงไป
พยายามแอบผู้บาดเจ็บที่อยู่กับตัวเองเอาไว้ด้านหลัง เดวิสรับสตีฟเอาไว้
เขาเองก็รู้สึกหวาดกลัวจนเห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มกำลังตัวสั่น
บุคคลผู้อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตรงหน้าส่งสัญญาณให้เหล่าผู้มาเยือน
ฉันกับเดวิสหันหลังชนกัน มองไปรอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวังขั้นสูงสุด
พวกมันมากันเพิ่มแค่สามคน แต่ทว่ากลับติดอาวุธอันตราย
ชนิดที่ไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนรอดจากมือไปได้เลย
เสียงเครื่องยนต์รถที่กำลังดังคอยตอกย้ำว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
ทันใดนั้นเองฉันก็นึกถึงภาพสองคู่รักที่เคยเจอเมื่อวันก่อน
ภาพตอนที่พวกเขาถูกใครคนหนึ่งยิง แล้วโดนจุดไฟเผาจนร่างเละ ภาพนั่นก่อขึ้นภายในหัว
ไม่อยากเชื่อเลยว่า...นั่นจะเป็นจุดจบของฉันจริงๆ
“ท..ทำไงดีล่ะ?”นักศึกษาแพทย์หนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน”ฉ...ฉันว่าถ้าเราวิ่ง—“
“ไม่ ห้ามวิ่ง”
“แล้วเธอจะยอมโดนไฟเผาตายตรงนี้เหรอ!”
เดวิสพูดถูก
ไม่มีใครอยากตายอย่างทรมานในกองเพลิงแน่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือฉัน
ในวินาทีนั้นเองความกล้าก็ประดังเข้ามา
ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ตอนที่ตัดสินใจหยิบปืนมาจากมือสตีฟ ฉันจับปืนไม่เป็นด้วยซ้ำ
รู้แค่ว่าต้องชี้ปลายกระบอกไปยังผู้บุกรุกรอบตัว รู้สึกสับสนแบบสุดๆ
เหมือนกับว่าความคิดทั้งหมดในหัวผสมปนเปกันจนมั่ว
ฉันเลื่อนนิ้วเข้าโกร่งไกปืนแต่ไม่ได้ออกแรงที่นิ้ว
เจ้าหน้าที่คนเดิมส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก..หรืออาจจะสมเพชก็เป็นได้
ฉันหันหลังกลับไปพร้อมกับหันปืนไปทางเขา อีกฝ่ายดูท่าทางจะไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามหมอนั่นกลับขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีก
“ย...อย่าเข้ามานะ!”
“ค...ควีน! เธอใช้ปืนเป็นด้วยเหรอ!”
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่ม"นายช่วยหุบปากหน่อยได้มั้ยเนี่ย!"
ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ดีแน่
ฉันมีปืนแต่ใช้ไม่เป็น แถมคนๆ เดียวที่น่าจะพึ่งพาได้อย่างสตีฟก็ดันไม่พร้อมที่จะสู้อีก
คนพวกนั้นเริ่มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น
พวกเขาแลดูเหมือนกับฝูงของไฮยีนาที่บีบให้เหยื่อเข้าไปอยู่กลางวงสังหาร รู้ตัวดีว่าคงไม่มีทางรอดออกไปจากที่นี่ได้แน่ ฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมาจากด้านหลัง และเมื่อหันไปดูก็พบกับปืนพกที่เจ้าหน้าที่คนนั้นหยิบออกมา
ใบหน้าเรียบสนิทจ้องเขม็งกลับ
อยู่ๆ
มือไม้ก็อ่อนปวกเปียกอย่างไม่อาจห้ามได้
ฉันเผลอทำอาวุธในมือร่วงจนพาให้เดวิสสะดุ้ง เขากลัวมากกว่าเก่าอีก
แต่กระนั้นก็ยังคงพยายามปกป้องสตีฟเอาไว้
ฉันเป็นคนเดียวที่อยู่ด้านปลายกระบอกปืนในมือของชายคนนั้น...และคงจะเป็นคนแรกที่ตายด้วย
ถึงแม้ว่าพยายามคิดหาทางหนีเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าทุกสิ่งจะสายเกินไปแล้ว
ฉันกำหมัดแน่นขณะเห็นชายคนนั้นเลื่อนนิ้วเข้าโกร่งไกปืน
ลาก่อน
ปัง!
ราวกับเวลาถูกแช่แข็งเอาไว้
แสงตะวันยามอัสดงหยุดนิ่งขณะมันฉายลงมายังลานประหารเบื้องล่าง
เสียงกัมปนาทนั่นเงียบหายไปในสายลม
ฉันรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดบางอย่างที่มือ...นี่ฉันกำหมัดแน่นขนาดนี้เลยเหรอ
คำถามนั้นดังขึ้น เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบว่า...ตัวเองยังไม่ตาย
"ควีน!"
เสียงของนักศึกษาแพทย์ขี้กลัวดังเรียกให้ฉันดึงสติกลับมาได้
ในที่สุดเวลาก็เดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง
ภาพแรกหลังจากลืมตาขึ้นก็คือร่างของเจ้าหน้าที่คนนั้น เขายืนนิ่ง
มีรอยจุดปรากฏขึ้นกลางหน้าผาก ดวงตาเบิกกว้างกว่าเก่าขณะที่ของเหลวสีแดงเข้มค่อยๆ
ไหลรินออกมาจากรอยนั่น ฉันยืนนิ่ง เกร็งจนทำอะไรไม่ถูก
บัดนี้ร่างของชายคนนั้นล้มลงไปนอนจมหิมะบนพื้น
เลือดเริ่มไหลออกมาท่วมบริเวณที่เขาอยู่
ทันใดนั้นเองเราทั้งสามคนก็เผลอเข้าไปติดกลางดงกระสุนโดยไม่รู้ตัว
"ยิง!"
"เอาละโว้ย!!! ฆ่าไอ้สารเลวพวกนั้นซะ!!"
ด้วยสัญชาตญาณ
ฉันใช้เวลาคิดเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะดึงให้เดวิสก้มศีรษะลง
เด็กหนุ่มทำตามอย่างไม่อาจขัดขืนได้ กระสุนหลายสิบนัดบินว่อนเหนือศีรษะเรา
มันมาจากทุกทิศทาง
ฉันพยายามเงยหน้าขึ้นไปดูแต่เสียงโหวกเหวกนั่นก็บังคับให้อยู่นิ่งๆ
เสียงปืนยังดังก้องอย่างไม่หยุดหย่อน
พร้อมกับแสงประกายวาบจากปลายกระบอกปืนที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้
"แอตลาสต์!"ใครคนหนึ่งตะโกน
ฟังจากเสียงอู้อี้นั่นน่าจะเป็นพวกที่โจมตีเรามากกว่า
"เวรเอ้ย! พวกนี้แม่งตื้อไม่เลิกจริง!!"
ฉันอาศัยความกล้าในการเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง
กลุ่มเจ้าหน้าที่ปริศนาเริ่มโต้กลับ พวกเขามีอาวุธที่ฝ่ายศัตรูไม่มีก็คือปืนไฟ
เปลวไฟขนาดยักษ์ถูกพ่นออกไปพร้อมกับของเหลวเหนียวคล้ายน้ำมัน
คนพวกนั้นพยายามเอาอาวุธหนักของตัวเองไปต่อสู้เพื่อหวังทำลายกำลังพลอีกฝ่าย
แต่ดูเหมือนจะผิดคาด ใครคนหนึ่งฉลาดพอที่จะเหนี่ยวไกยิงถังเชื้อเพลิงที่เป้อยู่ด้านหลังชายพ่นไฟ
เขาตะโกนร้องโหวกเหวกโวยวาย มือทั้งสองพยายามถอดอุปกรณ์นั่นออกจากตัวเอง
แต่ก็ช้าเกินไป
ทันใดนั้นเองเสียงระเบิดก็ดังขึ้น
บึ้ม! เพลิงสีส้มสว่างวาบไปทั่วบริเวณ ฉันก้มหน้าลงไปอีกครั้งหนึ่ง
ใบหน้าสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่แผดเผาอากาศโดยรอบ
เสียงสมรภูมิรบยังไม่มีทีท่าว่าจะเงียบหาย ร่างของคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ
เคลื่อนที่ผ่านจุดที่พวกเราอยู่อย่างใจเย็น
เสียงปลอกกระสุนร่วงลงพื้นดังกรุ้งกริ้งเหมือนเสียงกระดิ่ง
ฉันเห็นอะไรบางอย่างร่วงลงมาจากหนึ่งในคนกลุ่มนั้น
แม็กกาซีนถูกบรรจุใส่ปืนครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนอันที่หมดกระสุนแล้วก็ถูกทิ้งลงบนพื้นราวขยะ
ฉันทันได้เห็นกลุ่มคนที่เข้ามาช่วยอยู่เล็กน้อย
รองเท้าบูทที่พวกนั้นสวม กับเครื่องแบบลายพรางสีเทาเข้มพร้อมกับเสื้อเกราะ
คนพวกนี้แต่งตัวราวกับทหาร...ฉันเฝ้ามองการเคลื่อนไหวอันแสนเรียบนิ่งแต่มั่นคงนั่น
คนพวกนี้ได้รับการฝึกมาดีพอควร แม้แต่การใช้อาวุธก็เห็นได้ชัดถึงความเป็นมืออาชีพ
ในระหว่างที่เอาแต่วิเคราะห์กลุ่มทหารปริศนานั่น
บางอย่างก็ร่วงลงมาเบื้องหน้าโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันขมวดคิ้ว
ตามองเห็นขนนกสีดำสนิทที่วางนิ่งอยู่บนกองหิมะ
เมื่อลองหยิบมันมาดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นขนนกจริงๆ
น่าจะขนของนกเรเวนหรือไม่ก็นกอะไรสักชนิดหนึ่งที่มีสีดำ
ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากที่ขนนกนั่นร่วงลงบนพื้น
สงครามก็หยุดลงโดยที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ
"เมื่อไหร่สวีปเปอร์พวกนี้จะสูญพันธุ์สักทีวะ"
"ถ้ามันสูญพันธุ์หมดเราก็ไม่มีอะไรทำสิ! พูดไปได้นะแกเนี่ย!"
เมื่อสถานการณ์โดยรอบกลับมาเป็นปกติ...ก็ดูว่างั้นนะ ฉันกับเดวิสพยุงร่างของเพื่อนผู้บาดเจ็บอีกคนให้ยืนขึ้นอีกครั้ง
ไม่นานหลังจากที่พวกเราลุกขึ้น กองกำลังปริศนาก็หันกลับมามอง ในมือของฉันยังคงถือขนนกสีดำนั่นเอาไว้แน่นขณะมองไปยังใบหน้าของพวกเขา
อย่าว่าอะไรเลยนะ
แต่ถ้าคนพวกนี้ไม่ได้สวมเครื่องแบบอยู่ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นทหารหรอก
เพราะแต่ละคนเนี่ยออกไปแนว...โจรเป็นอย่างมากเลย ให้ตายสิ
นี่ฉันคิดบ้าอะไรเนี่ย!
ไม่รู้ตัวเลยว่าฉันกับเดวิสยืนงงอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน
จนกระทั่งเสียงไออย่างหนักของใครคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ
น่าแปลกใจเสียเหลือเกินที่คนแข็งแรงอย่างสตีฟดันมาป่วยไม่เลือกเวลาแบบนี้ อยู่ๆ
ชายหนุ่มก็กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
แต่คราวนี้เขาดันแสดงอาการผิดปกติอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ฉันหันไปมองหน้าเดวิส
แล้วส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มปกปิดสิ่งที่เจอเอาไว้ให้ดีที่ส่วนหนึ่งคือฉันยังไม่ไว้ใจทหารพวกนี้
แถมยังกลัวว่าพวกเขาอาจจะเป็นพวกคนเลวอีกกลุ่มที่อาจเข้ามาทำร้ายเราด้วยอีกต่างหาก
"ขอโทษนะ
ผมขอคืนได้หรือเปล่า"
เสียงของใครคนหนึ่งดังในความเงียบ
ฉันเงยหน้าขึ้น
บัดนี้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายกำลังจับจ้องมาที่เราโดยที่นายทหารคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า
เขาแต่งตัวแตกจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
หมวกที่สวมอยู่บนศีรษะเป็นหมวกแบบเดียวกันกับที่ทหารนายอื่นใช้ก็จริง
แต่ของเขาพิเศษตรงที่มีขนนกสีดำประดับอยู่ด้านข้าง...ขนนกแบบเดียวกันกับในมือของฉัน
ใบหน้าของนายทหารหนุ่มปกปิดอย่างมิดชิดด้วยหน้ากากผ้าสีดำ
มีเพียงช่องว่างตรงดวงตาเท่านั้นที่ยังเปิดเผยให้มองเห็นได้
ฉันพยักหน้า"ค..ค่ะ
ได้สิ"แล้วจากนั้นก็คืนสิ่งของในมือให้กับอีกฝ่าย
เขารับขนนกสีดำนั่นไป
ขณะที่ยืนมองหน้ากันอยู่นานนายทหารหนุ่มก็เริ่มติดขนนกนั่นเอาไว้บนหมวกของตัวเอง
เครื่องประดับชวนแปลกตาพลิ้วไสวตามลมราวกับมีชีวิต
แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความสงสัยบางอย่าง
"มาเอาเสบียงงั้นเหรอ"
"ใช่!"คราวนี้ฉันไม่ได้ตอบ
แต่เป็นเดวิสที่ตอบแทน"ห..เห็นไอ้พวกเวรเมื่อกี้มั้ย? พวกเราต้องขอบคุณพวกคุณมากเลยนะ!
ไม่งั้นมีหวังตอนนี้ผมกับเพื่อนคงจะโดยไฟเผาตายไปแล้วแน่ๆ"
ท่าทางเด็กหนุ่มจะออกตัวแรงไปหน่อย
ทำเอาทหารหนุ่มถึงกับอึ้งไปสักระยะ
แต่ถึงถึงกระนั้นเขาก็พยักหน้ารับคำขอบคุณจากพวกเรา
"..ด้วยความยินดี"เขาเว้นวรรค"แต่จริงๆ
แล้วผมไม่ได้มาที่นี่...เพื่อช่วยพวกคุณ"
"อะไรนะ"
ฉันขมวดคิ้ว สายตายังคงไม่ละความสนใจไปจากขนนกที่ประดับอยู่บนหมวกของเขา
ทันใดนั้นเองอีกฝ่ายก็ถอนหายใจเสียงดังลั่น ชายหนุ่มชี้นิ้วเลยไปด้านหลังของฉัน
เขาดูท่าทางจะสนใจสตีฟมากกว่า ตอนนี้สตีฟท่าทางจะอาการแย่แบบสุดๆ ด้วย
เขาไอไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
แถมยิ่งไปกว่านั้นการไอแต่ละครั้งก็เริ่มทำให้เขาสำรอกอะไรบางอย่างออกมา
บางอย่างที่ดูคล้ายกับเลือด...เมื่อเห็นดังนั้นฉันก็รีบเข้าไปช่วยประคองชายหนุ่มทันที
"..ค..ควีน..."
"ฉันอยู่นี่แล้วสตีฟ!"
"บ้าเอ้ย
หมอนี่เป็นอะไรอีกเนี่ย!"
เดวิสเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย
แต่ฉันก็ไม่รู้จะตอบคำถามของเขายังไง
ระหว่างที่พยายามช่วยไม่ให้เพื่อนร่วมชะตากรรมอาการหนักกว่าเดิม
ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของบุคคลเดิมดังขึ้นด้านหลัง ทหารหนุ่มยกมือขึ้นมากอดอก
นัยน์ตาสีเขียวเข้มฉายแววอะไรบางอย่างออกมาจนชวนให้รู้สึกกลัว
"ท่าทางอาการจะหนักนะนั่น"เสียงนั่นแฝงไปด้วยความสนใจ"ไปโดนอะไรมาล่ะ"
ฉันมองหน้าเขากลับ"เราไม่รู้"
"งั้นแย่หน่อยที่ผมรู้ บอกให้ก็ได้ว่าเพื่อนคุณติดเชื้อเข้าให้แล้ว"
"อะไรนะ!!"เดวิสร้องลั่น
"ใช่ และผมกับเพื่อนมีหน้าที่จัดการเรื่องนี้"
เพียงส่งสัญญาณมือครั้งเดียว
ทันใดนั้นทหารอีกหกนายที่เหลือก็ยกปืนขึ้นมาเตรียมพร้อมในทันที ฉันสติแตก
มือเอื้อมไปคว้าเอาปืนของสตีฟที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา
ลืมไปสนิทเลยว่าตัวเองใช้ปืนไม่เป็น
แต่ถึงกระนั้นก็ขอแค่ให้ทหารพวกนี้รู้ก็พอว่าฉันเตรียมพร้อมที่จะสู้กับพวกเขา
แม้ว่าในใจจะยังมีความกลัวอยู่ก็ตาม...
"โฮ่--"ทหารนายหนึ่งอุทาน"น้องนี่ใจกล้าว่ะ"
"หน้ายังกะนักร้องแบบนี้จะกล้าชี้ปืนใส่หน้าคนอื่นด้วยเหรอเนี่ย..."
ตอนนี้คนอื่นพากันฮือฮาไปซะหมด
แต่ฉันก็ยังถืออาวุธในมือให้มั่น นายทหารเจ้าของหมวกขนนกยังคงมองมาไม่หยุด มือที่ยกขึ้นมากอดอกอยู่กระดิกนิ้วชี้เล็กน้อยราวกับกำลังใช้ความคิด
ฉันตัดสินใจชี้ปลายกระบอกปืนไปที่เขา
คงไม่น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต้น้อย เพราะขนาดคนอื่นๆ
ยังพากันหัวเราะฉันเลย
"คุณจับปืนผิด"
ฉันกระพริบตา"อะไรนะ?"
"มือซ้ายน่ะ"เขาชี้นิ้วกลับมา"อย่าเอามือปิดช่องคัดปลอกกระสุนสิ"
หลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอย่างบ้าระห่ำ
"ฮ่าๆๆ อะไรวะ!"
"ขำเป็นบ้าเลยให้ตายสิ!!"
"จับปืนผิดนะน้อง!"
...นี่มัน..
แย่สุดๆ
ในฐานะที่เป็นนักกีฬา
ฉันไม่เคยโดนใครหัวเราะใส่อย่างน่าสมเพชแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต...และมันทำให้รู้สึกผิดหวังตัวเองอยู่ในใจ
ใบหน้าของทหารพวกนั้นแลดูระรื่นเป็นที่สุด ราวกับเห็นฉันเป็นตัวตลกอะไรทำนองนี้เลย
ไม่รู้ทำไม แต่สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจทิ้งอาวุธในมือลงอีกครั้ง
ใบหน้าตอนนี้ดูไม่ออกเลยว่ากำลังโกรธหรือผิดหวังอยู่แน่ ก่อนที่พวกนั้นจะหัวเราะตายไปเสียก่อน
ทันใดนั้นเองนายทหารคนเดิมยกมือขึ้น
ท่าทางหมวกที่สวมอยู่จะทำให้เขาดูพิเศษกว่าคนอื่น
...หรือเขาอาจจะเป็นหัวหน้าของกองกำลังนี้
"พอได้แล้ว"ชายหนุ่มเอ่ย"สรุปคุณจะจัดการกับเขาเองเหรอ"
และแล้วก็กลับมาเรื่องเดิมสินะ
ฉันหันไปมองสตีฟสลับกับใบหน้าของเดวิส
หมอนี่ดูท่าทางจะสติแตกจนพูดไม่รู้เรื่องแล้วล่ะมั้ง? เมื่อหันกลับไปก็เห็นชายคนเดิมยืนรอคำตอบอยู่
ฉันพยักหน้า
"ใช่"
"บอกตรงๆ นะ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณยืนยัน...ก็ย่อมได้"
"ขอบคุณ"
โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่คนเข้าใจยากเสียเท่าไหร่
ฉันหลับตาก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก รอดไปได้อีกวันหนึ่ง...ฉันคิดในหัว
ตอนนี้เดวิสกำลังช่วยพยุงร่างคนป่วยอย่างสตีฟให้กลับมายืนอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็สวมหน้ากากป้องกันเชื้อแล้ว ดังนั้นฉันจำเป็นต้องสวมมันด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นก็หยิบหน้ากากของตัวเองออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อ
ก่อนจะสวมมันเข้าไป ขณะนั้นเองทหารกลุ่มนั้นก็กำลังเตรียมตัวที่เคลื่อนพลออกไป
ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบลายพรางยกมือขึ้นสัมผัสขนนกซึ่งติดอยู่บนหมวกของเขา
ดวงตาสีเขียวเข้มจับจ้องกลับมาอย่างพินิจพิเคราะห์
ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโกรธหรือไม่พอใจที่ฉันไม่ยอมให้เขากับเพื่อนฆ่าสตีฟหรือเปล่า
แถมยิ่งไปกว่านั้นคือฉันไม่เคยเห็นคนพวกนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เมืองถูกปิด
พวกเขาเป็นทหารงั้นเหรอ? ทำไมถึงดูแตกต่างจากทหารทั่วไปนักล่ะ?
ความคิดแปลกๆ มากมายก่อตัวขึ้นในระหว่างที่ฉันยืนมองคนพวกนั้น
จนกระทั่งเสียงเดิมดังขึ้น
ฉันหันกลับไปหานายทหารคนเดิมอีกครั้ง เขายกมือขึ้นสัมผัสเครื่องประดับขนนกสีดำบนหมวกก่อนจะหันกลับมา นัยน์ตาสีเข้มฉายแววอะไรบางอย่าง ในขณะที่มองใบหน้านั่น...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้องเอ่ยอะไรแบบนี้ออกไปจริงๆ
"ขอบคุณ"
"ขอบคุณอะไร"
"...ที่ไว้ชีวิตเขา"
"คุณเข้าใจผิดละมั้ง? ผมไม่ได้ไว้ชีวิตเขาสักหน่อย"นายทหารหนุ่มหัวเราะในลำคอ
ก่อนจะยกปืนคู่กายขึ้นพาดบนไหล่"รอบหน้าอย่าให้เจออีกก็แล้วกัน"
ฉันขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่าหมอนี่ดูท่าทางจะเล่นสนุกกับความสับสนของฉันจนพอแล้วล่ะ
เขากับกองกำลังติดอาวุธในเครื่องแบบเดินออกไปจากลานเชือดอย่างไม่รีบร้อน
ทิ้งให้สมรภูมิที่ตัวเองก่อเอาไว้เบื้องหลัง
เปลวเพลิงที่ลุกท่วมร่างไร้วิญญาณของผู้แพ้ยังไม่มีทีท่าว่าจะดับลงง่ายๆ
ก่อนที่พวกเราจะทันได้เห็นคนพวกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
ฉับพลันกองกำลังปริศนาก็หายเข้าไปในม่านหมอก มีเพียงแค่รอยเท้าและปลอกกระสุนเท่านั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้บนพื้นที่เต็มไปด้วยคราบเลือด
"แอตลาสต์?"เดวิสขึ้นเสียงสูง"กองกำลังฝ่ายไหนวะนั่น!?
เธอรู้จักหรือเปล่าควีน?"
...แอตลาสต์ อยากจะบอกเหลือเกินว่าตัวเองก็ไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ตอนนี้คนที่แลดูจะอาการแย่ที่สุดก็คงเป็นสตีฟ
ลมหายใจของเขารวยรินมากกว่าเก่าด้วยซ้ำ
ถ้าไม่พากลับไปห้องพักตอนนี้มีหวังหมอนี่ไม่รอดแน่
ดังนั้นไม่นานฉันกับเดวิสก็ตัดสินใจพากันพยุงร่างของเพื่อนร่วมห้องกลับไป
ถุงเสบียงที่เรามีอาจจะช่วยยื้อชีวิตต่อไปได้อีกสักสองหรือสามอาทิตย์
ซึ่งระหว่างนั้นถ้าต้องออกมาข้างนอก...
ก็ภาวนะขออย่าให้เจอ 'ทหารพวกนี้' อีกก็แล้วกัน
ความคิดเห็น