ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #12 : [QUEEN] Feather

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 62


    Feather

    [ C I V I E S ]

     

    "ตอนนี้คนๆ เดียวที่มีหน้าที่ตัดสินว่าพลเรือนอย่างพวกคุณจะติดเชื้อหรือเปล่า...คือผม"

    ไม่มีทางหนี

    ไม่มีที่ให้หลบ

    ตอนนี้จนมุมแบบสุดๆ แล้ว

    ฉันพยุงร่างของสตีฟขึ้นก่อนที่เขาจะล้มลงไป พยายามแอบผู้บาดเจ็บที่อยู่กับตัวเองเอาไว้ด้านหลัง เดวิสรับสตีฟเอาไว้ เขาเองก็รู้สึกหวาดกลัวจนเห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มกำลังตัวสั่น บุคคลผู้อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตรงหน้าส่งสัญญาณให้เหล่าผู้มาเยือน ฉันกับเดวิสหันหลังชนกัน มองไปรอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวังขั้นสูงสุด พวกมันมากันเพิ่มแค่สามคน แต่ทว่ากลับติดอาวุธอันตราย ชนิดที่ไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนรอดจากมือไปได้เลย

    เสียงเครื่องยนต์รถที่กำลังดังคอยตอกย้ำว่านี่ไม่ใช่ความฝัน ทันใดนั้นเองฉันก็นึกถึงภาพสองคู่รักที่เคยเจอเมื่อวันก่อน ภาพตอนที่พวกเขาถูกใครคนหนึ่งยิง แล้วโดนจุดไฟเผาจนร่างเละ ภาพนั่นก่อขึ้นภายในหัว ไม่อยากเชื่อเลยว่า...นั่นจะเป็นจุดจบของฉันจริงๆ

    ท..ทำไงดีล่ะ?”นักศึกษาแพทย์หนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนฉ...ฉันว่าถ้าเราวิ่ง—“

    ไม่ ห้ามวิ่ง

    แล้วเธอจะยอมโดนไฟเผาตายตรงนี้เหรอ!

    เดวิสพูดถูก ไม่มีใครอยากตายอย่างทรมานในกองเพลิงแน่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือฉัน ในวินาทีนั้นเองความกล้าก็ประดังเข้ามา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ตอนที่ตัดสินใจหยิบปืนมาจากมือสตีฟ ฉันจับปืนไม่เป็นด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าต้องชี้ปลายกระบอกไปยังผู้บุกรุกรอบตัว รู้สึกสับสนแบบสุดๆ เหมือนกับว่าความคิดทั้งหมดในหัวผสมปนเปกันจนมั่ว ฉันเลื่อนนิ้วเข้าโกร่งไกปืนแต่ไม่ได้ออกแรงที่นิ้ว

    เจ้าหน้าที่คนเดิมส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก..หรืออาจจะสมเพชก็เป็นได้ ฉันหันหลังกลับไปพร้อมกับหันปืนไปทางเขา อีกฝ่ายดูท่าทางจะไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามหมอนั่นกลับขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีก

    ย...อย่าเข้ามานะ!

    ค...ควีน! เธอใช้ปืนเป็นด้วยเหรอ!”

    ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่ม"นายช่วยหุบปากหน่อยได้มั้ยเนี่ย!"

    ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันมีปืนแต่ใช้ไม่เป็น แถมคนๆ เดียวที่น่าจะพึ่งพาได้อย่างสตีฟก็ดันไม่พร้อมที่จะสู้อีก คนพวกนั้นเริ่มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น พวกเขาแลดูเหมือนกับฝูงของไฮยีนาที่บีบให้เหยื่อเข้าไปอยู่กลางวงสังหาร รู้ตัวดีว่าคงไม่มีทางรอดออกไปจากที่นี่ได้แน่ ฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมาจากด้านหลัง และเมื่อหันไปดูก็พบกับปืนพกที่เจ้าหน้าที่คนนั้นหยิบออกมา ใบหน้าเรียบสนิทจ้องเขม็งกลับ 

    อยู่ๆ มือไม้ก็อ่อนปวกเปียกอย่างไม่อาจห้ามได้ ฉันเผลอทำอาวุธในมือร่วงจนพาให้เดวิสสะดุ้ง เขากลัวมากกว่าเก่าอีก แต่กระนั้นก็ยังคงพยายามปกป้องสตีฟเอาไว้ ฉันเป็นคนเดียวที่อยู่ด้านปลายกระบอกปืนในมือของชายคนนั้น...และคงจะเป็นคนแรกที่ตายด้วย ถึงแม้ว่าพยายามคิดหาทางหนีเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าทุกสิ่งจะสายเกินไปแล้ว

    ฉันกำหมัดแน่นขณะเห็นชายคนนั้นเลื่อนนิ้วเข้าโกร่งไกปืน

    ลาก่อน

     

    ปัง!

     

    ราวกับเวลาถูกแช่แข็งเอาไว้ แสงตะวันยามอัสดงหยุดนิ่งขณะมันฉายลงมายังลานประหารเบื้องล่าง เสียงกัมปนาทนั่นเงียบหายไปในสายลม ฉันรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดบางอย่างที่มือ...นี่ฉันกำหมัดแน่นขนาดนี้เลยเหรอ คำถามนั้นดังขึ้น เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบว่า...ตัวเองยังไม่ตาย

    "ควีน!"

    เสียงของนักศึกษาแพทย์ขี้กลัวดังเรียกให้ฉันดึงสติกลับมาได้ ในที่สุดเวลาก็เดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง ภาพแรกหลังจากลืมตาขึ้นก็คือร่างของเจ้าหน้าที่คนนั้น เขายืนนิ่ง มีรอยจุดปรากฏขึ้นกลางหน้าผาก ดวงตาเบิกกว้างกว่าเก่าขณะที่ของเหลวสีแดงเข้มค่อยๆ ไหลรินออกมาจากรอยนั่น ฉันยืนนิ่ง เกร็งจนทำอะไรไม่ถูก บัดนี้ร่างของชายคนนั้นล้มลงไปนอนจมหิมะบนพื้น เลือดเริ่มไหลออกมาท่วมบริเวณที่เขาอยู่

    ทันใดนั้นเองเราทั้งสามคนก็เผลอเข้าไปติดกลางดงกระสุนโดยไม่รู้ตัว

    "ยิง!"

    "เอาละโว้ย!!! ฆ่าไอ้สารเลวพวกนั้นซะ!!"

    ด้วยสัญชาตญาณ ฉันใช้เวลาคิดเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะดึงให้เดวิสก้มศีรษะลง เด็กหนุ่มทำตามอย่างไม่อาจขัดขืนได้ กระสุนหลายสิบนัดบินว่อนเหนือศีรษะเรา มันมาจากทุกทิศทาง ฉันพยายามเงยหน้าขึ้นไปดูแต่เสียงโหวกเหวกนั่นก็บังคับให้อยู่นิ่งๆ เสียงปืนยังดังก้องอย่างไม่หยุดหย่อน พร้อมกับแสงประกายวาบจากปลายกระบอกปืนที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้

    "แอตลาสต์!"ใครคนหนึ่งตะโกน ฟังจากเสียงอู้อี้นั่นน่าจะเป็นพวกที่โจมตีเรามากกว่า

    "เวรเอ้ย! พวกนี้แม่งตื้อไม่เลิกจริง!!"

    ฉันอาศัยความกล้าในการเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง กลุ่มเจ้าหน้าที่ปริศนาเริ่มโต้กลับ พวกเขามีอาวุธที่ฝ่ายศัตรูไม่มีก็คือปืนไฟ เปลวไฟขนาดยักษ์ถูกพ่นออกไปพร้อมกับของเหลวเหนียวคล้ายน้ำมัน คนพวกนั้นพยายามเอาอาวุธหนักของตัวเองไปต่อสู้เพื่อหวังทำลายกำลังพลอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจะผิดคาด ใครคนหนึ่งฉลาดพอที่จะเหนี่ยวไกยิงถังเชื้อเพลิงที่เป้อยู่ด้านหลังชายพ่นไฟ เขาตะโกนร้องโหวกเหวกโวยวาย มือทั้งสองพยายามถอดอุปกรณ์นั่นออกจากตัวเอง

    แต่ก็ช้าเกินไป

    ทันใดนั้นเองเสียงระเบิดก็ดังขึ้น บึ้ม! เพลิงสีส้มสว่างวาบไปทั่วบริเวณ ฉันก้มหน้าลงไปอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่แผดเผาอากาศโดยรอบ เสียงสมรภูมิรบยังไม่มีทีท่าว่าจะเงียบหาย ร่างของคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนที่ผ่านจุดที่พวกเราอยู่อย่างใจเย็น เสียงปลอกกระสุนร่วงลงพื้นดังกรุ้งกริ้งเหมือนเสียงกระดิ่ง ฉันเห็นอะไรบางอย่างร่วงลงมาจากหนึ่งในคนกลุ่มนั้น แม็กกาซีนถูกบรรจุใส่ปืนครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนอันที่หมดกระสุนแล้วก็ถูกทิ้งลงบนพื้นราวขยะ

    ฉันทันได้เห็นกลุ่มคนที่เข้ามาช่วยอยู่เล็กน้อย รองเท้าบูทที่พวกนั้นสวม กับเครื่องแบบลายพรางสีเทาเข้มพร้อมกับเสื้อเกราะ คนพวกนี้แต่งตัวราวกับทหาร...ฉันเฝ้ามองการเคลื่อนไหวอันแสนเรียบนิ่งแต่มั่นคงนั่น คนพวกนี้ได้รับการฝึกมาดีพอควร แม้แต่การใช้อาวุธก็เห็นได้ชัดถึงความเป็นมืออาชีพ

    ในระหว่างที่เอาแต่วิเคราะห์กลุ่มทหารปริศนานั่น บางอย่างก็ร่วงลงมาเบื้องหน้าโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันขมวดคิ้ว ตามองเห็นขนนกสีดำสนิทที่วางนิ่งอยู่บนกองหิมะ เมื่อลองหยิบมันมาดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นขนนกจริงๆ น่าจะขนของนกเรเวนหรือไม่ก็นกอะไรสักชนิดหนึ่งที่มีสีดำ ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากที่ขนนกนั่นร่วงลงบนพื้น สงครามก็หยุดลงโดยที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ 

    "เมื่อไหร่สวีปเปอร์พวกนี้จะสูญพันธุ์สักทีวะ"

    "ถ้ามันสูญพันธุ์หมดเราก็ไม่มีอะไรทำสิ! พูดไปได้นะแกเนี่ย!"

    เมื่อสถานการณ์โดยรอบกลับมาเป็นปกติ...ก็ดูว่างั้นนะ ฉันกับเดวิสพยุงร่างของเพื่อนผู้บาดเจ็บอีกคนให้ยืนขึ้นอีกครั้ง ไม่นานหลังจากที่พวกเราลุกขึ้น กองกำลังปริศนาก็หันกลับมามอง ในมือของฉันยังคงถือขนนกสีดำนั่นเอาไว้แน่นขณะมองไปยังใบหน้าของพวกเขา อย่าว่าอะไรเลยนะ แต่ถ้าคนพวกนี้ไม่ได้สวมเครื่องแบบอยู่ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นทหารหรอก เพราะแต่ละคนเนี่ยออกไปแนว...โจรเป็นอย่างมากเลย ให้ตายสิ นี่ฉันคิดบ้าอะไรเนี่ย!

     ไม่รู้ตัวเลยว่าฉันกับเดวิสยืนงงอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน จนกระทั่งเสียงไออย่างหนักของใครคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ น่าแปลกใจเสียเหลือเกินที่คนแข็งแรงอย่างสตีฟดันมาป่วยไม่เลือกเวลาแบบนี้ อยู่ๆ ชายหนุ่มก็กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาดันแสดงอาการผิดปกติอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ฉันหันไปมองหน้าเดวิส แล้วส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มปกปิดสิ่งที่เจอเอาไว้ให้ดีที่ส่วนหนึ่งคือฉันยังไม่ไว้ใจทหารพวกนี้ แถมยังกลัวว่าพวกเขาอาจจะเป็นพวกคนเลวอีกกลุ่มที่อาจเข้ามาทำร้ายเราด้วยอีกต่างหาก

    "ขอโทษนะ ผมขอคืนได้หรือเปล่า"

    เสียงของใครคนหนึ่งดังในความเงียบ ฉันเงยหน้าขึ้น บัดนี้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายกำลังจับจ้องมาที่เราโดยที่นายทหารคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า เขาแต่งตัวแตกจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด หมวกที่สวมอยู่บนศีรษะเป็นหมวกแบบเดียวกันกับที่ทหารนายอื่นใช้ก็จริง แต่ของเขาพิเศษตรงที่มีขนนกสีดำประดับอยู่ด้านข้าง...ขนนกแบบเดียวกันกับในมือของฉัน ใบหน้าของนายทหารหนุ่มปกปิดอย่างมิดชิดด้วยหน้ากากผ้าสีดำ มีเพียงช่องว่างตรงดวงตาเท่านั้นที่ยังเปิดเผยให้มองเห็นได้

    ฉันพยักหน้า"ค..ค่ะ ได้สิ"แล้วจากนั้นก็คืนสิ่งของในมือให้กับอีกฝ่าย

    เขารับขนนกสีดำนั่นไป ขณะที่ยืนมองหน้ากันอยู่นานนายทหารหนุ่มก็เริ่มติดขนนกนั่นเอาไว้บนหมวกของตัวเอง เครื่องประดับชวนแปลกตาพลิ้วไสวตามลมราวกับมีชีวิต แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความสงสัยบางอย่าง

    "มาเอาเสบียงงั้นเหรอ"

    "ใช่!"คราวนี้ฉันไม่ได้ตอบ แต่เป็นเดวิสที่ตอบแทน"ห..เห็นไอ้พวกเวรเมื่อกี้มั้ย? พวกเราต้องขอบคุณพวกคุณมากเลยนะ! ไม่งั้นมีหวังตอนนี้ผมกับเพื่อนคงจะโดยไฟเผาตายไปแล้วแน่ๆ"

    ท่าทางเด็กหนุ่มจะออกตัวแรงไปหน่อย ทำเอาทหารหนุ่มถึงกับอึ้งไปสักระยะ แต่ถึงถึงกระนั้นเขาก็พยักหน้ารับคำขอบคุณจากพวกเรา

    "..ด้วยความยินดี"เขาเว้นวรรค"แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้มาที่นี่...เพื่อช่วยพวกคุณ"

    "อะไรนะ"

    ฉันขมวดคิ้ว สายตายังคงไม่ละความสนใจไปจากขนนกที่ประดับอยู่บนหมวกของเขา ทันใดนั้นเองอีกฝ่ายก็ถอนหายใจเสียงดังลั่น ชายหนุ่มชี้นิ้วเลยไปด้านหลังของฉัน เขาดูท่าทางจะสนใจสตีฟมากกว่า ตอนนี้สตีฟท่าทางจะอาการแย่แบบสุดๆ ด้วย เขาไอไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แถมยิ่งไปกว่านั้นการไอแต่ละครั้งก็เริ่มทำให้เขาสำรอกอะไรบางอย่างออกมา บางอย่างที่ดูคล้ายกับเลือด...เมื่อเห็นดังนั้นฉันก็รีบเข้าไปช่วยประคองชายหนุ่มทันที

    "..ค..ควีน..."

    "ฉันอยู่นี่แล้วสตีฟ!"

    "บ้าเอ้ย หมอนี่เป็นอะไรอีกเนี่ย!"

    เดวิสเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย แต่ฉันก็ไม่รู้จะตอบคำถามของเขายังไง ระหว่างที่พยายามช่วยไม่ให้เพื่อนร่วมชะตากรรมอาการหนักกว่าเดิม ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของบุคคลเดิมดังขึ้นด้านหลัง ทหารหนุ่มยกมือขึ้นมากอดอก นัยน์ตาสีเขียวเข้มฉายแววอะไรบางอย่างออกมาจนชวนให้รู้สึกกลัว 

    "ท่าทางอาการจะหนักนะนั่น"เสียงนั่นแฝงไปด้วยความสนใจ"ไปโดนอะไรมาล่ะ"

    ฉันมองหน้าเขากลับ"เราไม่รู้"

    "งั้นแย่หน่อยที่ผมรู้ บอกให้ก็ได้ว่าเพื่อนคุณติดเชื้อเข้าให้แล้ว"

    "อะไรนะ!!"เดวิสร้องลั่น

    "ใช่ และผมกับเพื่อนมีหน้าที่จัดการเรื่องนี้"

    เพียงส่งสัญญาณมือครั้งเดียว ทันใดนั้นทหารอีกหกนายที่เหลือก็ยกปืนขึ้นมาเตรียมพร้อมในทันที ฉันสติแตก มือเอื้อมไปคว้าเอาปืนของสตีฟที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา ลืมไปสนิทเลยว่าตัวเองใช้ปืนไม่เป็น แต่ถึงกระนั้นก็ขอแค่ให้ทหารพวกนี้รู้ก็พอว่าฉันเตรียมพร้อมที่จะสู้กับพวกเขา แม้ว่าในใจจะยังมีความกลัวอยู่ก็ตาม...

    "โฮ่--"ทหารนายหนึ่งอุทาน"น้องนี่ใจกล้าว่ะ"

    "หน้ายังกะนักร้องแบบนี้จะกล้าชี้ปืนใส่หน้าคนอื่นด้วยเหรอเนี่ย..."

    ตอนนี้คนอื่นพากันฮือฮาไปซะหมด แต่ฉันก็ยังถืออาวุธในมือให้มั่น นายทหารเจ้าของหมวกขนนกยังคงมองมาไม่หยุด มือที่ยกขึ้นมากอดอกอยู่กระดิกนิ้วชี้เล็กน้อยราวกับกำลังใช้ความคิด ฉันตัดสินใจชี้ปลายกระบอกปืนไปที่เขา คงไม่น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต้น้อย เพราะขนาดคนอื่นๆ ยังพากันหัวเราะฉันเลย

    "คุณจับปืนผิด"

    ฉันกระพริบตา"อะไรนะ?"

    "มือซ้ายน่ะ"เขาชี้นิ้วกลับมา"อย่าเอามือปิดช่องคัดปลอกกระสุนสิ"

    หลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอย่างบ้าระห่ำ

    "ฮ่าๆๆ อะไรวะ!"

    "ขำเป็นบ้าเลยให้ตายสิ!!"

    "จับปืนผิดนะน้อง!"

    ...นี่มัน..

    แย่สุดๆ

    ในฐานะที่เป็นนักกีฬา ฉันไม่เคยโดนใครหัวเราะใส่อย่างน่าสมเพชแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต...และมันทำให้รู้สึกผิดหวังตัวเองอยู่ในใจ ใบหน้าของทหารพวกนั้นแลดูระรื่นเป็นที่สุด ราวกับเห็นฉันเป็นตัวตลกอะไรทำนองนี้เลย ไม่รู้ทำไม แต่สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจทิ้งอาวุธในมือลงอีกครั้ง ใบหน้าตอนนี้ดูไม่ออกเลยว่ากำลังโกรธหรือผิดหวังอยู่แน่ ก่อนที่พวกนั้นจะหัวเราะตายไปเสียก่อน ทันใดนั้นเองนายทหารคนเดิมยกมือขึ้น ท่าทางหมวกที่สวมอยู่จะทำให้เขาดูพิเศษกว่าคนอื่น 

    ...หรือเขาอาจจะเป็นหัวหน้าของกองกำลังนี้

    "พอได้แล้ว"ชายหนุ่มเอ่ย"สรุปคุณจะจัดการกับเขาเองเหรอ"

    และแล้วก็กลับมาเรื่องเดิมสินะ ฉันหันไปมองสตีฟสลับกับใบหน้าของเดวิส หมอนี่ดูท่าทางจะสติแตกจนพูดไม่รู้เรื่องแล้วล่ะมั้ง? เมื่อหันกลับไปก็เห็นชายคนเดิมยืนรอคำตอบอยู่ 

    ฉันพยักหน้า

    "ใช่"

    "บอกตรงๆ นะ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณยืนยัน...ก็ย่อมได้"

    "ขอบคุณ"

    โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่คนเข้าใจยากเสียเท่าไหร่ ฉันหลับตาก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก รอดไปได้อีกวันหนึ่ง...ฉันคิดในหัว ตอนนี้เดวิสกำลังช่วยพยุงร่างคนป่วยอย่างสตีฟให้กลับมายืนอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็สวมหน้ากากป้องกันเชื้อแล้ว ดังนั้นฉันจำเป็นต้องสวมมันด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นก็หยิบหน้ากากของตัวเองออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อ ก่อนจะสวมมันเข้าไป ขณะนั้นเองทหารกลุ่มนั้นก็กำลังเตรียมตัวที่เคลื่อนพลออกไป 

    ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบลายพรางยกมือขึ้นสัมผัสขนนกซึ่งติดอยู่บนหมวกของเขา ดวงตาสีเขียวเข้มจับจ้องกลับมาอย่างพินิจพิเคราะห์ ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโกรธหรือไม่พอใจที่ฉันไม่ยอมให้เขากับเพื่อนฆ่าสตีฟหรือเปล่า แถมยิ่งไปกว่านั้นคือฉันไม่เคยเห็นคนพวกนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เมืองถูกปิด พวกเขาเป็นทหารงั้นเหรอ? ทำไมถึงดูแตกต่างจากทหารทั่วไปนักล่ะ? ความคิดแปลกๆ มากมายก่อตัวขึ้นในระหว่างที่ฉันยืนมองคนพวกนั้น จนกระทั่งเสียงเดิมดังขึ้น

    ฉันหันกลับไปหานายทหารคนเดิมอีกครั้ง เขายกมือขึ้นสัมผัสเครื่องประดับขนนกสีดำบนหมวกก่อนจะหันกลับมา นัยน์ตาสีเข้มฉายแววอะไรบางอย่าง ในขณะที่มองใบหน้านั่น...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้องเอ่ยอะไรแบบนี้ออกไปจริงๆ

    "ขอบคุณ"

    "ขอบคุณอะไร"

    "...ที่ไว้ชีวิตเขา"

    "คุณเข้าใจผิดละมั้ง? ผมไม่ได้ไว้ชีวิตเขาสักหน่อย"นายทหารหนุ่มหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยกปืนคู่กายขึ้นพาดบนไหล่"รอบหน้าอย่าให้เจออีกก็แล้วกัน"

    ฉันขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าหมอนี่ดูท่าทางจะเล่นสนุกกับความสับสนของฉันจนพอแล้วล่ะ เขากับกองกำลังติดอาวุธในเครื่องแบบเดินออกไปจากลานเชือดอย่างไม่รีบร้อน ทิ้งให้สมรภูมิที่ตัวเองก่อเอาไว้เบื้องหลัง เปลวเพลิงที่ลุกท่วมร่างไร้วิญญาณของผู้แพ้ยังไม่มีทีท่าว่าจะดับลงง่ายๆ ก่อนที่พวกเราจะทันได้เห็นคนพวกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ฉับพลันกองกำลังปริศนาก็หายเข้าไปในม่านหมอก มีเพียงแค่รอยเท้าและปลอกกระสุนเท่านั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้บนพื้นที่เต็มไปด้วยคราบเลือด

    "แอตลาสต์?"เดวิสขึ้นเสียงสูง"กองกำลังฝ่ายไหนวะนั่น!? เธอรู้จักหรือเปล่าควีน?"

    ...แอตลาสต์ อยากจะบอกเหลือเกินว่าตัวเองก็ไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน 

    ตอนนี้คนที่แลดูจะอาการแย่ที่สุดก็คงเป็นสตีฟ ลมหายใจของเขารวยรินมากกว่าเก่าด้วยซ้ำ ถ้าไม่พากลับไปห้องพักตอนนี้มีหวังหมอนี่ไม่รอดแน่ ดังนั้นไม่นานฉันกับเดวิสก็ตัดสินใจพากันพยุงร่างของเพื่อนร่วมห้องกลับไป ถุงเสบียงที่เรามีอาจจะช่วยยื้อชีวิตต่อไปได้อีกสักสองหรือสามอาทิตย์ 

    ซึ่งระหว่างนั้นถ้าต้องออกมาข้างนอก...

    ก็ภาวนะขออย่าให้เจอ 'ทหารพวกนี้' อีกก็แล้วกัน

           
    Z Y C L O N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×