ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War and Sacrifice : Route to the War

    ลำดับตอนที่ #47 : World without War. โลกที่ไร้ซึ่งสงคราม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 47
      1
      25 ก.ค. 59

           มันจะต้องเกิดขึ้น...ไม่ว่าจะมีนายอยู่หรือไม่ก็ตามคาร์ล ถ้านายไม่ฆ่าเขา...ยังไงคนอื่นก็ต้องฆ่าเขาอยู่ดี ทุกสิ่งเมื่อหมดประโยชน์แล้วน่ะ...ควรถูกกำจัด

    -Emil Waltz-

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

        18 มิถุนายน ค.ศ. 1926

           ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายอันแสนร้อนระอุ เด็กหนุ่มผมเข้มในชุดเครื่องแบบสีสกปรกกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เพื่อหลบแสงแดดนั่น ในมือของเขาถือเศษกระดาษแผ่นเล็กเอาไว้แน่นในขณะที่นัยน์ตาสีครามเหลือเทาจ้องมองไปยังกระดาษแผ่นนั้นไม่กระพริบ กระดาษนั่นก็คือรูปถ่ายเก่าๆรูปหนึ่ง...หากคนธรรมดาทั่วไปมองเผินๆแล้วมันอาจเป็นแค่รูปถ่ายขาวดำธรรมดา แต่สำหรับเขานั้น... มันคือเครื่องเตือนใจ

           ...เตือนใจว่าเขาคือใคร มาทำอะไรในค่ายฝึกนรกนี่ และเป้าหมายของเขาคืออะไร

           ตึกๆๆ

           นายทหารคนหนึ่งที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปทำให้เขาต้องรีบพับรูปถ่ายในมือเก็บทันที เขาไม่รู้เลยเสียด้วยซ้ำว่าทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรในเมื่อไม่มีใครสนใจเขาอีกแล้วโดยเฉพาะครอบครัวของเขาเอง ทุกคนพากันพร้อมใจลงความเห็นส่งเขาให้มาเอาชีวิตรอดในค่ายฝึกนี่โดยไม่แม้แต่จะถามความเห็นของเขาเลย คนที่มีหน้าที่ตัดสินใจเรื่องแบบนี้มีแค่พ่อของเขาคนเดียวเท่านั้น...เขาแทบไม่รู้เลยว่าพ่อของเขาเองทำงานอะไร รวมไปถึงแม่...และน้องสาวนั่นอีก จนมารู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกส่งมาที่นี่แล้ว

           เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นโดยอัตโนมัติเมื่อในหัวเริ่มนึกถึงเรื่องของครอบครัว ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักพ่อแม่หรือน้องสาว แต่...

           ตึก...ตึก...ตึก..

           เสียงฝีก้าวที่ดังเข้ามาเรื่อยๆทำให้เขาต้องหยุดคิดทุกเรื่องในหัวทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนในเสื้อคลุมสีน้ำตาลเทาตัวยาวพร้อมกับหมวกที่อยู่บนศีรษะ ทั้งที่อากาศร้อนขนาดนี้ยังมีคนเลือกสวมเสื้อโค้ตออกมาเดินนอกบ้านอีกเหรอเนี่ย? เขาสงสัยแต่ก็ถามอะไรไม่ได้

           "นี่เหรอลูกชายของนายน่ะ"เขาถามบุคคลที่กำลังเดินตามหลังมาพลางขมวดคิ้วสงสัย"...หน้าไม่เหมือนนายเลยนะไอเด็น"

           "ใช่...เขานั่นแหละ"

           ทั้งสองจ้องมองมาที่เขาราวกับไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนในชีวิต คนที่ยืนอยู่ข้างหลังชายในเสื้อโค้ตคือพ่อของเขาเอง ส่วนคนข้างหน้านี่เขาแทบไม่รู้จักเขาเสียด้วยซ้ำ...ไม่สิ เขาไม่รู้จักเลยมากกว่า

           "เบิร์ต นี่คนที่พ่อเล่าให้ฟังไง ดร.ไคลร์"

           "ดร. ไคลร์ แอดเลอร์ พูดให้เต็มชื่อสิ"

           "ใช่ๆ พ่อลืมนามสกุลเขาน่ะขอโทษที"ไอเด็นพูดพลางมองจิกเพื่อนซี้นิดหน่อย"..ลูกอาจจะต้องอยู่กับเขาระยะนึง"

           "..."

           "เข้าใจนะ"

           ..และหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจอหน้าเขาอีกเลย ทางด้านของดร.ไคลร์เองก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานทดลองอะไรของเขา แต่แล้วนานเข้าเราก็เริ่มสนิทกัน

          "ฝึกวันนี้เป็นไงบ้างล่ะ ท่าทางเหมือนจะตายแน่ะ"

          เขาตั้งคำถามขึ้นในเช้าวันหนึ่ง มันอาจดูเหมือนกับคำถามธรรมดาทั่วไปแต่ว่า...มันก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำถามแบบนี้ออกมาจากปากของดอกเตอร์

          "ก็..เหนื่อยอยู่ครับ"เบิร์ตพูดพลางยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอย่างใจเย็น"...ผมเกลียดเอ    มิลล์"

         "ใครๆก็เกลียดหมอนั่นอยู่แล้ว อย่าไปสนเขาเลย"

         "แล้วดอกเตอร์ล่ะครับ..วันนี้เป็นไงบ้าง"

         เขาเริ่มอธิบายการทดลองในแล็ปของเขาให้ผมฟังและหลังจากนั้นไม่ว่าจะมีผลเป็นอะไรก็ตาม ความคืบหน้าในการทดลอง..ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเขาจะเป็นคนบอกผมเอง จนกระทั่งการทดลองของเขากลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง การทดลองนี่มีประโยชน์ต่อกองทัพมากและมันก็ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเขาด้วย ผมยินดีกับเขานะ...ทั้งๆที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาทดลองหรือสร้างอะไร

          ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น...

          จนกระทั่งหลายปีต่อมา...ทุกอย่างมันพังพินาศลงหลังจากที่ผมอายุได้ 17 ปีเท่านั้น หลังจากการฝึกมาตลอดหลายปีโดยไม่มีแม้เวลาให้พักผมก็กลายเป็นทหารได้ในที่สุด เอมิลล์เรียกผมเข้าไปในห้องทำงานของเขาเพื่อมอบหมายงานแรกให้ผมทำ...และมันคืองานที่เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของผมไปตลอดกาล

          "ฆ่าเขาซะ"

          "...ครับ?"

          "ดร.ไคลร์ แอดเลอร์..."เขาเว้นวรรค"...ฆ่าเขาซะ"

          "เดี๋ยวนะครับ หมายความว่าอะไร..."

          "เขาทำงานให้เราเสร็จแล้ว ไคลร์มีประโยชน์มากสำหรับเรา...และเขามีประโยชน์มากพอจนไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่"

          "แต่ท่านครับ!.."

          "มีปัญหาเหรอ"

          ผมได้แค่เงียบ...วันนั้นผมได้รู้จักกับความโกรธเป็นครั้งแรกในชีวิต มันเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจของผมพร้อมกับคำถามมากมาย ทำไมเขาถึงต้องตาย? เพราะอะไร?

          ...ไร้ซึ่งคำตอบและเหตุผล 

          ผมมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมเหนี่ยวไกไรเฟิลไปแล้วและเห็นร่างของเขาค่อยๆล้มลงบนพื้น...ผมรู้ตัวว่าผมผิดที่ทำตัวแบบนั้น คุณในตอนนั้นกำลังร้องไห้และโผเข้ากอดร่างไร้วิญญาณนั่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา 

          ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากสงคราม

          ผมนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝึกมา...ผมตั้งใจเก็บมันไว้เพื่อเหตุผลเดียว

          ..เพื่อล้างแค้น

          เอมิลล์ เขาควรตายไปซะ

          ...

          "..."

          "หือ"

          แอดเลอร์เงยหน้าขึ้นเมื่อไม่ได้เสียงอะไรจากเขาอีก เขาก้มหน้าลงพลางยกมือขึ้นกอดอก ใบหน้าของเขาดูเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

         "ไม่สิ"

         "อะไร..?"เธอตั้งคำถามอย่างฉงน เมื่ออยู่ดีๆเขาก็เกิดส่ายหัวไปมาอย่างสับสน

         "นี่มันเลยเวลามาแล้ว"เขายังคงพูดในเรื่องที่เธอไม่เข้าใจต่อไป"คุณไม่ควรมาอยู่ที่นี่"

         "ห๊ะ อะไรนะ คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ..."

         ไม่ทันทีที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ เขาก็ยกมือขึ้นก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปที่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าที่ดูตื่นตระหนกนิดหน่อย และทันทีที่เธอหันไปนั้น...

         "อะไรเนี่ย ไม่เห็นจะมี..."

         พลั่ก!

         พานท้ายปืนไรเฟิลถูกทุ่มเข้ามายังท้ายทอยของเธอสุดแรงจนเธอสลบไป ก่อนที่ร่างของกำลังเธอล้มลงไปนอนลงบนพื้นไม้กระดานชายหนุ่มก็รีบเข้าไปประคองเธอไว้ก่อน นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ที่เขาได้แตะต้องตัวเธอ...ก่อนที่เขาจะจากไปตลอดกาล

         "แอดเลอร์..."

         ...

         "...ผมขอโทษ"

         ...

         ..

         .

         ...

         .

         ..

         "ทำไมคุณถึงได้เชื่อขนาดนั้นล่ะว่าคุณจะชนะฉันได้"

         "ผมชนะคุณได้แน่ แค่ผมเดินหมากเพียงตัวเดียว"

         ...

         "รุกฆาต"

         "บ้าน่า คุณควรจะแพ้ฉันนี่!?"

         "คุณแพ้แล้ว คราวนี้คุณจะแลกกับอะไรอีก"

         "ผ้าพันคอ! เอาไปเลยถ้าชนะฉันในตาต่อไป!"

         "ได้..ตกลง"

         ชายหนุ่มในเสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีดำค่อยๆเอนตัวพิงเก้าอี้ไม้อย่างสบายใจเฉิบในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสดใสที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่หน้ากระดานหมากรุก บรรยากาศแสงสีในกรุงปารีสช่างเหมาะกับคู่รักชายหญิงที่จะมาฮันนีมูนกันเสียจริงๆ เว้นแต่พวกเขาไม่ใช่คู่รัก...

         บางที..ไม่เชิง...แต่ก็ไม่ใช่

         เพียงเวลาไม่กี่นาที เธอก็แพ้ให้เขาอีกรอบ

         "ห๊ะ!? อีกแล้วเหรอ!?"

         "แพ้อีกแล้วนะเฟราไลน์ ฮะๆ"

         "ก็ได้ๆ คอยดูเถอะฉันต้องชนะคุณให้ได้เลย!"

         หญิงสาวค่อยๆถอดผ้าพันคอผืนสีขาวออกอย่างช้าๆก่อนจะยื่นให้บุคคลตรงหน้าอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก

         "คราวนี้คงยอมจริงๆแล้วสินะ"

         "ไม่หรอกน่า ฉันจะต้องชนะคุณให้ได้!"

         "อีกแล้วเหรอ.."เขาพูดอย่างด้วยน้ำเสียงเนือยๆ"..ก็ได้ แลกกับอะไรดีล่ะ"

         แอดเลอร์ค่อยๆก้มหน้าลงนิดหน่อยพลางเผยอปากขึ้นยิ้ม ใบหน้าของเธอที่แดงเรื่อด้วยฤทธิ์ของไวน์ห้าแก้วเมื่อครู่ก็ค่อยๆแดงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยความเขินอาย 

         ...

         นั่นคือรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

         "ก็..."

         "..."

         "เสื้อแจ๊คเก็ตละกัน..ฉันว่านะ"

         "..ตกลง"

         ...

         ..

         .

         พรึ่บ...

         "ตื่นแล้วเหรอ"

         เสียงทักทายแบบเย็นๆนั่นดังขึ้นเพียงแค่หลังจากไม่กี่วินาทีที่เธอลืมตาตื่น เธอกลับมายังโลกในจิตสำนึกของตนเองอีกครั้ง...ข้างๆคือหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งหันหลังให้เธออยู่บนเก้าอี้ไม้ ท่าทางเหมือนกับว่าเจ้าหล่อนกำลังอ่านอะไรบางอย่างอยู่

         ฟึ่บ...

         แอดเลอร์ใช้แขนทั้งสองข้างดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งสักพักหนึ่งเพื่อพักสมองที่ใช้งานไม่หยุดของตนเองแล้วค่อยลุกขึ้นยืน หญิงสาวนิรนามเจ้าของน้ำเสียงเยือกเย็นคนนั้นยังคงนั่งหันหลังให้เธออยู่เช่นเดิม ผมบลอนด์ประบ่านั่นมันทำให้เธอรู้ได้เลยว่า...เธอไม่เคยเจอหล่อนมาก่อนในชีวิต

         หลังจากที่เธอลุกขึ้นนั่งได้เพียงไม่กี่วินาที หญิงสาวคนนั้นก็ปิดหนังสือเล่มหนาในมือแล้ววางมันไว้บนพื้น..ก่อนจะหยิบอีกเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เมื่อลองเพ่งมองดูใกล้ๆ... หนังสือที่เธออ่านคือหนังสือที่รวบรวมกลยุทธ์ต่างๆในสงครามเอาไว้...หรือควรจะเรียกว่าตำราแห่งสงครามดีล่ะ

          "คุณ.."เธอใช้เสียงแผ่วของตนเอง มันแทบกลายเป็นความเงียบไปเลย

          "คุณเองสินะที่คนอื่นพูดถึงกันน่ะ"

          "ค..ใครเหรอ..?"

          หญิงสาวคนนั้นปิดหนังสือในมืออีกครั้งก่อนจะวางมันไว้บนกองหนังสือที่อ่านแล้วและหยิบเล่มใหม่มาเปิดอ่านต่อ เมื่อลองดูจากกองหนังสือ..ไม่สิต้องเรียกว่าภูเขาหนังสือของเธอมากกว่า จะพบได้เลยว่าหนังสือทั้งหมดเป็นหนังสือสงครามทั้งสิ้น แอดเลอร์เริ่มจะสงสัยแล้วว่าหล่อนเป็นใครกันแน่

          "คุณคือ...ทหารผ่านศึก"

          "..?"

          "ใช่..และคู่หูของคุณ เขาก็คือวีรบุรุษสงคราม"

          และทันใดนั้นหนังสือก็ปิดลงอีก ร่างในชุดเดรสสีเงินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้นั่นค่อยๆวางหนังสือลงบนพื้นก่อนจะลุกขึ้นยืน เธอมีผมบลอนด์ทองประบ่ากับน้ำเสียงอันเยือกเย็นนั่นเป็นตัวบ่งบอกว่าเธอไม่ใย่คนธรรมดาแน่

          ...เธอหันมา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสุดแปลกนั่นมองมายังแอดเลอร์ราวกับเห็นคนรู้จัก ริมฝีปากสวยถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติดสีแดงสดราวกับเลือด...แววตาของหล่อนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

          "ชื่อของฉันคือเบอร์ลิน"

          "..เบอร์ลิน?"

          แอดเลอร์ทวนชื่อของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสัย สายตายังคงจับจ้องไปยังหญิงสาวคนนั้นไม่ยอมละไป เบอร์ลินค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ก่อนจะหันหลังเดินข้ามกองหนังสือพวกนั้นมุ่งตรงมาทางเธออย่างใจเย็น น่าแปลกที่ร่างกายขยับไม่ได้เลยแม้แต่จะกระดิกนิ้ว...มันเหมือนกับว่าเธอโดนหญิงสาวผู้นี้สะกดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

         "ใช่ เบอร์ลิน"หล่อนเอียงคอมอง"ชื่อฉันแปลกมากเลยสินะ"

         "..เปล่า ไม่เลย"

         เธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะสบตาหญิงสาวตรงๆ ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่านะ..แต่เธอรู้สึกเหมือนหล่อนกำลังจะฆ่าเธออะไรทำนองนี้เลย...

         "แปลกหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ ฉันว่าเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า"

         "คุณเป็นใคร"

         "..."

         เบอร์ลินนิ่ง นัยน์ตาสีแปลกมองไปทางอื่น"ฉันน่ะเหรอ"

         "..."

         "ที่จริงแล้ว...ฉันเป็นสายลับ"

         "ของใคร"

         "ซีไอเอ แต่อย่าคิดอะไรเลยไปล่ะ ฉันไม่ได้มีตัวตนอยู่เพื่อมาฆ่าคุณสักหน่อย"

         "..."

         ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีความสามารถในการอ่านใจคนอื่นเหมือนกับคนบางคนก็เถอะ แต่สัญชาตญาณของเธอบอกว่า...ในคำพูดของหล่อน มันดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

         "ฉันแค่..มีเรื่องจะเตือนเธอนิดหน่อย"

         "เหรอ แต่คุณก็ควรรู้ไว้นะว่าฉันไม่ค่อยฟังคำเตือนของใครหน้าไหนเลยสักคน"

         "คุณฟังของฉันแน่"เธอพูดด้วยความมั่นใจ"ไม่เช่นนั้น คุณก็ตาย"

         "...งั้นก็บอกมาว่าคำเตือนอะไร"

         เบอร์ลินกระตุกยิ้มมุมปากพลางใช้สายตาจับจ้องมายังเธออย่างสนใจ ท่าทางและบุคลิกนิ่งๆ เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งของหล่อนย้ำเตือนให้เธอนึกถึงใครบางคนที่เธอรู้จัก 

         ..คนที่เธอไว้ใจ

         ..และคนที่หักหลังเธอในเวลาเดียวกัน

         ซึ่งตอนนี้..หายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้

         "เอาล่ะตั้งใจฟังนะ"

        "..."

        "หลับตาก่อนสิ"

        "อย่ามาล้อเล่นกับฉันนะ ฉันไม่..."

        "ทำตามที่บอกเถอะ"

        แอดเลอร์ตัดสินใจหลับตาลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจเสียเท่าไรนัก เบอร์ลินค่อยๆยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆในขณะที่เธอหลับตาอยู่...และทันใดนั้นหล่อนก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ..

         "เอาล่ะ ลืมตาได้"

        


         พรึ่บ!

         หญิงสาวลืมตาขึ้นทันทีและสิ่งที่เห็นเป็นสิ่งแรกก็คือเพดานสีขาวโล่งๆกับแสงสีขาวที่สาดส่องผ่านกระจกเข้ามา แอดเลอร์ค่อยๆใช้แขนทั้งสองดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ความเมื่อยล้าแผ่ไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วราวกับว่าเธอไม่ได้ขยับตัวมาเป็นปีแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดเล็กๆระบมบริเวณท้ายทอยจนเธอต้องยกมือขึ้นแตะมัน..มีผ้าผิดแผลอยู่ตรงท้ายทอยของเธอ...

         ในที่สุดเธอตัดสินใจหันออกไปมองรอบๆ เธออยู่ในห้องๆหนึ่ง...มันคล้ายๆกับห้องพักแต่มันสะอาดเกินไปเกินกว่าที่จะเป็นพักแถมยังกว้างเกินอีกต่างหาก มีโต๊ะตั้งอยู่ข้างเตียงของเธอซึ่งมันก็เป็นแค่โต๊ะไม้ธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ บนนั้นมีแจกันดอกไม้ที่มีดอกไม้หลายชนิดอยู่ภายใน บรรยากาศอันเงียบสงบและแสงแดดอุ่นๆที่ส่องผ่านหน้าต่างมานั้นทำให้เธอเริ่มจะรับรู้ได้ว่า...เธอไม่ได้อยู่ที่นั่น

         ตอนแรกเธอคิดว่าเธออยู่ในเบอร์ลินแต่มันไม่ใช่

         ต่อมาเธอคิดว่าเธออาจจะอยู่ในฝรั่งเศส...ก็ไม่ใช่อีกนั่นล่ะ

         ...

         แล้ว..เธออยู่ไหน? มีหลายสถานที่ที่เธอเคยไป เธออาจจะอยู่ในโรม ปารีส เบอร์ลิน ลอนดอน หรืออะไรก็ได้...แต่ที่นี่มัน...

        แอดเลอร์พยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก เธอจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เธอควรจะอยู่ในสนามรบพร้อมที่มีทั้งกลิ่นควันไฟและเสียงโห่ร้องของทหาร แต่ความสงบเงียบแบบนี้ของที่นี่ มันทำให้เธองงกับเหตุการณ์ก่อหน้านั้นทั้งหมด ในหัวมีคำถามเกิดขึ้นมากมายจนยากจะหาคำตอบ เธออยู่ไหนกันแน่และ...

        ...เบิร์ต คาร์ล..

        ..เขาอยู่ไหนกันนะ?

        "...บ้าเอ๊ย ลืมเขาไปก่อนเถอะน่า!"

         เธอสะบัดคำถามนั่นออกไปจากหัวสมองและพยายามไม่นึกถึงมันอีก และในขณะเดียวกันนั้นสายตาของเธอก็เผลอไปเห็นอะไรบางอย่างในแจกัน..มันก็คือดอกไม้นั่นล่ะดอกป๊อปีสีแดง...เธอจำได้ว่าดอกไม้ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของทหารผ่านศึก สีแดงสดของมันทำให้เธอนึกถึงสีเลือดของเหล่าทหารที่ไหลรินลงบนสมรภูมิรบเพื่อชำระแผ่นดินให้สะอาดก่อนที่จะตราคำว่าสันติภาพลงไป จริงๆแล้วดอกไม้นี่จะบานในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤษจิกายนหรือในช่วงฤดูใบไม้ผลิ..

           ...กันยายนถึงพฤษจิกายนเหรอ

        เดี๋ยวนะ..มันมีอะไรที่เธอพลาดไปหรือเปล่าเนี่ย

        เอี๊ยด...

        ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อจากนั้นประตูสีขาวก็เปิดออกมาพร้อมๆกับร่างบางในชุดพยาบาลสีขาวที่ค่อยๆก้าวเข้ามาราวกับไม่ต้องการให้มีเสียงเกิดขึ้นในห้อง หลังจากที่หล่อนสังเกตเห็นว่าบุคคลที่นอนอยู่บนเตียงได้ฟื้นคืนสติแล้วก็รีบถอนหายใจโล่งอกก่อนจะเปลี่ยนเป็นการเดินแบบธรรมดาแทน แอดเลอร์ถูกต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นของพยาบาลสาว หล่อนเดินเข้ามาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ก่อนจะเดินมาที่เตียงของแอดเลอร์

         "ว้าว คุณรู้สึกตัวแล้วนี่นา! ฉันอาจจะต้องรีบไปรายงานเรื่องนี้กับหมอคนอื่นอีกนะคะเนี่ย!"

        "...ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ"

        "ได้เลยจ้ะ! ตื่นเต้นจังเลยเวลาได้คุยกับ..."

        "ฉันอยู่ที่ไหน"

        "อ..เอ๋?"

        "ฉันอยากรู้ว่า"

         แอดเลอร์เว้นวรรค สายตาเย็นชาจับจ้องไปยังพยาบาลสาวจนอีกฝ่ายแทบไม่กล้าจะสบตาเธอเลยแม้แต่น้อย หล่อนจึงตัดสินใจหันำปทางอื่นแทน

         "อเมริกาค่ะ"

         "ตรงไหนของอเมริกา"

         "..อ..เอ่อ.."

         "บอกฉันมาเถอะ ได้โปรด"

         พยาบาลสาวเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันทองก้มหน้าลง เธอรู้สึกว่าเธอไม่อยากจะตอบคำถามของหญิงสาวผู้นี้มากเท่าไรเนื่องจากหมอประจำตัวของหล่อนเพิ่งจะกำชับทุกคนไปเองว่าห้ามตอบคำถามใดๆของหล่อนเด็ดขาด เธอเองก็ไม่รู้หรอกว่าเพื่ออะไรกัน...แต่ว่าเธอจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้หลงทางไปเรื่อยๆเหรอ..?

         "..."

         "..ตอนนี้คุณอยู่ในโรงพยาบาลเซนต์เอลิซบาเบธส์"

         "เซนต์เอลิซาเบธส์เหรอ..?"

         "คุณอยู่ในวอชิงตัน ดีซีค่ะ"

         วอชิงตัน ดีซี...

         ..

         แอดเลอร์ค่อยๆก้มหน้าลง เธอพยายามปล่อยให้คำถามในหัวหายไปทั้งหมดเพื่อจะได้ไม่ให้เธอปวดหัวกับเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ พยาบาลคนนั้นเดินออกไปจากห้องตั้งนานแล้วราวกับว่าหล่อนไม่ต้องการที่จะตอบคำถามอะไรของเธออีก หญิงสาวเสมองออกไปนอกหน้าต่าง...เธอเห็นตึกสูงใหญ่เรียงรายกันอยู่ เสียงเครื่องยนต์รถดังระงมอยู่ไกลๆ... เสียงคนพูดคุยกันแทบจะดังกลบเสียงนกร้องไปโดยปริยาย

         เธอมาอยู่ที่ดีซีได้ยังไง?

         แล้ว...ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น?

         ...

         ..เบิร์ต..เขาอยู่ที่ไหน..?





         5 พฤษภาคม ค.ศ.1945

         เบอร์ลิน, เยอรมนี

        

         ตึก..ตึก...

        ท่ามกลางซากปรักหักพังนับร้อยที่เรียงรายกันอยู่ทุกทิศทางกับกลิ่นควันไฟที่เพิ่งจะมอดดับไปเมื่อไม่นานมานี้ ความเงียบได้เข้ามากลืนกินเมืองทั้งเมืองที่ไม่เหลืออะไรให้มอง ประตูชัยสูงใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามยังคงตั้งอยู่ที่เดิมแม้จะมีรอยแตกและรอยสีดำอยู่ทั่ว แต่สิ่งที่ทำให้เมืองนี้ยังไม่เงียบไปเสียทั้งหมดก็คือเสียงก้าวเท้าของใครคนหนึ่ง ภายใต้ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีครามสดใสบัดนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่น..

         ฉับพลันเสียงก้าวเท้าก็เงียบลง ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารเก่าๆที่กำลังยืนอยู่กลางถนนค่อยๆหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ...เหรียญตรารูปกางเขนที่ทำขึ้นมาจากเหล็กที่แตกออกไปแล้วครึ่งหนึ่งถูกนำออกมาถือไว้ก่อนที่เขาจะขว้างมันไปไกลๆราวกับว่ามันคือขยะไร้ค่า เขาหยิบบางอย่างออกมาอีก..คราวนี้เป็นรูปถ่ายใบเก่าที่เกือบจะขาด ในนั้นเป็นรูปของหญิงสาวคนหนึ่ง..ผมสั้นสีน้ำตาลแดงพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆยังคงย้ำเตือนให้เขานึกถึงเธอเสมอจนกระทั่ง...เธอหักหลังเขา

         ฟึ่บ..

         ในที่สุดเขาตัดสินใจโยนมันลงบนกองไฟที่อยู่ข้างทางก่อนจะหยิบสิ่งสุดท้ายที่มีอยู่ออกมา มันคือสร้อยคอรูปไม้กางเขนสีทอง...ในภารกิจสุดท้ายนี้เขาไม่ต้องการให้ใครมีความทรงจำเกี่ยวกับเขาอีก แต่สร้อยเส้นนี่มันคือสิ่งสำคัญในชีวิตของเขา..มันอาจจะเปรียบเสมือนเครื่องรางเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นเขาจะไม่โยนมันทิ้งไปก่อนละกัน 

         ณ ตอนนี้..ตรงหน้าของเขาคือตึกสูงใหญ่ที่สร้างขึ้นมาจากปูน รอบๆมีรถจอดอยู่หลายคันแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครใช้ ชายหนุ่มไม่รอช้า..เขาตัดสินใจเดินเข้าไปในตัวอาคารก่อนจจะเดินขึ้นบันไดไปอีกชั้นหนึ่ง มือของเขากำกระบอกปืนพกไว้แน่น..มันคืออาวุธชิ้นสุดท้ายของเขาแล้วในตอนนี้ กระสุนปืนมีเหลืออยู่แค่ภายในแม็กกาซีนเท่านั้นไม่มีสำรองในกระเป๋าและเขาก็ไม่ต้องการไปเก็บของคนอื่นมาอีก เป้าหมายเดียวของเขาก็คือการหาคำตอบของเรื่องทั้งหมดโดยคนๆหนึ่ง 

         ...หลังจากที่เขาได้คำตอบที่ต้องการแล้ว เขาต้องเก็บไอ้หมอนั่นซะ

         ไม่มีคน ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น มันมีแต่ความเงียบที่สร้างบรรยากาศให้ชวนสยอง เขายืนอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ที่จะนำเขาไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่าง ชายหนุ่มตัดสินใจยื่นมือไปหมุนลูกบิดก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านในห้อง...

         "ในที่สุดก็มาจนได้สินะ"

         เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นในห้อง เขาสังเกตเห็นร่างของบุคคลที่เขาตามหากำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ในขณะที่หันไปปิดประตู ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับชายอีกคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะนั่น น่าแปลกใจที่วันนี้เขาไม่ได้เห็นชายคนนั้นในชุดเครื่องแบบนาซีแต่กลับเห็นร่างใหญ่ของชายวัยกลางคนในชุดสูทธรรมดาๆพร้อมหมวกเท่านั้นเอง เขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้โต๊ะไม้

         "ท่าทางคุณจะดูผิดหวังนิดหน่อยนะ ที่ไม่เห็นใครให้ฆ่าอีกน่ะ"

         "นิดหน่อย"เขาตอบเสียงเรียบในขณะที่ยกปืนขึ้นชี้หน้าชายในชุดสูท"..แต่การที่ได้เห็นเพื่อนเก่าแบบนี้ก็นับว่าไม่เลว ใช่มั้ยล่ะ"

         อีกฝ่ายกลั้นขำเล็กน้อยกับคำพูดของชายหนุ่ม เขาค่อยๆเอนหลังลงอย่างสบายใจเฉิบ นัยน์ตาจับจ้องมาทางบุคคลตรงหน้าโดยไม่กลัวอะไรเลย

         "พันตรีเบิร์ต คาร์ล ผมจำได้ว่าผมฝึกคุณเพื่อให้มารับใช้ชาติไม่ใช่เหรอ แล้ว..เบิร์ตคนนั้นหายไปไหนแล้วล่ะนี่"

         "คุณคงลืมไปว่าตัวเองไม่ได้ฝึกผมให้เป็นทหาร"

        "..."

        "คุณสร้างปิศาจขึ้นมาต่างหากล่ะ"

        เอมิลล์หัวเราะออกมา เขาไม่เคยได้ยินคำพูดอะไรแบบนี้มาก่อนตั้งแต่อยู่ในค่ายฝึก ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมาได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของเขาเนี่ยนะ

         "แต่ไอ้ปิศาจนี่ก็มีประโยชน์ไม่เบาเลย จนกระทั่งมันไปเจอกับไอ้นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนหนึ่ง เขาทำให้คุณบ้าตามเขาสินะ"

         "ไคลร์ไม่ได้บ้า งานของเขามีที่มาที่ไปด้วยซ้ำ เขาทำประโยชน์ให้คุณมากมายจนกระทั่งคุณสั่งให้ผมไปฆ่าเขา"

         "เขาหมดประโยชน์แล้ว นายต้องเขาใจนะว่าของที่ไม่มีประโยชน์แล้วจะต้องถูกกำจัดน่ะ"

         "ช่างหัวสมองปรัชญาของคุณเถอะ คราวนี้ผมมีคำถามมาถามคุณหน่อย"

         "..."

         "เหตุผลที่ดอกเตอร์ไคลร์ต้องถูกเก็บ จริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่"

         "เพื่อป้องกันความผิดพลาดไง"

         เบิร์ตเงียบกริบในขณะที่ใช้สายตาจับจ้องไปยังบุคคลตรงหน้าในทุกคำพูดของเขา เพื่อป้องกันความผิดพลาดงั้นเหรอ? 

         "เชิญนั่งก่อนสิ"เอมิลล์พูดพลางผายมือมายังเก้าอี้ไม้อีกตัวตรงหน้า"..เดาว่าคุณคงไม่ได้เป็นคนเข้าใจง่ายเหมือนคนอื่น..ใช่มั้ย"

         ท่ามกลางความเงียบ ชายหนุ่มตัดสินใจก้าวเข้าไปลากเก้าอี้ออกมานั่งตามคำพูดของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังไม่นิ่งนอนใจง่ายๆ...ปืนพกในมือยังคงถูกชี้ไปยังเอมิลล์เช่นเดิมอละพร้อมที่จะเหนี่ยวไกเสมอถ้าเขาเล่นตุกติก

         "ดอกเตอร์ไคลร์ทดลองอะไร"

         "ก็แค่ยา..หรือสารเคมีนั่นล่ะ เป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ทางประสาทแล้วก็สมอง ถ้าโดนมันเข้าก็เจะทำให้เห็นภาพหลอน...คลุ้มคลั่ง.."

         "มันเอาไว้ใช้ทำอะไร"

         "จัดการพวกสัมพันธมิตรไงล่ะ! แน่นอน! พวกมันไม่มีวันได้ลิ้มรสชัยชนะของสงครามจริงๆหรอกน่า"

         "..."

         ชายหนุ่มค่อยๆก้มหน้าลงพลางคิดถึงคำพูดของเอมิลล์เมื่อครู่ ที่ผ่านมาดอกเตอร์ไคลร์ไม่ค่อยบอกเรื่องการทดลองของเขามากเท่าไรจนแทบจะปิดเป็นความลับ เมื่อมาถึงจุดนี้มันก็ไม่แปลกที่จะมีคำถามมากมายที่ไร้ซึ่งคำตอบอยู่ในหัวของเขาเต็มไปหมด... และวันนี้เขาจะต้องรับรู้ความจริงให้ได้

         "สารเคมีนั่น...มีแผนจะเอาไว้จัดการพวกนั้นยังไง"

         "มันเจ๋งมากเลยนะแต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีตัวอย่างสารเคมีให้คุณ มันเปลี่ยนเป็นสถานะไหนก็ได้...ทั้งของเหลว ของแข็ง หรือว่าเป็นผง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องการทดลองมากอะไรหรอกนะ แต่ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดีเลย.."

         "คุณตอบไม่ตรงคำถาม"เบิร์ตกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ"คุณมีแผนจจะจัดการกับพวกนั้นยังไง"

         "ง่ายๆ แบบนี้ไง!"

         ฟึ่บ!

         ยังที่เขาไม่ทันจะไหวตัวทันเอมิลล์ก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนที่เขาจะมองออกว่ามันเป็นเข็มฉีดยาที่มีของเหลวสีใสอยู่ภายในหลอดเขาพบว่าอีกฝ่ายใช้เข็มจิ้มไปที่บริเวณแขนของเขาโดยที่เขาไม่อาจมองเห็นได้ก่อนจะเริ่มฉีดสารเคมีบางอย่างเข้าไป เบิร์ตชะงักสักครู่ก่อนจะล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยฤทธิ์ของสารเคมีนั่น

         "เจ็บใช่มั้ยล่ะ มันใช้เวลาออกฤทธิ์แค่ไม่กี่วินาทีเองก่อนที่คุณจะจมไปกับถาพหลอนในหัวของคุณ ดอกเตอร์ไคลร์รู้ดีว่าเขาสร้างอะไรขึ้นมา..แต่ทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ของเราทั้งนั้น ผมก็เลยคิดอะไรเด็ดๆออก...ใช้สารเคมีนี่กับคุณมันจะเป็นยังไงกันน้า..."

         "อ..เอ..มิลล์.."

         "สำหรับคุณนี่คงใช้เวลานานหน่อยกว่าจะออกฤทธิ์ แต่มันก็จะทำให้คุณทรมานกับความเจ็บปวดของมันเองก่อนที่คุณจะตายทั้งเป็นกับภาพอดีต.."

         เบิร์ตได้แต่กำหมัดแน่นแต่ก็ยังไม่ยิมแพ้ที่จะเอื้อมมือไปยังกระบอกปืนพกที่ตกอยู่ไม่ไกลจากเขาเท่าไร แต่แล้วทันใดมันก็เหมือนกับทุกอย่างได้มืดดับลง...

         สารเคมีที่อยู่ในตัวของเขา...มันออกฤทธิ์โดยสมบูรณ์แล้ว...

         และเขาก็เจ็บปวดกับมันมากเลยทีเดียว...

         ก่อนที่จะจมไปกับภาพหลอนในหัว เขาได้ยินเสียงของเอมิลล์ดังแว่วๆมา...จากที่ใดที่หนึ่ง...

         "ลาก่อน..เบิร์ต คาร์ล..."

         ...

         ..

         .

         ...

         ..

          .

         "เบิร์ต"

         ...

         พรึ่บ!

         ปัง!

         "เฮ้ย!.."

         ร่างในชุดสูทสีดำล้มลงบนพื้นในขณะที่ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ มือของเขายื่นไปหยิบกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเอมิลล์ขึ้นมาดูอย่างสนใจในขณะที่ใช้เท้าเขี่ยร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นไปให้พ้น นัยน์ตาสีครามเหลือบเทาที่ดูไร้แววของความเป็นมนุษย์จ้องมองไปยังบุคคลในรูปภาพก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก

         "ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณมีครอบครัวเหมือนกันนะครับ"

         "อ..อั่ก..เป็น..ป..ำไป...ไม่ได้..."

         "ใช่..เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะจัดการผมด้วยหลอดฉีดยาแค่นั้น คุณคิดว่าคุณไวกว่าผมสินะครับ?"

         "บ..."

         "ไม่เป็นไร..คราวนี้คุณคงได้รับรู้ถึงความทรมานแบบที่ผมเคยเป็นแล้วสินะ"

         "ก..แก..ต้อง..ต..ตาย! บ..เบิร์ต..พ..พวกนั้น..จ..จะล่า..แก!"

         "เหรอ..ได้ยินบ่อยแล้วประโยคนี้ ผมคิดว่าคุณควรเก็บแรงไว้หายใจจะดีกว่านะ ในเมื่อผมเพิ่งจะยิงตัดหลอดลมคุณไปเมื่อครู่เอง"

         เอมิลล์มองมาที่ชายหนุ่มด้วยสายตาเคียดแค้นในขณะที่เขากำลังวางกรอบรูปลงบนโต๊ะ และทันใดนั้นชายหนุ่มก็ปล่อยหัวเราะออกมา

         "คุณกลัวดอกเตอร์ไคลร์จะเอาอาวุธนี่ไปใช้กับคุณที่หลังคุณก็เลยเก็บเขา เพื่อรับประกันว่าเขาจะไม่ได้ทำตามแผนนั่นจริงๆ"

         "...ก..แก..มัน..บ้า..ป..ไปแล้ว!"

         "ลูกสาวคุณ..."

         เบิร์ตหยิบกรอบรูปขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะย่อตัวลงไปนั่งแล้วยื่นกรอบรูปในมือไปให้อีกฝ่ายดูเล่น 

          "...เธอสวยดีนะครับ"

          "ย..อย่ายุ่ง..กับ..เธอ"

          "...เธอชื่ออะไรน้า...อังเจลิคใช่มั้ย?"

          "..."

          "ใช่แน่ ผมกำลังจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้นี่ล่ะ"

          ชายหนุ่มจ้องมองลึกลงไปยังนัยน์ตาของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มในขณะที่มองอีกฝ่ายกำลังขาดใจตายอย่างช้าๆและทรมาน จนในที่สุด...เขาตัดสินใจลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานของเอมิลล์ เบิร์ตเปิดลิ้นชักออกมาดูแล้วก็พบกับเอกสารลับจำนวนมากในนั้น 

         "เก็บอะไรไว้เยอะเลยนะ"

         เขาหยิบเอกสารทั้งหมดออกมาคือเอาไว้ก่อนจะใช้มืออีกข้างลากเก้าอี้ออกมานั่ง เขาอ่านลายละเอียดของเอกสารแต่ละใบอย่างคร่าวๆ...ทั้งหมดนี้คือความจริงที่เอมิลล์ปิดบังเอาไว้ ตอนนี้..มันอยู่ในมือของเขาหมดแล้ว...

         ...

         เบิร์ตหันออกไปมองนอกหน้าต่าง เขาเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นมาเยอะ...

         และตอนนี้...

         ...เขาจำเป็นจะต้องหายตัวไป

         ...

         ตลอดกาล

    -----------------------------------------------




         

          

           

           


    B E R L I N ❀








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×