คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : World without War. โลกที่ไร้ซึ่งสงคราม
มันจะต้องเกิดขึ้น...ไม่ว่าจะมีนายอยู่หรือไม่ก็ตามคาร์ล ถ้านายไม่ฆ่าเขา...ยังไงคนอื่นก็ต้องฆ่าเขาอยู่ดี ทุกสิ่งเมื่อหมดประโยชน์แล้วน่ะ...ควรถูกกำจัด
-Emil Waltz-
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
18 มิถุนายน
ค.ศ. 1926
ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายอันแสนร้อนระอุ เด็กหนุ่มผมเข้มในชุดเครื่องแบบสีสกปรกกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เพื่อหลบแสงแดดนั่น ในมือของเขาถือเศษกระดาษแผ่นเล็กเอาไว้แน่นในขณะที่นัยน์ตาสีครามเหลือเทาจ้องมองไปยังกระดาษแผ่นนั้นไม่กระพริบ กระดาษนั่นก็คือรูปถ่ายเก่าๆรูปหนึ่ง...หากคนธรรมดาทั่วไปมองเผินๆแล้วมันอาจเป็นแค่รูปถ่ายขาวดำธรรมดา แต่สำหรับเขานั้น... มันคือเครื่องเตือนใจ
...เตือนใจว่าเขาคือใคร มาทำอะไรในค่ายฝึกนรกนี่ และเป้าหมายของเขาคืออะไร
ตึกๆๆ
นายทหารคนหนึ่งที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปทำให้เขาต้องรีบพับรูปถ่ายในมือเก็บทันที เขาไม่รู้เลยเสียด้วยซ้ำว่าทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรในเมื่อไม่มีใครสนใจเขาอีกแล้วโดยเฉพาะครอบครัวของเขาเอง ทุกคนพากันพร้อมใจลงความเห็นส่งเขาให้มาเอาชีวิตรอดในค่ายฝึกนี่โดยไม่แม้แต่จะถามความเห็นของเขาเลย คนที่มีหน้าที่ตัดสินใจเรื่องแบบนี้มีแค่พ่อของเขาคนเดียวเท่านั้น...เขาแทบไม่รู้เลยว่าพ่อของเขาเองทำงานอะไร รวมไปถึงแม่...และน้องสาวนั่นอีก จนมารู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกส่งมาที่นี่แล้ว
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นโดยอัตโนมัติเมื่อในหัวเริ่มนึกถึงเรื่องของครอบครัว ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักพ่อแม่หรือน้องสาว แต่...
ตึก...ตึก...ตึก..
เสียงฝีก้าวที่ดังเข้ามาเรื่อยๆทำให้เขาต้องหยุดคิดทุกเรื่องในหัวทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนในเสื้อคลุมสีน้ำตาลเทาตัวยาวพร้อมกับหมวกที่อยู่บนศีรษะ ทั้งที่อากาศร้อนขนาดนี้ยังมีคนเลือกสวมเสื้อโค้ตออกมาเดินนอกบ้านอีกเหรอเนี่ย? เขาสงสัยแต่ก็ถามอะไรไม่ได้
"นี่เหรอลูกชายของนายน่ะ"เขาถามบุคคลที่กำลังเดินตามหลังมาพลางขมวดคิ้วสงสัย"...หน้าไม่เหมือนนายเลยนะไอเด็น"
"ใช่...เขานั่นแหละ"
ทั้งสองจ้องมองมาที่เขาราวกับไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนในชีวิต คนที่ยืนอยู่ข้างหลังชายในเสื้อโค้ตคือพ่อของเขาเอง ส่วนคนข้างหน้านี่เขาแทบไม่รู้จักเขาเสียด้วยซ้ำ...ไม่สิ เขาไม่รู้จักเลยมากกว่า
"เบิร์ต นี่คนที่พ่อเล่าให้ฟังไง ดร.ไคลร์"
"ดร. ไคลร์ แอดเลอร์ พูดให้เต็มชื่อสิ"
"ใช่ๆ พ่อลืมนามสกุลเขาน่ะขอโทษที"ไอเด็นพูดพลางมองจิกเพื่อนซี้นิดหน่อย"..ลูกอาจจะต้องอยู่กับเขาระยะนึง"
"..."
"เข้าใจนะ"
..และหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจอหน้าเขาอีกเลย ทางด้านของดร.ไคลร์เองก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานทดลองอะไรของเขา แต่แล้วนานเข้าเราก็เริ่มสนิทกัน
"ฝึกวันนี้เป็นไงบ้างล่ะ ท่าทางเหมือนจะตายแน่ะ"
เขาตั้งคำถามขึ้นในเช้าวันหนึ่ง มันอาจดูเหมือนกับคำถามธรรมดาทั่วไปแต่ว่า...มันก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำถามแบบนี้ออกมาจากปากของดอกเตอร์
"ก็..เหนื่อยอยู่ครับ"เบิร์ตพูดพลางยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอย่างใจเย็น"...ผมเกลียดเอ มิลล์"
"ใครๆก็เกลียดหมอนั่นอยู่แล้ว อย่าไปสนเขาเลย"
"แล้วดอกเตอร์ล่ะครับ..วันนี้เป็นไงบ้าง"
เขาเริ่มอธิบายการทดลองในแล็ปของเขาให้ผมฟังและหลังจากนั้นไม่ว่าจะมีผลเป็นอะไรก็ตาม ความคืบหน้าในการทดลอง..ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเขาจะเป็นคนบอกผมเอง จนกระทั่งการทดลองของเขากลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง การทดลองนี่มีประโยชน์ต่อกองทัพมากและมันก็ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเขาด้วย ผมยินดีกับเขานะ...ทั้งๆที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาทดลองหรือสร้างอะไร
ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น...
จนกระทั่งหลายปีต่อมา...ทุกอย่างมันพังพินาศลงหลังจากที่ผมอายุได้ 17 ปีเท่านั้น หลังจากการฝึกมาตลอดหลายปีโดยไม่มีแม้เวลาให้พักผมก็กลายเป็นทหารได้ในที่สุด เอมิลล์เรียกผมเข้าไปในห้องทำงานของเขาเพื่อมอบหมายงานแรกให้ผมทำ...และมันคืองานที่เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของผมไปตลอดกาล
"ฆ่าเขาซะ"
"...ครับ?"
"ดร.ไคลร์ แอดเลอร์..."เขาเว้นวรรค"...ฆ่าเขาซะ"
"เดี๋ยวนะครับ หมายความว่าอะไร..."
"เขาทำงานให้เราเสร็จแล้ว ไคลร์มีประโยชน์มากสำหรับเรา...และเขามีประโยชน์มากพอจนไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่"
"แต่ท่านครับ!.."
"มีปัญหาเหรอ"
ผมได้แค่เงียบ...วันนั้นผมได้รู้จักกับความโกรธเป็นครั้งแรกในชีวิต มันเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจของผมพร้อมกับคำถามมากมาย ทำไมเขาถึงต้องตาย? เพราะอะไร?
...ไร้ซึ่งคำตอบและเหตุผล
ผมมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมเหนี่ยวไกไรเฟิลไปแล้วและเห็นร่างของเขาค่อยๆล้มลงบนพื้น...ผมรู้ตัวว่าผมผิดที่ทำตัวแบบนั้น คุณในตอนนั้นกำลังร้องไห้และโผเข้ากอดร่างไร้วิญญาณนั่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากสงคราม
ผมนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝึกมา...ผมตั้งใจเก็บมันไว้เพื่อเหตุผลเดียว
..เพื่อล้างแค้น
เอมิลล์ เขาควรตายไปซะ
...
"..."
"หือ"
แอดเลอร์เงยหน้าขึ้นเมื่อไม่ได้เสียงอะไรจากเขาอีก เขาก้มหน้าลงพลางยกมือขึ้นกอดอก ใบหน้าของเขาดูเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
"ไม่สิ"
"อะไร..?"เธอตั้งคำถามอย่างฉงน เมื่ออยู่ดีๆเขาก็เกิดส่ายหัวไปมาอย่างสับสน
"นี่มันเลยเวลามาแล้ว"เขายังคงพูดในเรื่องที่เธอไม่เข้าใจต่อไป"คุณไม่ควรมาอยู่ที่นี่"
"ห๊ะ อะไรนะ คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ..."
ไม่ทันทีที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ เขาก็ยกมือขึ้นก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปที่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าที่ดูตื่นตระหนกนิดหน่อย และทันทีที่เธอหันไปนั้น...
"อะไรเนี่ย ไม่เห็นจะมี..."
พลั่ก!
พานท้ายปืนไรเฟิลถูกทุ่มเข้ามายังท้ายทอยของเธอสุดแรงจนเธอสลบไป ก่อนที่ร่างของกำลังเธอล้มลงไปนอนลงบนพื้นไม้กระดานชายหนุ่มก็รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อน นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ที่เขาได้แตะต้องตัวเธอ...ก่อนที่เขาจะจากไปตลอดกาล
"แอดเลอร์..."
...
"...ผมขอโทษ"
...
..
.
...
.
..
"ทำไมคุณถึงได้เชื่อขนาดนั้นล่ะว่าคุณจะชนะฉันได้"
"ผมชนะคุณได้แน่ แค่ผมเดินหมากเพียงตัวเดียว"
...
"รุกฆาต"
"บ้าน่า คุณควรจะแพ้ฉันนี่!?"
"คุณแพ้แล้ว คราวนี้คุณจะแลกกับอะไรอีก"
"ผ้าพันคอ! เอาไปเลยถ้าชนะฉันในตาต่อไป!"
"ได้..ตกลง"
ชายหนุ่มในเสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีดำค่อยๆเอนตัวพิงเก้าอี้ไม้อย่างสบายใจเฉิบในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสดใสที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่หน้ากระดานหมากรุก บรรยากาศแสงสีในกรุงปารีสช่างเหมาะกับคู่รักชายหญิงที่จะมาฮันนีมูนกันเสียจริงๆ เว้นแต่พวกเขาไม่ใช่คู่รัก...
บางที..ไม่เชิง...แต่ก็ไม่ใช่
เพียงเวลาไม่กี่นาที เธอก็แพ้ให้เขาอีกรอบ
"ห๊ะ!? อีกแล้วเหรอ!?"
"แพ้อีกแล้วนะเฟราไลน์ ฮะๆ"
"ก็ได้ๆ คอยดูเถอะฉันต้องชนะคุณให้ได้เลย!"
หญิงสาวค่อยๆถอดผ้าพันคอผืนสีขาวออกอย่างช้าๆก่อนจะยื่นให้บุคคลตรงหน้าอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก
"คราวนี้คงยอมจริงๆแล้วสินะ"
"ไม่หรอกน่า ฉันจะต้องชนะคุณให้ได้!"
"อีกแล้วเหรอ.."เขาพูดอย่างด้วยน้ำเสียงเนือยๆ"..ก็ได้ แลกกับอะไรดีล่ะ"
แอดเลอร์ค่อยๆก้มหน้าลงนิดหน่อยพลางเผยอปากขึ้นยิ้ม ใบหน้าของเธอที่แดงเรื่อด้วยฤทธิ์ของไวน์ห้าแก้วเมื่อครู่ก็ค่อยๆแดงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยความเขินอาย
...
นั่นคือรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
"ก็..."
"..."
"เสื้อแจ๊คเก็ตละกัน..ฉันว่านะ"
"..ตกลง"
...
..
.
พรึ่บ...
"ตื่นแล้วเหรอ"
เสียงทักทายแบบเย็นๆนั่นดังขึ้นเพียงแค่หลังจากไม่กี่วินาทีที่เธอลืมตาตื่น เธอกลับมายังโลกในจิตสำนึกของตนเองอีกครั้ง...ข้างๆคือหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งหันหลังให้เธออยู่บนเก้าอี้ไม้ ท่าทางเหมือนกับว่าเจ้าหล่อนกำลังอ่านอะไรบางอย่างอยู่
ฟึ่บ...
แอดเลอร์ใช้แขนทั้งสองข้างดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งสักพักหนึ่งเพื่อพักสมองที่ใช้งานไม่หยุดของตนเองแล้วค่อยลุกขึ้นยืน หญิงสาวนิรนามเจ้าของน้ำเสียงเยือกเย็นคนนั้นยังคงนั่งหันหลังให้เธออยู่เช่นเดิม ผมบลอนด์ประบ่านั่นมันทำให้เธอรู้ได้เลยว่า...เธอไม่เคยเจอหล่อนมาก่อนในชีวิต
หลังจากที่เธอลุกขึ้นนั่งได้เพียงไม่กี่วินาที หญิงสาวคนนั้นก็ปิดหนังสือเล่มหนาในมือแล้ววางมันไว้บนพื้น..ก่อนจะหยิบอีกเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เมื่อลองเพ่งมองดูใกล้ๆ... หนังสือที่เธออ่านคือหนังสือที่รวบรวมกลยุทธ์ต่างๆในสงครามเอาไว้...หรือควรจะเรียกว่าตำราแห่งสงครามดีล่ะ
"คุณ.."เธอใช้เสียงแผ่วของตนเอง มันแทบกลายเป็นความเงียบไปเลย
"คุณเองสินะที่คนอื่นพูดถึงกันน่ะ"
"ค..ใครเหรอ..?"
หญิงสาวคนนั้นปิดหนังสือในมืออีกครั้งก่อนจะวางมันไว้บนกองหนังสือที่อ่านแล้วและหยิบเล่มใหม่มาเปิดอ่านต่อ เมื่อลองดูจากกองหนังสือ..ไม่สิต้องเรียกว่าภูเขาหนังสือของเธอมากกว่า จะพบได้เลยว่าหนังสือทั้งหมดเป็นหนังสือสงครามทั้งสิ้น แอดเลอร์เริ่มจะสงสัยแล้วว่าหล่อนเป็นใครกันแน่
"คุณคือ...ทหารผ่านศึก"
"..?"
"ใช่..และคู่หูของคุณ เขาก็คือวีรบุรุษสงคราม"
และทันใดนั้นหนังสือก็ปิดลงอีก ร่างในชุดเดรสสีเงินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้นั่นค่อยๆวางหนังสือลงบนพื้นก่อนจะลุกขึ้นยืน เธอมีผมบลอนด์ทองประบ่ากับน้ำเสียงอันเยือกเย็นนั่นเป็นตัวบ่งบอกว่าเธอไม่ใย่คนธรรมดาแน่
...เธอหันมา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสุดแปลกนั่นมองมายังแอดเลอร์ราวกับเห็นคนรู้จัก ริมฝีปากสวยถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติดสีแดงสดราวกับเลือด...แววตาของหล่อนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
"ชื่อของฉันคือเบอร์ลิน"
"..เบอร์ลิน?"
แอดเลอร์ทวนชื่อของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสัย สายตายังคงจับจ้องไปยังหญิงสาวคนนั้นไม่ยอมละไป เบอร์ลินค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ก่อนจะหันหลังเดินข้ามกองหนังสือพวกนั้นมุ่งตรงมาทางเธออย่างใจเย็น น่าแปลกที่ร่างกายขยับไม่ได้เลยแม้แต่จะกระดิกนิ้ว...มันเหมือนกับว่าเธอโดนหญิงสาวผู้นี้สะกดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
"ใช่ เบอร์ลิน"หล่อนเอียงคอมอง"ชื่อฉันแปลกมากเลยสินะ"
"..เปล่า ไม่เลย"
เธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะสบตาหญิงสาวตรงๆ ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่านะ..แต่เธอรู้สึกเหมือนหล่อนกำลังจะฆ่าเธออะไรทำนองนี้เลย...
"แปลกหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ ฉันว่าเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า"
"คุณเป็นใคร"
"..."
เบอร์ลินนิ่ง นัยน์ตาสีแปลกมองไปทางอื่น"ฉันน่ะเหรอ"
"..."
"ที่จริงแล้ว...ฉันเป็นสายลับ"
"ของใคร"
"ซีไอเอ แต่อย่าคิดอะไรเลยไปล่ะ ฉันไม่ได้มีตัวตนอยู่เพื่อมาฆ่าคุณสักหน่อย"
"..."
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีความสามารถในการอ่านใจคนอื่นเหมือนกับคนบางคนก็เถอะ แต่สัญชาตญาณของเธอบอกว่า...ในคำพูดของหล่อน มันดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด
"ฉันแค่..มีเรื่องจะเตือนเธอนิดหน่อย"
"เหรอ แต่คุณก็ควรรู้ไว้นะว่าฉันไม่ค่อยฟังคำเตือนของใครหน้าไหนเลยสักคน"
"คุณฟังของฉันแน่"เธอพูดด้วยความมั่นใจ"ไม่เช่นนั้น คุณก็ตาย"
"...งั้นก็บอกมาว่าคำเตือนอะไร"
เบอร์ลินกระตุกยิ้มมุมปากพลางใช้สายตาจับจ้องมายังเธออย่างสนใจ ท่าทางและบุคลิกนิ่งๆ เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งของหล่อนย้ำเตือนให้เธอนึกถึงใครบางคนที่เธอรู้จัก
..คนที่เธอไว้ใจ
..และคนที่หักหลังเธอในเวลาเดียวกัน
ซึ่งตอนนี้..หายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้
"เอาล่ะตั้งใจฟังนะ"
"..."
"หลับตาก่อนสิ"
"อย่ามาล้อเล่นกับฉันนะ ฉันไม่..."
"ทำตามที่บอกเถอะ"
แอดเลอร์ตัดสินใจหลับตาลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจเสียเท่าไรนัก เบอร์ลินค่อยๆยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆในขณะที่เธอหลับตาอยู่...และทันใดนั้นหล่อนก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ..
"เอาล่ะ ลืมตาได้"
พรึ่บ!
หญิงสาวลืมตาขึ้นทันทีและสิ่งที่เห็นเป็นสิ่งแรกก็คือเพดานสีขาวโล่งๆกับแสงสีขาวที่สาดส่องผ่านกระจกเข้ามา แอดเลอร์ค่อยๆใช้แขนทั้งสองดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ความเมื่อยล้าแผ่ไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วราวกับว่าเธอไม่ได้ขยับตัวมาเป็นปีแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดเล็กๆระบมบริเวณท้ายทอยจนเธอต้องยกมือขึ้นแตะมัน..มีผ้าผิดแผลอยู่ตรงท้ายทอยของเธอ...
ในที่สุดเธอตัดสินใจหันออกไปมองรอบๆ เธออยู่ในห้องๆหนึ่ง...มันคล้ายๆกับห้องพักแต่มันสะอาดเกินไปเกินกว่าที่จะเป็นพักแถมยังกว้างเกินอีกต่างหาก มีโต๊ะตั้งอยู่ข้างเตียงของเธอซึ่งมันก็เป็นแค่โต๊ะไม้ธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ บนนั้นมีแจกันดอกไม้ที่มีดอกไม้หลายชนิดอยู่ภายใน บรรยากาศอันเงียบสงบและแสงแดดอุ่นๆที่ส่องผ่านหน้าต่างมานั้นทำให้เธอเริ่มจะรับรู้ได้ว่า...เธอไม่ได้อยู่ที่นั่น
ตอนแรกเธอคิดว่าเธออยู่ในเบอร์ลินแต่มันไม่ใช่
ต่อมาเธอคิดว่าเธออาจจะอยู่ในฝรั่งเศส...ก็ไม่ใช่อีกนั่นล่ะ
...
แล้ว..เธออยู่ไหน? มีหลายสถานที่ที่เธอเคยไป เธออาจจะอยู่ในโรม ปารีส เบอร์ลิน ลอนดอน หรืออะไรก็ได้...แต่ที่นี่มัน...
แอดเลอร์พยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก เธอจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เธอควรจะอยู่ในสนามรบพร้อมที่มีทั้งกลิ่นควันไฟและเสียงโห่ร้องของทหาร แต่ความสงบเงียบแบบนี้ของที่นี่ มันทำให้เธองงกับเหตุการณ์ก่อหน้านั้นทั้งหมด ในหัวมีคำถามเกิดขึ้นมากมายจนยากจะหาคำตอบ เธออยู่ไหนกันแน่และ...
...เบิร์ต คาร์ล..
..เขาอยู่ไหนกันนะ?
"...บ้าเอ๊ย ลืมเขาไปก่อนเถอะน่า!"
เธอสะบัดคำถามนั่นออกไปจากหัวสมองและพยายามไม่นึกถึงมันอีก และในขณะเดียวกันนั้นสายตาของเธอก็เผลอไปเห็นอะไรบางอย่างในแจกัน..มันก็คือดอกไม้นั่นล่ะดอกป๊อปีสีแดง...เธอจำได้ว่าดอกไม้ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของทหารผ่านศึก สีแดงสดของมันทำให้เธอนึกถึงสีเลือดของเหล่าทหารที่ไหลรินลงบนสมรภูมิรบเพื่อชำระแผ่นดินให้สะอาดก่อนที่จะตราคำว่าสันติภาพลงไป จริงๆแล้วดอกไม้นี่จะบานในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤษจิกายนหรือในช่วงฤดูใบไม้ผลิ..
...กันยายนถึงพฤษจิกายนเหรอ
เดี๋ยวนะ..มันมีอะไรที่เธอพลาดไปหรือเปล่าเนี่ย
เอี๊ยด...
ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อจากนั้นประตูสีขาวก็เปิดออกมาพร้อมๆกับร่างบางในชุดพยาบาลสีขาวที่ค่อยๆก้าวเข้ามาราวกับไม่ต้องการให้มีเสียงเกิดขึ้นในห้อง หลังจากที่หล่อนสังเกตเห็นว่าบุคคลที่นอนอยู่บนเตียงได้ฟื้นคืนสติแล้วก็รีบถอนหายใจโล่งอกก่อนจะเปลี่ยนเป็นการเดินแบบธรรมดาแทน แอดเลอร์ถูกต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นของพยาบาลสาว หล่อนเดินเข้ามาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ก่อนจะเดินมาที่เตียงของแอดเลอร์
"ว้าว คุณรู้สึกตัวแล้วนี่นา! ฉันอาจจะต้องรีบไปรายงานเรื่องนี้กับหมอคนอื่นอีกนะคะเนี่ย!"
"...ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ"
"ได้เลยจ้ะ! ตื่นเต้นจังเลยเวลาได้คุยกับ..."
"ฉันอยู่ที่ไหน"
"อ..เอ๋?"
"ฉันอยากรู้ว่า"
แอดเลอร์เว้นวรรค สายตาเย็นชาจับจ้องไปยังพยาบาลสาวจนอีกฝ่ายแทบไม่กล้าจะสบตาเธอเลยแม้แต่น้อย หล่อนจึงตัดสินใจหันำปทางอื่นแทน
"อเมริกาค่ะ"
"ตรงไหนของอเมริกา"
"..อ..เอ่อ.."
"บอกฉันมาเถอะ ได้โปรด"
พยาบาลสาวเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันทองก้มหน้าลง เธอรู้สึกว่าเธอไม่อยากจะตอบคำถามของหญิงสาวผู้นี้มากเท่าไรเนื่องจากหมอประจำตัวของหล่อนเพิ่งจะกำชับทุกคนไปเองว่าห้ามตอบคำถามใดๆของหล่อนเด็ดขาด เธอเองก็ไม่รู้หรอกว่าเพื่ออะไรกัน...แต่ว่าเธอจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้หลงทางไปเรื่อยๆเหรอ..?
"..."
"..ตอนนี้คุณอยู่ในโรงพยาบาลเซนต์เอลิซบาเบธส์"
"เซนต์เอลิซาเบธส์เหรอ..?"
"คุณอยู่ในวอชิงตัน ดีซีค่ะ"
วอชิงตัน ดีซี...
..
แอดเลอร์ค่อยๆก้มหน้าลง เธอพยายามปล่อยให้คำถามในหัวหายไปทั้งหมดเพื่อจะได้ไม่ให้เธอปวดหัวกับเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ พยาบาลคนนั้นเดินออกไปจากห้องตั้งนานแล้วราวกับว่าหล่อนไม่ต้องการที่จะตอบคำถามอะไรของเธออีก หญิงสาวเสมองออกไปนอกหน้าต่าง...เธอเห็นตึกสูงใหญ่เรียงรายกันอยู่ เสียงเครื่องยนต์รถดังระงมอยู่ไกลๆ... เสียงคนพูดคุยกันแทบจะดังกลบเสียงนกร้องไปโดยปริยาย
เธอมาอยู่ที่ดีซีได้ยังไง?
แล้ว...ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น?
...
..เบิร์ต..เขาอยู่ที่ไหน..?
5 พฤษภาคม ค.ศ.1945
เบอร์ลิน, เยอรมนี
ตึก..ตึก...
ท่ามกลางซากปรักหักพังนับร้อยที่เรียงรายกันอยู่ทุกทิศทางกับกลิ่นควันไฟที่เพิ่งจะมอดดับไปเมื่อไม่นานมานี้ ความเงียบได้เข้ามากลืนกินเมืองทั้งเมืองที่ไม่เหลืออะไรให้มอง ประตูชัยสูงใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามยังคงตั้งอยู่ที่เดิมแม้จะมีรอยแตกและรอยสีดำอยู่ทั่ว แต่สิ่งที่ทำให้เมืองนี้ยังไม่เงียบไปเสียทั้งหมดก็คือเสียงก้าวเท้าของใครคนหนึ่ง ภายใต้ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีครามสดใสบัดนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่น..
ฉับพลันเสียงก้าวเท้าก็เงียบลง ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารเก่าๆที่กำลังยืนอยู่กลางถนนค่อยๆหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ...เหรียญตรารูปกางเขนที่ทำขึ้นมาจากเหล็กที่แตกออกไปแล้วครึ่งหนึ่งถูกนำออกมาถือไว้ก่อนที่เขาจะขว้างมันไปไกลๆราวกับว่ามันคือขยะไร้ค่า เขาหยิบบางอย่างออกมาอีก..คราวนี้เป็นรูปถ่ายใบเก่าที่เกือบจะขาด ในนั้นเป็นรูปของหญิงสาวคนหนึ่ง..ผมสั้นสีน้ำตาลแดงพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆยังคงย้ำเตือนให้เขานึกถึงเธอเสมอจนกระทั่ง...เธอหักหลังเขา
ฟึ่บ..
ในที่สุดเขาตัดสินใจโยนมันลงบนกองไฟที่อยู่ข้างทางก่อนจะหยิบสิ่งสุดท้ายที่มีอยู่ออกมา มันคือสร้อยคอรูปไม้กางเขนสีทอง...ในภารกิจสุดท้ายนี้เขาไม่ต้องการให้ใครมีความทรงจำเกี่ยวกับเขาอีก แต่สร้อยเส้นนี่มันคือสิ่งสำคัญในชีวิตของเขา..มันอาจจะเปรียบเสมือนเครื่องรางเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นเขาจะไม่โยนมันทิ้งไปก่อนละกัน
ณ ตอนนี้..ตรงหน้าของเขาคือตึกสูงใหญ่ที่สร้างขึ้นมาจากปูน รอบๆมีรถจอดอยู่หลายคันแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครใช้ ชายหนุ่มไม่รอช้า..เขาตัดสินใจเดินเข้าไปในตัวอาคารก่อนจจะเดินขึ้นบันไดไปอีกชั้นหนึ่ง มือของเขากำกระบอกปืนพกไว้แน่น..มันคืออาวุธชิ้นสุดท้ายของเขาแล้วในตอนนี้ กระสุนปืนมีเหลืออยู่แค่ภายในแม็กกาซีนเท่านั้นไม่มีสำรองในกระเป๋าและเขาก็ไม่ต้องการไปเก็บของคนอื่นมาอีก เป้าหมายเดียวของเขาก็คือการหาคำตอบของเรื่องทั้งหมดโดยคนๆหนึ่ง
...หลังจากที่เขาได้คำตอบที่ต้องการแล้ว เขาต้องเก็บไอ้หมอนั่นซะ
ไม่มีคน ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น มันมีแต่ความเงียบที่สร้างบรรยากาศให้ชวนสยอง เขายืนอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ที่จะนำเขาไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่าง ชายหนุ่มตัดสินใจยื่นมือไปหมุนลูกบิดก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านในห้อง...
"ในที่สุดก็มาจนได้สินะ"
เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นในห้อง เขาสังเกตเห็นร่างของบุคคลที่เขาตามหากำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ในขณะที่หันไปปิดประตู ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับชายอีกคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะนั่น น่าแปลกใจที่วันนี้เขาไม่ได้เห็นชายคนนั้นในชุดเครื่องแบบนาซีแต่กลับเห็นร่างใหญ่ของชายวัยกลางคนในชุดสูทธรรมดาๆพร้อมหมวกเท่านั้นเอง เขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้โต๊ะไม้
"ท่าทางคุณจะดูผิดหวังนิดหน่อยนะ ที่ไม่เห็นใครให้ฆ่าอีกน่ะ"
"นิดหน่อย"เขาตอบเสียงเรียบในขณะที่ยกปืนขึ้นชี้หน้าชายในชุดสูท"..แต่การที่ได้เห็นเพื่อนเก่าแบบนี้ก็นับว่าไม่เลว ใช่มั้ยล่ะ"
อีกฝ่ายกลั้นขำเล็กน้อยกับคำพูดของชายหนุ่ม เขาค่อยๆเอนหลังลงอย่างสบายใจเฉิบ นัยน์ตาจับจ้องมาทางบุคคลตรงหน้าโดยไม่กลัวอะไรเลย
"พันตรีเบิร์ต คาร์ล ผมจำได้ว่าผมฝึกคุณเพื่อให้มารับใช้ชาติไม่ใช่เหรอ แล้ว..เบิร์ตคนนั้นหายไปไหนแล้วล่ะนี่"
"คุณคงลืมไปว่าตัวเองไม่ได้ฝึกผมให้เป็นทหาร"
"..."
"คุณสร้างปิศาจขึ้นมาต่างหากล่ะ"
เอมิลล์หัวเราะออกมา เขาไม่เคยได้ยินคำพูดอะไรแบบนี้มาก่อนตั้งแต่อยู่ในค่ายฝึก ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมาได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของเขาเนี่ยนะ
"แต่ไอ้ปิศาจนี่ก็มีประโยชน์ไม่เบาเลย จนกระทั่งมันไปเจอกับไอ้นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนหนึ่ง เขาทำให้คุณบ้าตามเขาสินะ"
"ไคลร์ไม่ได้บ้า งานของเขามีที่มาที่ไปด้วยซ้ำ เขาทำประโยชน์ให้คุณมากมายจนกระทั่งคุณสั่งให้ผมไปฆ่าเขา"
"เขาหมดประโยชน์แล้ว นายต้องเขาใจนะว่าของที่ไม่มีประโยชน์แล้วจะต้องถูกกำจัดน่ะ"
"ช่างหัวสมองปรัชญาของคุณเถอะ คราวนี้ผมมีคำถามมาถามคุณหน่อย"
"..."
"เหตุผลที่ดอกเตอร์ไคลร์ต้องถูกเก็บ จริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่"
"เพื่อป้องกันความผิดพลาดไง"
เบิร์ตเงียบกริบในขณะที่ใช้สายตาจับจ้องไปยังบุคคลตรงหน้าในทุกคำพูดของเขา เพื่อป้องกันความผิดพลาดงั้นเหรอ?
"เชิญนั่งก่อนสิ"เอมิลล์พูดพลางผายมือมายังเก้าอี้ไม้อีกตัวตรงหน้า"..เดาว่าคุณคงไม่ได้เป็นคนเข้าใจง่ายเหมือนคนอื่น..ใช่มั้ย"
ท่ามกลางความเงียบ ชายหนุ่มตัดสินใจก้าวเข้าไปลากเก้าอี้ออกมานั่งตามคำพูดของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังไม่นิ่งนอนใจง่ายๆ...ปืนพกในมือยังคงถูกชี้ไปยังเอมิลล์เช่นเดิมอละพร้อมที่จะเหนี่ยวไกเสมอถ้าเขาเล่นตุกติก
"ดอกเตอร์ไคลร์ทดลองอะไร"
"ก็แค่ยา..หรือสารเคมีนั่นล่ะ เป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ทางประสาทแล้วก็สมอง ถ้าโดนมันเข้าก็เจะทำให้เห็นภาพหลอน...คลุ้มคลั่ง.."
"มันเอาไว้ใช้ทำอะไร"
"จัดการพวกสัมพันธมิตรไงล่ะ! แน่นอน! พวกมันไม่มีวันได้ลิ้มรสชัยชนะของสงครามจริงๆหรอกน่า"
"..."
ชายหนุ่มค่อยๆก้มหน้าลงพลางคิดถึงคำพูดของเอมิลล์เมื่อครู่ ที่ผ่านมาดอกเตอร์ไคลร์ไม่ค่อยบอกเรื่องการทดลองของเขามากเท่าไรจนแทบจะปิดเป็นความลับ เมื่อมาถึงจุดนี้มันก็ไม่แปลกที่จะมีคำถามมากมายที่ไร้ซึ่งคำตอบอยู่ในหัวของเขาเต็มไปหมด... และวันนี้เขาจะต้องรับรู้ความจริงให้ได้
"สารเคมีนั่น...มีแผนจะเอาไว้จัดการพวกนั้นยังไง"
"มันเจ๋งมากเลยนะแต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีตัวอย่างสารเคมีให้คุณ มันเปลี่ยนเป็นสถานะไหนก็ได้...ทั้งของเหลว ของแข็ง หรือว่าเป็นผง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องการทดลองมากอะไรหรอกนะ แต่ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดีเลย.."
"คุณตอบไม่ตรงคำถาม"เบิร์ตกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ"คุณมีแผนจจะจัดการกับพวกนั้นยังไง"
"ง่ายๆ แบบนี้ไง!"
ฟึ่บ!
ยังที่เขาไม่ทันจะไหวตัวทันเอมิลล์ก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนที่เขาจะมองออกว่ามันเป็นเข็มฉีดยาที่มีของเหลวสีใสอยู่ภายในหลอดเขาพบว่าอีกฝ่ายใช้เข็มจิ้มไปที่บริเวณแขนของเขาโดยที่เขาไม่อาจมองเห็นได้ก่อนจะเริ่มฉีดสารเคมีบางอย่างเข้าไป เบิร์ตชะงักสักครู่ก่อนจะล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยฤทธิ์ของสารเคมีนั่น
"เจ็บใช่มั้ยล่ะ มันใช้เวลาออกฤทธิ์แค่ไม่กี่วินาทีเองก่อนที่คุณจะจมไปกับถาพหลอนในหัวของคุณ ดอกเตอร์ไคลร์รู้ดีว่าเขาสร้างอะไรขึ้นมา..แต่ทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ของเราทั้งนั้น ผมก็เลยคิดอะไรเด็ดๆออก...ใช้สารเคมีนี่กับคุณมันจะเป็นยังไงกันน้า..."
"อ..เอ..มิลล์.."
"สำหรับคุณนี่คงใช้เวลานานหน่อยกว่าจะออกฤทธิ์ แต่มันก็จะทำให้คุณทรมานกับความเจ็บปวดของมันเองก่อนที่คุณจะตายทั้งเป็นกับภาพอดีต.."
เบิร์ตได้แต่กำหมัดแน่นแต่ก็ยังไม่ยิมแพ้ที่จะเอื้อมมือไปยังกระบอกปืนพกที่ตกอยู่ไม่ไกลจากเขาเท่าไร แต่แล้วทันใดมันก็เหมือนกับทุกอย่างได้มืดดับลง...
สารเคมีที่อยู่ในตัวของเขา...มันออกฤทธิ์โดยสมบูรณ์แล้ว...
และเขาก็เจ็บปวดกับมันมากเลยทีเดียว...
ก่อนที่จะจมไปกับภาพหลอนในหัว เขาได้ยินเสียงของเอมิลล์ดังแว่วๆมา...จากที่ใดที่หนึ่ง...
"ลาก่อน..เบิร์ต คาร์ล..."
...
..
.
...
..
.
"เบิร์ต"
...
พรึ่บ!
ปัง!
"เฮ้ย!.."
ร่างในชุดสูทสีดำล้มลงบนพื้นในขณะที่ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ มือของเขายื่นไปหยิบกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเอมิลล์ขึ้นมาดูอย่างสนใจในขณะที่ใช้เท้าเขี่ยร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นไปให้พ้น นัยน์ตาสีครามเหลือบเทาที่ดูไร้แววของความเป็นมนุษย์จ้องมองไปยังบุคคลในรูปภาพก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก
"ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณมีครอบครัวเหมือนกันนะครับ"
"อ..อั่ก..เป็น..ป..ำไป...ไม่ได้..."
"ใช่..เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะจัดการผมด้วยหลอดฉีดยาแค่นั้น คุณคิดว่าคุณไวกว่าผมสินะครับ?"
"บ..."
"ไม่เป็นไร..คราวนี้คุณคงได้รับรู้ถึงความทรมานแบบที่ผมเคยเป็นแล้วสินะ"
"ก..แก..ต้อง..ต..ตาย! บ..เบิร์ต..พ..พวกนั้น..จ..จะล่า..แก!"
"เหรอ..ได้ยินบ่อยแล้วประโยคนี้ ผมคิดว่าคุณควรเก็บแรงไว้หายใจจะดีกว่านะ ในเมื่อผมเพิ่งจะยิงตัดหลอดลมคุณไปเมื่อครู่เอง"
เอมิลล์มองมาที่ชายหนุ่มด้วยสายตาเคียดแค้นในขณะที่เขากำลังวางกรอบรูปลงบนโต๊ะ และทันใดนั้นชายหนุ่มก็ปล่อยหัวเราะออกมา
"คุณกลัวดอกเตอร์ไคลร์จะเอาอาวุธนี่ไปใช้กับคุณที่หลังคุณก็เลยเก็บเขา เพื่อรับประกันว่าเขาจะไม่ได้ทำตามแผนนั่นจริงๆ"
"...ก..แก..มัน..บ้า..ป..ไปแล้ว!"
"ลูกสาวคุณ..."
เบิร์ตหยิบกรอบรูปขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะย่อตัวลงไปนั่งแล้วยื่นกรอบรูปในมือไปให้อีกฝ่ายดูเล่น
"...เธอสวยดีนะครับ"
"ย..อย่ายุ่ง..กับ..เธอ"
"...เธอชื่ออะไรน้า...อังเจลิคใช่มั้ย?"
"..."
"ใช่แน่ ผมกำลังจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้นี่ล่ะ"
ชายหนุ่มจ้องมองลึกลงไปยังนัยน์ตาของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มในขณะที่มองอีกฝ่ายกำลังขาดใจตายอย่างช้าๆและทรมาน จนในที่สุด...เขาตัดสินใจลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานของเอมิลล์ เบิร์ตเปิดลิ้นชักออกมาดูแล้วก็พบกับเอกสารลับจำนวนมากในนั้น
"เก็บอะไรไว้เยอะเลยนะ"
เขาหยิบเอกสารทั้งหมดออกมาคือเอาไว้ก่อนจะใช้มืออีกข้างลากเก้าอี้ออกมานั่ง เขาอ่านลายละเอียดของเอกสารแต่ละใบอย่างคร่าวๆ...ทั้งหมดนี้คือความจริงที่เอมิลล์ปิดบังเอาไว้ ตอนนี้..มันอยู่ในมือของเขาหมดแล้ว...
...
เบิร์ตหันออกไปมองนอกหน้าต่าง เขาเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นมาเยอะ...
และตอนนี้...
...เขาจำเป็นจะต้องหายตัวไป
...
ตลอดกาล
-----------------------------------------------
ความคิดเห็น