ลำดับตอนที่ #41
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : Voice of Stars. เสียงเพรียกแห่งดวงดาว
คุณลองตั้งสมาธิ...แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ คุณได้ยินเสียงของดวงดาวพวกนั้นหรือเปล่า...
-Natashar Keller-
------------------------------------------------------------------------
26 กรกฎาคม ค.ศ.1944 เบอร์ลิน,ประเทศเยอรมนี
14:24 P.M.
หญิงสาวยังคงนั่งคร่ำเคร่งอยู่หน้าเครื่องพิมพ์ดีด...
อันที่จริงงานของเธอแทบจะไม่ได้แตะเครื่องพิมพ์ดีดล้านปีนี่เสียด้วยซ้ำ หากแต่ว่าวันนี้เธอกลับโดนขอร้องจากหญิงสาวคนหนึ่งให้มาช่วยซ่อมเครื่องพิมพ์ดีดของเธอให้หน่อย เหตุที่ต้องของช่วยจากเธอก็คงจะไม่พ้นเหตุผลเรื่องงานช่างของเธอที่เคยเรียนมา ตอนแรกหญิงสาวคิดว่าปัญหาคงไม่หนักเสียเท่าไร แต่นานเข้าเธอจึงตัดสินใจแยกส่วนเครื่องพิมพ์ดีดนี่ออกมาตรวจ แล้วก็เพิ่งจะประกอบมันกลับเข้าไปเสร็จเมื่อกี้นี้เอง
เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"เอาล่ะเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ พยายามอย่าทุบมันมากเกินไปนะคะ"
อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมาอย่างเขินอาย"ก็แหม--มันน่ารำคาญนี่ งานก็รีบๆ พิมพ์ดีดดันเจ๊งอีกต่างหาก จะไม่ให้โมโหได้ไงล่ะคะ"
นาตาชาร์ส่งยิ้มกลับในขณะที่กำลังพยักหน้าเล็กน้อย เธอตัดสินใจบอกลาหญิงสาวผู้นั้นออกมาก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่เธอคิดไว้ว่าจะไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนนั่นก็คือห้องทำงานของมัลเลอร์ เธอไม่รู้หรอกว่าเขาเรียกเธอทำไม แต่เวลาที่เธอคิดจะไปหาก็ต้องเจอกับเรื่องใหญ่ทุกทีเช่นวันนี้ ในขณะที่เธอกำลังมุ่งหน้าไปหาเขา เครื่องพิมพ์ดีดของอันนาดันมาพังเอาเสียก่อน ด้วยฝีมือในงานช่างเล็กๆน้อยๆของเธอจึงทำให้ถูกขอร้องให้ช่วยซ่อมให้ ตอนแรกเธอคิดว่าไม่น่าจะหนักเท่าไร แต่มันก็ดันเป็นปัญหาใหญ่จนเธอต้องเสียเวลางานมาใช้เลยล่ะ
บรรยากาศในทำเนียบรัฐบาลไรช์ในวันนี้ค่อนข้างจะวุ่นวายเป็นพิเศษ เธอทำงานอยู่ในอีกตำแหน่งหนึ่งที่แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยจึงทำให้เธอมีเวลาว่างเยอะจนสามารถออกไปเดินเล่นแถวค่ายอื่นได้ทั้งวัน แต่ทำไมวันนี้เธอถึงถูกเรียกตัวล่ะ คำถามนี้มันช่างน่าฉงนสงสัยสำหรับเธอจริงๆ
ในที่สุด เธอก็มาหยุดตรงหน้าประตูไม้บานใหญ่
"เอาล่ะ.."เธอกล่าวขึ้นกับตนเองเบาๆ"..เตรียมตัวให้พร้อมเลยนาตาชาร์.."
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกมาก่อนที่เธอจะเปิดเข้าไปเสียอีก ฉับพลันร่างสูงใหญ่ที่ถูกประดับด้วยเครื่องแบบติดยศมากมายก็ก้าวออกมาจากห้องโดยไม่วายที่จะเสมองมาทางเธออย่างสงสัย เอมิลล์...เธอไม่ค่อยชอบนิสัยของเขาเลยสักนิด เขาเป็นคนที่เขี่ยเพื่อนสาวของเธอออกไปก่อนจะประกาศตามล่าอย่างไม่มีเหตุผล นี่ล่ะที่เธอคิดว่างานที่ทำอยู่ ณ ตอนนี้มันจะไร้สาระแค่ไหน
เธอยืนนิ่งทำความเคารพเขาตามระเบียบก่อนที่เขาจะทักเธอเรื่องมารยาทเสียก่อน ใบหน้าของเขาดูเหมือนกับไปโกรธใครมาอะไรทำนองนั้นเลย หรืออาจจะเป็นเรื่องข่าวลือนั่น..ไม่แน่ มันไม่มีทางเป็นไปได้..
หญิงสาวเสมองไปยังบุคคลที่กำลังเดินไปสักครู่แล้วตัดสินใจก้าวเข้าไปในห้อง เธอไม่ลืมที่จะหันกลับไปปิดประตูห้องก่อนจะหันกลับไป...มองดูห้องกว้างที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือและตู้เก็บเอกสาร กระดาษที่มีรอยพิมพ์ดีดวางเกลื่อนกลาดมากมายแทบจะทั่วห้องรวมไปถึงเศษแก้วกาแฟสีขาวที่ถูกปาทิ้งจนแตกอยู่เต็มไปหมด เจ้าของห้องทำงานในชุดเครื่องแบบนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ เขายกเท้าขึ้นมาพาดบนโต๊ะอย่างเสียมารยาทที่สุดต่อหน้าเธอ มือทั้งสองจับหนังสือที่หน้าปกถูกพิมพ์ด้วยภาษาอังกฤษ ใบหน้าของเขาที่สวมแว่นอยู่จ้องมองไปยังหนังสืออย่างใจจดใจจ่อ
"ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณอ่านนิยายอังกฤษด้วยนะ"เธอพูดขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน จนเกือบทำให้เขาทำหนังสือในมือล่วง ชายหนุ่มรีบเอาขาที่พาดอยู่ลงทันที
"ทำไมผมไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูเลย เข้ามาดื้อๆแบบนี้ได้ไงกัน..."
"เอาแว่นออกก่อนได้มั้ย?"
เหตุผลที่เธอถามแบบนั้นออกไปก็เพราะเธอดูไม่ค่อยปลื้มเท่าไรนักเวลาเห็นเขาสวมแว่น มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังล้อเลียนเธออย่างไรอย่างนั้น แต่จริงๆแล้ว..มัลเลอร์ก็มีปัญหาด้านสายตาเหมือนกับเธอนั่นล่ะ
เขาค่อยๆถอดแว่นออก แล้ววางมันบนโต๊ะ
"เรียกเมื่อวันก่อนทำไมมาเอาวันนี้ล่ะ"
"เครื่องพิมพ์ดีดมันเสีย ฉันต้องซ่อม"
"แยกไม่ออกรึไงกับเรื่องแค่นั้นน่ะ คุณคงไม่อยากโดนซ่อมระเบียบใช่มั้ย"
นาตาชาร์ถอนหายใจยาว
"มีเรื่องอะไร"
"เปล่าหรอก..."
มัลเลอร์ลากเสียงพลางหันไปมองกองเอกสารที่วางเกลื่อนเต็มพื้น
"เอาเอกสารพวกนั้นไปเซ็นด้วย เซ็นให้หมดล่ะเพราะมันยังมีอีกเยอะ"
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองหันมายิ้มเป็นนัยๆ ดวงตาใต้เลนส์แว่นคู่นั้นส่อประกายบางอย่างที่เขายังนึกไม่ออกแต่รู้สึกเหมือนไม่ชอบมาพากลแปลกๆ
"ฉันจะช่วยงานที่แนวหน้า ตอนนี้เลยด้วย"
"จะบ้าเหรอไง!"ชายหนุ่มสบถเสียงดังอย่างไม่พอใจพลางทุบโต๊ะ"นั่นไม่ใช่ที่เดินเล่นซักหน่อยนะนาตาชาร์ เดี๋ยวก็เหยียบระเบิดตายหรอกน่า!"
"สนามเพลาะไม่มีระเบิดหรอกค่ะท่าน"หญิงสาวพูดเบาๆราวกับกำลังกระๆิบ"มีแต่ศพทหารกับคาวเลือดเท่านั้น"
ไม่ว่าเธอจดให้เหตุผลอะไรมากมายแต่มัลเลอร์ก็ไม่ยอมอนุญาตให้ไปเสียที แต่อย่างไรเสีย..เธอรู้อยู่แล้วว่าคนอย่างเขาไม่มีวันให้เธอไปแน่ ดังนั้นไม่ว่าเหตุผลของเขาจะออกมาอย่างไร จะอนุญาตหรือไม่ เธอก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไปเยี่ยมแนวหน้ามาตั้งแต่เมื่อคืนอยู่แล้ว
"ผมขอล่ะแนต อย่าไปเลย ที่นั่นมันอันตรายมากเลยนะ"
"...ช่างหัวมันสิ ฉันไม่เหมือนคุณซักหน่อย"
นาตาชาร์ส่งยิ้มหวานให้กับชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะสักครู่ก่อนจะเปิดประตูออกมาพลางวิ่งกึ่งกระโดดออกมาจากห้องโดยไม่สนใจการทำความเคารพของทหารยศผู้หน่อยตรงทางเดินเลยเสียสักคน เธอตั้งใจไว้ว่าเดี๋ยวจะไปเยี่ยมสนามเพลาะก่อนแล้วค่อยแอบย่องข้ามไปอีกฝั่งเพื่อไปหาครีนัส มันอันตรายมากเหมือนที่มัลเลอร์พูดมา แต่ทักษะการฝึกของเธอมันก็มีประโยชน์นี่ เธอจะดึงมันมาใช้ตอนไหนก็ได้แล้วแต่เธอ ฉะนั้น..ถึงตอนนี้เอมิลล์จะมาห้ามเธอก็ไม่ยอมหรอก!
ตึกๆๆๆ...
เสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมๆกับการปรากฏกายของเธอท่ามกลางแดดร้อนและฝุ่นละอองที่ลอยคละคลุ้งทั่วรอบตัวเธอ บรรยากาศมันช่างเงียบเชียบเหลือเกินราวกับไม่มีใครเลยอยู่ที่นี่ในตอนนี้ หญิงสาวในเครื่องแบบทหารค่อยๆย่างก้าวไปมาพลางใช้สายตาสอดส่องหาคนๆอื่นที่น่าจะยืนอยู่ใกล้ๆแต่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว เมื่อสาวเท้าดูรอบๆบริเวณก็พบเพียงแค่ปลอกกระสุนกับรอยดินเท่านั้น สิ่งพวกนี้ทำให้เธอเกือบจะถอดใจแต่มันก็ยังไม่ล้มเลิก อย่างไรก็ตาม..วันนี้ต่อให้จะมืดจะค่ำ เธอก็ต้องไปสนามเพลาะให้ได้
นาตาชาร์เดินๆอยู่อย่างเงียบเชียบ เธอคิดว่าเดี๋ยวก็มีรถทหารผ่าน เธอก็ค่อยขอติดรถไปด้วยก็ได้นี่
...
..
...
..
.
หลายชั่วโมงผ่านไปแล้ว ท้องฟ้าเริ่มจะมืดลง แสงอาทิตย์สีส้มที่เคยสาดกระทบร่างบางในเครื่องแบบร่ำลาขอบฟ้าไปพร้อมกับดวงตะวัน ไม่มีใครผ่านที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว งั้นที่เธอมานั่งๆนอนๆอยู่มันก็ไร้ประโยชน์น่ะสิ! เสียเวลามากเลยนะเนี่ย
นาตาชาร์ล้วงเอานาฬิกาพกเรือนสีทองออกมาจากกระเป๋าเครื่องแบบ เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะมืดแล้ว เธอยังไม่ไปตอนนี้แน่ กลางคืนมันต้องมีรถลาดตระเวนสิ เธอค่อยขอติดรถไปกับพวกนั้นก็ได้
..ในขณะที่เธอกำลังเดินคิดเรื่อยเปื่อย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น...
"ช...ช่วย...ด้วย..."
"หือ...?"
เธอหันไปหาต้นเสียงทันที..แต่ก็ไม่เจอสิ่งใด
"ช่วย..ผ..ผม..ด้วย.."
หญิงสาวเงี่ยหูฟังเสียงอันแผ่วบางนั่นอีกครั้งแล้วเริ่มเดินหาที่มาของเสียงในที่สุด สภาพซากตึกคอนกรีตล่วงทลายลงมาเป็นกองคอนกรีตขนาดใหญ่ตรงหน้าเธอนั้าคือที่ๆเธอคาดว่าน่าจะเป็นที่มาของเสียง เมื่อลองย่างเข้าไปใกล้ๆดูแล้ว..เธอก็พบกับร่างของบุคคลในเครื่องแบบโชกเชือดคนหนึ่งโดนก้อนคอนกรีตขนาดใหญ่นั่นทับเอาไว้อยู่ รอบกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดเป็นแอ่งขนาดใหญ่ และ..เหรียญตรารูปกางเขนเหล็ก...
"คุณ.."เธอรีบทรุดลงไปหมายจะช่วยเหลือเขา"เดี๋ยวสิ...ที่นี่ไม่มีทหารแล้วนี่.."
"พ..พวกนั้น..ทิ้งผม..อ.."
สภาพของเขาดูไม่ดีเลย โดนขนาดนี้ยังไงก็ไม่รอด...เธอคิด หากแต่ว่ามือของอีกฝ่ายที่ยกขึ้นมาฉุดเธอไว้นั้นทำให้เธอต้องหันกลับไปทันที
"ช่วย..ผม..อย่าง..อย่างนึง..ด..ได้มั้ย"
นาตาชาร์ถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วพยักหน้ารับ
"ฝ..ฝาก..บอก..เอ..มิลล์.."
"บอก..บอกว่าอะไร!?"
"บอก..ม..มัน...ว่า.."เขาไอออกมาพร้อมๆกับเลือดที่ออกมาด้วย"..ไป..ตาย..ซะ"
..!
ฟิ้ว...
เหมือนกับสายลมที่หอบเอาควันฝุ่นพัดจิตวิญญาณของพลทหารคนนั้นออกไปจากร่างกายใต้แผ่นคอนกรีตนั่น ร่างโชกเลือดของเขาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นแทบทำให้นาตาชาร์แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นนัยน์ตาที่ยังเปิดกว้างอยู่มองตรงมายังเธอก็ยิ่งทำให้เธอเกิดอาการหลอนขึ้นไปอีก หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่อาบเต็มใบหน้าอย่างช้าๆ จริงอยูที่เธอเป็นทหารคนหนึ่ง แต่เธอไม่เคยแม้แต่จะออกมาสัมผัสกับคำว่า 'สงคราม' แบบจริงๆจังๆเลยแม้แต่น้อย เหตุการณ์ในครั้งนี้มันถึงทำให้..เธอสะเทือนใจมากจนร้องไห้...
เสียงสะอื้นเบาๆของหญิงสาวค่อยๆกลายไปเป็นคำพูดอันแผ่วบาง...
"..คุณลองตั้งสมาธิ...แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ..."
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังมืดอย่างช้าๆด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ผมสีบลอนด์พลิ้วไสวไปกับสายลมยามค่ำคืน
"...คุณได้ยินเสียงของดวงดาวพวกนั้นหรือเปล่า...?"
...
..
.
..
.
ฟึ่บ...
"ยื่นมือมาสิ"
"..."
"ผมมีอะไรจะให้คุณ"
สมุดบันทึกเล่มเล็กถูกวางลงบนมือของเธอหลังจากที่ยื่นมือออกไปตามคำพูดของเขาซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าของเธอเอง แอดเลอร์ละสายตาจากแก้วไวน์ก่อนจะมาจับจ้องที่สมุดบันทึกอันคุ้นตาในมือแทน สมุดปกแข็งสีน้ำเงินสกปรกนี่มันช่างคุ้นตามากเหลือเกินราวกับว่านัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นเคยมองมันในลักษณะเดียวกันกับวันนี้มาก่อน หญิงสาวเปิดปกสมุดออกแล้วค่อยๆเปิดหน้ากระดาษแผ่นสีน้ำตาลอ่อนต่อไป เมื่อเธอเห็นลายมือที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษมันก็กระตุ้นให้เธอ...จำหน้าของใครคนหนึ่งได้
"สมุดบันทึกของ ดร.ไคลร์ไงล่ะ"เขาเฉลยในที่สุด พลางย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าของหญิงสาว""ตอนนี้มันเป็นของคุณแล้ว"
"..."
"คนที่ฆ่าเขา..คือคนใกล้ตัวของคุณ และเป็นคนใกล้ตัวเขาด้วย"
"งั้นคุณคิดว่าใครล่ะ"
เบิร์ตเงียบ แทนที่จะตอบคำถามของหญิงสาวเขากลับกระตุกยิ้มกลับมาแทนคำตอบ
"ผมแค่ช่วยคุณหาเขา..หรือเธอคนนั้น"เขากล่าวเสียงเรียบพลางยกมือขึ้นกอดอก "..ฉะนั้น คำตอบนั่นมันขึ้นอยู่กับคุณ...ไม่ใช่ผม"
แอดเลอร์ยกมือทั้งสองขึ้นมากอดอกบ้าง นัยน์ตาทั้งคู่จ้องมองมาที่เขาแบบนิ่งๆ
"คุณรู้สินะว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อของฉัน"หญิงสาวยังคงจ้องมองไปที่เขาด้วยท่าทางเดิม"ใช่มั้ยเบิร์ต"
"เปล่า...ผมไม่รู้อะไรทั้งสิ้น และจนกว่าทุกอย่างจะเปิดเผย"
"..."
"คุณจะต้องเป็นคนหาคำตอบนั่น...ด้วยตัวเอง"
คำพูดประโยคนั้นของเขาทำให้เธอนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้ในหัว มันก็จริงเช่นเดียวกับที่เขากล่าวมาให้เธอฟังว่าเธอจะต้องเป็นคนหาคำตอบนั้นด้วยตนเอง..คำตอบที่ว่าใครฆ่าพ่อของเธอ เบิร์ตก็อาจเป็นเพียงแค่อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ช่วยหาเบาะแสเพิ่มเติมมาให้ก็ได้ ถ้าไม่มีเขา..มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไรนักเลย แต่หากว่าเธอเองเกิดถอดใจกลางคัน นั่นล่ะที่เป็นปัญหาใหญ่..
หญิงสาวคลี่ยิ้มบางๆออกมา นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่เดิมมองมาทางเขาอย่างมีเลศนัย แต่ราวกับว่าเบิร์ตเองก็จะรู้ทันเธอเหมือนกัน เขาพอจะคาดได้ว่าเธอจะทำอะไรต่อ
"คิดไม่ถึงสินะ..ว่าผมจะพูดเรื่องแบบนี้เป็นด้วยน่ะ"
แอดเลอร์หัวเราะเบาๆออกมาแทนคำตอบ บางทีสิ่งที่เธอคิดมาตลอดก็อาจผิดเพี้ยนไปบ้างก็ได้ เช่นเรื่องของเขา
"นั่นสินะ ฉันไม่อยากเชื่อเลยแต่.."หญิงสาวเว้นวรรค ริมฝีปากสีแดงเรื่อกระตุกยิ้มขึ้นมา"..ฉันชอบประโยคนั้นจัง"
"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ริคไม่ได้อยู่ที่นี่จริงมั้ย"
"แล้วไงล่ะ"
เขาคลี่ยิ้มบ้าง"ผมไม่ปลื้มคำพูดคุณหรอกนะ"
"งั้นฉันไม่ควรพูดเลยใช่มั้ย"
เบิร์ตตั้ดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่ตอบคำถามลอยๆของเธอก่อนจะเดินไปยังประตูร้านบาร์ที่เปิดอ้ารับลมหนาวเข้ามาภายในร้านจนทำให้อากาศด้านในหนาวพอสมควร เขากำลังจะเดินออกไปด้านนอกแต่...
"แล้วเรื่องของน้องสาวคุณล่ะ"เธอตั้งคำถามอีกครั้ง ทำให้เขาต้องเดินกลับมาหาเธออีกรอบ"..เธอเป็นไงบ้าง"
"เธออยู่แนวหน้า ช่วยพวกทหารอยู่ที่นั่น"
"คนเดียวเหรอ"
"..."เขาเงียบพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา"เธออยู่กับจ่าแฮนสัน"
หญิงสาวกระตุกยิ้มพลางก้มหน้าลงช้าๆ นัยน์ตาสีฟ้าที่ดูราวกับอัญมณีส่อแววเหมือนว่าเธอไม่มีจิตวิญญาณอยู่ในตัวเลย
"ชีวิตที่ถูกเลือกโดยวัลคีรี"
".."
"เธอน่าสงสารรู้มั้ย คุณไม่ช่วยอะไรเธอเลยเหรอ"
ชายหนุ่มก้มหน้าลงแทนการตอบคำถาม ซึ่งก็ทำให้แอดเลอร์รู้ทันทีว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้ววางแก้วไวน์ไว้บนเคาน์เตอร์บาร์ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เสียงก้าวเท้าของเธอดังผ่านหูของเขาออกไปจนเงียบ เบิร์ตได้แต่นั่งก้มหน้าลงอยู่เพียงเช่นนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงตัดสินใจที่จะเดินตามหญิงสาวออกไปแทนที่จะนั่งอยู่ที่เดิม
บรรยากาศภายนอกช่างดูแตกต่างจากบรรยากาศในแนวหน้าที่เขาเคยไปอย่างลิบลับ แม้เสียงนกกลางคืนที่ดังอยู่ไกลๆจะช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูน่ากลัวขึ้นก็ตาม แต่มันก็ไม่ทำให้บรรยากาศยามวิกาลเช่นนี้ดูน่ากลัวขึ้นเลย ลมหนาวโชยมาเบาๆ...กับกลิ่นอายของสงครามที่ติดตามลมมา
"คุณได้ยินอะไรมั้ยแอดเลอร์"
"อะไรล่ะ ฉันก็ได้ยินแต่..."
หญิงสาวตอบพลางเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีดำสนิท แสงแวววาวบางอย่างจุดเต็มท้องฟ้า บ้างเป็นกลุ่มๆ..บ้างก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว มันทำให้เธอรับรู้ได้เลยว่านั่นคิอดาว
"..ดวงดาว"
"ใช่ดวงดาว"เขาเฉลย"คุณก็ได้ยินมันเหรอ"
เธอส่ายหัวแทนการตอบว่าไม่ ตายังคงจ้องมองไปบนท้องฟ้าที่ประดับไว้ด้วยกลุ่มดาวต่างๆ
"คุณอยากรู้หรือเปล่าว่า..แท้จริงแล้วคนที่ฆ่าดร.ไคลร์น่ะ เขาเป็นใครกันแน่"
แอดเลอร์ก้มหน้าลงพลางหันมามองใบหน้าของเขา
"...คุณจะบอกฉันแล้วเหรอ"
"เปล่า แต่ผมว่ามันใกล้ถึงเวลาที่คุณจะต้องรู้แล้วล่ะ"
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินกลับเข้าไปในร้าน ในขณะที่เธอกำลังใช้สมองครุ่นคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของเขา เขาบอกเธอว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว...งั้นเธอก็คงได้รู้ในเร็วๆนี้แน่ ในใจของเธอภาวนาขอให้เป็นคนอื่นในกองทัพ..ใครก็ได้ แต่เธอขออย่างเดียว...
...ขออย่าให้เป็นคนใกล้ชิดของเธอก็พอ
...
..
"...วัลคีรี คือ เทพธิดาผู้รับใช้โอดิน โดยมีหน้าที่รวบรวมวิญญาณของทหารกล้าที่เสียชีวิตในสนามรบไปที่วัลฮัลลาเพื่อพบกับโอดิน และกลายมาเป็นไอน์เฮอร์จาร์สู้ในศึกสงครามแร็กนาเริ้ค...สงครามสิ้นโลกระหว่างเทพเจ้าและปิศาจ
วิญญาณที่อยู่ในระหว่างการฝึกซ้อมที่จะทำสงครามนั้นจะได้ใช้อาวุธจริงทั้งสิ้น และถ้าหากพลาดพลั้งก็สามารถเสียชีวิตได้เช่นกัน แต่วัลคีรีจะใช้อำนาจวิเศษ..ชุบชีวิตวิญญาณนั้นให้ตื่นขึ้นมาอีกเพื่อทำการซ้อมรบต่อไป ถ้าหากตายอีกก็จะถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีก...วนเวียนกันเช่นนี้เรื่อยไป
คำว่า "วัลคีรี" มาจากภาษานอร์สโบราณ ซึ่งประกอบด้วยคำสองคำคือคำว่า varl หมายถึง ผู้ที่ตายในสนามรบ และคำว่า kjósa ซึ่งหมายถึง เลือก รวมแล้ว ความหมายของวัลคีรีนั่นก็คือ "ผู้คัดเลือกผู้ตาย" วัลคีรีมีชื่ออีกหลายชื่อที่ใช้เรียกกัน เช่น เด็กสาวแห่งคำอวยพร (óskmey) เด็กสาวของโอดิน (Óðins meyjar) ชื่อของวัลคีรีถูกปรากฏอยู่ในบทกวีเอ็ดดาในหลายๆโคลง..."
....
..และนั่นคือที่มาของชื่อ และหน้าที่ของเธอ...
"ชีวิตที่ถูกเลือกโดยวัลคีรี"
...
..
.
...
..
ร่างของใครคนหนึ่งนอนกลืนไปกับพุ่มหญ้าแห้งสีซีดกลางสนามรบ...
เขาค่อยๆลดกล้องในมือลงอย่างใจเย็นก่อนจะคลานไปข้างหน้าช้าๆเพื่อไม่ให้มีเสียง ชายหนุ่มหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมรบอีกสองถึงสามคนที่กำลังคลานตามตัวเขามาติดๆ อีกฝ่ายพยักหน้าให้สัญญาณเขาก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วเรียบชิดกำแพงทันที เขาได้รับรายงานว่าเอกสารที่ถูกอดีตสายลับมือดีของอเมริกาชกไปจากพวกนาซีอาจจะกลับมายังเบอร์ลินอีกหลังจากที่สายลับคนนั้นตายไป ทำไมเอกสารนั่นถึงสำคัญนักหนา นั่นคือสิ่งที่เขาสงสัย ทำไมงานนี้ถึงถูกส่งต่อมาให้กับแนวหน้า...ใช่ อาจเป็นเพราะทหารมือดีที่นั่นปฏิเสธแล้วโยนงานนี่มาให้เขา
"ชู่ว..."ทหารอีกคนหนึ่งยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากก่อนจะพ่นลมออกมาเบาๆ ก่อนจะชี้ไปด้านหน้า"สองคนข้างหน้าจ่า จัดการซะ"
แฮนสันพยักหน้ารับแล้วเคลื่อนตัวออกจากกำแพงอิฐอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้าประ ชิดตัวชายในเครื่องแบบของฝ่ายตรงข้ามโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันจะรู้ตัว ชายหนุ่มหยิบมีดพกขนาดเล็กออกมาเชือดคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็วก่อนจะปามีดเล่มนั้นไปยังเป้าหมายอีกคนซึ่งอยู่ตรงหน้าของเขา คมมีดแหวกผ่านลมไปปักเอากลางศีรษะของเป้าหมายผู้เคราะห์ร้ายก่อนจะล้มลง แฮนสันรีบวิ่งไปหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมาก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปยังโบสถ์ทีในขณะที่รอให้คนอื่นๆตามมา
สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ในทันทีที่เดินเข้ามาภายใน "สถานที่ของพระเจ้า" แห่งนี้คือความเงียบสงบและกลิ่นควันเทียนจางๆ ชายหนุ่มมองตรงไปยังด้านหน้าของเขาซึ่งก็คือไม้กางเขนขนาดใหญ่และรูปปั้นของพระแม่มารี นัยน์ตาฟ้าเหลือบดำคู่นั้นค่อยๆเบิกขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับปืนไรเฟิลที่ถูกปลดลงจากบ่ามาวางบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว ทหารคนอื่นเริ่มทยอยเข้ามาในโบสถ์อย่างเงียบเชียบ พวกเขาหันมองไปรอบๆตัวพลางรู้สึกตื่นตาราวกับว่าไม่ได้ผ่านเข้าสถานที่นี้มานาน
"โบสถ์นี่ใหญ่น่าดูเลยวะ"
"เงียบๆหน่อยสิวะ เดี๋ยวงานก็เข้าหรอกไอ้บื้อเอ้ย"
"พูดนิดหน่อยไม่ได้รึไง เดี๋ยวพ่อเอาปืนยิงไส้แตกเลย โห่.."
เขาสาวเท้าตรงไปยังหน้ารูปปั้นของพระแม่มารีก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลเก่าๆเปื้อนเลือดแตะตรงรูปปั้นนั่น เขาสัมผัสได้ถึงความสงบนิ่งในจิตใจก่อนจะได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆที่ดังขึ้นในหัวของเขา ชายหนุ่มค่อยๆหลับตาลงช้าๆ...ราวกับว่าทุกสิ่งหยุดนิ่ง เขาได้สัมผัสถึงความอบอุ่นปริศนาที่อยู่รอบตัวเขา คล้ายกับว่านี่คือโอบกอดแห่งพระแม่มารี
...แต่ทว่า..
บึ้ม!!
...
..
.
...
"แฮนสัน!"
...เสียงนี้มัน..นี่คือเสียงของแอมเบอล์..
"คุณจะต้องไม่เป็นไร! สะเก็ดระเบิดแค่นี้ไม่ทำให้คุณตายหรอกใช่มั้ย!?"
เขากะพริบตาช้าๆ ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นนอกเสียแต่ความมืดมิดอันไม่มีที่สิ้นสุด เขารู้สึกราวกับว่าวิญญาณของเขากำลังจะล่องลอยออกจากร่าง...
"ไม่ๆๆๆ...อาการเขาแย่ลงมากเลย..."
"..อ..แอม..บ.."
"อย่าพูดสิ! คุณจะต้องไม่เป็นไรไมเคิล!!"
ราวกับว่าความรู้สึกถูกกำจัดออกไปหมดทั้งสิ้น ไม่รู้สึกเจ็บ เศร้า เสียใึ และกลัวเลย เขาหลับตาลงช้าๆ...ก่อนที่ทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงแค่
...ความฝัน
..
.
..
"ไมเคิล!!"
----------------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น