คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : Special Chapter: Bad blood
คิดจริงๆเหรอว่าฉันต้องการคุณ แค่ไม่มีคุณฉันก็ไขคดีนี้ได้เองล่ะ
-Detective Elizabeth Adler-
-----------------------------------------------
นิวยอร์ก ซิตี้,สหรัฐอเมริกา 14 กรกฎาคม ค.ศ.2014
8.36 AM
ถ้วยกาแฟสีขาวที่มีไอร้อนฉุยค่อยๆถูกวางลงบนโต๊ะไม้มะฮอกกานีอย่างช้าๆ บนโต๊ะนั้นนอกจากจะมีถ้วยกาแฟวางอยู่แล้วยังคงเต็มไปด้วยเอกสารกองพะเนินอยู่เหมือนกับโต๊ะทำงานทั่วไป เอลิซาเบธมองลงไปยังกองเอกสารเหล่านั้นด้วยสายตาที่แสดงถึงความเซ็งจิตอย่างนัก มันมีเหตุผลอะไรบ้างที่ดลใจให้เธอเลือกที่จะมีความฝันเป็นสายสืบในกรมตำรวจนิวยอร์กในตอนเด็ก จะได้ทำงานที่เหมือนกับการผจญภัยเหรอ? หรือเพื่อเงินเดือนที่ต้องแลกมาด้วยการเสี่ยงตาย? มันไม่ใช่เลย...
หญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเอียงคอมองไปยังกองเอกสารนั่นเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรจะทำ นิ้วที่วางอยู่บนโต๊ะยังคงเคาะเป็นจังหวะเสียงกลองชุดที่ดังอยู่ในหูฟังที่เธอใส่อยู่ การใส่หูฟังแล้วนั่งฟังเพลงร็อคพร้อมกับดื่มกาแฟร้อนๆไปด้วยเป็นกิจวัตรหนึ่งที่เธอทำเป็นประจำทุกวัน เมื่อเธอใส่หูฟังเอาไว้แล้วเธอจะไม่สามารถได้ยินเสียงรอบข้างเลยทั้งสิ้น เป็นปัญหาให้กับวิลสัน..คู่หูของเธอประจำเลย
ชายหนุ่มยืนมองเธอมานานกว่ายี่สิบนาทีแล้วหลังจากที่พยายามเรียกเธอแล้วอยู่หลายรอบ ทั้งตะโกนเรียก เคาะโต๊ะ หรือสะกิดอะไรก็ตาม มันเหมือนกับว่าวิญญาณเธอหลุดลอยไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
..ไม่มีใครสามารถทนเธอได้นานหรอกนะ
ปัง!!
"เอลิซาเบธ!!"
เขาตัดสินแหกปากลั่นสำนักงานเพื่อลงทุนเรียกเธอ มันทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรวมถึงสายสืบคนอื่นหันมามองเขาเป็นสายตาเดียว แต่อย่างน้อยมันก็ได้ผล..เธอถอดหูฟังออกแล้วหันมามองเขาอย่างเซ็งๆ
"ทำไมต้องรบกวนเวลาส่วนตัวฉันด้วยวิลสัน"
"ผมไม่ได้รบกวนคุณสักหน่อยนะลิซ แต่...เลิกซะทีเถอะกับไอ้หูฟังบ้านั่นน่ะ"
เธอหันไปมองหูฟังในมือของตนเอง
"มีโลกส่วนตัวนี่มันผิดตรงไหนมิทราบ"
"ผิดตั้งแต่คุณฟังเพลงนั่นมาเกือบชั่วโมงแล้วน่ะสิ ฟังอะไรนักหนา"
"วงสกิลเล็ทไง ไม่รู้จักเหรอ"
วิลสันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ"ให้ตายสิ นักสืบฟังเพลงเมทัลด้วยเหรอเนี่ย.."
"เพลงร็อคหรือเมทัลมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ"
อันที่จริงแล้วนั้นคู่หูของเขามีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และไม่มีใครทนนิสัยของเธอได้นานเลยแม้แต่คนเดียว
"มีอะไรอีกล่ะ"อเลิซาเบธถามพลางเหล่ตามามองเขา
"เครื่องชงกาแฟมันดัน...เจ๊งอีกแล้วน่ะสิ! ทำไมคุณเข้าไปใช้มันทีไรมันถึงเป็นแบบนี้ตลอดเลยก็ไม่รู้..."
แอดเลอร์ยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของเขาก่อนที่เขาจะพูดจบ
"เอามือฟาดไปตรงมุม 45 องศาสิ เดี๋ยวมันก็ใช้ได้เองล่ะ"
เขาถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ก่อนจะตัดสินใจเดินเลี่ยงโต๊ะเธอไปทางอื่น เอลิซาเบธมองตามหลังเขาด้วยสายตาจิกสักครู่แล้วยกหูฟังขึ้นมาใส่อีกรอบเพื่อฟังเพลงต่อจากเมื่อครู่ นิ้วมือก็ยังคงเคาะโต๊ะไปตามจังหวะเพลงอยู่เสมอ วันนี้เธออาจว่างงานก็ได้กระมัง แต่ถึงอย่างไรคดีที่เพิ่งได้รับมานั่นก็ถึงจุดวิกฤติแล้วด้วย
เอลิซาเบธหลับตาลงช้าๆ นึกย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อดึกวันนั้น...
-กลางดึกคืนนั้น-
หญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลยืนมองหน้าเขาอยู่นานเลยทีเดียวกับคำถามที่เขาถามออกไปเมื่อครู่ เขาขอเธอเข้าไปในห้อง..พื้นที่ส่วนตัวของเธอ ตั้งแต่เธอเกิดมายังไม่มีผู้ชายหน้าไหนกล้าเดินเข้าห้องของเธอเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือใครก็ตามเพราะเธอเคารพพื้นที่ส่วนตัวของเธอมากและไม่ต้องการให้ใครเขเามายุ่งกับมัน แต่หากว่าวันนี้มันแปลกไป...
"เข้ามาสิ"
ใช่..ครั้งนี้มันแปลกไปเพราะเธอยอมให้เขาเข้าห้องของเธอมาได้ง่ายๆโดยที่เธอไม่บ่นเลยแม้แต่คำเดียว หญิงสาวกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะหลีกทางให้เขาเดินเข้ามาโดยดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆแล้วค่อยๆก้าวเดินเข้ามาในห้องของเธอ ครั้งนี้ที่เธอยอมก็ไม่ใช่ว่าเธอจะใจง่ายอะไรหรอกนะ...
...แต่เธอมีแผน
"รู้มั้ยฉันน่าจะเรียกคุณว่าแม็กซ์ เพย์น* คุณน่ะเหมือนเขาสุดๆ"
"นั่นมันในหนัง"คาร์ลพูดพลางหันมองไปรอบๆห้อง"อีกอย่างคือเขาไม่ใช่เอฟบีไอ"
เจ้าหน้าที่เอฟบีไอหนุ่มหันมองไปรอบๆห้องของเธอจนไปสะดุดตากับเปียโนตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมห้อง สีดำของเขาพลางตัวกับความมืดจนแทบจะมองไม่เห็นเลยหากมองผ่านๆ แต่เขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาดูห้องของเธอหรือเล่นเปียโนตัวนั้น แต่เพื่อเหตุผลบางประการ...ซึ่งนั่นต้องไม่ธรรมดาแน่
"มีธุระอะไรไม่ทราบ"เธอถามพลางจ้องมองมาที่เขา
"เชิญนั่งก่อนสิ ผมคงไม่เดินเข้ามาบอกคุณนิดหน่อยแล้วจากไปหรอกนะครับคุณนักสืบ"
เธอก้มหน้าลงแล้วค่อยๆย่อตัวลงนั่งบนโซฟาสีดำตัวหนึ่งที่วางอยู่ด้านหลัง เขามองตามเธอสักครู่ก่อนจะเริ่มเปิดฉากการสนทนาในที่สุด
"ก็นะ...ผมรู้ว่าเราเริ่มต้นได้ไม่ดีนักเลย..."
"หืม?"เอลิซาเบธเงยหน้าขึ้นมาอย่างสนใจ"ใช่ ก็คุณน่ะคิดจะแย่งคดีฉันไปน่ะสิ"
"อันที่จริง..เราทำคดีร่วมกันได้นะ ถ้าหากคุณต้องการ"
หญิงสาวถึงกับชะงัก เธอเพ่งมองไปยังใบหน้าของเขาด้วยท่าทีไม่เข้าใจในคำพูดของเขาเลย แต่แล้วคาร์ลก็หัวเราะออกมาเบาๆ
"ก็ง่ายๆนะ..คุณตามสืบไป สาวให้ถึงตัวฆาตกร ส่วนผมก็ทำเรื่องของผมไปอย่าง... เก็บรวบรวมหลักฐานอะไรทำนองนี้น่ะ"
"คิดว่าฉันจะตกลงมั้ยล่ะ เจ้าหน้าที่คาร์ล..."
เอลิซาเบธลุกขึ้นเดินออกจากที่นั่งไปอย่างช้าๆ เธอเดินหายเข้าไปในห้องครัวของเธอเพื่อไปทำอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆตามนิสัยแล้วลุกขึ้นยืนบ้าง ถ้าหากให้เขาลองเดาดูว่าเธอจะตกลงหรือเปล่า...มันก็ไม่แน่นอนเท่าไรนัก โอกาสที่เธอจะตกลงอาจมีน้อยกว่าการที่เธอจะปฏิเสธเสียอีก ฉะนั้น...เขามั่นใจได้เลยว่าเธอตอบตกลงแน่ ถึงแม้ว่าเธอจะพูดอะไรออกมาอีกก็ตาม
รอบๆห้องของเธอเต็มไปด้วยหนังสือและกองเอกสารวางเป็นกองพะเนิน ชายหนุ่มเดินสำรวจไปทั่วห้องแต่ก็ไม่ได้เจออะไรที่พิเศษมากนัก ท่ามกลางความเงียบเสียงฮัมเพลงของเธอดังออกมาจากในครัวอย่างชัดเจน เขาก็ยังคงเดินสำรวจไปเรื่อยจนไปเจอกับเปียโนตัวนั้นที่วางอยู่ ชายหนุ่มค่อยๆก้าวเดินไปรอบๆมันอย่างช้าๆในระหว่างที่สายตาก็จ้องมองหาบางอย่างที่อยู่กับมัน จนกระทั่งเขาเจอรอยอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหลังของตัวเปียโน
เขาคุกเข่าลงแล้วเพ่งมองไปยังรอยแปลกๆนั่น มือที่สวมถุงมือหนังสีดำถูกยกขึ้นมาแตะที่รอยนั่นเบาๆ..มันคือรอยสลักที่เป็นตัวเลข..
1221934...
"ไม่อยากเชื่อว่าคุณสนใจเปียโนนั่นด้วยนะ"
เธอถามพลางตั้งแก้วไวน์ไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปหาเขา คาร์ลชี้ให้เธอเห็นถึงตัวเลขสี่ตัวนั่นอย่างช้าๆ..
"วันที่ใช่มั้ย"เขาเอ่ยถาม
"แน่นอน ดูจากด้านหลังสิ..ปี 1934 ช่วงสงครามโลกพอดีเลยล่ะมั้งเนี่ย"
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปอีกด้านหนึ่งของตัวเปียโน...มันดูเก่า แต่อาจจะเป็นเพราะฝุ่นในห้องนี้มากกว่าเสียอีก
"เล่นเปียโนเป็นมั้ย"หญิงสาวถามขึ้น"ก็แบบว่า..นั่นแหละ"
"คนในตระกูลผมเล่นเปียโนเป็นทุกคน...ไม่ว่าจะใคร"
"คุณอาจเป็นญาติกับบีโทเฟนก็ได้นะเนี่ย"เอลิซาเบธพูดติดตลกจนทำให้เขาต้องปล่อยหัวเราะออกมาเบาๆ"ไหนลองแสดงให้ดูหน่อยซิ..ถ้าคุณเล่นได้ดี ข้อเสนอเมื่อกี้ฉันจะรับไว้พิจารณา"
"ท้าผมเหรอ ก็ได้นะถ้าคุณต้องการ"
หญิงสาวนั่งลงบนโซฟาตัวเดิม มือของเธอถือแก้วไวน์ที่มีไวน์ขาวอยู่ในนั้นก่อนจะยกมันขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ รสชาติละมุนลิ้นกับเสียงเปียโนที่บันเลงอยู่...นี่เป็นอะไรที่เธอตามหามานาน....
....
...
..
.
"แอดเลอร์.."
..
"เอลิซาเบธ"
"ห๊ะ? มีอะไรเหรอ"
หญิงสาวกลับเข้ามาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งหลังจากที่เธอหลุดไปไหนไกล เธอพยายามรวบรวมสติให้กลับมาแต่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เสียงเปียโนของเขาทำให้เธอพูดตกลงว่าจะรับข้อเสนอของเขาไว้พิจารณาดู มันอาจจะเป็นจริงก็ได้เรื่องคำพูดหยอกล้อของเธอที่พูดว่าเขาเป็นญาติกับบีโทเฟน...เพราะเขาเล่นเปียโนได้ดีเยี่ยมเลย...
...แต่เธอก็ไม่ได้ปลื่มเขามากเท่าไรหรอก
"เราต้องไปที่บ้านของเจ้าหน้าที่เมอเรดิกแล้วล่ะ บางทีเราอาจได้อะไรเพิ่มก็ได้นะ"
"ฉันรู้แล้ว..."เอลิซาเบธว่าพลางก้มลงไปหยิบบางอย่างออกมา"เมื่อวานฉันเพิ่งจะไปเบิกของใหม่มาพอดีเลย"
"ของใหม่? อย่าบอกนะว่าลืมกระบอกนั้นแล้วน่ะ"
เธอเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นของคู่หูของเธอ ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทาเน็คไทสีดำสนิทออกจะงงนิดหน่อยเมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับของเล่นชิ้นใหม่ในมือ เขาอดหัวเราะไม่ได้เลยกับรสนิยมในการใช้ปืนพกของหญิงสาว ไม่ว่าจะมีกระบอกใหม่เอี่ยมอ่องให้เธอเลือกสักร้อยกระบอก เธอก็ยังคงยืนยันที่จะใช้ปืนที่เหลือรอดมาจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น
"ว้าว..."วิลสันเผลออุทานออกมา"ปืนสวยดีนี่ลิซ"
"แน่นอน...นี่คือปืนที่ถูกใช้ในช่วงสงครามโลกของฝ่ายอเมริกัน Colt M1911"
รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ หญิงสาวเปิดลิ้นชักออกแล้วหยิบแม็คกสซีนปืนออกมาเพิ่มแล้วเก็บมันใสกระเป๋า
"ถ้าเธอมีศัตรูเยอะจนเป็นเหตุให้ถูกฆ่าละก็..ฉันคิดว่างานนี้คงได้บู๊แหลกแน่"
-เวลาต่อมา-
ตอนนี้เอลิซาเบธก็ได้เดินทางออกมาจนถึงบ้านของเหยื่อเอฟบีไอคนนั้นแล้ว จากประวัติของเธอนั้นมีบรรทัดหนึ่งที่ระบุเอาไว้ว่าเธอไม่มีคนในครอบครัวเหลือเลยนอกจากน้องสาวอายุสิบแปดของเธอ ซึ่งบ้านของเธอที่อยู่ตรงหน้านั่นก็ไม่ใช่บ้านที่หลังใหญ่โตมากนัก มีสวนหย่อมอยู่ข้างบ้าน..และนอกจากนี้ บ้านเธอยังมีสัตว์เลี้ยงอีกด้วย
"ไปกันเถอะ"เธอหันไปบอกกับคู่หูของเธอ"ตอนนี้ฉันคิดว่าน้องสาวของเธออาจรอเราอยู่ก็ได้นะ"
"ก็ได้ นำไปเลย"
ทั้งสองเดินผ่านประตูเข้าไปยังบริเวณบ้าน แอดเลอร์เหล่มองรอบๆนั้นนิดหน่อยราวกับกำลังระวังภัยก่อนจะเดินไปเคาะประตูไม้ตรงหน้าสามครั้ง สักครู่ก็มีคนเดินมาเปิดโดยที่เธอไม่ต้องรอนานเลย ประตูแง้มออกจนทำให้เธอเห็นคนที่เปิดประตูนั่น..
"เจ้าหน้าที่..คาร์ล? คุณอีกแล้วเหรอ?"วิลสันถามด้วยความประหลาดใจ
"เข้ามาสิ"ดูเหมือนกับเขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามของวิลสัน แต่กลับเหล่ไปมองหน้าของนักสืบแอดเลอร์แทน"เข้ามาสิ ผมกำลังสอบปากคำน้องสาวเธออยู่พอดี"
เธอตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่เห็นจะแปลกเลยที่เห็นเขามาอยู่ที่นี่ในเมื่อเพราะเธอตกลงทำตามข้อเสนอของเขาแล้ว แต่มันยังทีบางอย่างแปลกๆไป...เมื่อกี้เธอเห็นบางอย่างในมือของเขาที่เขาพยายามจะเก็บมัน จะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากปืนพกไง..
น้องสาวของเจ้าหน้าที่เมอเรดิกนั่งอยู่บนโซฟาสีดำ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ไม่มาก นัยน์ตาสีเทาราวกับสีของเหล็กกลอกไปมาอย่างไม่ไว้ใจใครเลยที่อยู่ภายในบ้านของเธอ การที่เธอร้องไห้เช่นนี้อาจจะแสดงว่าเธอยังไม่รู้ถึงการฆาตกรรมพี่สาวของเธอ เอลิซาเบธไม่อยากยืนรอให้เสียเวลา เธอรีบเดินไปยังโซฟาตัวนั้นทันที
"ซูซานน่า ไอรีน.."เธอเริ่มเปิดฉากการสอบปากคำ"เฮ้อ..ฉันเข้าใจคุณนะว่าเมอเรดิกเป็นคนในครอบครัวคนเดียวที่คุณเหลืออยู่ แต่ช่วยบอกอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับพี่สาวของคุณให้ฉันฟังหน่อยได้มั้ย..อะไรก็ได้"
อีกฝ่ายไม่ตอบ เธอก้มหน้าลงไปก่อนจะร้องไห้อีกครั้ง
"ไม่ได้ผลหรอกครับคุณนักสืบ"หญิงสาวเหล่ไปมองเอฟบีไอคนนั้นด้วยหางตา"เธอไม่ยอมคุยกับเจ้าหน้าที่หญิง ลองให้คู่หูของคุณคุยกับเธอดูสิ"
"ก็ได้.."
หญิงสาวตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นมาสำรวจดูบริเวณภายในห้องนั่งเล่นแทน กรอบรูปที่ตั้งเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบบนตู้เก็บของที่ระลึกเป็นรูปของสองพี่น้องที่เป็นเจ้าของบ้านนี้ เอลิซาเบธเอื่อมมือไปหยิบกรอบรูปกรอบนั้นมาดูอย่างสนใจ แต่หากสิ่งที่เธอสนใจไม่ใช่ตัวกรอบรูปที่ทำมาจากไม้ท่าทางราคาจะแพงน่าดูนั่น แต่กลับเป็นรูปถ่ายด้านในกรอบรูป...รูปนี้คงเป็นรูปที่ถูกถ่ายในวันเรียนจบของซูซานน่า ในมือของเธอถือหนังสือเอาไว้ส่วนเมอเรดิกพี่สาวของเธอก็กำลังยิ้มอยู่ในขณะที่มือยังกอดคอน้องสาวของตนเอาไว้
"ท่าทางสองคนนี้จะรักกันน่าดูเลยนะเนี่ย"เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบก่อนจะส่งรูปไปให้เจ้าหน้าที่คาร์ล
"ใช่...ครอบครัวนี้เหลืออยู่แค่สองคน ไม่มีใครอีกแล้ว"
"ตอนนี้เหลือหนึ่ง"
เธอสาวเท้าสำรวจรอบๆบริเวณไปเรื่อยๆเพื่อหาบางสิ่งที่อาจจะเกี่ยวกับเมอเรดิกอีกอย่าง แต่ถ้าจะให้ทำแบบนี้เธอควรจะขึ้นไปบนห้องของเธอเสียน่าจะดีกว่าการมาเดินดูแต่ชั้นล่างแบบนี้
เอลิซาเบธเดินไปที่บันไดตรงหน้าอย่างใจเย็นแล้วค่อยๆก้าวขึ้นไปด้านบนนั่น หากแต่ว่า...
เพล้ง!
ทั้งสองสะดุ้งพร้อมกัน ไม่แปลกเลยที่คาร์ลจะได้ยินด้วยในเมื่อเขาก็อยู่หน้าบันไดนั่นเอง แอดเลอร์หันกลับไปมองหน้าเขาในขณะที่มือข้างหนึ่งลดลงไปแตะกระบอกปืนพกของตนเองอย่างอัตโนมัติซึ่งเขาเองก็เช่นกัน ทั้งสองตัดสินใจเดินขึ้นมาบนบันไดอย่างช้าๆ เสียงเมื่อครูมันเหมือนกับมีอะไรสักอย่างแตกอยู่ด้านบน...อาจจะเป็นแก้วหรืออะไรก็ตามที่ทำจากกระจก แต่ที่แน่ๆสัญชาตญาณของเธอบอกให้เธอขึ้นไปตรวจความผิดปกตินั่น
เสียงนั่นเงียบหายไปแล้วหลังจากที่พวกเขาไปยืนอยู่หน้าห้องๆหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นที่มาของเสียง ห้องนี้ไม่ต้องสืบก็รู้แล้วว่าเป็นห้องของเมอเรดิก หญิงสาวใช้มือหมุนลูกบิดอย่งใจเย็นใขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยกปืนขึ้นมาเตรียมเอาไว้ ในขณะที่เธอกำลังหมุนลูกบิดอยู่ท่ามกลางเสียงหัวใจเต้นมันทำให้เธอรู้สึกราวกับกำลังโดนอะไรบางอย่างกดทับ...
เอี๊ยด...
และแล้วประตูก็เปิดออก แอดเลอร์ก้าวเข้าไปในห้องหนึ่งก้าวก่อนจะเล็งปืนไปตรงหน้า!
พรึ่บ!
"มีอะไรเหรอคุณนักสืบ"เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่อยู่ด้านหลังของเธอเรียกถามหลังจากที่พบว่าหญิงสาวกำลังลดปืนพกในมือลงช้าๆ
"มีใครบางคน..."เธอลากเสียง พลางเดินเข้าไปยังหน้าต่างบานตรงหน้าที่ถูกปิดเอาไว้สนิทแต่กลับมีรอยร้าวปรากฏอยู่"...ขว้างอะไรบางอย่างเข้ามาในนี้"
แอดเลอร์โน้มตัวลงไปเก็บก้อนหินก่อนหนึ่งที่ตกอยู่ใกล้ๆกับจุดที่เธอยืนอยู่ขึ้นมาดู คำถามก่อตัวขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว...
มันมาจากไหนกัน?
ปัง!!
"อ๊ะ..!!"
เสียงปืนที่ดังขึ้นมาจากชั้นล่างท่ามกลางความเงียบนั้นดึงดูดความสนใจของหญิงสาวให้รีบวิ่งลงไปทันทีพร้อมกับปืนพกคู่ใจ หากแต่ว่าตอนนี้ภาพที่เธอเห็นก็คือวิลสันกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าส่วนน้องสาวของเจ้าหน้าที่เมอเรดิกก็หายตัวไปพร้อมกับเสียงรถที่ค่อยๆจางหายไปกับสายลม เธอรีบตรงเข้าไปยังร่างของคู่หูของตนทันที เขาโดนยิงที่บริเวณท้อง..เลือดไหลออกมากองเต็มพื้นกระเบื่องสีขาวเต็มไปหมด
"วิลสันอดทนไว้"
"ผมจะโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลให้เอง.."
คาร์ลล้วงมือเข้าไปในกางเกงขายาวตัวสีดำเข้ากับชุดสูทหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์รถพยาบาลอย่างรสดเร็ว เข้าพูดอะไรบางอย่างกับปลายสายสักครู่แล้วกดวางโทรศัพท์ลง เอลิซาเบธกุมมือของวิลสันเอาไว้แน่นในขณะที่มองใบหน้าของเขาที่มีแต่เลือดกบปาก เขาคลี่ยิ้มอยู่ในขณะที่กำลังนอนหายใจแรงอยู่บนพื้น
"ผม...ไม่เป็นไร..หรอกน่า.."
"แน่เหรอ ขนาดคุณเจอผึ้งตัวเดียวเกาะอยู่บนถ้วยกาแฟคุณยังเป็นลมเลยนี่"หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง"อดทนเอาไว้วิลสัน"
"รถพยาบาลจะมาถึงภายในสิบนาที จับตาดูเขาเอาไว้นะคุณนักสืบ..อย่าให้เขาหลับ"
หญิงสาวบีบมือของเขาแน่นกว่าเดิม วิลสันรู้ดีว่าเขาจะไม่ยอมตายง่ายๆหรอกทั้งๆที่คดีนี้ยังไม่ถูกปิดลง แต่ความเจ็บปวดนั่นมันมีมากมายเหลือเกินที่เขาจะรับมันเอาไว้..และไม่ว่ามันจะทำให้เขาเป็นอย่างไรก็ตาม...เขาไม่ยอมตายเด็ดขาด!
"ลิซ.."เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า"..คิดเหรอ..ว่าผมจะ...ตายง่ายๆน่ะ"
"ไม่หรอกฉันไม่คิดแบบนั้น แต่ฉันจะไม่ยอมให้คุณหลับหรอกนะ!"
พวกเขาหยุดการกระทำทุกอย่างหลังจากที่พบว่ามีใครคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ปลายสายบอกกับเขาว่าจะมาถึงในไม่ช้าเพราะมีโรงพยาบาลอยู่ใกล้พอดีกับที่ๆพวกเขาอยู่ แต่อาจจะช้ากับการจราจรเสียหน่อยแต่ก็คงจะไม่ช้ามากถึงกับนานเกินสิบนาที แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทำอะไร..เสียงไซเรนรถพยาบาลก็ดังขึ้นมา...ใกล้และใกล้กว่าเดิม
เอลิซาเบธผละออกจากวิลสันที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นไปยังบานประตูเพื่อดูรถพยาบาล นอกจากนี้แล้วยังมีรถของเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหลังมาอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรถของสายสืบอีกคนที่ทำงานกับเธอ
รถคันนั้นชะลอลงแล้วจอดอยู่หน้าประตูรั้ว ฉับพลันร่างของสายสืบคนหนึ่งก็ค่อยๆก้าวลงมาจากรถ เบ็ธซีรีบวิ่งตรงเข้ามาในบริเวณบ้านทันทีหลังจากที่เห็นร่างของใครคนหนึ่งนอนกองอยู่บนพื้นซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในเพื่อนร่วมงานของเธอนั่นเองส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็คือหัวหน้าของเธอและเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนหนึ่ง
ตึกๆๆๆ
"เป็นอะไรหรือเปล่าลิซ!?"
เบ็ธซีรีบหยุดอยู่ตรงหน้าแอดเลอร์ ก่อนจะมองไปยังวิลสันซึ่งกำลังถูกยกตัวขึ้นบนเปลหามและตำรวจคนอื่นๆก็รีบเดินเข้ามายังที่เกิดเหตุ พวกเขามาช้ากว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก มันอาจเป็นเพราะการจราจรหรืออะไรก็แล้วแต่...ที่สำคัญคือพวกเขายังมาที่นี่
"ไม่หรอก ฉันสบายดี"เอลิซาเบธตอบพลางหันกลับไปมองด้านหลัง แต่ในขณะนี้เขาได้หายไปแล้ว"..ฝากตรงนี้ด้วยละกัน ฉันมีเรื่องที่ต้องจัดการกับไอ้เวรที่ยิงวิลสัน"
"แน่นอน อย่าเผลอเหนี่ยวไกใส่มันซะล่ะ"
หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีดำสนิททิ้งท้ายไว้ด้วยคำพูดติดตลกจนทำให้เอลิซาเบธอดที่จะเผยรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เธอแยกกับนักสืบเบ็ธซีแล้วตัดสินมจเดินไปที่รถยนต์ของตนเองซึ่งจอดอยู่หน้าประตูรั้ว ในทุกๆจังหวะการก้าวเดินของเธอมักจะทำให้เธอเผลอคิดอะไรขึ้นมาอีกหลายอย่าง...ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้และตอนนี้ไอ้สารเลวนั่นมันอยู่ที่ไหน ซูซานน่าที่หายตัวไปดื้อๆคงจะถูกจับตัวไปด้วยก็ได้ ณ เวลานี้การจราจรค่อนข้างจะติดขัดหน่อยมันอาจใช้ถ่วงเวลาให้หมอนั่นช้าลงสักนิด
ในที่สุดเธอก็เดินมาจนถึงรถของเธอเสียได้ แต่เธอก็ต้องชะงักก็เพราะบุคคลที่กำลังยืนพิงฝากระโปรงรถอยู่ตรงหน้าเธอนั่นล่ะ ชายในชุดสูทสีดำยืนกอดอกพลางใช้สายตาจ้องมองมาที่เธอแล้วเผยอปากขึ้นยิ้ม
"ผมไม่ยอมให้คุณไปสนุกกับการรับบทตำรวจจับผู้ร้ายคนเดียวหรอกนะครับคุณสายสืบ..."
"งั้นเหรอ"เอลิซาเบธกล่าวขึ้นเรียบๆพลางกดรีโมตเพื่อปดล็อกรถ"ถ้าอยากมาก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ รถฉันมีที่ว่างเหลืออยู่เยอะเลยนะ--"
เธอเปิดประตูรถออกมาก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะหนังสีดำ คาร์ลอาสาที่จะตัดสินใจนั่งเบาะข้างขวา เขาดูสงบมากในขณะนี้..แทบจะไม่รู้สึกอะไรเสียด้วยซ้ำ เธอคาดเอาไว้ว่าเขาคงจะรอให้เห็นท้ายรถของไอ้เวรนั่นตอนที่ขับออกไปจากที่นี่ ณ ตรงไหนก็แล้วแต่ เขาคงเตรียมปืนบรรจุกระสุนพร้อมเหนี่ยวไกใส่มันได้ในทุกวินาทีเลยกระมัง...
แต่ไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ?
"คาดเข็มขัดซะ"หญิงสาวร้องบอกในขณะที่ตนกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์อยู่"ถ้าไม่อยากตายก่อนวิลสัน"
"ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย ผมรู้ดีนะว่าการขับรถของคุณเป็นยังไง"
รถคันสีดำของเธอสตาร์ทติดเรียบร้อยแล้ว เอลิซาเบธเหยียบคันเร่งจนมิดก่อนจะหักพวงมาลัยออกจากที่จอดด้วยความเร็วโดยทันที แรงเครื่องยนต์รถของเธอทำให้เจ้าหน้าที่คาร์ลถึงกับเอามือของเขายึดเบาะหนังที่ตนนั่งอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มพอจะเข้าใจทักษะการขับรถของสายสืบเอลิซาเบธที่เป็นที่โจษจันกันในหมู่ตำรวจของเธอแล้วว่ามันเป็นอย่างไร บ้าบิ่นชะมัด!
เธอขับรถไปตามถนนที่มีแต่รถจอดอยู่เต็มเนื่องจากการจราจรติดขัด แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของเธอเสียทีเดียวหรอก เอลิซาเบธหักพวงมาลัยรถหลบรถยนต์บนถนนอย่างชำนาญราวกับเธอเคยลงแข่งในสนามมาก่อน เธอดึกวิทยุสื่อสารลงมาจากกระจกมองหลังก่อนจะกดปุ่ม
"เฮ้--ฉันต้องการหมายสกัดรถยนต์เดี๋ยวนี้เลย เปลี่ยน!"
[เอลิซาเบธเหรอ ได้สิว่าแต่รถอะไรล่ะ]
"สักครู่นะแมตต์..."เธอหันไปมองหน้าชายหนุ่ม"พอจะเห็นมั้ยว่ารถนั่นมันลักษณะยังไง!?"
เขาทำท่าใช้ความคิดสักครู่
"มันเป็นรถที่โดนขโมยไปเมื่อหลายวันก่อน..รถเอสยูวีสีดำ ป้ายทะเบียน บีเอพี 728"
เอลิซาเบธพยักหน้ารับคำแล้วกดปุ่มวิทยุอีกครั้ง
"โอเค เอสยูวีสีดำ บีเอพี 728 เปลี่ยน!"
[ได้เลยครับ ขอเวลาหน่อยเดี๋ยวจัดการให้]
"ตกลง เลิกกัน"
หญิงสาวละกันสายตาจากวิทยุสื่อสารแล้วกลับมาจดจ่ออยู่กับการเหยียบคันเร่งรถอีกครั้ง และทันใดนั้นเองสายตาอันเฉียบคมของเธอก็ได้ปะทะกับรถคันหนึ่งที่กำลังแล่นเร็วเท่าๆกับที่เธอขับ เอสยูวีสีดำ..บีเอพี 728 นั่นมันรถที่เธอกำลังจะตามจับนี่! แต่เธอจะจัดการกับมันอย่างไรดีในเมื่อมันกำลังจะแล่นขึ้นสะพานตรงหน้า..
"ให้ตาย.."หญิงสาวสบถออกมาอย่างอดไม่ได้"เราโดนมันเล่นงานเข้าให้แล้วล่ะ!"
"ขับรถเก่งไม่ใช่เหรอ ขับขี้นสะพานนั่นซะสิ"
มือเรียวยาวเอื้อมไปแตะคันเกียร์อย่างรวดเร็วในขณะที่เท้าข้างหนึ่งยังคงเหยียบคันเร่งจนมิด
"จัดให้เลย..."
รถยนต์คันนั้นออกตัวพุ่งไปอย่างรวดเร็วจนเป็นจุดสนใจของเหล่าผู้คนที่สัญจรไปมาในระแวกนั้นไม่ว่าจะบนทางเดินหรือที่นั่งอยู่ในรถก็ตาม แอดเลอร์ขับตรงไปตามท้องถนนด้วยความเร็วเต็มอัตราจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเผลอยื่นมือไปยึดเบาะหนังที่ตนเองนั่งอยู่ หญิงสาวขับหลบรถอย่างชำนาญราวกับว่าท้องถนนนี้คือสนามแข่งรถ เสียงบีบแตรดังไล่มาเป็นระยะๆทุกที่ที่เธอผ่านซึ่งมันก็ชาชินเสียแล้วสำหรับเธอ
เอสยูวีคันสีดำเป้าหมายของพวกเขาเริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าตนกำลังถูกตามไล่ล่า มันเริ่มแล่นเร็วขึ้นกว่าเดิมจนคนในรถที่ถูกลักพาตัวไปนั้นถึงกับมีท่าทีหวาดกลัวมากกว่าเดิม ซูซานน่า ไอรีนรู้สึกกระสับกระส่ายมากกว่าเดิม นัยน์ตาของเธอกลอกไปซ้ายทีขวาทีด้วยความกลัวบวกกับเสียงเหี้ยมของคนขับที่ดังเตือนเธอมาเป็นครั้งคราวมันกลับดังมากขึ้น
"ปล่อยฉันไปนะ!!"เธอพูดพลางพยายามปดล็อกกลอนประตูรถแต่ทว่ามันกับถูกล็อกเอาไว้อีก อีกฝ่ายเมื่อเห็นการกระทำของเธอแล้วจึงต้องหยุดเธอทันที
"อยู่นิ่งๆสิวะนังบ้าเอ๊ย..!"
ชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบปีเจ้าของเสียงเหี้ยมน่ากลัวคนนั้นหันไปตะคอกใส่หญิงสาวพลางใช้มือข้างหนึ่งดึงผมเธอเอาเป็นกระจุกตงจนเธอต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มันเสมองไปยังกระจกรถแล้วมองเห็นรถยนต์คนสีดำคันหนึ่งแล่นตะบึงตามเขามาราวกับสายฟ้าฟาด ชายหนุ่มเริ่มมือสั่นและแสดงท่าทีลนลานออกมาในที่สุดแต่ก็ยังคงใจแข็งพอที่จะบังคับรถต่อไปอย่าหยุด
"ให้ตายสิไอ้ตีนผีนี่!"
"เราต้องหยุดเขาแอดเลอร์--"คาร์ลลากเสียงพลางนึกอะไรบางอย่างออก เขามองตรงไปยังด้านหน้าซึ่งบัดนี้กลับไม่มีรถอยู่เลยแม้แต่คันเดียว และรถเอสยูวีคันนั้นก็ยังคงอยู่แค่เอื้อม
เอลิซาเบธขับรถยนต์ของตนขึ้นสะพานบรู๊คลินด้วยความเร็วสูงอย่างไม่น่าเชื่อ สายตาอันเฉียบคมเช่นนกอินทรียังคงจับจ้องไปยังเหยื่อซึ่งกำลังแล่นหนีเธอไปอย่างใจเย็น หญิงสาวขับเข้าใกล้รถเป้าหมายมากขึ้นทุกทีแต่เสียอย่างเดียวคือ..มันไม่ยอมหยุดให้เธอน่ะสิ
"มันไม่ยอมหยุด ไม่ชะลอรถลงเลยด้วยซ้ำ"
เสียงกัดฟันกรอดดังเล็ดลอดออกมาจากริฝีปากสีแดงสดของหญิงสาวเบาๆอย่างอดไม่ได้ เธอเข้าใกล้ระยะรถคันนั้นมากขึ้นทุกทีจนมันเริ่มจะเพิ่มความเร็วมากขึ้นอีกครั้ง เจ้าหน้าที่คาร์ลมองรถคันนั้นด้วยสายตานิ่งๆก่อนจะตัดสินใจหยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อสูทสีดำที่เขาสวมอยู่--มันคือปืนพก 9มม. สีดำตัดกับสีเงินแวววับ ชายหนุ่มหยิบมันออกมาแล้วค่อยๆลดกระจกรถลง
"เดี๋ยวนะ คุณจะทำอะไรน่ะเจ้าหน้าที่คาร์ล!!?"หญิงสาวร้องถามด้วยความสงสัยหากแต่คำตอบของเขากลับกลายเป็นรอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้านั่นแทน
"ก็..."เขาหยิบแม็ตกาซีนออกมาใส่แล้วปลดเซฟปืน"จัดการกับตีนผีของคุณไง.."
ชายหนุ่มชะเง้อตัวออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับล็งปืนพกของตนเองในมือไปด้านหน้า รถที่ส่ายไปมาทำให้มือของเขาอยู่ไม่ค่อยนิ่งเท่าไรนัก แต่โชคดีที่เขาเคยประจำการในกองทัพมาก่อน..และเขารู้วิธีแก้ปัญหานี้
ตาข้างหนึ่งค่อยๆเลื่อนปิดลงอย่างช้าๆในขณะที่เขาเล็งปืนไปยังล้อรถของรถเอสยูวีคนตรงหน้าเขาเอง ชายหนุ่มเลื่อนนิ้วไปแตะไกปืนรูปโค้งราวกับจันทร์เสี้ยวเบาๆก่อนจะลั่นไกโดยทันที!
ปัง!!
เขาตัดสินใจลั่นไกโดยทันทีเมื่อได้โอกาสแล้ว กระสุนปืนสีเงินแวววาวเจาะทะลุผ่านยางสีดำที่ติดอยู่กับล้อรถจนทำให้รถเริ่มไม่สามารถที่จะทรงตัวต่อไปได้ มันเหวี่งไปมาทั่วท้องถนนก่อนจะชะลอลงจอดตรงขอบสะพาน คาร์ลลดปืนในมือลงเก็บใส่ไว้ในเสื้อตามเดิมแล้วหันไปหาหญิงสาว
"จอดรถ"
รถค่อยๆชะลอความเร็วลงจอด ฉับพลันประตูรถยนต์สีดำก็เปิดออกมพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนที่กำลังวิ่งเข้าไปยังรถคันนั้นพร้อมกับปืนในมือ แต่ดูเหมือนกับอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆเลย มันเปิดประตูรถก่อนจะกเาวลงมาด้านล่างอย่างรวดเร็วแล้วกำลังออกตัววิ่ง
ให้ตายสิ..มันกำลังจะหนี!
หญิงสาวหันไปมองเจ้าหน้าที่เอฟบีไอหนุ่มซึ่งกำลังชะลอความเร็วลงจากวิ่งกลายเป็นการสาวเท้าเร็วๆ ปืนพกในมือของเขาถูกยกขึ้นเล็งไปยังเป้าหมายที่กำลังวิ่งอยู่ในขณะที่แอดเลอร์กำลังเข้าไปด้านในตัวรถเอสยูวีคันนั้นแล้วดึงตัวซูซานน่าออกมา ในขณะที่คนร้ายกำลังตั้งใจวิ่งหนีอยู่นั้น ฉับพลันร่างของใครบางคนก็โผล่มาตะครุบตัวของมันให้นอนราบไปบนพื้นถนนเสียก่อน
"ไงเพื่อนยาก คิดจะหนีตำรวจเหรอไง"เจ้าหน้าที่คาร์ลกล่าวพลางเอากุญแจมือออกมาจากกระเป๋ามาใส่ที่ข้อมือของมันในขณะที่มันไร้ทางสู้"เจอกันที่สถานีนะไอ้โจรร้าย"
-เวลาต่อมา-
เอลิซาเบธสาวเท้าเดินไปมาในห้องสอบปากคำ...หรือที่เรียกว่านรกของคนปากแข็ง..
บรรยากาศในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆนี่ค่อนข้างจะอึดอัดพอควรสำหรับบุคคลที่ถูกใส่กุญแจมือแบ้วนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะนี้ ไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียวเล็ดลอดออกมาจากปากมันเลยด้วยซ้ำหลังจากที่ถูกจับมาที่นี่ ตรงหน้าของมันคือกระจกบานใหญ่ที่ดูเผิ่นๆแล้วคือกระจกเงาที่กั้นระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านนอกและบุคคลต้องสงสัยภายในห้อง หญิงสาวก้าวกลับไปนั่งบนโต๊ะที่มีแก้วกาแฟตั้งอยู่แล้วบกมือขึ้นกอดอก
"ไง.."เธอยิ้ม"รู้สึกยังไงบ้างที่ได้เข้ามาอยู่ในห้องนี้น่ะ"
"..."
บุคคลต้องสงสัยตรงหน้าของเธอในตอนนี้เอาแต่นั่งเงียบมามานานแล้วหลังจากที่จับมันมานั่งบนเก้าอี้นี่พร้อมกับกุญแจมือ หญิงสาวเผยอปากยิ้มอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นแตะใบหน้าอีกฝ่ายอย่างช้าๆ แต่เขาก็หันหน้าหลบ
"ลักพาตัวซูซานน่า ไอรีนทำไมเหรอจ่า"
คราวนี้มันเงยหน้าขึ้นมองเธอแต่ก็ยังคงเงียบ
"อ้อ ลืมไปเลยว่าคุณเป็นทหารที่หนีออกมาจากกองทัพใช่มั้ยล่ะ...จ่าเคนเนธ"
ชไวเก็น ริชาร์ด เคนเนธ คือชื่อของบุคคลต้องสงสัยตรงหน้าของเธอ เขาเป็นอเมริกันที่มีเชื้อสายอังกฤษและเยอรมันปนอยู่นิดๆหน่อยๆ อายุประมาณ 29-30 ปี จากประวัติของเขาคือทหารที่อยู่ในกองทัพและเคยเข้าประจำการที่อิรักสามครั้ง แต่แล้วด้วยเหตุผลบางอย่างเขาก็ตัดสินใจหนีออกมาจากกองทัพและทิ้งเพื่อนร่วมรบไว้ด้านหลัง...กลายเป็นโจรไปแทน
ชายหนุ่มในเสื้อหนังสีดำก้มหน้าลงตามเดิม เขาไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกับเธอในตอนนี้
"รู้มั้ย.."เธอกล่าวขึ้นพลางยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง"..ฉันเกลียดความเงียบ เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังเงียบ ฉันก็จะเรียกคนอื่นให้มาสอบปากคำคุณแทนฉัน..ซึ่งคนๆนั้นก็คือเอฟบีไอที่จับตัวคุณเมื่อกี้นั่นแหละ"
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นช้าๆ
"ผมถูกจ้างให้ลักพาตัวเธอ จบมั้ย"
"เปล่า...ไม่จบ เพราะคุณอาจเป็นฆาตกรของเราที่ฆ่าพี่สาวเธอด้วยเช่นกัน"
"ผมบอกแล้วไง...ผมถูกจ้าง"
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังใช้น้ำเสียงบีบเขาอยู่ในขณะนั้น เขาก็ไม่มีทางที่จะกลายเป็นคนอ่อนแอไปได้ เธอไม่รู้หรอกว่าเธ กำลังเล่นกับใครอยู่แม่สาวน้อย...
"รู้จักเธอรึเปล่า"
"เปล่า"เขาตอบสั้นๆ
"ถ้าคุณยังปฏิเสธทุกคำพูดของฉันอีก..ฉันจะ..."
หญิงสาวลากเสียง สายตายังคงจับจ้องไปยังอีกฝ่าย
"คุณไม่กล้าทำอะไรผมหรอกจริงมั้ย"เคนเนธเลิกหน้าขึ้นมองเธอ
"ใช่-- แต่ถ้าเป็นเขาก็อาจไม่แน่นะจ่า"
เอลิซาเบธหันไปทางกระจกบานใหญ่ที่กำลังสะท้อนเงาของเธอและบุคคลต้องสงสัยคนนี้ก่อนจะยกมือขึ้นมาราวกับเธอกำลังส่งสัญญาณบางอย่างให้กับคนที่ยืนอยู่หลังกระจกนั่นแล้วหันกลับมายิ้มให้กับเขาอีกครั้ง
"ดูเหมือนว่า...คุณคงต้องตอบคำถามของเขาแทนแล้วล่ะ"
ประตูห้องค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้านในอย่างช้าๆ ในมือของเขาเต็มไปด้วยซองเอกสารมากมายที่จะใช้ในการสอบปากคำครั้งนี้ เขาเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าเคนเนธพลางวางซองเอกสารในมือลงบนโต๊ะเบาๆ ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำถอนหายใจออกมาเบาๆในขณะที่เอลิซาเบธกำลังกระโดดลงจากโต๊ะที่นั่งอยู่มายืนด้านหลังเขาแทน
"ชไวเก็น ริชาร์ด เคนเนธ"คาร์ลพูดชื่อของบุคคลตรงหน้าขึ้นมา"ผมจะถามคำถามหน่อยสักสองสามข้อ ฉะนั้น...ถ้าตอบได้ก็ตอบซะ"
"อย่าปากแข็งล่ะพ่อหนุ่มน้อย"หญิงสาวกล่าวขึ้นพลางเดินวนไปรอบๆห้อง
คาร์ลเปิดซองเอกสารอย่างใจเย็นแล้วหยิบบางอย่างออกมาด้านนอกแล้ววางบนโต๊ะ มันคือรูปถ่ายใบหนึ่ง..ในรูปคือรูปใบหน้าของเจ้าหน้าที่เมอเรดิกซึ่งบัดนี้กลับดูซีดเซียวดูไร้ชีวิต เคนเนธก้มลงมองรูปถ่ายแล้วเงยหน้าขึ้นมา
"คุณลักพาตัวน้องสาวของเธอคนนี้...และผมเดาเอาไว้ว่าคุณก็คงจะเกี่ยวข้อวกับการตายของเธอเหมือนกันใช่มั้ย"
"ผมไม่รู้จักเธอ"
"จริงเหรอ--?"หญิงสาวโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูของเขา"งั้นทำไมในประวัติการโทรออกของเธอถึงมีปต่ชื่อคุณเต็มไปหมดเลยล่ะ.."
เขาเงียบลง
"ถ้าไม่นับเรื่องทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมว่าคุณคงไปนอนในคุกนานเลยล่ะ"
"ใช่..จะว่าไปคุณยิงคู่หูฉันนี่ ทำไมฉันถึงไม่พูดกับคุณเรื่องนี้กันนะ"
เคนเนธตัดสินใจก้มหน้าลงตามเดิม ในเมื่อเขาไม่ได้ผิดอะไรทั้งสิ้นกับทุกสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาฉะนั้นทนายก็ยังไม่จำเป็นอะไรกับเขาเลยในตอนนี้ เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกตำรวจนี่จะบีบเขาไปถึงเมื่อไร
"ก็ได้ ผมรู้จักเธอ"
"น้องสาวของเธอล่ะ ซูซานน่า ไอรีน"
"ผมโดนจ้างให้เอาตัวเธอกลับไป"
บรรยากาศรอบตัวเงียบลงในทันทีหลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นออกมา เอลิซาเบธยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะหยุดเดินอยู่ด้านหลังของคาร์ลในขณะที่บุคคลต้องสงสัยตรงหน้าของพวกเขาจะก้มหน้าลงอีกครั้ง
ชายหนุ่มยกมือทั้งสองขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเริ่มตั้งคำถามต่อไป
"ที่ก้มหน้าเนี่ย..."เขาลากเสียง นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองไปยังบุคคลตรงหน้า"คุณรู้สึกผิดหรือว่าคุณกำลัง...เสแสร้งกันแน่จ่า"
เคนเนธเงยหน้าขึ้นมา"อะไรนะ"
"เขาถามคุณอยู่นะจ่า"หญิงสาวพูดขึ้นมาบ้าง"เพราะพวกเราเห็นคุณก้มหน้าตลอดเลยกับการถามคำถามของเรา คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?"
"ฟังนะ ผมไม่ได้ฆ่าผู้หญิงคนนี้ ส่วนแม่สาวนั่นผมโดนจ้าง เข้าใจมั้ย"
ปัง!!
เขาและเอลิซาเบธต่างสะดุ้งโดยทันทีกับเสียงฟาดมือลงบนโต๊ะของเจ้าหน้าที่คาร์ล ท่าทางเขาคงทนไม่ไหวกับเรื่องนี้แล้วล่ะ
"งั้นคุณก้มหน้าลงทำไมล่ะจ่า!?"ชายหนุ่มเริ่มกระชากเสียง"ถ้าคุณไม่ได้ฆ่าเธอคุณจะก้มหน้าลงทำไมกันล่ะ!?"
เสียงตะคอกของเขาดังไปทั่วห้องสอบปากคำและดังมาตามสายลำโพงที่อยู่หลังกระจกอีกด้านหนึ่ง ไรอัน ฟอร์ด หัวหน้าของกรมตำรวจที่นี่ยังคงยืนถือแก้วกาแฟสีขาวก็ถึงกับสะดุ้งตามเสียงตะคอกนั่นเหมือนกัน ทุกๆครั้งที่มีการสอบปากคำเขาจะต้องมายืนอยู่ที่นี่เสมอ แต่เหตุการณ์ในวันนี้คงทำให้เขาไม่อยากจะมาอีกแล้วล่ะ เพราะเจ้าหน้าที่เอฟบีไอนั่นทำให้เขาตกใจอย่างไรล่ะ!
"ผมก้มหน้าแล้วมันไปหนักหัวใครล่ะ ให้ตายทำไมตำรวจพวกนี้ถึงหัวเสียกันขังเลยวะเนี่ย"เขาสบถออกมาอย่างทนไม่ได้
"อ่าว อย่าเอาฉันไปรวมกับเขาสิ--"หญิงสาวกล่าวขึ้นมาลอยๆ
"ฟังนะจ่า..."คาร์ลลากเสียงขณะที่สายตายังคงจ้องไปยังเคนเนธ"...ถ้าคุณก้มหน้าตาของคุณเหลือบมองไปทางขวา...นั่นหมายความว่าคุณรู้สึกผิดจริงๆ"
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ในหัวยังคงคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของเอฟบีไอคนนี้อยู่
"...และ"เขาพูดขึ้นมาอีกครั้ง"...ถ้าเกิดว่าคุณก้มหน้าและตาของคุณมองไปทางซ้ายล่ะ...มันจะหมายความว่าอะไรเหรอ"
"คุณกำลังเสแสร้งไง"เอลิซาเบธตอบคำถามแทนเขา
"ซึ่งเมื่อกี้นั้น..ถ้าผมไม่ได้ตาฝาดละก็...ผมเห็นคุณเหลือบมองไปทางซ้ายนะ"
ชายหนุ่มเผยอริมฝีปากขึ้นยิ้มเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังกลายเป็นผู้ที่มีไพ่เหนือกว่าอีกฝ่ายในขณะนี้ เคนเนธกลืนน้ำลายลงคออีกรอบในระว่างที่รู้สึกว่าตนเองกำลังโดนอีกฝ่ายบีบจนแทบจะหมดความอดทน เขาเหลือบตาขึ้นมองรูปถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วตัดสินใจจะพูดบางอย่างออกมา
"ผมอยากคุยกับคุณ..."เขาเงยหน้าขึ้นมาพลางมองตรงไปยังหญิงสาว"...เป็นการส่วนตัว"
"ทำไมเลือกคุยกับสายสืบแอดเลอร์กันล่ะ--แต่ก็ได้"
รูปถ่าย..รวมไปถึงซองเอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะถูกเก็บรวบรวมกันก่อนจะถูกยกขึ้นมาจากโต๊ะ คาร์ลเดินถือเอกสารพวกนั้นออกไปจากห้องสอบปากคำเหลือไว้แต่เพียงความกดดันที่ทิ้งเอาไว้ให้เคนเนธ หญิงสาวมตามหลังของเขาตอนเขาออกไปจากห้องด้วยสายตาเนือยๆ ก่อนที่จะหันมามองหน้าบุคคลที่ถูกใส่กุญแจมืออีกครั้ง
"มีอะไรจะคุยกับฉันเหรอ"
"มานี่ทีสิ--ผมมีบางอย่างจะบอกคุณ"
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วตัดสินใจเดินไปยังเคนเนธ เธอหยุดยืนอยู่ข้างๆเขาพลางโน้มตัวลงมาในขณะที่ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ตหนังสีดำเงยหน้าขึ้นกระซิบบางอย่างข้างหูของหญิงสาว เอลิซาเบธตั้งใจฟังทุกคำพูดของเขาจนในที่สุด...
เธอกัดริมฝีปากที่แต้มด้วยลิปสติกสีแดงสดของตนเองช้าๆ...
ให้ตายสิ...
ฟึ่บ...
เธอกำหมัดแน่น...ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องสอบปากคำแล้วสาวดท้าออกไปด้านนอก ไรอันซึ่งยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของกระจกถึงกับขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย...อะไรที่ทำให้เธอนิ่งไปแบบนั้นกัน เขาพูดอะไรกับเธอ?
ตึก..ตึก..ตึก..
"อ้อว่าไงลิซ จะไปเยี่ยมวิลสันพร้อมฉันรึเปล่าล่ะ"
"เอาไว้ก่อนโรบิน"เธอกล่าวขึ้น น้ำเสียงของเธอเหมือนกับว่าเธอกพลังกัดฟันพูดอยู่"เจ้าหน้าที่คริสต์ไปไหนซะแล้วล่ะ"
สายสืบโรบินซึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเองถึงกับเงยหน้าขึ้นจากหนังสือนวนิยายในมือขึ้นมองหญิงสาว นัยน์ตาสีอำพันทองของเธอส่อให้เห็นถึงความสงสัยอย่างยิ่ง
"เขาเพิ่งไปเมื่อกี้นี้เอง มีอะไรเหรอ"
ปัง!
"เวรเอ๊ย..."
เสียงปังเมื่อครู่ทำให้โรบินถึงกับปล่อยหนังสือนิยายในมือของตนเองลงบนโต๊ะโดยอัตโนมัติ เธอเลิกสายตาขึ้นมองหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมหนังสีดำตรงหน้าด้วยความฉงน
"มีปัญหาอะไรกับเขางั้นเหรอ"
นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบเขียวเหล่ขึ้นมองเพดานในขณะที่มือทั้งสองยังคงกำหมัดแน่น เธอหันมาสบตากับเพื่อนร่วมงานของตนเองอีกครั้ง
"อ้อ...ใช่ มีแน่ๆ"เธอใช้น้ำเสียงเข้มขึ้น สื่ออารมณ์ของเธอได้ว่าในตอนนี้เธอกำลังอารมณ์เสียสุดๆ"เขาคือคนที่จ้างจ่าเคนเนธให้ลักพาตัวซูซานน่า ไอรีนไงล่ะ"
หญิงสาวเจ้าของผมบ๊อบสีแดงวางแก้วกาแฟในมือลง นัยน์ตาของเธอเบิกขึ้นด้วยความตกใจ...
"ใช่...เธอฟังไม่ผิดหรอก..ไอ้คนที่ฉันกำลังตามหาอยู่ ก็คือเขานั่นแหละ!"
....
...
..
.
[ว่าไงเจ้าหน้าที่คริสต์]
"ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ตัวแล้วล่ะครับ"
[ว้า...น่าเสียดาย เธอดันฉลาดมากกว่าที่ผมคิดไว้อีกนะเนี่ย]
น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูผิดหวังเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆอีกครั้งในขณะที่ยังคงถือสายค้างเอาไว้
"ช่างเถอะ ยังไงเธอก็ไม่รู้อยู่ดีนั่นล่ะ"
[งั้นก็ดี จัดการเรื่องนี้ให้จบๆไปซะ พวกตำรวจนิวยอร์คจะได้ไม่มายุ่งเรื่องนี้อีก]
"รับทราบครับ"
คริสต์กดวางสายไปแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ชายหนุ่มเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกไปจากบริเวณกรมตำรวจนิวยอร์ค นัยน์ตาสีเทาเฉกเช่นกับสีของฤดูหนาวเหม่อมองขึ้นบนฟากฟ้า ริมฝีปากของเขาค่อยๆเผยอขึ้นทีละน้อย
"คุณพลาดแล้วล่ะ สายสืบเอลิซาเบธ"
------------------------------
ความคิดเห็น