คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : [ANNA] S.A.C.
S.A.C.
[ C I V I E S ]
ฉันอยู่ไหน
นั่นคือคำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวเมื่อลืมตาขึ้น สิ่งรอบตัวในตอนนี้มืดไปซะหมด
ฉันได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองดังในความเงียบ ไม่นานนักเมื่อสติถูกรวบรวมกลับมาในระดับหนึ่ง
ฉันก็พบว่าตัวเองถูกผ้าหรืออะไรสักอย่างปิดตาอยู่ ราวกับเจ้าของสถานที่ไม่ต้องการให้รับรู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน
มือทั้งสองข้างชาจนไร้ความรู้สึก ความเจ็บปวดระบมบริเวณรอบข้อมือ
สิ่งแรกที่รู้คือฉันถูกจับตัวมา
ไม่ว่าคนที่เป็นตัวการเรื่องนี้จะเป็นใครฉันคิดว่าเขาต้องระวังตัวแบบสุดๆ
แม้จะรู้ว่าฉันไม่ได้พกอาวุธอะไรมาเลย
แต่ก็กลับถูกมัดไม้มัดมือเอาไว้แน่นเสียขนาดนี้
ฉันพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ความกลัวครอบงำ มือทั้งสองข้างเริ่มขยับอย่างยากลำบาก
แหงล่ะ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าโดนมัดเอาไว้แต่ก็พยายามดิ้นนี่คงเป็นอะไรที่โง่สุดๆ
ภาพสุดท้ายที่นึกออกก็คือในแคมป์นั่น...ในขณะที่กำลังเฝ้าสังเกตการณ์กลุ่มคนปริศนาอยู่
ฉันกลับถูกลอบโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรเลย รู้อีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว
“ฉ..ฉันอยู่ไหน”
ไม่รู้ว่าตัวเองกลัวจนสติแตกหรืออะไรกันแน่ถึงได้ถามออกไปแบบนั้น
แต่ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง คงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยความเงียบ
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับจ้องจากมุมมืด ความกดดันถาโถมลงมาราวกับค้อนที่ตอกลงบนตะปูตัวเล็ก
“ฉันรู้ว่ามีคน...อยู่ตรงนั้น”เสียงของฉันแหบพล่าและสั่นเทา”ขอร้องล่ะ”
...ตอนนั้นเองที่ฉันได้ยินอะไรบางอย่าง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ แต่ทว่ามันกลับก้องกังวานไปทั่วในความเงียบ
ฉันหันหน้าไปทางต้นเสียงโดยอัตโนมัติ
แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกปิดตาเอาไว้ก็ยิ่งทำให้ความกลัวกัดกินสติมากกว่าเก่า
มือสั่นระริก ฉันพยายามขยับข้อมือเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ แต่ทว่าไร้ผล
ในตอนนั้นเองที่เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้กว่าเดิม
มันหยุดสนิทตรงหน้า ฉันพยายามตอบสนองด้วยการหันกลับไปทางต้นเสียงนั่น
“ไปทำอะไรที่แคมป์”
ไม่จำเป็นต้องเงี่ยหูฟังเสียงนั้นก็ดังก้องอยู่แล้ว
น้ำเสียงของชายปริศนาที่ดังขึ้นเมื่อครู่ทำให้ฉันนึกถึงฉากในห้องสอบปากคำของหนังบางเรื่อง
ในตอนที่ผู้ต้องสงสัยถูกกดดังสารพัดเพื่อให้คายข้อมูลออกมา
ฉันจะโดนแบบนั้นหรือเปล่า? คำถามหนึ่งดังขึ้น โชคร้ายที่นักข่าวทุกคนมักจะมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นติดมาตั้งแต่เกิด
และความอยากรู้อยากเห็นนั่นกำลังจะนำภัยมาสู่ฉัน
ชายปริศนายังคงยืนอยู่ที่เดิม
เดาว่าเขาคงไม่คิดจะไปไหนแน่ถ้าไม่ได้คำตอบในวันนี้
สิ่งที่ทำได้มีเพียงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาพยายามมองผ่านเนื้อผ้าบางๆ ที่ปกปิดอยู่
คนพวกนี้ฉลาดดีที่ปิดไฟในห้องจนหมด
ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเงาร่างสูงที่ยังจังก้าอยู่
“ผมถามว่า”น้ำเสียงนั่นหนักแน่นขึ้นเสียจนน่ากลัว”ไปทำอะไรที่แคมป์”
ถ้าไม่ตอบมีหวังตายแน่
สมองตอกย้ำฉันด้วยความคิดอันแสนบ้าบิ่น
“ป..ไปหาข้อมูล เรื่องโรค...โรคระบาด”
“ข้อมูลเหรอ”
“ช...ใช่ค่ะ ฉ...ฉัน..เป็นนักข่าว”
“หนูสกปรกจากนิวยอร์กไทม์อีกแล้วเหรอวะ”เสียงหนึ่งดังขึ้น
เป็นอีกเสียงที่ไม่ใช่เสียงของชายคนเดิม”ให้ตายสิ เบื่อพวกสื่อมวลชนฉิบหายเลย”
“เงียบหน่อย”
“โอเค ก็ได้”
พวกมันมีมากกว่าหนึ่ง
ต้องมากกว่านั้นแน่ ฉันได้ยินเสียงของอีกคนดังมาจากด้านขวามือ
เป็นน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมและเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ราวกับว่าอาชีพนักข่าวไปทำให้หมอนั่นตกนรกหรืออะไรเทือกนั้นเลย
แต่กระนั้นเองฉันก็ทำได้เพียงนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ ขยับไม่ได้แม้กระทั่งขา
ราวกับว่าทั้งร่างถูกทำลายระบบประสาทไปจนหมดแล้ว ขณะที่พยายามเพ่งสายไปยังบุคคลปริศนาที่อยู่เบื้องหน้า
คำพูดของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น
“ข้อมูลอะไร”
“ค...คะ?”
“คุณบอกว่าไปหาข้อมูล”เขากล่าวต่อ”ข้อมูลอะไร”
“ข้อมูล...เกี่ยวกับโรคระบาด อะไรก็ได้ที่จะบอกให้ฉันรู้ว่า...มันคือโรคอะไร”
ฉันตอบเท่าที่ตอบได้ ยิ่งอยู่ในสถานการณ์กดดันถึงขนาดนี้มนุษย์มักจะเลือกทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิต
แต่ดูเหมือนว่าแค่คำตอบนั่นจะยังไม่น่าพอใจเสียเท่าไหร่ ฉันกัดฟันแน่น
เสียงฝีเท้าตรงหน้าดังเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนสามารถรับรู้ได้ เสียงลมหายใจของเขาดังในความเงียบ
ทันใดนั้นเองมือคู่หนึ่งก็ยื่นเข้ามาบริเวณใบหน้า ฉันพยายามดิ้น
ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหนเขาก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องฉันโดยเด็ดขาด
ดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ความกลัวของฉันดีถึงได้ไม่ยอมล้มเลิกการกระทำ
สัมผัสเย็นยะเยือกค่อยๆ
ปรากฏขึ้นบริเวณแก้มข้างซ้าย เขาสวมถุงมือ...ถุงมือหนัง ยิ่งอากาศเย็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ถุงมือที่สวมอยู่ดูราวกับสัมผัสของน้ำแข็ง
ฉันพยายามเบือนหน้าหนี ในหัวนึกภาพน่ากลัวสารพัด หนึ่งในนั้นก็คือใบหน้าของหมอนี่
จนกระทั่งภาพทั้งหมดมลายหายไปเมื่อเขาปลดผ้าปิดตาออก
แม้จะใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับความมืดและแสงสลัวในห้อง ไม่นานนักฉันก็มองเห็นอีกครั้ง...
ห้องมืดอันแสนว่างเปล่าที่มีช่องว่างอยู่เหนือศีรษะ
แสงสลัวส่องลงมาบนเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่ เป็นเก้าอี้ไม้เก่าๆ
เหมือนกับที่ฉันเคยใช้เมื่อตอนอยู่มัธยม
แถมที่ยิ่งไปกว่าสภาพภายในห้องก็คือใบหน้าของบุคคลปริศนาอีกคนที่ยืนมองฉันอยู่ เขาสวมเสื้อโค้ทขนสัตว์ตัวหนา
สวมถุงมือ กางเกงยีนส์ขายาวและรองเท้าคอมแบท ดวงตาของเขาเป็นประกายวาบ
ชายคนนั้นคงจะเป็นเจ้าของเสียงเหี้ยมเกรียมเมื่อครู่นี้
แต่ไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันแน่
“เฮ้”
ฉันหันกลับไปอีกครั้ง
คราวนี้ก็ได้เจอกับภาพในจินตนาการเต็มๆ เจ้าของบทสนทนาที่คุยกับฉันเมื่อครู่นี้คือชายคนหนึ่ง
อายุราวสามสิบต้นๆ สวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำสนิท สวมหมวกไหมพรมสีดำบนศีรษะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยถูกหิมะกัด
นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นไม่ได้ฉายแววแบบที่ฉันเคยเห็นจากชายอีกคนที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง
มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
“นี่คงจะเป็นของคุณ”
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็หยิบบางอย่างออกมา
ฉันเพ่งมองไปยังอุปกรณ์ในมือของอีกฝ่ายอย่างมีสมาธิ
กล้องถ่ายภาพนั่นแลดูคุ้นตาฉันเสียเหลือเกิน...ก็แหงล่ะ นั่นมันกล้องของฉันชัดๆ
เพียงแค่นั้นความกลัวก็มลายไปหมดสิ้น
ฉันแทบกระโจนใส่เขาทั้งที่ตัวเองก็ถูกเชือกมัดมือเอาไว้
เก้าอี้เกือบจะล้มคว่ำลงไปบนพื้น ชายคนนั้นก้าวถอยออกไปเล็กน้อยเมื่อเห็นความพยายามอันแสนโง่เขลา
กล้องตัวนั้นถูกส่ายไปมาราวกับว่าเขากำลังหยอกฉันเป็นเด็กๆ
อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่กล้องของฉัน...
“เอาคืนมานะ!”ฉันกรีดร้อง
“เดาว่าคุณคงจะเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้เอาไว้ในกล้องนี่สินะ”
“...ฉันบอกว่า—“
“ไม่ต้องห่วง”ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า”ผมจะเก็บมันเอาไว้เอง”
“ไม่ได้นะ! คุณไม่มีสิทธิ์!”
ฉันพยายามดิ้นรน มือทั้งสองขยับไปมาอย่างบ้าคลั่งเพื่อทำลายพันธนาการของตัวเอง
แต่แน่นอนเชือกนี่มัดแน่นเสียยิ่งกว่าเดิมอีก
ฉันเห็นใบหน้าของชายคนนั้นถอยกลับไปในความมืด
กล้องในมือของเขาเองก็เริ่มถูกเก็บเอาไว้ในเสื้อคลุม
“มีสิทธิ์สิ
ตอนนี้ข้อมูลที่คุณหามาได้คือข้อมูลสำคัญ และบุคคลเดียวที่มีหน้าที่กุมข้อมูลนั้นก็คือเจ้าหน้าที่รัฐ
ไม่ใช่นักข่าว”
“อะไรนะ คุณเป็นเจ้าหน้าที่เหรอ”
ชายหนุ่มพยักหน้า
"สังกัดไหน"
"หน่วยงานรัฐบาล"
สาบานตรงนี้เลยก็ได้ ถ้าเขาพูดความจริงงั้นก็แสดงว่าข้อมูลที่ฉันมีทั้งหมดก็คงจะถูกรัฐบาลชิงไปสินะ? ให้ตายนี่มันบ้าชัดๆ ถึงในหัวจะเต็มไปด้วยความรู้สึกด้านลบมากเพียงใด ฉันก็พยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้ตัวเองประสาทเสียใส่คนแถวนี้ เจ้าหน้าที่คนนั้นยังคงจ้องมองมา ฉันมองกลับ ตอนนี้สมองเริ่มประมวลหาเส้นทางหลบหนี ประตูอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ฉันคงจะหนีไปได้ถ้าหากแก้มัดให้ตัวเองก่อน
"ไม่ต้องคิดหาทางหนีให้ปวดหัวหรอก"เจ้าหน้าที่อีกคนพูดขึ้น
ลืมไปเลยว่าไอ้หมอนั่นยังยืนเฝ้าประตูอยู่
คราวนี้ก็จนหมดมุมเข้าให้แล้วสินะ
"รู้อะไรมั้ย ทำไมเราไม่มาคุยกันแบบ...ผู้ที่มีอารยะกว่านี้ล่ะ"
ฉันเงยหน้าขึ้น ในตอนนั้นเองก็ดูเหมือนว่าเขาจะส่งสัญญาณมือให้กับเพื่อนเจ้าหน้าที่อีกคน อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะโยนบางสิ่งกลับมาให้ ชายหนุ่มรับสิ่งของดังกล่าวนั้นเอาไว้อย่างแม่นยำ และมันยิ่งทำให้ฉันสติเตลิดมากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่า...นั่นคือมีดพก
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเอามาใช้ทำอะไรกับการสนทนาแบบ 'ผู้ที่มีอารยะ' ฉันเริ่มดิ้นรนสุดชีวิต พยายามดันเก้าอี้ให้มันถอยห่างออกให้มากที่สุด แต่ทว่าอีกฝ่ายก็กลับใช้มือยึดเก้าอี้เอาไว้แน่น คราวนี้ฉันขยับไม่ได้อีกต่อไป เขาหมุนใบมีดคมกริบออกมาแล้วเดินอ้อมไปด้านหลัง สัมผัสเย็นยะเยือกจากเสียงลมหายใจของเจ้าหน้าที่หนุ่มจ่ออยู่ตรงต้นคอ ฉันหลับตา ความหวาดกลัวกัดกินสมองอย่างบ้าคลั่ง มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น มันยิ่งทำให้เชือกที่มัดอยู่รอบข้อมือตึงมากขึ้นไปอีกจนรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด
แต่แล้วทันใดนั้นความตึงนั่นก็หายไป เชือกถูกตัดออก
...ท่ามกลางความสับสน ชายหนุ่มวางมือลงบนไหล่ในขณะที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เขาโน้มใบหน้าลงมาจากด้านหลัง สัมผัสลมหายใจเย็นยะเยือกบริเวณต้นคอทำให้ฉันกลัว
"คราวนี้"เขาเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเดินกลับมาอยู่ในจุดเดิมอีกครั้ง ปล่อยให้ฉันได้นวดเฟ้นข้อมือที่กำลังปวดระบม"ได้เวลาสำหรับบทสนทนาจริงๆ แล้วล่ะ"
ฉันไม่ตอบ สิ่งเดียวที่ทำได้คือมองดวงตาคู่นั้น เชือกนั่นมัดแน่นเสียเหลือเกิน ตอนนี้รอบข้อมือมีรอยแดงปรากฏอยู่พร้อมกับความเจ็บปวดระบม เดาว่ามันคงจะเจ็บต่อไปอีกนานแน่ถ้าไม่ได้รับการปฐมพยาบาล เจ้าหน้าที่หนุ่มคลี่ยิ้ม แล้วเขาก็ย่อตัวลงนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้า ฉันไม่ไว้ใจเขา โดยเฉพาะกับรอยยิ้มแบบนั้น
แล้วเขาก็ยื่นมือออกมา
"แอรอน บาร์ทเลทท์"ชายหนุ่มแนะนำตัว"เจ้าหน้าที่เอสเอซีสังกัดหน่วยโร้ก ผมทำหน้าที่ภาคสนามอยู่ในซีโรโซน"คราวนี้มือที่ยื่นอยู่ก็เปลี่ยนท่าทาง เขาชี้นิ้วมาที่ฉัน"ถึงตาคุณแนะนำตัวเองแล้ว"
"...ทำไมฉันต้อง.."
ฉันส่ายหน้า แม้จะเป็นการกระทำที่แลดูกล้าหาญ ทว่าก็กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นที่อยู่ในห้องนี้ โดยเฉพาะกับบุคคลที่อยู่ๆ ก็มาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เอสเอซี...? สาบานได้เลยว่าฉันไม่รู้จักหน่วยงานนั่นมาก่อน บางทีอาจจะเป็นหน่วยงานที่พวกรัฐบาลแอบจัดตั้งขึ้น แถมยังปกปิดมันเอาไว้จากหูตาพลเรือนอีก
"พูดซะ"เจ้าหน้าที่อีกคนตะเบ็งเสียงจากมุมห้อง ซึ่งมันได้ผล"ไม่อย่างงั้นก็อย่าหวังว่าจะได้พูดอีก"
ความกดดันโถมลงมามากขึ้นกว่าเดิม ฉันสูดหายใจลึกๆ
"แอนนา"
คราวนี้ 'เจ้าหน้าที่แอรอน บาร์ทเลทท์' ก็มองฉันกลับ แถมยังมองหนักกว่าเดิมอีก ฉันไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรผิด ฉันพยายามแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน ซึ่งมันก็โง่สิ้นดีเลย
"...แอนนา แมคฟิลด์"
"ดีเลย ถ้าอย่างนั้น...คุณแมคฟิลด์ ผมคงต้องขอเก็บกล้องตัวนี้เอาไว้ก่อนนะ"
"ด...เดี๋ยวสิ!"
แอรอนเก็บกล้องตัวโปรดของฉันกลับเข้าไปในแจ๊คเก็ตพร้อมกับรอยยิ้มกวนประสาท หมอนั่นทำสำเร็จที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาคือคนที่ใหญ่ที่สุดในห้องนี้ แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเชือกมัดมือตัวเองอยู่อีกแล้ว ฉันก็รีบลุกขึ้นยืนในทันทีก่อนจะสาวเท้าตรงไปหาอีกฝ่าย น่าแปลกนักที่เจ้าหน้าที่อีกคนไม่คิดจะทำอะไรเลย
ฉันพยายามจะเข้าไปประชิดตัวหมอนั่น ฉันคิดผิด แอรอนอาศัยไหวพริบอันแสนไม่น่าเชื่อในการก้มตัวลงหลบ แถมยังผลักหลังให้ฉันเซถลาไปอีกข้าง ก่อนที่ร่างจะล้มลงไป เขาก็เข้ามาประคองเอาไว้เสียพอดิบพอดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกฉุนแค่ไหนตอนเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วเห็นไอ้เจ้าหน้าที่นี่กระตุกยิ้มกวนประสาทกลับมาให้
ในที่สุดเขาก็ปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ
"เสียใจด้วย แต่ผมเกรงว่าคุณไม่มีสิทธิ์เล่นตามกฎของตัวเองในห้องนี้"แอรอนยกมือขึ้นกอดอก"อย่างที่บอกเอาไว้ ผมจะเก็บกล้องเอาไว้ก่อน"
"ฉันจะได้คืนตอนไหนล่ะ!"
"ไม่ ตอนนี้มันเป็นทรัพย์สินของหน่วยงานราชการแล้ว"
ชายหนุ่มมองกลับมา สีหน้าของเขาดูเหมือนจะแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ภายใต้ความเรียบสนิทนั่น ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกหมดหวังที่สุดในชีวิต กล้องตัวนั้นคือสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต ฉันจะปล่อยให้มันไปตกอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเอง ข้อมูลที่ 'เจ้าหน้าที่' พวกนี้ต้องการ...ก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ในกล้องด้วย
"เว้นเสียแต่ว่า--"
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังพูดไม่จบ ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง คราวนี้สีหน้าเรียบสนิทนั่นมองกลับมา ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรในหัว แต่ดูท่าทางแล้ว...จะไม่ดีเท่าไหร่
"คุณจะเป็นโร้ก...เหมือนกับพวกเรา"
ความคิดเห็น