ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War Of Heaven :: สงครามล้างพันธุ์อสูร

    ลำดับตอนที่ #53 : บทที่ 50 :: ชะตาลิขิต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 102
      0
      20 มี.ค. 51

    บทที่ 50 – ชะตาลิขิต
     
                    หยาดน้ำตาตกต้องลงบนหมอนก่อนจะเหือดแห้งหายไป ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกเจ็บในใจของคนที่เป็นฝ่ายโดนรังแกครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บใจตัวเองที่ปล่อยให้คาอิลทำอะไรได้ตามใจชอบ แล้วก็กลัวเหลือเกินว่าใครคนนั้นจะเข้าใจเธอผิดไป...
                    ก๊อก!...ก๊อก!
    เสียงก้อนหินกระทบกระจกหน้าต่างเรียกให้ดวงตาคู่สวยหันไปมองก่อนจะลุกไปเปิดบานหน้าต่างออก
                    ทันทีที่เธอยื่นหน้าออกไป ดอกไม้สีขาวเล็กๆรูปร่างประหลาดก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า พร้อมกับร่างใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงขอบระเบียงด้านนอก
                    “คิดซะว่ามันเป็นดอกไฮเดรนเยียได้ไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่ปัดเป่าเอาความกังวลใจไปได้จนสิ้น มือบางเอื้อมรับดอกไม้เล็กๆนั้นมาไว้ในมืออย่างทะนุถนอม
                    “จริงๆแล้วมันเป็นดอกของต้นสนทะเลทราย มีพวกคนรับใช้บางคนเก็บมาจากป่าข้างนอกเมือง ฉันก็เลยไปขอเขามา คิดว่าเธอน่าจะชอบ” เขาเอ่ยก่อนจะยกมือเสยผมแก้เขิน ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะหันกลับมาเห็นใบหน้าเศร้าหมองของคนรับที่ยังคงยืนเงียบ แววเจ็บปวดฉายในดวงตาเขาครู่หนึ่งก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวข้ามขอบหน้าต่างเข้ามายืนในห้อง
                    มือกร้านเชยปลายคางของเธอให้เงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะค่อยๆปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างเบามือ
                    “ขี้แย” คำต่อว่าสั้นๆที่ไม่ได้ทำให้คนโดนว่าหยุดร้องได้สักนิด เธอเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยถ้อยคำ
                    “ขอโทษนะ”
                    “ขอโทษทำไมล่ะ? เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เรส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอ
                    “ก็...กับคาอิล...เมื่อกี้…”
                    “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เรแกล้งทำเป็นลืม ทั้งที่ในใจยังนึกโกรธอยู่ไม่หาย แต่เพราะไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกผิดไปมากกว่านี้เขาถึงไม่อยากจะเอาความ
                    “ฟังนะ” เรโน้มใบหน้าลงใกล้ “เธอเป็นของฉัน อย่างที่บอกไว้ว่าฉันจะไม่มีวันปล่อยเธอไปเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
                    “แม้ว่าฉันจะจูบกับผู้ชายอื่นต่อหน้านายงั้นหรอ?” เครสถามกลับด้วยเสียงกระซิบแผ่ว
                    “ฉันไม่สนหรอก... ตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นยังคงไม่มีวันได้สิ่งสำคัญที่สุดที่ฉันได้จากเธอไป...” รอยยิ้มอ่อนโยนฉายอยู่บนใบหน้าคมคาย
                    “มันคืออะไรหรอ?... เครสเอ่ยถาม ดวงตาคู่สวยจดจ้องลงในดวงตาของอีกฝ่าย
                    “ก็หัวใจของเธอไงล่ะ” สิ้นคำนั้นเรก็ประทับริมฝีปากแผ่วเบาอ่อนโยน ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากไปจูบซับน้ำตาบนใบหน้าขาวนวล มือกร้านโอบเอวบางเข้ามาไว้แนบกาย สูดดมกลิ่นหอมจากเรือนผมที่เขาคิดถึงจนแทบจะเป็นบ้า ไม่อยากจะให้เธออยู่ห่างจากกายเขาไปแม้เพียงเสี้ยววินาที
                    “เอาล่ะ... ฉันมารับตามสัญญาแล้วนะ เจ้าหญิงจะไม่มีรางวัลให้อัศวินคนเก่งหน่อยเหรอ?” เรกระซิบคำถามข้างใบหูของหญิงสาวที่หัวเราะขบขัน
                    “ไม่เอาหรอก แค่นี้ฉันก็ขาดทุนจะแย่อยู่แล้ว” เครสเอ่ยตอบ ก่อนที่จะดันร่างสูงออกห่าง ใบหน้าหวานแดงก่ำดูน่ารักจนคนมองอดรู้สึกอยากแกล้งเธอไม่ได้
                    “อืม...ไหนๆเธอก็ขาดทุนแล้วใช่ไหม?” เรเอ่ยก่อนจะขยับยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วช้อนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน “งั้นฉันก็ต้องเอาให้คุ้มสินะ” เขาเอ่ยก่อนจะวางร่างเธอลงบนเตียงแล้วตามลงมาประกบจูบโดยที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว มือหนาลูบไล้เรือนร่างบอบบางอย่างถือสิทธิ์ไม่ฟังคำห้ามของเธอแม้แต่น้อย
                    “อย่านะเร...” เครสพยายามดันร่างชายหนุ่มออกห่าง ในใจนึกหวังจะให้คำพูดตัวเองเข้มแข็งกว่านี้แต่มันกลับออกมาเป็นเพียงเสียงกระซิบแผ่ว เรียกให้ดวงตาคู่สวยของเรเบือนมามองพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่เขาจะจูบเธออีกครั้ง เรไล่ริมฝีปากลงมายังลำคอขาวเนียนก่อนจะทิ้งรอยจูบไว้ตรงซอกคอ แล้วเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าของคนที่นอนตัวเกร็งอยู่ในอ้อมกอด ร่างบางๆสั่นเทาหลับตาแน่นเหมือนหวาดกลัว เรแย้มรอยยิ้มถอนหายใจน้อยๆก่อนจะโน้มตัวขึ้นไปจูบหน้าผากเธอแผ่วเบา
                    “อย่าทำเหมือนกับว่าฉันเป็นเสือที่กำลังจะเคี้ยวกระดูกเธอได้ไหม?” เราเอ่ยก่อนจะหัวเราะเบาๆ และนั่นทำให้เครสรู้ตัวทันทีว่าโดนหลอกเข้าให้แล้ว ดวงตาสีทองฉายแววเคืองๆ มือบางทุบอกของคนเจ้าเล่ห์อย่างไม่คิดกลัวว่ามันจะเจ็บ
                    “นายนี่มันบ้าที่สุด! ไอ้คนลามก คนฉวยโอกาส!” คำด่าพร้อมกับหน้าขึ้นสีแดงจัดนั่นยิ่งเรียกเสียงหัวเราะของชายหนุ่มให้ดังมากขึ้นกว่าเดิมก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มเธอเบาๆ
                    “ก็แค่อยากดูให้แน่ใจว่าหมอนั่นมันไม่ได้ทำอะไรเธอไปมากกว่าจูบน่ะสิ” เขาเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้หน้าหวานขึ้นสีแดงจัดกว่าเก่า นึกด่าคนตรงหน้าอยู่ในใจ...ไหนบอกไม่แคร์ไม่สน แล้วไอ้ที่พูดมาตะกี้มันใช่ซะที่ไหน...
                    “เร แล้วกรล่ะ?” เครสเอ่ยถาม เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนที่จากกันครั้งสุดท้ายเขาโดนแทงจนสลบ
                    “กรไม่เป็นไรแล้ว มันเจอเดย์วอระหว่างทาง เดย์วอเลยช่วยพากลับไปที่แคมป์ ตอนนี้รอให้อาการดีขึ้นแล้วจะตามมาสมทบกับพวกเรา” เรเอ่ยตอบ
                    “แล้วเราจะออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่?” เครสถามต่อ
                    “อันนี้ต้องแล้วแต่เดย์วอ ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
                    เครสเลิกคิ้ว นึกสงสัยว่าเดย์วอเป็นใคร ดูเหมือนว่าเธอจะเห็นเขาแวบๆ ในห้องนั้น จำได้ว่าหลิน พอล แล้วก็ชินก็มาด้วยนี่นา...
                    “ว่าแต่นายจะอยู่อย่างนี้อีกนานไหม?” เครสทำตาขวางใส่คนตรงหน้าที่ยังคงนอนคร่อมอยู่เหนือตัวเธอ และไม่มีวี่แววว่าจะลุก
                    “ทำไมล่ะ? หรือว่าเธออยากอยู่ข้างบน?” คำถามกลับที่เล่นเอาคนฟังหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู แล้วออกแรงผลักคนตรงหน้าที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน จนเขาหัวเราะออกมาแล้วยอมผละออกจากเธอแต่โดยดี เครสรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งปากก็ขุดคำสรรเสริญบรรพบุรุษของคนข้างๆมาพูดให้ฟังเสียย่อยยับ แต่คนโดนด่าก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแต่อย่างใด แถมยังโน้มตัวเข้ามากอดเธอดจากด้านหลังแล้วดึงร่างบางๆให้ล้มลงไปนอนด้วยกัน
                    “เร ปล่อยนะ!” เครสเอ็ดเสียงเขียว แต่ชายหนุ่มกลับดึงเธอเข้ามากอดแน่นแล้วหลับตาพริ้ม
                    “ไม่เอาแล้ว...ฉันเหนื่อย ราตรีสวัสดิ์” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มเธอเบาๆ จนคนโดนกอดชักจะใจอ่อน ดวงตาสีทองจดจ้องใบหน้าของคนข้างกายด้วยความเผลอไผล เรือนผมสีดำสนิทยาวลงมาระใบหน้า คิ้วเข้มถูกวาดอยู่เหนือดวงตาที่ยามนี้ปิดสนิท แพขนตาหนายาวแนบอยู่บนผิวขาว สันจูกโด่งคมทอดตัวอยู่เหนือริมฝีปากบาง... ริมฝีปากที่จูบเธอเมื่อครู่...
                    “เร...” หญิงสาวกระซิบเรียก ทว่าชายหนุ่มตรงหนากลับจมอยู่ในห้วงนิทรา เขาครางในลำคอตอบสะสึมสะลือเหมือนเด็ก คิ้วเรียวขมวดน้อยๆคล้ายขัดใจที่โดนเรียกก่อนจะคลายออก
                    เครสปัดปอยผมให้พ้นจากใบหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะแย้มรอยยิ้ม... สามวันมานี่เขาคงวิ่งวุ่นหาเธอแทบเป็นแทบตายสินะ ถึงได้เหนื่อยขนาดนี้...
                    คนหลับกอดกระชับร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนก่อนจะพึมพำออกมาเป็นชื่อเธอ เครสจูบเขาแผ่วเบาก่อนจะซุกลงกับแผงอกอุ่นที่เธอคิดถึงเหลือเกิน อ้อมกอดที่จะกอดแต่เธอคนเดียวเท่านั้น ที่ตรงนี้เป็นที่ที่เธอจะอยู่ และเป็นที่ที่เธอจะตาย...
                    ดวงตาสีทองปรือปิดลงพร้อมกับความอบอุ่นทั้งกายและใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะกระซิบเสียงแผ่ว... ถ้อยคำที่คนหลับไม่มีทางได้ยิน แต่ก็รับรู้ได้อยู่ทุกเวลา...
                “ฉันรักเธอ...”
     
                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
     
                    สายลมพัดเข้ามาสะกิดให้คนหลับตื่นจากห้วงนิทราแผ่วเบา ดวงตาสีทองฉายรอยแปลกใจเมื่อคนที่อยู่ข้างกายเมื่อคืนนี้อันตรธานหายไปเสียแล้ว มีเพียงผ้าห่มอุ่นที่ห่มมาถึงคอกับดอกสนทะเลทรายเล็กๆที่วางอยู่ข้างหมอน บอกให้รู้ว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน
                    เครสลุกขึ้นจากเตียงพอดีกับที่ใครบางคนเปิดประตูเข้ามาพอดี
                    “ตื่นแล้วก็ดี มากับข้า เดี๋ยวนี้เลย” คำสั่งเรียบกับใบหน้าเครียดขึงของคาอิลทำให้เธอชักจะสงสัยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็ยมลุกจากเตียงแล้วเดินตามชายหนุ่มไปเงียบๆจนไปพบกับห้องๆเดิมที่เธอพบพวกเรเมื่อวาน
                    ทุกคนรออยู่ในห้องพร้อมหน้าแล้ว เธอส่งยิ้มน้อยๆให้หลิน พอล และชิน ก่อนจะหันไปมองหน้าเรที่ทำเหมือนว่าไม่เห็นเธอ ทว่าสิ่งที่สะดุดสาตาเธอกลับเป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่นั่งข้างๆเขา และเจ้าชายเซเรดที่เธอเพิ่งเจอเมื่อวันก่อน กับเด็กชายอีกคนที่มีดวงตาสีเงินกับเรือนผมสีดำสนิท
                    “วันนี้เจ้าชายทั้งสองมาพร้อมหน้ากันทีเดียวหรือ ดูท่าว่ามันคงเป็นเรื่องใหญ่สินะ” คาอิลเอ่ยเรียบก่อนจะนั่งลงแล้วดึงให้เครสลงมานั่งด้วย
                    “ถ้างั้นเราจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ” เซเรดเอ่ย ดวงตาสีฟ้าซีดสบมองคู่สนทนาอย่างมีความหมาย
                    “ข้าจะขอตัวผู้หญิงคนนี้จะได้ไหม?” คำขอที่ทำให้คนฟังเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยตอบเรียบ
                    “หมายความว่ายังไง?”
                    “ข้ากับพี่ชายจะให้ราคาเป็นสามเท่าของค่าตัวที่เจ้าจ่ายให้กับทาสคนที่จับเธอมา” เด็กชายคนนั้นเอ่ยเรียบ ดวงตาสีเงินคู่นั้นฉายแววเจนโลกมากกว่ารูปร่างภายนอกที่แสดงให้เห็นมากมายนัก
                    “ข้าไม่ได้ต้องการเงินเจ้าชายเปริออส” คาอิลเอ่ยตอบทันควัน “ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันเป็นยังไงมายังไงเท่านั้น”
                    “ผู้หญิงข้างตัวท่านมีเลือดสังหาร” เดย์วอเอ่ยเรียบ ดวงตาสีเหลืองคมกริบจ้องมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มที่ตกอยู่ในอาการงุนงง
                    “เจ้า...จะเป็นไปได้ยังไง?”
                    “เป็นเรื่องจริง เธอเดินทางมาจากเฮฟเว่นเพื่อมาเจรจาสงบศึกกับท่านพ่อ คนพวกนี้ก็เช่นกัน” เจ้าชายเปริออสเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา
                    “อันที่จริง ข้ากับพี่ชายก็ไม่ได้ต้องการจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของท่านพ่อ แต่การที่จะให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ในความดูแลของข้า เป็นความประสงค์ของพี่รอง…”
                    “พี่รอง? หมายความว่านายน้อยกร...?”
                    “ใช่ กรอยู่ที่นี่แล้ว” เดย์วอเอ่ยเรียบทว่าถ้อยคำนั้นราวกับน้ำเย็นที่สาดเข้าใส่ร่างของคนฟังให้ตะลึงงันไปกับความเป็นจริงที่ได้รับ
                    “วันนั้น...” เครสเอ่ยเสียงค่อย “ก่อนที่ฉันจะโดนจับมาที่นี่...ครึ่งอสูรที่มากับฉันคือกร”
                    “ก็แล้วทำไมเจ้าไม่บอกข้าล่ะ!” คาอิลเอ่ยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว รู้สึกเหมือนเขาเป็นคนที่โดนหลอกอยู่ฝ่ายเดียว
                    “เครสเป็น Angel Type นะ เรื่องนี้กรเองก็รู้ดีว่าเครสอาจจะถูกฆ่าได้ เลยสั่งกำชับไม่ให้เครสใช้พลังพิเศษ รวมถึงห้ามไม่ให้เธอบอกใครว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าชายครึ่งอสูรอย่างมัน” เรเอ่ยแก้แทน ก่อนที่เจ้าชายเปริออสจะวาดมือออกเป็นเชิงให้ทั้งสองฝ่ายหยุดพูด ดวงตาสีเงินคมปลาบจ้องมองไปยังดวงหน้าของคาอิล
                    “ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจเหตุการณ์ในตอนนี้ดี ช่วยมอบตัวเธอให้กับพวกข้าแต่โดยดี ไม่เช่นนั้น...หากว่าพี่รองมาถึง ท่านก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ถ้อยคำที่เล่นงานให้คนฟังจนมุมอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายคาอิลก็แย้มรอยยิ้มหยันราวกับจะสมเพชตัวเองแล้วเอ่ย
                    “ข้าก็ไม่คิดจะรั้งนางไว้หรอก” เขาเอ่ยก่อนจะหันมาหาเครส “กลับไปหาเพื่อนของเจ้าเสียเถอะ ข้าจะปล่อยเจ้าไป” คาอิลเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตาสีเหลืองคู่นั้นฉายแววบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กๆ
                    “ขอบคุณนะ” เครสเอ่ยเรียบ ก่อนที่หลินจะเดินเข้ามาสวมกอดเธอด้วยความยินดีแล้วแนะนำให้เธอรู้จักกับเดย์วอที่ยิ้มรับน้อยๆ
                    “ข้าขอตัวได้ไหม รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน...” และโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ ร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องทันที ทิ้งให้คนที่เป็นแขกทั้งหมดต่างพากันนั่งเงียบอยู่ในห้อง จนเซเรดเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
                    “เปริออส พี่ว่าถึงเจ้าไม่บังคับ คาอิลก็ไม่ดื้อแพ่งรั้งตัวนางไว้หรอก”
                    “ไม่ได้หรอกท่านพี่ ท่านก็รู้ว่าคาอิลเกลียดคนที่มีเลือดสังหารมากกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าเขารู้แต่แรกว่านางมีเลือดแบบนี้เขาไม่ปล่อยนางไว้แน่”
                    “ทำไมล่ะ?” ชินเลิกคิ้วน้อยๆ
                    “เพราะว่าคนรักของคาอิลตายก็เพราะแฝงตัวเข้าไปฆ่าอิสเมย์ตามคำสั่งท่านพ่อ แล้วก็กลายเป็นว่านางถูกฆ่าตายเพราะเลือดของอิสเมย์” เปริออสตอบเรียบ ทว่าคณะเดินทางทั้งสี่ต่างก็สะดุ้งน้อยๆกับชื่ออิสเมย์ที่เด็กชายกล่าว... ถ้าพี่เจตามมาเมื่อไหร่มีหวังซวยแน่งานนี้...
                    “เอาล่ะ พอทีเถอะ” เซเรดว่า “ข้าจะกลับคฤหาสน์แล้ว”
                    ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าออกจากห้อง โดยมีเจ้าชายเปริออสและเดย์วอเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อน พวกเครสสบตากันก่อนจะเรีบเดินตามไปโดยมีเรกับพอลรั้งท้าย
                    “เมื่อคืนหายไปไหนมาล่ะ?” คำถามของพอลที่เรไม่ได้ตอบอะไร นอกจากยิ้มน้อยๆจนพอลถอนหายใจปลงๆ
                    “นายนี่จะว่ากล้าหรือบ้าดีนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยก่อนจะยิ้มออกมาแล้วยกแขนขึ้นพาดบ่าเร “ว่าแต่...ตลกดีนะ นายว่าไหม?”
                    “อะไรตลก?” เรเลิกคิ้วถามน้อยๆในขณะที่พอลหัวเราะออกมาเบาๆ
                    “ก็คาอิลน่ะ... เกลียดคนที่มีเลือดสังหารที่สุด แต่กลับต้องมาหลงรักเครสซะเอง เหมือนโชคชะตาเล่นตลกเลยไม่ใช่รึ?”
                    “โนคอมเมนต์” คำตอบเฉียบขาดแบบบอกบุญไม่รับของเจ้าตัวเล่นเอาคนฟังอึ้งไปถนัด ก่อนจะหัวเราะออกมาเรียกให้สายตาของคนที่เดินนำหน้าทั้งสามหันมามองด้วยความแปลกใจน้อยๆ
                    “ว่าแต่เร... นายเล่นเปียโนเป็นก็ไม่บอก ฝีมือใช้ได้เลยนะเนี่ย” ชินหันมาชมก่อนจะตบบ่าเพื่อนเบาๆ คนถูกชมชะงักไปนิดหนึ่งแล้วหันไปสบตากับพอลอย่างไม่ได้นัดหมาย แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
                    “นายต้องชมเจ้านี่แล้วล่ะ” เรพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะหยิบเครื่องมินิ MD ขนาดเล็กที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา พอเห็นชินเลิกคิ้วทำหน้าไม่เข้าใจพอลก็หัวเราะออกมาก่อนจะดึงชินให้เดินมาใกล้ๆ
                    “เรมันไม่ได้เล่นเองหรอก แต่เสียงเปียโนนั่นเกิดจากการที่ฉันสร้างหลุมมิติ ดูดเสียงจาก MD แล้วส่งให้มันไปสะท้อนผนังห้องจนเกิดเป็นเสียงก้องๆ เหมือนว่าเล่นเปียโนเองไงล่ะ” พอพอลอธิบายจนชินก็เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อว่าไอ้พวกนี้มันจะขี้โกงสุดๆ!
                    “รู้แล้วก็เงียบไว้ล่ะ” เรกระซิบบอกก่อนจะหันไปหัวเราะเบาๆทางอื่น เมื่อเครสกับหลินเดินเข้ามาใกล้
                    “หัวเราะคิกคักอะไรกันตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ะ?” หลินถามคิ้วเรียวเลิกขึ้นมองหน้าเพื่อน
                    “ไม่มีอะไรหรอกครับ” พอลเอ่ยตอบเรียบ แม้จะยังกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ แล้วสามหนุ่มก็หันไปหัวเราะกันเองท่ามกลางวามสงสัยของสองสาวที่เดินนำอยู่ข้างหน้า
     
                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
     
                    คณะเดินทางท่ามกลางทะเลทรายกำลังเดินทางช้าลงอีกเป็นเท่าตัว เมื่อมีคนเจ็บถึงสองคนแถมยังต้องมาเจอกับแจ๊กพ็อตใหญ่ เพราะเส้นทางของพวกเขานั้นเจอเข้ากับพายุทะเลทรายเข้าเต็มๆ ทุกคนเลยทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งนอนกันอยู่ในเตนท์ จนกว่าพายุจะผ่านไป
                    กว่าที่อากาศอันแปรปรวนจะสงบลงก็กินเวลาจนเกือบเช้า แล้วก็ต้องกางเตนท์พักกันอีกรอบ เพราะการจะให้คนเจ็บหนักๆเดินกลางแดดเท่ากับจะยิ่งเร่งเวลาตายให้มากกว่า...
                    “ป่านนี้ทางนั้นจะเป็นไงบ้างแล้วนะ...” สิชาบ่นออกมาเบาๆในขณะที่กำลังพันแผลให้กับคนเจ็บที่นอนเล่นสบายใจไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งสิ้น
                    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก คนของกร วิล แชง ซะอย่าง ไม่ทำให้ผิดหวังหรอก” คำพูดที่ทำให้คนฟังเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะพึมพำออกมา
                    “นั่นแหละที่น่าเป็นห่วงที่สุด”
                    เจ้าตัวดูเหมือนจะได้ยินคำพูดนั้นแต่ก็ยังวางท่าสบายใจ แถมยังผิวปากเล่นสบายอารมณ์อีกต่างหากจนคนมองอดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้
                    “เธอว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง?” จู่ๆคำถามจากเจ้าชายแห่งครึ่งอสูรก็ดังขึ้นขัดกลางความเงียบงัน เรียกให้คนฟังหันมามองพลางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
                    “ถามแบบนั้นใครจะไปตอบได้ล่ะ”
                    “เอาเท่าที่เธอคิด...เธอว่ามันจะจบลงยังไง? สงครามจะหยุดลงไหม? หรือว่าสุดท้ายแล้วฉันต้องฆ่าพวกเราทุกคน?” น้ำเสียงที่ดูเรียบเฉยจนเหมือนเย็นชา ทว่าดวงตาสีแสดกลับฉายรอยเจ็บปวดลึกจนคนมองก็รู้สึกไปด้วย
                    “ไม่รู้สิ...” สิชาเอ่ยตอบ “มันเป็นอนาคต... เรื่องแบบนี้มันอาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้นี่ จริงไหม?”
                    “นั่นสินะ” กรรับคำก่อนจะหลับตาลงเหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าต้องการพักผ่อน คุณหมอประจำทีมอย่างสิชาก็ได้แต่ถอนหายใจน้อยๆแล้วก็เดินออกไปจาเตนท์แต่โดยดี โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนป่วยไม่ได้ต้องการจะหลับสักนิด ดวงตาสีแสดปรือเปิดขึ้นก่อนจะฉายรอยกลัดกลุ้ม พร้อมกับเอ่ยคำ
                    “ทุกสิ่งทุกอย่าง...อยู่ที่ชะตากำหนดสินะ...”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×