ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #11 : [ANNA] S.A.C.

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 62


    S.A.C.

    [ C I V I E S ]

     

    ฉันอยู่ไหน

    นั่นคือคำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวเมื่อลืมตาขึ้น สิ่งรอบตัวในตอนนี้มืดไปซะหมด ฉันได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองดังในความเงียบ ไม่นานนักเมื่อสติถูกรวบรวมกลับมาในระดับหนึ่ง ฉันก็พบว่าตัวเองถูกผ้าหรืออะไรสักอย่างปิดตาอยู่ ราวกับเจ้าของสถานที่ไม่ต้องการให้รับรู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน มือทั้งสองข้างชาจนไร้ความรู้สึก ความเจ็บปวดระบมบริเวณรอบข้อมือ

    สิ่งแรกที่รู้คือฉันถูกจับตัวมา ไม่ว่าคนที่เป็นตัวการเรื่องนี้จะเป็นใครฉันคิดว่าเขาต้องระวังตัวแบบสุดๆ แม้จะรู้ว่าฉันไม่ได้พกอาวุธอะไรมาเลย แต่ก็กลับถูกมัดไม้มัดมือเอาไว้แน่นเสียขนาดนี้ ฉันพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ความกลัวครอบงำ มือทั้งสองข้างเริ่มขยับอย่างยากลำบาก แหงล่ะ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าโดนมัดเอาไว้แต่ก็พยายามดิ้นนี่คงเป็นอะไรที่โง่สุดๆ

    ภาพสุดท้ายที่นึกออกก็คือในแคมป์นั่น...ในขณะที่กำลังเฝ้าสังเกตการณ์กลุ่มคนปริศนาอยู่ ฉันกลับถูกลอบโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรเลย รู้อีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

    “ฉ..ฉันอยู่ไหน”

    ไม่รู้ว่าตัวเองกลัวจนสติแตกหรืออะไรกันแน่ถึงได้ถามออกไปแบบนั้น แต่ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง คงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยความเงียบ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับจ้องจากมุมมืด ความกดดันถาโถมลงมาราวกับค้อนที่ตอกลงบนตะปูตัวเล็ก

    “ฉันรู้ว่ามีคน...อยู่ตรงนั้น”เสียงของฉันแหบพล่าและสั่นเทา”ขอร้องล่ะ”

    ...ตอนนั้นเองที่ฉันได้ยินอะไรบางอย่าง

    เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ แต่ทว่ามันกลับก้องกังวานไปทั่วในความเงียบ ฉันหันหน้าไปทางต้นเสียงโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกปิดตาเอาไว้ก็ยิ่งทำให้ความกลัวกัดกินสติมากกว่าเก่า มือสั่นระริก ฉันพยายามขยับข้อมือเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ แต่ทว่าไร้ผล

    ในตอนนั้นเองที่เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้กว่าเดิม มันหยุดสนิทตรงหน้า ฉันพยายามตอบสนองด้วยการหันกลับไปทางต้นเสียงนั่น

    “ไปทำอะไรที่แคมป์”

    ไม่จำเป็นต้องเงี่ยหูฟังเสียงนั้นก็ดังก้องอยู่แล้ว น้ำเสียงของชายปริศนาที่ดังขึ้นเมื่อครู่ทำให้ฉันนึกถึงฉากในห้องสอบปากคำของหนังบางเรื่อง ในตอนที่ผู้ต้องสงสัยถูกกดดังสารพัดเพื่อให้คายข้อมูลออกมา ฉันจะโดนแบบนั้นหรือเปล่า? คำถามหนึ่งดังขึ้น โชคร้ายที่นักข่าวทุกคนมักจะมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นติดมาตั้งแต่เกิด และความอยากรู้อยากเห็นนั่นกำลังจะนำภัยมาสู่ฉัน

    ชายปริศนายังคงยืนอยู่ที่เดิม เดาว่าเขาคงไม่คิดจะไปไหนแน่ถ้าไม่ได้คำตอบในวันนี้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาพยายามมองผ่านเนื้อผ้าบางๆ ที่ปกปิดอยู่ คนพวกนี้ฉลาดดีที่ปิดไฟในห้องจนหมด ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเงาร่างสูงที่ยังจังก้าอยู่

    “ผมถามว่า”น้ำเสียงนั่นหนักแน่นขึ้นเสียจนน่ากลัว”ไปทำอะไรที่แคมป์”

    ถ้าไม่ตอบมีหวังตายแน่ สมองตอกย้ำฉันด้วยความคิดอันแสนบ้าบิ่น

    “ป..ไปหาข้อมูล เรื่องโรค...โรคระบาด”

    “ข้อมูลเหรอ”

    “ช...ใช่ค่ะ ฉ...ฉัน..เป็นนักข่าว”

    “หนูสกปรกจากนิวยอร์กไทม์อีกแล้วเหรอวะ”เสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นอีกเสียงที่ไม่ใช่เสียงของชายคนเดิม”ให้ตายสิ เบื่อพวกสื่อมวลชนฉิบหายเลย”

    “เงียบหน่อย”

    “โอเค ก็ได้”

    พวกมันมีมากกว่าหนึ่ง

    ต้องมากกว่านั้นแน่ ฉันได้ยินเสียงของอีกคนดังมาจากด้านขวามือ เป็นน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมและเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ราวกับว่าอาชีพนักข่าวไปทำให้หมอนั่นตกนรกหรืออะไรเทือกนั้นเลย แต่กระนั้นเองฉันก็ทำได้เพียงนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ ขยับไม่ได้แม้กระทั่งขา ราวกับว่าทั้งร่างถูกทำลายระบบประสาทไปจนหมดแล้ว ขณะที่พยายามเพ่งสายไปยังบุคคลปริศนาที่อยู่เบื้องหน้า คำพูดของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น

    “ข้อมูลอะไร”

    “ค...คะ?”

    “คุณบอกว่าไปหาข้อมูล”เขากล่าวต่อ”ข้อมูลอะไร”

    “ข้อมูล...เกี่ยวกับโรคระบาด อะไรก็ได้ที่จะบอกให้ฉันรู้ว่า...มันคือโรคอะไร”

    ฉันตอบเท่าที่ตอบได้ ยิ่งอยู่ในสถานการณ์กดดันถึงขนาดนี้มนุษย์มักจะเลือกทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิต แต่ดูเหมือนว่าแค่คำตอบนั่นจะยังไม่น่าพอใจเสียเท่าไหร่ ฉันกัดฟันแน่น เสียงฝีเท้าตรงหน้าดังเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนสามารถรับรู้ได้ เสียงลมหายใจของเขาดังในความเงียบ ทันใดนั้นเองมือคู่หนึ่งก็ยื่นเข้ามาบริเวณใบหน้า ฉันพยายามดิ้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหนเขาก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องฉันโดยเด็ดขาด ดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ความกลัวของฉันดีถึงได้ไม่ยอมล้มเลิกการกระทำ

    สัมผัสเย็นยะเยือกค่อยๆ ปรากฏขึ้นบริเวณแก้มข้างซ้าย เขาสวมถุงมือ...ถุงมือหนัง ยิ่งอากาศเย็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ถุงมือที่สวมอยู่ดูราวกับสัมผัสของน้ำแข็ง ฉันพยายามเบือนหน้าหนี ในหัวนึกภาพน่ากลัวสารพัด หนึ่งในนั้นก็คือใบหน้าของหมอนี่

    จนกระทั่งภาพทั้งหมดมลายหายไปเมื่อเขาปลดผ้าปิดตาออก แม้จะใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับความมืดและแสงสลัวในห้อง ไม่นานนักฉันก็มองเห็นอีกครั้ง...

    ห้องมืดอันแสนว่างเปล่าที่มีช่องว่างอยู่เหนือศีรษะ แสงสลัวส่องลงมาบนเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่ เป็นเก้าอี้ไม้เก่าๆ เหมือนกับที่ฉันเคยใช้เมื่อตอนอยู่มัธยม แถมที่ยิ่งไปกว่าสภาพภายในห้องก็คือใบหน้าของบุคคลปริศนาอีกคนที่ยืนมองฉันอยู่ เขาสวมเสื้อโค้ทขนสัตว์ตัวหนา สวมถุงมือ กางเกงยีนส์ขายาวและรองเท้าคอมแบท ดวงตาของเขาเป็นประกายวาบ ชายคนนั้นคงจะเป็นเจ้าของเสียงเหี้ยมเกรียมเมื่อครู่นี้ แต่ไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันแน่

    “เฮ้”

    ฉันหันกลับไปอีกครั้ง คราวนี้ก็ได้เจอกับภาพในจินตนาการเต็มๆ เจ้าของบทสนทนาที่คุยกับฉันเมื่อครู่นี้คือชายคนหนึ่ง อายุราวสามสิบต้นๆ สวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำสนิท สวมหมวกไหมพรมสีดำบนศีรษะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยถูกหิมะกัด นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นไม่ได้ฉายแววแบบที่ฉันเคยเห็นจากชายอีกคนที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง

    มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก

    “นี่คงจะเป็นของคุณ”

    ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็หยิบบางอย่างออกมา ฉันเพ่งมองไปยังอุปกรณ์ในมือของอีกฝ่ายอย่างมีสมาธิ กล้องถ่ายภาพนั่นแลดูคุ้นตาฉันเสียเหลือเกิน...ก็แหงล่ะ นั่นมันกล้องของฉันชัดๆ

    เพียงแค่นั้นความกลัวก็มลายไปหมดสิ้น ฉันแทบกระโจนใส่เขาทั้งที่ตัวเองก็ถูกเชือกมัดมือเอาไว้ เก้าอี้เกือบจะล้มคว่ำลงไปบนพื้น ชายคนนั้นก้าวถอยออกไปเล็กน้อยเมื่อเห็นความพยายามอันแสนโง่เขลา กล้องตัวนั้นถูกส่ายไปมาราวกับว่าเขากำลังหยอกฉันเป็นเด็กๆ

    อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่กล้องของฉัน...

    “เอาคืนมานะ!”ฉันกรีดร้อง

    “เดาว่าคุณคงจะเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้เอาไว้ในกล้องนี่สินะ”

    “...ฉันบอกว่า—“

    “ไม่ต้องห่วง”ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า”ผมจะเก็บมันเอาไว้เอง”

    “ไม่ได้นะ! คุณไม่มีสิทธิ์!

    ฉันพยายามดิ้นรน มือทั้งสองขยับไปมาอย่างบ้าคลั่งเพื่อทำลายพันธนาการของตัวเอง แต่แน่นอนเชือกนี่มัดแน่นเสียยิ่งกว่าเดิมอีก ฉันเห็นใบหน้าของชายคนนั้นถอยกลับไปในความมืด กล้องในมือของเขาเองก็เริ่มถูกเก็บเอาไว้ในเสื้อคลุม

    “มีสิทธิ์สิ ตอนนี้ข้อมูลที่คุณหามาได้คือข้อมูลสำคัญ และบุคคลเดียวที่มีหน้าที่กุมข้อมูลนั้นก็คือเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่นักข่าว”

    “อะไรนะ คุณเป็นเจ้าหน้าที่เหรอ”

    ชายหนุ่มพยักหน้า

    "สังกัดไหน"

    "หน่วยงานรัฐบาล"

    สาบานตรงนี้เลยก็ได้ ถ้าเขาพูดความจริงงั้นก็แสดงว่าข้อมูลที่ฉันมีทั้งหมดก็คงจะถูกรัฐบาลชิงไปสินะ? ให้ตายนี่มันบ้าชัดๆ ถึงในหัวจะเต็มไปด้วยความรู้สึกด้านลบมากเพียงใด ฉันก็พยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้ตัวเองประสาทเสียใส่คนแถวนี้ เจ้าหน้าที่คนนั้นยังคงจ้องมองมา ฉันมองกลับ ตอนนี้สมองเริ่มประมวลหาเส้นทางหลบหนี ประตูอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ฉันคงจะหนีไปได้ถ้าหากแก้มัดให้ตัวเองก่อน

    "ไม่ต้องคิดหาทางหนีให้ปวดหัวหรอก"เจ้าหน้าที่อีกคนพูดขึ้น

    ลืมไปเลยว่าไอ้หมอนั่นยังยืนเฝ้าประตูอยู่

    คราวนี้ก็จนหมดมุมเข้าให้แล้วสินะ

    "รู้อะไรมั้ย ทำไมเราไม่มาคุยกันแบบ...ผู้ที่มีอารยะกว่านี้ล่ะ"

    ฉันเงยหน้าขึ้น ในตอนนั้นเองก็ดูเหมือนว่าเขาจะส่งสัญญาณมือให้กับเพื่อนเจ้าหน้าที่อีกคน อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะโยนบางสิ่งกลับมาให้ ชายหนุ่มรับสิ่งของดังกล่าวนั้นเอาไว้อย่างแม่นยำ และมันยิ่งทำให้ฉันสติเตลิดมากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่า...นั่นคือมีดพก

    ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเอามาใช้ทำอะไรกับการสนทนาแบบ 'ผู้ที่มีอารยะ' ฉันเริ่มดิ้นรนสุดชีวิต พยายามดันเก้าอี้ให้มันถอยห่างออกให้มากที่สุด แต่ทว่าอีกฝ่ายก็กลับใช้มือยึดเก้าอี้เอาไว้แน่น คราวนี้ฉันขยับไม่ได้อีกต่อไป เขาหมุนใบมีดคมกริบออกมาแล้วเดินอ้อมไปด้านหลัง สัมผัสเย็นยะเยือกจากเสียงลมหายใจของเจ้าหน้าที่หนุ่มจ่ออยู่ตรงต้นคอ ฉันหลับตา ความหวาดกลัวกัดกินสมองอย่างบ้าคลั่ง มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น มันยิ่งทำให้เชือกที่มัดอยู่รอบข้อมือตึงมากขึ้นไปอีกจนรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด

    แต่แล้วทันใดนั้นความตึงนั่นก็หายไป เชือกถูกตัดออก 

    ...ท่ามกลางความสับสน ชายหนุ่มวางมือลงบนไหล่ในขณะที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เขาโน้มใบหน้าลงมาจากด้านหลัง สัมผัสลมหายใจเย็นยะเยือกบริเวณต้นคอทำให้ฉันกลัว

    "คราวนี้"เขาเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเดินกลับมาอยู่ในจุดเดิมอีกครั้ง ปล่อยให้ฉันได้นวดเฟ้นข้อมือที่กำลังปวดระบม"ได้เวลาสำหรับบทสนทนาจริงๆ แล้วล่ะ"

    ฉันไม่ตอบ สิ่งเดียวที่ทำได้คือมองดวงตาคู่นั้น เชือกนั่นมัดแน่นเสียเหลือเกิน ตอนนี้รอบข้อมือมีรอยแดงปรากฏอยู่พร้อมกับความเจ็บปวดระบม เดาว่ามันคงจะเจ็บต่อไปอีกนานแน่ถ้าไม่ได้รับการปฐมพยาบาล เจ้าหน้าที่หนุ่มคลี่ยิ้ม แล้วเขาก็ย่อตัวลงนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้า ฉันไม่ไว้ใจเขา โดยเฉพาะกับรอยยิ้มแบบนั้น

    แล้วเขาก็ยื่นมือออกมา

    "แอรอน บาร์ทเลทท์"ชายหนุ่มแนะนำตัว"เจ้าหน้าที่เอสเอซีสังกัดหน่วยโร้ก ผมทำหน้าที่ภาคสนามอยู่ในซีโรโซน"คราวนี้มือที่ยื่นอยู่ก็เปลี่ยนท่าทาง เขาชี้นิ้วมาที่ฉัน"ถึงตาคุณแนะนำตัวเองแล้ว"

    "...ทำไมฉันต้อง.."

    ฉันส่ายหน้า แม้จะเป็นการกระทำที่แลดูกล้าหาญ ทว่าก็กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นที่อยู่ในห้องนี้  โดยเฉพาะกับบุคคลที่อยู่ๆ ก็มาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เอสเอซี...? สาบานได้เลยว่าฉันไม่รู้จักหน่วยงานนั่นมาก่อน บางทีอาจจะเป็นหน่วยงานที่พวกรัฐบาลแอบจัดตั้งขึ้น แถมยังปกปิดมันเอาไว้จากหูตาพลเรือนอีก 

    "พูดซะ"เจ้าหน้าที่อีกคนตะเบ็งเสียงจากมุมห้อง ซึ่งมันได้ผล"ไม่อย่างงั้นก็อย่าหวังว่าจะได้พูดอีก"

    ความกดดันโถมลงมามากขึ้นกว่าเดิม ฉันสูดหายใจลึกๆ

    "แอนนา"

    คราวนี้ 'เจ้าหน้าที่แอรอน บาร์ทเลทท์' ก็มองฉันกลับ แถมยังมองหนักกว่าเดิมอีก ฉันไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรผิด ฉันพยายามแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน ซึ่งมันก็โง่สิ้นดีเลย

    "...แอนนา แมคฟิลด์"

    "ดีเลย ถ้าอย่างนั้น...คุณแมคฟิลด์ ผมคงต้องขอเก็บกล้องตัวนี้เอาไว้ก่อนนะ"

    "ด...เดี๋ยวสิ!"

    แอรอนเก็บกล้องตัวโปรดของฉันกลับเข้าไปในแจ๊คเก็ตพร้อมกับรอยยิ้มกวนประสาท หมอนั่นทำสำเร็จที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาคือคนที่ใหญ่ที่สุดในห้องนี้ แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเชือกมัดมือตัวเองอยู่อีกแล้ว ฉันก็รีบลุกขึ้นยืนในทันทีก่อนจะสาวเท้าตรงไปหาอีกฝ่าย น่าแปลกนักที่เจ้าหน้าที่อีกคนไม่คิดจะทำอะไรเลย 

    ฉันพยายามจะเข้าไปประชิดตัวหมอนั่น ฉันคิดผิด แอรอนอาศัยไหวพริบอันแสนไม่น่าเชื่อในการก้มตัวลงหลบ แถมยังผลักหลังให้ฉันเซถลาไปอีกข้าง ก่อนที่ร่างจะล้มลงไป เขาก็เข้ามาประคองเอาไว้เสียพอดิบพอดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกฉุนแค่ไหนตอนเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วเห็นไอ้เจ้าหน้าที่นี่กระตุกยิ้มกวนประสาทกลับมาให้ 

    ในที่สุดเขาก็ปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ

    "เสียใจด้วย แต่ผมเกรงว่าคุณไม่มีสิทธิ์เล่นตามกฎของตัวเองในห้องนี้"แอรอนยกมือขึ้นกอดอก"อย่างที่บอกเอาไว้ ผมจะเก็บกล้องเอาไว้ก่อน"

    "ฉันจะได้คืนตอนไหนล่ะ!"

    "ไม่ ตอนนี้มันเป็นทรัพย์สินของหน่วยงานราชการแล้ว"

    ชายหนุ่มมองกลับมา สีหน้าของเขาดูเหมือนจะแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ภายใต้ความเรียบสนิทนั่น ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกหมดหวังที่สุดในชีวิต กล้องตัวนั้นคือสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต ฉันจะปล่อยให้มันไปตกอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเอง ข้อมูลที่ 'เจ้าหน้าที่' พวกนี้ต้องการ...ก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ในกล้องด้วย 

    "เว้นเสียแต่ว่า--"

    ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังพูดไม่จบ ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง คราวนี้สีหน้าเรียบสนิทนั่นมองกลับมา ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรในหัว แต่ดูท่าทางแล้ว...จะไม่ดีเท่าไหร่

    "คุณจะเป็นโร้ก...เหมือนกับพวกเรา"

           
    Z Y C L O N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×