Courage's Cheif หัวหน้ากลุ่มกล้า(หน้าฉาก)1/4 - Courage's Cheif หัวหน้ากลุ่มกล้า(หน้าฉาก)1/4 นิยาย Courage's Cheif หัวหน้ากลุ่มกล้า(หน้าฉาก)1/4 : Dek-D.com - Writer

    Courage's Cheif หัวหน้ากลุ่มกล้า(หน้าฉาก)1/4

    ในส่วนนี้เป็นเรื่องด้านมืดของเมืองMegalopolis ที่เต็มไปด้วยกลุ่มมาเฟียหลายกลุ่มทั้งยังมีตำนานบุรุษลึกลับประจำเมืองอีกด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรเชิญติดตามชมได้ครับ...

    ผู้เข้าชมรวม

    136

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    136

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 พ.ย. 53 / 10:32 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      “เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันทำให้ข้ารู้สึกกลัว เบื้องหน้าของข้ามีแต่คนที่ข้าไม่รู้จัก ทุกอย่างรอบๆตัวข้ามันเริ่มบิดเบี้ยว ในหัวข้าเริ่มวิงเวียนเหมือนกับถูกโยนลงเครื่องปั่น ภาพกึ่งสลัวกึ่งมืดตรงหน้าทำให้ข้านึกย้อนไปเมื่อสมัยที่ข้าอ่อนแอ ไม่! ถ้าข้านึกถึงมัน ข้าจะ...”

      “ทำไมแกทำแบบนี้…”

      “…” นั่นเป็นคำตอบที่ข้าไม่อยากได้ยิน

      “…..” นั่นเป็นความจริงที่ข้าไม่อยากรับรู้

      “พวกแก!!!”

      .........   

      ในซอยตันแห่งหนึ่ง ในมุมมืดของเมืองMegalopolis มันเป็นที่ๆเปียกชื้น โสโครก เต็มไปด้วยขยะมูลฝอย


      “ดูเหมือนแกคิดจะไม่จ่ายแต่แรกแล้วนี่หว่า”

         
      “ก็ใช่น่ะสิ พึ่งรู้ตัวเรอะ?”


      “ยอมจ่ายเงินจ้างไอ้กุ๊ยพวกนี้ แทนที่จะจ่ายค่าคุ้มครอง ดูท่าแกคงมีเงินเหลือใช้”


      “จะไหวเหรอครับ ลูกพี่ไรย์” ชายหนุ่มที่ยืนด้านหลังกระซิบถาม


      “ถ้าแกไม่ไหว แกก็หนีไปสิวะ เฟียร์ซ” ไรย์ตอบชายหนุ่มด้านหลังโดยไม่ละสายตาจากศัตรูเบื้องหน้า


      “ผมก็อยากจะหนีอยู่หรอก แต่มันไม่มีทางให้หนีน่ะสิครับ” เฟียร์ซตอบพร้อมยิ้มแห้งๆ


      “ใช่แล้ว แกต้องสิ้นชื่อตรงนี้แหละ ไอ้หมาบ้า” ชายที่ยืนหน้าสุดยิ้มจนเผยให้เห็นเขี้ยว


      “ใครจัดการไอ้หมาบ้าได้ ฉันมีรางวัลให้อย่างงาม” ชายอ้วนชี้นิ้วที่สวมแหวนสีทองไปยังชายที่กล้ายืนประจันหน้ากับคนนับสิบที่มีอาวุธครบมือ


      “ไอ้หมาบ้าต้องเสร็จข้าเท่านั้นเว้ย...” เสียงตะโกนกู่ร้องเรียกฉายาของเขาดังไปทั่วทั้งซอย


      .........   


      ใช่แล้ว ข้าคือ ไอ้หมาบ้า ใครๆก็เรียกข้าอย่างนั้น แม้ชื่อของข้าคือไรย์ก็ตามที


      ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้สังกัดกลุ่มใด ข้าเร่ร่อนอยู่ในเมืองเน่าๆนี่ด้วยความคับแค้นโดยลำพัง ถ้าเป็นคนอื่นคงจัดการกับสาเหตุที่สร้างความรำคาญใจแต่ข้าทำแบบนั้นไม่ได้


      เพราะตัวสร้างความรำคาญของข้า มันได้ตายไปแล้ว มันได้ตายไปพร้อมทั้งทิ้งเศษซากความทรงจำโสมมเอาไว้กับข้า


      ครั้งหนึ่งข้าเดินสะเปะสะปะพลัดเข้าไปในถิ่นของพวกนั้นเข้า พวกนั้นโวยวายและทำร้ายข้า ด้วยความคับแค้นใจประกอบกับความหิวโหย ทำให้ข้าเลิกอดกลั้นและกระโดดขย้ำคอหนึ่งในสองคนนั้นเป็นแผลฉกรรจ์ ส่วนอีกคนที่เอาไม้ฟาดเข้าหัวของข้า ข้าก็ให้มันตอบแทนด้วยโหนกแก้มข้างหนึ่ง


      เมื่อมันสองคนเห็นข้าจ้องโดยไม่กะพริบตามันก็วิ่งหนีไป มีคนมาพูดอะไรสักอย่างกับข้า แต่ข้าไม่สนใจเพราะแค่เพียงชิ้นเนื้อก้อนเล็กๆของสองคนนั่นไม่ได้ทำให้ข้าอิ่มท้อง ข้าจึงหยิบขนมปังในตะกร้าของเขากินอย่างตะกละตะกราม เขาตะโกนและดึงเสื้อให้ข้าหยุดแต่พอข้าอ้าปากแสดงให้เขาเห็นว่าข้ายังหิวอยู่ เขาจึงยอมทิ้งตะกร้าหนีไป


      อาการแสบท้องของข้าเริ่มทุเลาลงหลังจากได้ฟาดขนมปังไปเกือบหมดตะกร้า ไม่นานนักก็มีกลุ่มคนมารุมล้อมข้าไม่ต่างจากสองคนนั้นเพียงแต่คราวนี้มากันเยอะขึ้น อาวุธก็ถูกเงื้อขึ้นเหมือนหมาที่อ้าปากเตรียมกัด ข้าไม่สนใจว่ามันจะมากี่คน ข้าไม่สนใจว่าจะมีอาวุธอะไร ใครขวางข้า ข้าก็จะซัดมันไม่เลือกหน้า


      ในวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ปลดปล่อยตัวเองหลังจากเก็บกดมันมานาน ความปรารถนาในการอาละวาดของข้าและความปรารถนาที่จะได้ระบายสิ่งที่ไม่เคยระบายมาก่อน วันนั้นเป็นวันที่ข้าได้รับสมญานามจาก คนอื่นๆว่า ไอ้หมาบ้า วันนี้ก็เช่นกัน


      ตัวข้าในวันนี้ไม่ต่างจากตัวข้าวันนั้นสักเท่าไหร่นักเพียงแต่มีไอ้หมาน้อยมาติดสอยห้อยตาม มันเป็นเรื่องน่ารำคาญที่ต้องมีคนขี้ขลาดมาอยู่ข้างหลังถึงจะมั่นใจได้ว่ามันไม่หักหลังแต่มันก็ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ต่อข้าสักเท่าไหร่เช่นกัน ทำยังไงได้ในเมื่อท่านมาขอร้องข้าเอง ข้าจึงไม่อาจปฏิเสธท่านได้


      การพบเจอกับท่านครั้งนั้น ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายสำหรับข้ากันแน่ เพราะท่านได้ฉุดดึงข้าขึ้นมาจากชีวิตที่ไร้แก่นสาร วิวาทแย่งอาหารไปวันๆไม่ต่างจากหมาบ้าจรจัด ให้เป็นหมาบ้าที่อยู่ดีมีสุขเช่นทุกวันนี้


      แต่หลายครั้งคำขอของท่านมันก็ทำให้ข้าลำบากใจ เริ่มตั้งแต่การห้ามไม่ให้วิวาทกับพวกกวนประสาทในกลุ่ม การห้ามล้ำเส้นเขตแดนของกลุ่มคม การห้ามไม่ให้วิวาทกับกลุ่มลับเพราะเป็นพันธมิตรกัน การฝากฝังลูกชายไม่เอาอ่าวของท่าน และล่าสุดก็ฝากให้ดูแลไอ้หมาน้อยนี่


      ไอ้หมาน้อย... ไอ้หมาน้อยเป็นสมญานามของชายหนุ่มที่ข้าเคยช่วยไว้ ขณะที่มันหนีการไล่ล่าของกลุ่มไหนสักกลุ่มไม่ก็นักเลงในซอกตึกไหนซักซอก พอพวกที่ไล่ตามมาเห็นหน้าข้าก็เหมือนเห็นผี เลิกล้มความตั้งใจที่จะจัดการไอ้หนุ่มนี่


      ตั้งแต่นั้นมามันก็ตามติดข้าแจ ไม่ว่าจะไล่ยังไงมันก็ไม่ไป มันบอกว่าถ้ามันออกห่างข้ามันจะโดนไอ้พวกนั้นจัดการ ข้าตอบมันไปสั้นๆว่า "เรื่องของแก" และถีบมันออกไปไกลๆ


      มันก็ยังไม่เลิกล้มความพยายาม ยังคงติดตามข้ามาตลอดไม่ว่าข้าจะไปวิวาทที่ไหน มันก็ยังตามไปดู (ช่วยอะไรไม่ได้ยังจะตามมาเกะกะอีก) น่ารำคาญเป็นที่สุด...


      จนวันหนึ่งหัวหน้าก็ได้พูดคุยกับข้า และอยากให้ข้ามีคนติดตามสักคนสองคน

      ข้าบอกว่า ไม่จำเป็น แต่ท่านก็ยังยืนกรานจะให้ลูกน้องของท่านมาดูแล

      ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ข้ารำคาญใจยิ่งกว่าเดิมแค่ไอ้หนุ่มนั่นคนเดียวก็ปวดหัวพอแล้ว ยังจะมีผู้ติดตามอีกสองคน ทำให้ข้าไม่เป็นอิสระ จะไปไหนก็ต้องมีคนเดินตามไปด้วยเสมอ จะทำอะไรก็มีคนคอยเฝ้า


      ในที่สุดข้าทนไม่ไหวจึงบอกกับท่านว่า

      “ข้ามีผู้ติดตามอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

      และข้าก็เรียกให้ไอ้หนุ่มนั่นออกมา


      ท่านเห็นเข้าท่านก็หัวเราะลั่นและพูดว่า

      “เจ้าหมาบ้ากับเจ้าหมาน้อย”

      ข้าสงสัยว่าท่านรู้จักกับไอ้หนุ่มนี่ได้ยังไง


      ท่านก็พูดต่อไปว่า “เขามีชื่อในเรื่องการหลบหนีลี้ภัย ข้าเลยให้ฉายาว่า หมาน้อย”  


      ได้คนปอดแหกแบบนี้มาเป็นคนติดตาม ข้านี่ซวยจริงๆ!

      แต่ในเมื่อเป็นคำขอด้วยความเป็นห่วงจากผู้มีพระคุณอย่างท่าน ข้าจึงไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้อีก



      ช่วงเวลาอันไร้แก่นสารของข้ากำลังจะจบลงโดยที่ข้าไม่รู้ตัว เพราะอีกครึ่งปีถัดมาท่านถูกลอบสังหารโดยมือสังหารที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่า สังกัดกลุ่มใด


      หลังจากที่ข้าแทงมีดพลาดเสียบลงกลางมือของคนอยู่ในเหตุการณ์ที่ปากแข็งไม่ยอมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็ยอมเปิดปากออกมาโดยง่าย มันเล่าให้ฟังว่า ในวันนั้นมันเป็นนัดตกลงเรื่องสินค้าระหว่างกลุ่มเรากับกลุ่มลับ สถานที่คือ โกดังหมายเลข21


      แต่ยังไม่ทันจะเห็นหัวหน้าของกลุ่มลับและคนติดตาม กลุ่มของเราก็ถูกจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ มันเกิดขึ้นไวมาก โดยเริ่มจากจัดการคนคุ้มกันหัวหน้าทั้งสองคนก่อน พอหัวหน้ากำลังจะหนีออกไปด้านนอกแต่ประตูใหญ่หน้าโกดังถูกปิดลงจึงต้องวิ่งอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง


      การทำงานเป็นระบบแบบนี้ยิ่งทำให้สงสัยว่า อาจเป็นฝีมือของคู่เจรจาหรือไม่ก็มือที่3 แต่ข้าพยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่า ถ้าเป็นฝีมือของกลุ่มลับ มันทำแบบนี้แล้วได้อะไร?


      และถ้าเป็นมือที่3 มือที่ว่านั่นมันเป็นของกลุ่มไหน

      กลุ่มคมที่ปกติไม่ชอบลงมือด้วยตัวเอง?

      กลุ่มเชื่อที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้?

      กลุ่มสุขที่ยังวุ่นวายกับเรื่องภายในของกลุ่มอยู่?

      กลุ่มลับที่อยู่ระหว่างการสร้างชื่อเสียงของกลุ่ม?


      ข้าคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก มันอาจเกินกำลังสมองของข้าหรือไม่ก็ยังขาดข้อมูลสำคัญอีก


      ข้าคิดว่า ถ้าจับใครสักคนในกลุ่มลับได้คงจะได้รู้อีกแน่ แต่ก็นั่นแหละที่เป็นปัญหา กลุ่มลับมีระบบองค์กรที่แปลกไม่เหมือนกลุ่มอื่น ดูไร้ระเบียบแต่ก็มีระเบียบ ปิดบังกับคนนอกแต่เปิดเผยกับคนใน


      ก่อนหน้าข้าก็เคยจับคนในกลุ่มนี้มารีดข้อมูลเรื่องหัวหน้ากลุ่มก็ไม่ได้ข้อมูลแม้แต่อย่างเดียว แถมยังสร้างความร้าวฉานที่ไปทำร้ายคนในกลุ่มลับเสียด้วยซ้ำ


      ในตอนนี้ข้าไม่รู้ต้องทำอย่างไร ข้าจึงไปเยี่ยมท่านที่สุสานปลายเมืองพร้อมกับไอ้หมาน้อย, เฟียร์ซ


      เจ้านั่นหยิบช่อลิลลี่สีขาวสะอาดมาวางไว้หน้าหลุมศพเพื่อแสดงความเคารพ ข้าบอกให้เฟียร์ซไปยืนรอที่รั้วประตูทางเข้าสุสาน เมื่อข้ายืนหน้าหลุมศพของท่าน ข้าได้เล่าถึงสถานการณ์ในขณะนี้ที่ไม่มีท่านอยู่อีกต่อไป


      “…ลูกชายของท่านได้ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มกล้าท่ามกลางความวุ่นวายของฝ่ายที่ต่อต้าน

      การละเมิดกฎเกณฑ์ที่ท่านเคยตั้งไว้ได้ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดบนไม้ผุๆ

      การเก็บค่าคุ้มครองสูงเกินจนกลายเป็นการรีดไถ

      สิ่งที่พวกนั้นทำหลังจากที่ท่านจากไปไม่ต่างจากการขุดศพของท่านออกมาทำร้าย

      ถึงข้าจะเคารพท่าน แต่ก็ไม่ได้ความว่า ข้าจะเคารพลูกชายท่านด้วย

      การทำตัวของลูกชายท่านมันทำให้ข้านึกถึงตอนที่ท่านยังอยู่

      ท่านเคยพูดฝากฝังให้ข้าดูแลลูกชายท่าน ถ้าท่านเป็นอะไรไปก่อน

      ถึงท่านจะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมเชื่อฟังใครง่ายๆ

      เขาคงจะเกลียดข้ามาก เพราะท่านให้ความไว้เนื้อเชื่อใจข้ามากกว่าเขา

      ในตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าข้าควรจะทำอย่างไร…”


      ข้าค่อยๆก้มหน้าลงต่ำ สงบนิ่ง แล้วหลับตาลง ไม่นานนักข้ารู้สึกได้ว่า มีใครบางคนใครบางคนกำลังเดินเข้ามาหาจากทางขวามือของข้า เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินขัดอย่างแผ่วเบาใกล้เคียงกับเดินด้วยเท้าเปล่า เสียงนั้นใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา...


      ข้าใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาลไหม้ทางฝั่งขวาซึ่งเหน็บ.357ไว้ ข้านับถอยหลังในใจ อีก3วินาทีมันจะเข้ามาในระยะที่ยิงโดนแน่นอน


      3 ....2.....1 ข้าลืมตาขึ้นในทันทีพร้อมกับใช้มือขวาขึ้นไก ข้าหันไปทางขวาพร้อมปากกระบอกปืนในมือซ้าย


      แต่เป้าหมายที่ข้าเล็งกลับเป็นเพียงอากาศธาตุ ข้าสอดส่ายสายตาเพื่อดูโดยรอบว่า มันซ่อนที่ไหน แต่ข้าก็ยังหามันไม่เจอ จนกระทั่งเจ้าหมาน้อยเดินเข้ามาถามว่า เกิดอะไรขึ้น ข้าตอบแต่เพียงว่า ไม่มีอะไร


      ในคืนนั้นข้าสังหรณ์ใจไม่ดี จึงนอนไม่หลับต่างจากเจ้าหมาน้อยที่กรนอย่างไม่เกรงใจใคร ข้านึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายที่จะมาถึงในอีกไม่ช้า เหมือนพวกกบที่ชอบส่งเสียงหนวกหูก่อนฝนจะตก...


      ข้านอนคิดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งวูบหลับโดยไม่รู้ตัว


      ในความฝันข้าเห็นตัวเองสมัยก่อนยืนอยู่ท่ามกลางความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัว ข้าวของที่ลอยด้วยแรงเขวี้ยง เสียงกระทบของจานกับกำแพงดังไม่เป็นสำเนียง พ่อตบแม่จนเลือดกบปากและสิ้นสติไป จากนั้นก็คุ้ยหาทุกที่ๆสามารถจะซ่อนเงินได้ แม่คลานมาเกาะขากางเกงของพ่อทั้งที่ยังไม่ได้เช็ดคราบเลือดออกจากปาก


      เมื่อความอดทนของพ่อถึงขีดสุด พ่อได้คว้าไม้ใกล้ๆมือขึ้นมา แล้วภาพเหตุการณ์ที่พ่อเงื้อไม้ในมือก็ได้หายไป พร้อมถูกแทนที่ด้วยภาพพ่อนอนจมกองเลือดอยู่ในซอกไม่ไกลจากด้านหลังบ่อนสักเท่าไหร่


      จบแล้ว มันจบแล้ว...


      ข้าตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อเต็มตัว


      “ฝันร้ายเหรอครับ ลูกพี่” ไอ้หมาน้อยถามพร้อมทำหน้าสงสัย


      “ก็แค่อดีตน่ะ”


      “อ่อครับ ลูกพี่แล้ววันนี้พวกเราจะทำยังไงดีล่ะครับ?”   


      “ทำยังไงเรื่องอะไร?”


      “ก็ตั้งแต่ที่นายน้อยขึ้นแทนนายใหญ่ นายน้อยก็ไม่ให้งานอะไรพวกเราเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก เดือนหน้าคงไม่มีอะไรกินแน่ๆครับลูกพี่”


      “ชิ...” ข้าพ่นลมอย่างหงุดหงิด นอกจากจะไม่มีข้อมูลเรื่องการลอบสังหารแล้วยังต้องมายุ่งกับเรื่องในกลุ่มอีก ถึงจะคิดอยู่แล้วว่า วันหนึ่ง
      มันต้องมีปัญหา แต่มันก็ไม่น่าจะเกิดเร็วขนาดนี้


      “แล้วยังมีอีกนะลูกพี่...”


      “อะไรอีกวะ...” ข้าเดาไว้ว่า คงเป็นเรื่องคนสะกดรอยตาม แต่ข้าเดาผิด


      “ตำนานประจำเมืองนี้ไง ว่ากันว่า เวลาเที่ยงคืน...”


      “ไอ้นั่นน่ะ ...” ข้าบีบหัวไหล่ไอ้หมาน้อยเพื่อเตือนว่าให้เลิกพูดเรื่องนี้ซะ “…มันก็แค่เรื่องเพ้อเจ้อ”


      “แล้วถ้าเกิดลูกพี่เจอเข้า ลูกพี่จะทำยังไงครับ” มันยังพล่ามเรื่องเดิมต่ออีก


      “หึ ...ข้าก็ทำแบบนี้” ปากกระบอกลูกโม่เย็นๆดันคางไอ้หมาน้อยให้เชิดขื้นเล็กน้อย “ถ้าแกยังไม่หยุดพูดถึงเรื่องนี้”


      “ลูกพี่ ลดปืนลงเถอะครับ ผมเสียว...” มันยิ้มแห้งพร้อมทั้งพูดขอร้อง


      “จำไว้ว่าอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก”


      น่ารำคาญชะมัด ไม่ว่าไอ้หน้าไหนก็พูดถึงแต่เรื่องพรรค์นี้ เรื่องแบบนั้นมันจะมีอยู่จริงได้ยังไงกัน ไม่มีทาง
      ที่ใครจะทำให้ความปรารถนาของคนอื่นเป็นจริงได้อยู่แล้ว

      ความปรารถนาสูงสุดของข้ามันไม่มีทางเป็นจริงถ้าข้าไม่ไขว่คว้ามันมาด้วยตัวเอง...


      แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่ความปรารถนาสูงสุดของข้าเลย แม้แต่อาหารที่จะปะทังชีวิตต่อไปดูเหมือนจะไม่พอด้วยซ้ำ เป็นเพราะมีไอ้หมาน้อยอยู่ส่วนแบ่งอาหารก็ยิ่งลดน้อยลง ...


      “ลูกพี่ เดี๋ยวผมมานะ”


      “นั่นแกจะไปไหนน่ะ!?”


      “ไปหาอะไรหวานๆมากินน่ะครับ ผมรู้สึกเปรี้ยวปากพิกล ลูกพี่เองก็เถอะ ใช้สมองมากขนาดนั้นต้องกินของหวานด้วยนะครับ” ไอ้หมาน้อยเลียริมฝีปากตัวเองและชวนให้ข้ากินอะไรหวานๆด้วย


      “ไม่ต้องซื้อมา” แต่ข้าปฏิเสธ


      “แต่ว่า...”


      “บอกว่าไม่ต้องไง จะไปก็รีบๆไปได้แล้ว!”


      ยิ่งเห็นท่าทีที่เรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะของไอ้นี่แล้วมันยิ่งตอกย้ำความคิดที่ว่าตัวเองเหมือนไอ้งั่งนั่งคิดนั่งเครียดไปเองคนเดียว นั่งคิดต่อไปคงไม่ได้อะไรขึ้นมา เสียเวลาเปล่า


      ข้าต้องไปหาเบาะแสเรื่องทั้งหมดจากใครสักคนที่น่าจะรู้ แล้วใครล่ะที่น่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นดี ก็ต้องเป็นคนของกลุ่มลับ ข้าเองก็พอรู้จักกับคนในกลุ่มลับที่มีนิสัยน่ารังเกียจ ชอบพูดอะไรชวนอ้วกอยู่เสมอ ซึ่งงานหลักของมัน คือ ขนส่งสิ่งโสโครกทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นยาเถื่อน อาวุธเถื่อน คนเถื่อนลับลอบเข้าเมืองหรือแม้แต่ศพที่ตายอย่างป่าเถื่อน


      ข้าเดินออกจากเขตของกลุ่มโดยไม่สนใจใคร เท่าที่จำได้ มันเคยพูดไว้ว่า


      “ถ้าอยากแวะมาเยี่ยมเมื่อไหร่แล้วล่ะก็แวะมาได้เลยนะ…”


      ใบหน้ายิ้มแย้มไม่เข้ากับสถานการณ์ ท่าทางเป็นกันเองอย่างจงใจ ลูกน้องของมันที่แสดงความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าไม่อยากไปเจอกับมันโดยไม่จำเป็น ข้านึกย้อนกลับไปในตอนที่เจอมันเป็นครั้งแรก


      ในตอนนั้นข้าได้รับมอบหมายจากท่านให้ดูแลไม่ให้ใครมาขัดขวางการประชุมระหว่างผู้นำกลุ่ม


      และเมื่อผู้นำกลุ่มอื่นพร้อมคนคุ้มครองได้เข้าไปในห้องประชุม ยกเว้นแต่กลุ่มลับที่ยังไม่โผล่หน้ามาสักคน มันก็โผล่หน้าออกมาในชุดขาดๆที่ไม่ต่างจากขี้ยาข้างถนน มันเดินตรงมาที่ประตูทางเข้าโดยแสดงของที่ห้อยคอให้คนอื่นดู


      และคนอื่นก็หลีกทางให้ผ่านโดยง่าย แต่ข้าไม่เชื่องแบบพวกนั้น แค่เอาข้าวของมาอวดหน่อยก็หลีกทางให้ ข้าเดินไปขวางมันแต่มันกลับพูดแค่เพียง


      “ชั้นมีธุระต้องเข้าไปด้านใน ช่วยหลีกทางหน่อยได้ไหม?”


      “ข้างในน่ะ มันสำหรับคนระดับหัวหน้า เป็นแค่ขี้ยาอย่ามาสะเออะ!”


      “ดัส ไอ้นี่มัน...” คนติดตามของไอ้ขี้ยานั่นล้วงเข้าไปในแจ็คเก็ตของตัวเอง


      “ใจเย็น คาร์ลอส เขาก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นแหละ”


      “ข้าไม่ได้พูดเล่น”


      “...แก!” คนติดตามของมันที่ชื่อ คาร์ลอสพุ่งตัวเข้ามาหาข้าจากทางซ้ายพร้อมทั้งเงื้อง่าหมัดเตรียมชก แต่ผลจากการง้างหมัดของมันทำให้มันออกหมัดช้า ข้าตวัดกำปั้นซ้ายที่แนบลำตัวไปยังปลายคางของมัน


      แปะ...เสียงกระทบของกำปั้นกับอุ้งมือดังขึ้น


       “ต้องขอโทษด้วยที่เขาเสียมารยาท เขาก็ใจร้อนอย่างนี้แหละ อย่าไปถือสาเลย” ไอ้หมอนั่นยังยิ้มให้ข้าทั้งที่ในมือยังบีบกำปั้นของข้าอยู่


      “คาร์ลอส ขอโทษซะที่เสียมารยาทกับคุณไรย์”


      “แต่ไอ้นี่...” คนติดตามของมันลังเลที่จะทำตามคำสั่ง


      “คาร์ลอส...”


      “ขอโทษครับที่เสียมารยาท”


      “เด็กหนุ่มก็วู่วามแบบนี้แหละนะ คุณไรย์อย่าไปถือเลย...”


      “แกรู้ชื่อ ข้าได้ยังไง?”


      “คุณมีชื่อเสียงขนาดนั้น จะไม่รู้จักได้ยังไงกัน แล้วอีกอย่างถ้าไม่รู้ข้อมูลส่วนตัวของอีกฝ่ายเลย ก็เสียทีที่เป็นพันธมิตรกันน่ะสิครับ”


      “…” นี่มันข่มขู่ข้าว่า มันรู้อะไรบางอย่างงั้นหรือ? มันโน้มตัวมาใกล้ๆแล้วกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า   


      “ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเรื่องกับกลุ่มพันธมิตรด้วยความเข้าใจผิดมาแล้วไม่ใช่หรือครับ? คงจะไม่ดีแน่ถ้ายังเกิดเหตุการณ์เดิมๆอีก”


      “…” มันรู้เรื่องนั้นงั้นหรือ? ปล่อยไว้ไม่ได้! สักวันหนึ่งไอ้นี่มันต้องเล่นงานข้าด้วยเรื่องนี้แน่ จัดการมันเสียตรงนี้เลยดีกว่า! ข้าเตรียมที่จะ
      เก็บมันแต่เสียงเรียกของท่านก็ดังมาจากด้านใน


      “ไรย์...ให้เขาเข้ามา”


      “กรอด...” ก่อนที่มันจะเดินเข้าไปอย่างสบายใจ มันพูดทิ้งท้ายไว้ว่า


      “คุณเป็นคนที่น่าสนใจดีนะ เพียงแต่น่าจะเก็บอาการสักหน่อยนะครับ คุณไรย์ …”


      “คาร์ลอส นายรออยู่ที่นี่แหละ แล้วอย่าลืมเอานามบัตรให้คุณไรย์ด้วยล่ะ”


      คนติดตามของหมอนั่นยื่นนามบัตรสีเทาหม่นมาให้แบบไม่เต็มใจ ที่อยู่ที่พิมพ์ไว้สั้นๆแค่เพียง

      [ชั้น 4 อาคารอสังหาริมทรัพย์เก่า  เขตตะวันตก]

      และตอนนี้ข้ามายืนอยู่หน้าอาคารที่ว่าแล้ว

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×