ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #10 : [QUEEN] No Escape

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 62


    12/29/2018

    No Escape

    [ C I V I E S ]

     

    “พระเจ้า! นั่นพวกคาร์เทล!

    สิ้นเสียงร้องของหนึ่งในเจ้าหน้าที่คุมการจ่ายเสบียง พลันเหล่าผู้รอดชีวิตกว่าสามสิบคนก็พากันแตกตื่นอย่างหวาดกลัว ยิ่งเสียงปืนดังขึ้นก็ยิ่งทำให้พวกเขาบ้าคลั่งมากกว่าเก่า แต่ก็ยังไม่ยอมละทิ้งความต้องการของตนเองไป พลเรือนเริ่มพุ่งเข้าใส่เจ้าหน้าที่แล้วชิงเสบียงมา ก่อนจะวิ่งหนีออกจากดงกระสุนไปขณะที่ทหารอีกหลายคนถูกยิงจนนอนจมกองเลือด

    หญิงสาวค่อยๆ ดันร่างกายขึ้นจากพื้นหิมะ รู้สึกปวดหัวเกินคำบรรยาย มือเองก็เจ็บจากการโดนกระแทกเมื่อกี้ เมื่อลุกขึ้นมาได้ ควีนก็เริ่มมองหาสองเพื่อนผู้รอดชีวิตของเธอ ซึ่งตอนนี้ทั้งลานกว้างเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังวิ่งหนีไม่คิดชีวิต แถมทหารก็ยังรัวกระสุนสู้กับกลุ่มโจรไม่หยุดหย่อน

    “ไปๆๆ! ใครได้เสบียงแล้วไปซะ!

    “เวรเอ้ย!

    ขณะที่คนอื่นพยายามวิ่งหนีออกมาจากลานเชือด ควีนกลับเป็นคนเดียวที่ตัดสินใจวิ่งเข้าไปในดงกระสุน ร่างบางหันซ้ายหันขวา มือยังคงกำถุงเสบียงไว้แน่น สายตากวาดมองรอบทิศเพื่อมองหาเพื่อนทั้งสองคนของตนเอง ทันใดนั้นสตีฟก็วิ่งหน้าตื่นมา เขาไม่ได้เสบียงแต่กลับมีปืนไรเฟิลของทหารถือเอาไว้แทน ชายหนุ่มดูท่าทางตื่นตัว

    “แล้วเดวิสล่ะ!?”ควีนร้องถาม เสียงของเธอแทบจะจมไปกับเสียงกัมปนาทรอบตัว”เขาอยู่ไหน!

    “ผมไม่เจอเขาที่รถแจกเสบียง!

    เธอรู้ดีว่านั่นหมายถึงอันตราย เดวิสไม่ใช่คนโง่แต่ก็ไม่ฉลาดพอที่จะหลบหนีจากคาร์เทลไปได้ ด้วยเหตุนั้นเธอจึงตัดสินใจนัดแนะกับสตีฟ พวกเขาจะต้องไปตามหาไอ้ขี้ขลาดนั่นก่อนที่เขาจะโดนยิงตาย แม้ในใจเองก็ยังห่วงเรื่องถุงเสบียงที่ยังอยู่กับเดวิส

    เสียงปืนของทหารและเจ้าหน้าที่ดังปะทะเข้ากับกลุ่มโจรคาร์เทล พวกมันมีจำนวนมากกว่าแถมยังติดอาวุธหลายชนิด ยังไงซะพวกทหารก็คงทำอะไรพวกนั้นไม่ได้แน่ ควีนกับสตีฟอาศัยจังหวะชุลมุนวุ่นวายนี้วิ่งตามหาเพื่อนคนสุดท้ายอย่างระมัดระวัง เป็นการยากนักถ้าจะหาคนเพียงคนเดียวที่อยู่ท่ามกลางดงกระสุน แต่เธอเชื่อว่าคนขี้ขลาดอย่างเดวิสคงหนีไปได้ไม่ไกลแน่

    “เราน่าจะแยกกันตามหาเขา!”หญิงสาวออกความคิด

    “ได้! ระวังตัวด้วย! ถ้าไม่เจอผมจะกลับมานี่นะ!

    ว่าแล้ว รปภ. หนุ่มก็รีบวิ่งฝ่าผู้คนออกไปทันที ทิ้งให้ควีนยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น แต่เธอรู้ตัวว่าต้องทำอะไร หาเดวิสให้เจอแล้วรีบกลับที่พัก ไม่อย่างนั้นก็ได้โดนลูกหลงตายกันอยู่ตรงนี้แน่ หญิงสาวเริ่มมองหาจากซอกหลืบของตึกที่อยู่บริเวณนั้น ถ้าเดวิสเป็นคนอย่างที่คิดจริงเขาก็คงไม่กล้าพอจะวิ่งหนีออกไปแน่ แต่เธอต้องแข่งกับเวลา เพราะในขณะที่มองหาไอ้ตัวแสบอยู่ ตอนนี้กำลังพลของทหารก็เริ่มร่อยหรอไปทุกทีแล้ว

    พวกคาร์เทลลุกล้ำเข้ามาไม่หยุดราวกับคลื่นที่ถาโถมใส่ เสียงปืนดังกึกก้อง สงครามระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับเหล่าอาชญากรยังคงดำเนินต่อไป แต่ในไม่ช้านี้ก็คงจะได้รู้ผลแพ้ชนะ ควีนวิ่งไปทั่ว ปฏิเสธความกลัวที่กำลังก่อขึ้นในใจไม่ได้เลย แต่ยิ่งกระวนกระวายมากแค่ไหนสภาพจิตใจก็ยิ่งแย่มากขึ้นเท่านั้น สาวเอเชียหันมองรอบตัว เรือนผมสีบลอนด์สว่างพลิ้วไสวภายใต้หมวกไหมพรม ทันใดนั้นเองใครคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาชนเธอเข้าอย่างจัง

    ร่างของควีนล้มลงไปบนหิมะอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะได้ตะโกนด่า ฉับพลันอีกฝ่ายก็โวยวายขึ้นเสียก่อน นั่นจึงทำให้เธอรู้ทันทีว่าเจอบุคคลที่ตนเองกำลังตามหาแล้ว

    “ควีน! พระเจ้า! ฉันวิ่งหาเธอรอบเมืองเลยเนี่ยเห็นมั้ย!

    “ฉันต่างหากล่ะ! หายหัวไปไหนมาเนี่ย!

    ทั้งสองตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน พวกเขาเริ่มมองหาทางออกจากสงครามขนาดย่อมในครั้งนี้ แต่ก่อนหน้านั้น...ใช่สิ ควีนนึกถึงสตีฟ เขาวิ่งหายไปอีกทางและก็คงจะอยู่ไม่ไกล

    “สตีฟอยู่ไหนเล่า!

    “เดี๋ยวเขาก็มาแล้วล่ะ!

    น่าตลกดีที่ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นสตีฟก็วิ่งกลับมา เขาเล็งปืนไปด้านหลังแล้วเหนี่ยวไกใส่พวกคาร์เทลที่วิ่งไล่มาราวกับคนบ้า โชคดีที่ตอนนี้พวกมันส่วนใหญ่สนใจกับแค่รถบรรทุกเสบียง ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสทองที่จะทำให้พวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดไปจากสงครามนี้ได้ รปภ. หนุ่มเริ่มวิ่งนำทาง เขาพาออกไปจากดงกระสุนนี่โดยอาศัยทิศทางที่มีสิ่งกีดขวางตั้งอยู่

    โชคร้ายที่ตอนนี้กำลังพลของทหารและเจ้าหน้าที่รัฐเกือบทั้งหมดได้หายไปแล้ว ส่วนหนึ่งที่ยังมีชีวิตรอดก็ยังคงเลือกสู้สุดใจ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าพรรคพวกตนเองจะสู้จำนวนของศัตรูไม่ได้ก็ตาม สุดท้ายแล้วสงครามก็นำมาซึ่งการสูญเสีย ทั้งศพของคาร์เทลและพวกทหารนอนกองรวมกัน ปลอกกระสุนร่วงเกลื่อนไปทั่ว หิมะเปลี่ยนเป็นสีแดงชาด พวกคาร์เทลไม่เหมือนกับกองทัพทหารก็ตรงที่พวกมันไม่ใส่ใจพรรคพวก ดังนั้นศพคนตายจึงไม่ได้ถูกพากลับไป แต่จะถูกปล่อยให้อยู่ในสนามรบแห่งนี้

    ไม่นานนักเสียงปืนก็เงียบไป ชัยชนะตกเป็นของแก็งค์อาชญากรแห่งชิคาโก ปากตะโกนโห่ร้องลั่นอย่างมีชัย พวกมันเอารางวัลทั้งสามคันกลับไปฐานของตนเอง โดยไม่แม้แต่จะแยแสพวกทหารที่เป็นฝ่ายปกป้องมัน


    ควีน สตีฟ และเดวิสวิ่งหนีออกมาจากลานเชือดได้สำเร็จ แต่ปัญหาคือตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองอยู่ส่วนไหนของชิคาโก เพราะมันไกลจากจุดกบดานเสียเหลือเกิน ควีนเดินวนไปรอบๆ บนถนนที่อยู่ท่ามกลางตึกสูง รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก สตีฟเองก็เริ่มเช็คกระสุนที่เหลืออยู่เผื่อเจอการปะทะอีกรอบ คงไม่แปลกนักถ้าเขาจะมีกระสุนอยู่ร่อยหรอเต็มทีแล้วหลังโจมตีของพวกคาร์เทล ส่วนเดวิส ซึ่งตอนนี้กำลังตะลึงแบบสุดๆ เขาคงนึกไม่ถึงว่าจะเอาชีวิตรอดออกมาได้

    "เราน่าจะกลับไปอะพาร์ทเมนท์นะ"เป็นครั้งแรกที่เดวิสเป็นฝ่ายออกความเห็น"พวกนั้นอาจจะไปกันหมดแล้วก็ได้"

    "นาย..นายแน่ใจรึไง"ควีนถาม

    "ก็ไม่รู้สิ แต่จะอยู่ข้างนอกแบบนี้นี่นะ แถมเรายังหอบถุงเสบียงมาด้วย เหมือนเอามาล่อเสือยังไงก็ไม่รู้"

    "รถสามคัน ป่านนี้พวกนั้นคงยังขนไปไม่เสร็จหรอก"

    "แล้วทำไงดีล่ะ?"

    สตีฟเงียบ เดาว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ขณะยืนนิ่งอยู่กลางถนน ควีนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าซึ่งตอนนี้กลายเป็นสีเทาอ่อน เกล็ดหิมะยังโปรยลงมาไม่หยุด แถมยังหนาวราวกับอยู่ขั้วโลกเสียอย่างนั้น นอกจากสภาพอากาศตอนกลางคืนแล้ว ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่พวกเขากลัว เดวิสพูดถูก ถุงเสบียงที่หิ้วมาด้วยก็ไม่ต่างจากเหยื่อที่เอามาล่อเสือ ถ้ามีคนเห็นของที่พวกเขามีตอนนี้คงได้ดวงตกแน่ 

    "เราจะอ้อมไป"ในที่สุดสตีฟก็ตัดสินใจได้"พวกนั้นคงไม่ฉลาดถึงกับ...ไล่ล่าทุกคนหรอกนะ"

    "แน่ใจเหรอสตีฟ"

    "ก็--พอควรล่ะ"

    ควีนถอนหายใจเฮือกใหญ่"เอางั้นก็ได้ แอบย่องไป"

    ทุกคนตกลง คืนนี้พวกเขาคงต้องเดินทางกลับแบบหลบๆ ซ่อนๆ กันบ้างล่ะ สตีฟเป็นฝ่ายนำทีมเพราะเขามีอาวุธ ให้ควีนกับเดวิสช่วยกันเสบียงทั้งสองถุงแล้วพากันเดินลัดเลาะไปตามซอกตึก ตอนนี้ภาวนาว่าขออย่าให้มีการปะทะ ลำพังสตีฟคงเอาโจรทั้งกองทัพไม่อยู่แน่ แถมยังมีพวกที่ยังหมายจะชกชิงเสบียงจากพวกเขาอีกมาก 

    เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า แสงสีทองอร่ามส่องผ่านกลีบเมฆมืดครึ้มลงมาสู่เมืองที่ตายไปแล้ว สายลมพัดเอาไอเย็นมาปะทะใบหน้าของเธอ นักฟิกเกอร์สเก็ตสาวตัดสินใจถอดหมวกไหมพรมออก พวกเขาเดินลัดเลาะโดยอาศัยเงามืดของตัวอาคาร คอยแอบพวกคาร์เทลที่อยู่แถวนั้น โชคดีที่สตีฟพูดถูกเรื่องความฉลาดของพวกมัน 

    ตอนนี้ทั้งสามคนอาศัยเส้นทางถนนแคบๆ อีกสายไป ซึ่งถนนสายนี้ก็สามารถพาพวกเขากลับบ้านได้เช่นกัน แต่พอเดินเข้ามาในอีกด้านหนึ่งของเมืองมากเท่าไหร่ พวกเขาก็เริ่มมองเห็นซากศพของผู้คนที่ตายจากการระบาดของโรคมากขึ้น

    ร่างไร้วิญญาณของคนพวกนั้นนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าสีขาว เดวิสตกใจกับคนตายเหมือนเด็กๆ ทั้งที่ตนเองก็เป็นนักศึกษาแพทย์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเด็กหนุ่ม ตอนนี้ศพในถุงสีขาวยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนพวกเขาต้องหยิบหน้ากากป้องกันขึ้นมาสวม เมื่อเกิดวิกฤตการระบาดของเชื้อโรคปริศนา คนตายในช่วงแรกๆ ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจัดการไม่ไหว ในขณะเดียวกันที่คนเริ่มล้มป่วยและตายมีอัตรามากกว่าเก่า แต่พื้นที่ในการเก็บร่างของพวกเขากลับมีขนาดเท่าเดิม ดังนั้นพวกสาธารณสุขจึงแก้ปัญหาด้วยการเอาศพคนตายที่เหลือมาวางเรียงตามถนน เพื่อรอการจัดการในขั้นต่อไป 

    นับว่าเป็นอะไรที่สยองเป็นอย่างมากสำหรับวิธีจัดการศพคนตายของกรมสาธารณสุขชิคาโก

    "ให้ตายสิ เหนื่อยชะมัด..."

    อยู่ๆ เดวิสก็หยุดเดินแล้วทิ้งตัวลงบนพื้น คงไม่แปลกถ้าคนอย่างหมอนี่จะเหนื่อยได้ขนาดนี้ เพราะสตีฟเองก็แสดงอาการเหนื่อยออกมาไม่แพ้กัน ควีนเงยหน้ามองทั้งสองคน ตะวันลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆ จนเงามืดเริ่มครอบคลุมเมืองทั้งเมืองเอาไว้ อยู่ด้านนอกในตอนกลางคืนแบบนี้ไม่ต่างไปจากการฆ่าตัวตายชัดๆ 

    "สตีฟ"เธอหันไปหาชายหนุ่มอีกคน"ยังไม่เจออีกเหรอ"

    "ผม...ไม่รู้สิ"

    ทันใดนั้นเองร่างของสตีฟก็ล้มลง ทั้งควีนและเดวิสต่างก็ตกใจไปพร้อมๆ กันเมื่อเห็นสภาพเหนื่อยล้ากว่าปกติของชายหนุ่ม อีกไม่นานนักรัตติกาลก็จะมาเยือน การอยู่ข้างนอกตอนกลางคืนแบบนี้ก็ไม่ต่างไปจากการฆ่าตัวตายเลย หญิงสาวตัดสินใจเข้าไปประคองร่างของอีกฝ่ายขึ้น เดวิสเองก็เข้าไปช่วยเช่นเดียวกัน พวกเขาเดินต่อไปตามถนนอย่างทุลักทุเล แสงอาทิตย์หดหายไปทุกวินาที แถมตอนนี้ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาแทนที่พลกำลังจนหมดสิ้น

    ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังบังเอิญดวงตกเสียพอดิบพอดี

    เดวิสชะงัก อยู่ๆ เขาก็ปล่อยมือจากร่างของสตีฟด้วยท่าทางตะลึงงันอย่างบอกไม่ถูก ทำให้หญิงสาวเกือบจะล้มลงไปเพราะรับน้ำหนักของผู้บาดเจ็บไม่ไหว 

    ควีนเงยหน้าขึ้น"อะไรของนายเนี่ย! มาช่วยกันก่อนได้มั้ย--"

    คำพูดถูกหยุดเอาไว้เพียงแค่นั้น

    บุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้รอดชีวิตทั้งสามคนคือชายร่างสูง เขาสวมเสื้อคลุมตัวหนาของหน่วยกู้ภัยพร้อมกับหมวกไหมพรมสีเทา ใบหน้าเกือบทั้งหมดถูกปกปิดด้วยหน้ากากกันเชื้อโรค ในมือถือกระดานพลาสติกพร้อมเอกสารสำหรับจดบันทึก

    สิ่งที่ทำให้ควีนนึกว่าชายคนนี้คือ "ยมทูต" ก็เพราะเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพ ถุงผ้าสีขาวมากมายวางเรียงแถวขนาบทั้งสองข้างของบริเวณที่เขายืน บวกกับนัยน์ตาสีเทาอ่อนที่ดูเหมือนกับดวงตาปิศาจคู่นั้นด้วย เดวิสเริ่มปอดแหก เขาคิดยังไงถึงวิ่งมาหลบหลังผู้หญิงอย่างเธอแถมยังตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ปล่อยให้ควีนยืนเผชิญหน้ากับชายปริศนาแต่เพียงผู้เดียว ถ้าจะอาศัยหยิบปืนจากมือของสตีฟก็คงติดที่ใช้ไม่เป็น

    "พวกคุณ"เสียงของชายผู้นั้นฟังเหมือนกับหุ่นยนต์เพราะเขาสวมหน้ากาก แต่ถึงจะไม่สวมหน้ากากน้ำเสียงนั่นก็คงจะเรียบสนิทไร้อารมณ์อยู่แล้ว"เป็นพลเรือนหรือเปล่า"

    ควีนไม่ไว้ใจชายคนนี้ แม้จะเห็นปลอกแขนและเครื่องแบบที่ดูท่าว่าจะเป็นของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ยังไงก็ดูไม่ต่างจากพวกโจรที่กำลังหนีมาเท่าไหร่นัก ถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกในตอนนี้ เธอรู้สึก "หวาดกลัว" ไปไม่ต่างจากตอนที่อยู่ในฟิตเนสแฟคทรีเลย ตอนที่ชายสวมหน้ากากคนนั้นจ้องมองมา...แววตาของเธอในครั้งนั้น มันคือแบบเดียวกันกับที่เธอใช้มองชายตรงหน้าในตอนนี้

    "ช...ใช่ครับ!"

    "มาจากไหน"เจ้าหน้าที่ผู้นั้นถามต่อ

    "อ..อะพาร์ทเมนท์ที่--"

    "เดวิส!"เธอหันไปตะคอกใส่เพื่อนร่วมทางก่อนที่เขาจะพูดจบ"จะบ้ารึไง!"

    "เธอนั่นแหละแหกตาดูซะบ้าง! นั่นมันเจ้าหน้าที่นะควีน!!"

    ทั้งสองคนยังตะคอกใส่กันไม่หยุด แน่นอนว่าเดวิสไม่รับรู้ถึงความไม่ไว้ใจที่ควีนมีต่อชายคนนั้น เธออยากให้ตนเองมั่นใจมากกว่านี้แล้วหยิบปืนขึ้นมา แต่เมื่อลองสังเกตดูดีๆ แล้วชายปริศนาคนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะติดอาวุธเอาไว้เช่นกัน เขาไม่เอ่ยอะไรขณะที่มองผู้รอดชีวิตทั้งสองคนทะเลาะกัน แต่ทว่าไม่นานนักมือข้างหนึ่งก็ล้วงเข้าไปในเสื้อ...แล้วหยิบปากกาออกมา 

    หญิงสาวขมวดคิ้วสับสน เธอมองเจ้าหน้าที่คนนั้นจดบันทึกอะไรบางอย่างลงบนบอร์ดเอกสารในมือ สักพักหนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง สายตาอำมะหิตเหมือนหมาป่าไม่เปลี่ยนแปลง เดวิสก็ดูเหมือนจะพักการถกเถียงไปชั่วคราว ทั้งสองเห็นเจ้าหน้าที่นายนั้นกดปุ่มเครื่องมือสื่อสารที่ติดอยู่บนอก เขากระซิบอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่ไม่ได้ยิน ควีนไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร และการที่อีกฝ่ายทำเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้เธอไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่ผู้นี้มากขึ้น

    ปลอกแขนที่เขาสวมอยู่...

    มันใช่ของ 'เจ้าหน้าที่รัฐ' เหมือนที่เดวิสว่าจริงๆ เหรอ?

    ในวินาทีนั้นเองหญิงสาวก็อาศัยความกล้าทั้งหมดของตนเองในการเอ่ยถามอีกฝ่าย

    "คุณ...เป็นใครคะ"

    "เจ้าหน้าที่"

    "สังกัดไหน"

    ชายคนนั้นเงียบไปสักพักหนึ่ง

    นัยน์ตาสีเทาอ่อนคู่นั้นฉายประกายบางอย่างออกมา เป็นประกายเหมือนตอนที่หมาป่าเจอลูกแกะหลงทางตัวน้อย อยู่ๆ บอร์ดรองเอกสารในมือก็เริ่มถูกกำแน่น ชายคนนั้นยืนนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจเก็บปากกาหมึกซึมกลับเข้ากระเป๋า

    "หน่วยกำจัดเชื้อโรค"ชายคนนั้นเอ่ย ดูเหมือนว่าเขาจะกระตุกยิ้มมุมปากอยู่ด้วย"...และผู้ติดเชื้อทุกคน"

    "เราไม่ได้ติดเชื้อ"

    ควีนเริ่มถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ก็ดูเหมือนว่า "เจ้าหน้าที่" นายนั้นก็กลับก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง ราวกับว่าเธอไม่มีทางหนีไปจากที่นี่ได้เลย สักพักหนึ่งเสียงเครื่องยนต์ปริศนาก็ดังขึ้นเบื้องหลัง ขณะที่เผชิญหน้ากับบุคคลผู้ไม่น่าไว้ใจ เดวิสก็เริ่มจะเรียกความสนใจของเธอด้วยการเขย่าหัวไหล่ หญิงสาวหันกลับไป รถเทศบาลคันหนึ่งขับเข้ามาจอดใกล้ๆ พร้อมกับผู้โดยสารที่ติดสอยห้อยตามอีกสามคน

    เหล่าผู้โดยสารกระโดดลงจากรถ หนึ่งในนั้นถือปืนขนาดใหญ่เอาไว้ ปลายกระบอกเปื้อนคราบน้ำมันและปรากฏให้เห็นรอยไหม้ แล้วชายคนนั้นก็ตอกย้ำความคิดอันน่าสะพรึงกลัวด้วยการสาวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น ตอนนี้ผู้รอดชีวิตทั้งสามคนตกอยู่ในวงล้อมของเหล่า "เจ้าหน้าที่" ไปเรียบร้อยแล้ว

    หญิงสาวไร้ซึ่งทางหนี เธอหันกลับไปเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากเบื้องหลัง

    "ฮะๆ"

    ชายคนนั้นคลี่ยิ้มภายใต้หน้ากาก ดวงตาสีเทาเป็นประกายวาบ

    "ตอนนี้คนๆ เดียวที่มีหน้าที่ตัดสินว่าพลเรือนอย่างพวกคุณจะติดเชื้อหรือเปล่า...คือผม"

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×