ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War Of Heaven :: สงครามล้างพันธุ์อสูร

    ลำดับตอนที่ #52 : บทที่ 49 :: ตามหา (มาแก้เพลงฮะ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 103
      0
      21 ก.ย. 50

    บทที่ 49 – ตามหา

     

                    ม้าทะเลทรายออกควบติดต่อกันมาเป็นเวลากว่าห้าชั่วโมง จนในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเห็นแนวต้นปาล์มที่ยืนติดกันแน่นขนัดห่างออกไปเบื้องหน้าไม่ไกล เดย์วอหันกลับมาร้องเตือนทุกคน

     

                    พวกเจ้าห้ามใช้พลังพิเศษ ไม่งั้นจะโดนฆ่าทันที ทุกคนพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบก่อนจะยิ่งเร่งฝีเท้าม้าให้วิ่งเข้าไปในดงต้นปาล์มหนาแน่นโดยมีเดย์วอเป็นคนนำทาง หลังจากผ่านเข้ามาได้สักพัก ต้นไม้ก็เริ่มบางตาเผยให้เห็นผืนทรายที่ลาดลงไปเป็นแอ่งขนาดใหญ่เบื้องหน้า...

     

                    ยินดีต้อนรับสู่ทาร์ทารัส เดย์วอเอ่ยเรียบก่อนจะชักม้าไปเลียบลงไปตามสันทราย มุ่งหน้าไปทางกำแพงดินขนาดไม่สูงมากที่ล้อมเมืองไว้เป็นวงกลม ข้างๆบานประตูโค้องสลักลายถูกก่อขึ้นเป็นป้อมไม่สงมาก พวกเรควบม้าตามเขาไปก่อนจะมองเห็นชายร่างสูงที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นยามอารักขาประตูยืนอยู่บนนั้น เดย์วอแสดงตราบางอย่างที่ติดตัวมาเพื่อให้ทหารเปิดประตู ก่อนจะหันไปกำชับอะไรกับทหารเฝ้ายามสองสามคำด้วยภาษาที่พวกเขาไม่เข้าใจ

     

                    ตามมาสิเดย์วอเอ่ยก่อนจะควบม้าให้เดินผ่านอุโมงค์ดินเข้าไป

     

                    เร พอล หลิน และชิน สบตากันเล็กน้อยก่อนจะกระตุกบังเหียนให้มม้าทะเลทรายเหยาะย่างเข้าไปในเมือง

     

                    พระเจ้า... หลินอุทานเบาๆเมื่อม้าตัวนั้นพาเธอผ่านประตูเข้ามา ภาพของนรกก็ปรากฏชัดแก่สายตา...

     

                    ตรงหน้าเธอมนุษย์ธรรมดาที่อดอยากหิวโหยกำลังนอนรอความตายอยู่ตามทางที่ลาดลงไปสู่ศูนย์กลางที่เหมือนราชวัง ตึกรามบ้านช่องถูกสร้างขึ้นเบียดเสียดกันอย่างลวกๆด้วยฝีมือคนงานมนุษย์ โดยมีเหล่าครึ่งอสูรในสภาพมนุษย์คอยคุมอยู่อย่างสนุกสนาน มนุษย์บางคนกำลังร้องไห้คร่ำควรญกับศพที่สิ้นใจอยู่ข้างทาง กลิ่นควาเลือดโชยคละคลุ้งออกมาจากแผลที่ลำคอ บางคนก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

     

                    นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว... หลินยกมือขึ้นปิดปากขณะที่ม้าของเธอก้าวย่างลงไปตามทางที่เต็มไปด้วยเสียงร้องควรญครางโหยหวน

     

                    นี่เป็นเมืองของครึ่งอสูร มนุษย์ทุกคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่จะอยู่ในฐานะทาส ส่วนมากจะมาจากกองคาราวานร่อนเร่พลัดหลงเข้ามาเดย์วอเอ่ยเรียบ

     

                    ไม่ยักรู้นะว่าครึ่งอสูรจะชอบอยู่รวมกันเป็นเมืองแบบนี้... ชินเปรยก่อนจะถอนสายตาออกจากชายชราคนหนึ่งที่นอนรอความตายอยู่บนทางเท้ามาจ้องหน้าคนนำทางเพื่อรอคำตอบ

     

                    ครึ่งอสูรก็มีหลายแบบ พวกข้าเป็นลูกครึ่ง มีทั้งพวกที่เหมือนมนุษย์และเหมือนปีศาจ แต่ส่วนมากที่พวกเจ้าเจอมาจะเป็นพวกที่เหมือนปีศาจมากกว่า แต่ครึ่งอสูรที่นี่ส่วนมากเป็นพวกระดับสูง มีสติปัญญา แข็งแกร่ง และรักความสะดวกสบาย ถึงได้เลือกที่จะเอามนุษย์มาเป็นคนรับใช้ รวมทั้งเป็นเครื่องปรนเปรอความสุข

     

                    นึกว่าจะเห็นมนุษย์เป็นแค่ของกินซะอีก... เรเปรยเรียบ

     

                    เจ้าก็คงคิดว่าพวกข้าเป็นแค่ปีศาจกระหายเลือดไร้สมองเท่านั้นสินะ... เดย์วอเอ่ย แต่นั่นมันก็เรื่องจริง เพราะครึ่งอสูรที่ยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่ก็มีไม่มากแล้ว

     

                    แล้วเราจะเริ่มหาเครสได้ยังไง? พอลบีเอ่ยถาม

     

                    นายน้อยหาวิธีให้แล้ว

     

                    หา?พอลเลิกคิ้ว ในขณะที่เดย์วอหันกลับมาสบตาชินที่ดูงงๆ

     

                นักดนตรีจะเป็นผู้เปิดประตูให้เรา

                   

                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

     

                อย่ามายุ่งกับฉันนะ! ออกไปให้หมด!”

     

                เสียงโวยวายของเจ้าหล่อนที่ไม่จบไม่สิ้นสักทีทำเอาคนรับใช้ของเขาอยากจะกัดลิ้นตายอยู่รอมร่อ ในขณะที่คาอิลยังคงจิบไวน์นั่งอ่านหนังสืออย่างสบายใจอยู่หน้าฉากกั้น

     

                    คาอิล! คนบ้า! เอาคนของนายออกไปให้หมดเลยนะ!” เสียงหวานๆตะโกนออกมาพร้อมกับเสียงปึงปังที่ชายหนุ่มเดาได้ไม่ยากว่าเธอต้องอาละวาดอยู่แน่ๆ

     

                    ท่านคาอิล ช่วยพวกข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ หญิงรับใช้คนหนึ่งเดินโซซัดโซเซออกมา ผมเผ้ายุ่งเหยิงสภาพโทรมอย่างกับว่าเธอไปฟัดกับสัตว์ประหลาดที่ไหนมา คาอิลเลิกิ้วมองภาพนั้นก่อนจะพยักหน้าเรียบๆ นึกในใจว่าคนตัวเล็กๆผอมบางอย่างนั้นไม่น่าแรงเยอะขนาดที่คนรับใช้สี่ห้าคนจะเอาไม่อยู่

     

                    ถ้าเจ้าไม่เลิกดื้อ ข้าจะเป็นคนเข้าไปเปลี่ยนชุดให้เอง ถ้อยคำประกาษิตที่หยุดเสียงโวยวายได้ชะงัดนัก ก่อนที่เสียงดังตึงตังโครมครามจะดังออกมาให้ได้ยิน แล้วร่างของสาวรับใช้สี่ห้าคนที่คาอิลส่งเข้าไปก็ระเห็จกลับออกมานอกฉากกั้น

     

                    แล้วเครส? คาอิลถาม

     

                    นางบอกว่านางจะจัดการเองเจ้าค่ะ หญิงรับใช้คนหนึ่งตอบท่าทีเลิ่กลั่กราวกับกลัวว่าจะโดนคาอิลลงโทษ แต่ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้ารับน้อยๆแล้วอ่านหนังสือต่อ สักพักเสียงโครมครามข้างในก็เงียบลงจนผิดสังเกต ชายหนุ่มปิดหนังสือในมือดังฉับแล้วยกไวน์ขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย

     

                    แต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกมาสิ อย่าชักช้านักจะได้ไหม มันน่ารำคาญ

     

                    รู้แล้วล่ะน่า…” เสียงหวานเอ่ยตอบก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏโฉมต่อสายตาทุกคู่

     

                    เธอสวมชุดสไตล์อินเดียโบราณ ตัวเสื้อตัดเย็บด้วยผ้าโปร่งสีขาวประดับเลื่อมปิดเพียงลำตัวท่อนบนเผยผิวเนียนตั้งแต่ช่วงเอวไล่มาจนถึงสะโพก กางเกงที่ใช้ผ้าชนิดเดียวกันตัดเย็บให้เป็นทรงพองออกยาวลงมาจรดข้อเท้าเผยให้เห็นเรียวขาสวย เรือนผมสีทองยาวถูกมัดรวบสูงขึ้นเป็นหางม้าขับให้ดวงหน้ายิ่งโดดเด่น โดยเฉพาะเมื่อมีสร้อยคาดหน้าผากประดับโกเมนเม็ดเล็กคาดอยู่ราวกับจะเทียบประกายอัญมณีกับดวงตาสีทองอร่ามของเธอ ทว่าใบหน้าของคาอิลกลับฉายแววขัดใจบางอย่าง

     

                    ก็จำได้ว่าตอนเขาให้ชุดเธอไปไม่ได้มีผ้ากับกางเกงขาสั้นสีขาวใส่ซ้อนไว้ข้างในนี่นา...

     

                    จะจ้องอีกนานไหม? เครสเอ่ยเสียงห้วน นึกโมโหไอ้ปีศาจกะล่อนตรงหน้าอยู่ในใจ... บอกว่าเอาชุดมาให้เปลี่ยน ก็แล้วมันเสื้อผ้าประเทศไหนกันที่ซีทรูไปหมดทุกส่วน ไม่ต่างอะไรกับเปลือยกายสักนิด!

     

                    โชคดีที่เธอติดนิสัยชอบใส่ชอร์ตแพนท์กับเสื้อเกาะอกเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก ไม่งั้นให้ตายยังไงเธอก็ไม่ใส่ไอ้ชุดบ้าๆนี่เด็ดขาด!!!

     

                    สวยดี คำชมที่ออกจากปากคาอิลแต่กลับไม่ได้ทำให้เจ้าตัวดีใจสักนิด

     

                    ขอบคุณ เสียงหวานตอบห้วน และยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไรต่อชายหนุ่มก็เดินมาคว้าข้อมือเธอแล้วลากถูลู่กังหญิงสาวออกไปจากห้องโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆทั้งสิ้น

     

                    นี่! จะพาฉันไปไหนน่ะ เครสพยายามฉุดชายหนุ่มไว้แต่เขาก็ไม่ฟังเธอสัดนิด จนกระทั่งเขาพาเธอมาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง

     

                    วันนี้ข้ามีแขก เจ้าต้องทำตัวดีๆ อย่าดื้อ เข้าใจไหม? เขาหันมากำชับกับเธอ และโดยที่ไม่รอเอ่ยตอบเขาก็ผลักบานประตูเปิดออกก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในแล้วโอบเอวบางให้ก้าวเข้ามาด้วยกัน

     

                    ขอโทษด้วยเจ้าชาย ที่ทำให้ท่านต้องรอ

     

                    บุคคลที่นั่งอยู่ในห้องเพียงเบือนสายตามามองพวกเขาก่อนจะส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม เรือนผมสีน้ำเงินเข้มเกือบถึงพื้นถักเป็นเปียยาวไพล่มาด้านหน้า ขับให้ผิวสีขาวซีดดูเด่น ดวงตาสีฟ้าซีดประหลาดคู่นั้นจ้องมองเธอด้วยความสงสัยที่ท่วมท้น

     

                    ผู้หญิงคนใหม่ของเจ้ารึคาอิล? เจ้าชายหนุ่มเอ่ยปากถาม ในขณะที่คาอิลยิ่งรั้งร่างบางเข้ามาแนบชิดยิ่งกว่าเดิม

     

                    นางชื่อลูเครเซีย... และนี่คือเจ้าชาย เซเรด ซานันชา เมอร์ซิลิส ผู้ปกครองทาร์ทารัส

     

                    อ...เอ่อ... สวัสดีค่ะ... เครสเอ่ยทักไปอย่างตะกุกตะกัก พลางพยายามแกะมือของคาอิลออกทว่ากลับไม่เป็นผล ท่าทางของเจ้าเหล่อนเรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นจากปากของเซเรด

     

                    ดูท่าว่าหญิงคนนี้จะต่างจากคนก่อนๆที่เจ้าเคยพบมานะ

     

                    ใช่แล้ว นางดื้อจนต้องยอมแฟ้เสียด้วยซ้ำ

     

                    ก็แล้วทำไมฉันจะต้องยอมนายด้วยล่ะ เครสเอ่ยเถียงก่อนจะแกะมือคาอิลออกจากเอวได้ในที่สุด แต่เขาก็ยังลากเธอให้ไปนั่งด้วยกันบนโซฟากลางห้องที่มีเจ้าชายเซเรดนั่งอยู่ก่อน

     

                    แล้วนี่ครูสนิคกับวลาดยังไม่มาอีกหรือ? คาอิลเป็นฝ่ายถามในขณะที่เจ้าชายยกไวน์ขึ้นจิบเงียบๆ แต่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นร่างของคนสองคนที่กล่าถึงก็ปรากฏ ครูสนิคที่คาอิลกล่าวถึงเป็นชายหนุ่มรูปร่างอ้วนท้วนหัวล้านที่เข้ามากับสาวงามสองคน ในขณะที่วลาดเป็นชายตัวสูง จูมกหักเป็นตะขอ ดวงตาของทั้งคู่มีสีเหลืองบ่งบอกว่าเป็นครึ่งอสูร... มีแต่เจ้าชายเท่านั้นที่เครสไม่แน่ใจว่าเขาเป็นเผ่าพันธุ์ไหนกันแน่...

     

                    ข้าว่าเราควรจะเริ่มเลยดีไหม? เจ้าชายเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม ทว่าครูสนิคกลับหัวเราะลั่น

     

                    อย่างเคร่งเครียดนักเจ้าชาย ข้าก็มีสาวงามมาด้วย วลาดกับคาอิลก็เช่นกัน ข้าว่าให้พวกนางแสดงอะไรให้ดูหน่อยดีไหม?เขาเอ่ยก่อนจะเหลือบมองมาทางเธออย่างแทะโลม

     

                    ผู้หญิงคนใหม่ของเจ้าดูสวยดี ข้าชอบนักโดยเฉพาะผมสีทองนั่น นางร่ายรำหรือเล่นดนตรีอะไรเป็นบ้างรึเปล่า?

     

                    ข้าเกรงว่า...

     

                    อย่าเลยเจ้าค่ะท่านครูสนิค หญิงที่มากับครูศนิคเอ่ยก่อนจะส่งสายตาดูแคลนมาทางเธอ เด็กกะโปโลแบบนี้ข้าว่าทำอะไรไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ น่ากลัวว่าท่านคาอิลจะหลงกลพวกทาสถูกหลอกให้ซื้อของด้อยราคามาล่ะมั้งเจ้าคะ เธอเอ่ยก่อนจะซบลงกับอกของผู้เป็นนายแล้วหัวเราะคิกคัก เรียกอารมณ์หงุดหงิดที่มีมาแต่เดิมของเครสให้มากขึ้นไปอีก

     

                    ฉันร้องเพลงได้ เธอเอ่ยโดยไม่ฟังคำทัดทานของใคร เสียงหวานๆก็ดังก้อง... 



    If a picture paints a thousand words,
    Then why can't I paint you?
    The words will never show the you I've come to know.
    If a face could launch a thousand ships,
    Then where am I to go?
    There's no one home but you,
    You're all that's left me too.
    And when my love for life is running dry,
    You come and pour yourself on me.

     

                    เสียงหวานไหลรินรื่นหูจับใจคนฟังทุกคน ยามเมื่อริมฝีปากสีกุหลาบขยับเอื้อนเอ่ยท่วงทำนองไพเราะนั้นเธอช่างมีสเน่ห์ งดงามเกินกว่าหญิงใดๆที่เขาเคยพานพบมา ราวกับเทวีแห่งจันทรา...

     

    If a man could be two places at one time,
    I'd be with you.
    Tomorrow and today, beside you all the way.
    If the world should stop revolving spinning slowly down to die,
    I'd spend the end with you.
    And when the world was through,
    Then one by one the stars would all go out,
    Then you and I would simply fly away…

     

                    ทันทีที่เพลงจบความเงียบก็พลันครอบคลุมทุกชีวิตจนเครสเริ่มประหม่า ก่อนที่คาอิลจะค่อยๆปรบมือ แล้วเสียงประมือของเซเรดจะดังขึ้นตามมา แล้วเสียงปรบมือของคนอื่นๆก็ดังก้อง จนเธอเริ่มหน้าแดง

     

                    ข้าไม่เคยเจอใครมีเสียงที่วิเศษเท่านี้มาก่อน สงสัยข้าคงต้องขอมาฟังบ่อยๆเสียแล้วคาอิล เจ้าชายเซเรดเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

     

                    ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่านางมีความสามารถเช่นนี้ คาอิลเอ่ยตอบดวงตาสีเหลืองยังคงจับจ้องที่ใบหน้าของเธอ

     

                    หากว่าท่านไม่ได้รีบร้อนนัก ข้าขอถือโอกาสพานางไปส่งที่ห้องก่อนที่เราจะคุยธุระกัน นางเพิ่งมายังไม่รู้จักเส้นทางดี

     

                    ที่นี่เป็นที่ของเจ้า ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ เซเรดเอ่ยในขณะที่วลาด มีสีหน้าบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด

     

                    ควรจะรีบไปรีบกลับนะคาอิล ข้าไม่มีเวลามากนักหรอก

     

                    ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ฟังถ้อยคำนั้นเสียแล้ว เขาดึงร่างบางๆออกมาจากห้องก่อนจะปิดประตูแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเธอ

     

                    เจ้าจะยั่วครูสนิครึไง?คาอิลถามเสียงเย็นชา

     

                    เปล่า แต่ฉันไม่ชอบให้ใครมาดูถูก โดยเฉพาะผู้หญิงแบบนั้น เครสตอบเรียบ

     

                    ถ้างั้นก็รู้ไว้ซะว่าวันหลังข้าจะเป็นคนจัดการคนที่หยามเจ้าเอง อย่าได้ทำแบบนั้นอีกเพราะเจ้าเป็นผู้หญิงของข้า

     

                    สิ้นคำนั้นคาอิลก็โน้มลงประทับจุมพิตอย่างรวดเร็ว เป็นจูบที่เครสยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ ทว่ารสจูบคราวนี้ช่างอ่อนหวานเนิ่นนาน ผิดกับครั้งก่อนอย่างลิบลับ ชั่วขณะหนึ่งที่เขาถอนริมปากออก เธอยังคงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ความโกรธระคนเสียใจจะพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัว

     

                    อีกแล้ว...เธอทำเรื่องผิดต่อเรอีกแล้ว... ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงที่ยอมให้คนแปลกหน้ากอดจูบได้ง่าย แล้วมันจะต่างอะไรกับพวกผู้หญิงที่ดูถูกเธอ?...

     

                    หยาดน้ำตาใสๆร่วงลงผ่านแก้มนวลโดยปราศจากเสียงสะอื้น แต่แววตาโกรธแค้นชิงชังกลับส่งไปทิ่มแทงชายหนุ่มตรงหน้า

     

                    ราวกับหัวใจถูกบีบรัด... คาอิลข่มตาลงด้วยความรู้สึกประหลาด ก่อนจะเอ่ย

     

                    กลับไปได้แล้ว ถ้อยคำที่เย็นชามากกว่าความรู้สึก ร่างบางๆหมุนตัวกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเขาอีก...

     

                    ทั้งที่ไม่น่าเลยแท้ๆแต่ทำไมกัน?...

     

                    ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเสียใจขนาดนี้...?


                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

     

                    เสียงไวโอลินหวานเศร้าเป็นท่วงทำนองไพเราะจับใจผู้ฟัง จนเมื่อชายหนุ่มจบเพลงของตัวเองลงแล้วโค้งคำนับ คนฟังก็ปรบมือก้อง

     

                    เก่งมาก!” ครึ่งอสูรตัวใหญ่ผิวคล้ำที่ดูเหมือนว่าจะเป็นนายของคฤหาสน์เอ่ยชม ทว่าท่าทีของเขากลับดูเหมือนจะไม่ได้สนใจฟังดนตรีเลยสักนิด หญิงสาวมนุษย์ที่ล้อมหน้าล้อมหลังต่างก็พากันเอาใจเขาราวกับเป็นพระราชา นับเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกขยะแขยงเสียมากกว่าที่ต้องมาเล่นดนตรีให้คนแบบนี้ฟัง

     

                    เอาล่ะๆพวกเจ้าออกไปได้แล้ว เอ้านี่ เขาโยนถุงผ้าสกปรกใบหนึ่งลงมาบนพื้น ในนั้นมีเศษเงินอยู่เล็กน้อย ทว่าชินกลับหันหลังกลับมาโดยไม่สนใจจะเก็บ เขาไม่อยากทำให้การแสดงของเขาโดนดูถูกไปมากกว่านี้...

     

                    ชายหนุ่มเก็บไวโอลินเก่าๆลงหีบอย่างทะนุถนอม ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบของเขากับหลิน เร พอลและเดย์วอ

     

                    เดย์วอใช้แผนกระจายกันตามหาตัวเครสตามแหล่งต่างๆของเมือง ให้หลิน เร พอล แฝงตัวเข้าไปหาจากกลุ่มทาสทั่วไป ที่ทำงานอยู่ในเมือง ส่วนเขากับเดย์วอ จะตระเวนไปตามคฤหาสน์ที่มีพวกระดับสูงอยู่ เดย์วอสามารถเข้าไปได้สบายๆอยู่แล้วด้วยตำแหน่งองครักษ์ของกร แต่ชินต้องใช้ความสามารถส่วนตัวแบกหีบไวโอลินที่ไกด์ไปหามาจากไหนไม่รู้ตระเวนเคาะประตูทำทีว่าเป็นนักดนตรีที่หลงมาจากกองคาราวานเพื่อตามหาตัวเครส

     

                    มือหนาบีบไหล่ที่เมื่อยล้าจากการเล่นไวโอลินมาตลอดทั้งวัน

     

                    ไม่ไหวๆ...เขาไม่ได้เล่นไวโอลินมานานมากแล้ว แถมเขายังเคยได้รับบาดเจ็บที่แขนมาก่อน พอเล่นไวลินมากๆเข้าแขนก็เริ่มจะปวดๆแล้วเหมือนกัน

     

                    ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นใครบางคนยืนพิงผนังตีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ข้างหน้า จนเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งดวงตาสีเขียวน้ำทะเลถึงได้หันมามองเขา

     

                    เป็นไงบ้าง? คำถามถูกส่งออกมาพร้อมกับที่ชินส่ายหน้าเป็นคำตอบ

     

                    ไม่เจอเลย ทางนั้นก็เหมือนกันสินะ

     

                    เรพยักหน้าตอบเรียบๆ เขานิ่งไปเหมือนกำลังใช้ความคิด

     

                    เร ชิน เสียงเรียกของหลินเอ่ยขึ้น ก่อนที่ร่างสองร่างจะปรากฏขึ้นอีกทางทั้งสองก็ยังไม่พบร่องรอยของเครสเช่นกันจนสุดท้าย เดย์วอก็ตามมาพร้อมกับความล้มเหลวอีกเช่นเคย

     

                    ตอนนี้เหลืออยู่อีกสามคฤหาสน์ที่ยังไม่ได้ไป เขาเอ่ย หนึ่งในนั้นเป็นของเจ้าชายที่ปกครองทาร์ทารัส ที่เหลือเป็นขององครักษ์ และพระอนุชา

     

                    แล้วเราควรจะเริ่มที่ไหนก่อนดี? พอลบีเอ่ยถามความเห็น

     

                    ไปเริ่มที่องครักษ์ก่อนดีกว่า เรกลับเป็นคนเอ่ยตอบแทน ก่อนชายหนุ่มจะกล่าวเสริม ถ้าพูดถึงเจ้าชาย กับอนุชาก็หมายความว่าเป็นลูกชายของจ้าวปีศาจใช่ไหม? เพราะงั้นเราจะเข้าไปแบบผิดสังเกตไม่ได้ ยังไงก็ตามเราต้องปิดเรื่องเครสไว้เป็นความลับอย่างมากที่สุด

     

                    ข้าเองก็คิดแบบนั้น เดย์วอเอ่ย แต่ว่า...เจ้าชายไม่ใช่คนที่อันตรายที่สุดหรอก เพียงแต่คนข้างๆเจ้าชายนั่นล่ะ ที่อาจจะสังหารเพื่อนของเจ้าได้ทุกเมื่อ

     

                    คนข้างๆเจ้าชาย? หลินเลิกคิ้วถาม

     

                คนที่เรากำลังจะไปหา... องครักษ์ คาอิล นาเกีย ไงล่ะ

     

                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

     

                    ท่านคาอิลขอรับ มีคณะนักดนตรีมาขอเข้าพบ ทาสหนุ่มคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกผู้เป็นนายที่เลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย

     

                    นักดนตรี?... ดึกป่านนี้น่ะหรือ?”

     

                    ขอรับ

     

                    ไล่กลับไปซะ ข้าไม่อยากต้อนรับใครในเวลานี้

     

                    เอ่อ...แต่ว่า...

     

                    จะไม่เป็นการแล้วน้ำใจไปหน่อยรึ? ท่านคาอิล น้ำเสียงคุ้นหูของคนที่ถือวิสาสะบุกรุกเข้ามาในคฤหาสน์ทำให้เขาต้องประหลาดใจอย่างที่สุด ก่อนจะหันไปแย้มรอยยิ้ม

     

                    องครักษ์ของนายน้อยแห่งครึ่งอสูรอย่างเจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะ เดย์วอ?

     

                    ก็อย่างที่คนของท่านเอ่ย ข้าพานักดนตรีมาหาท่านเด็กหนุ่มเอ่ยเรียบก่อนจะผายมืออกให้เห็นคณะนักดนตรีที่ว่าซึ่งประกอบไปด้วย ชิน หลิน พอล และเร...

     

                    เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าพวกนั้นเป็นมนุษย์ ทว่าท่าทางรวมทั้งเสื้อผ้าก็ดูประหลาดกว่ามนุษย์ทั่งไปในเฮล ดวงตาสีเหลืองหรี่ลงฉายรอยคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง จะว่าไปแล้ว...ผู้หญิงคนนั้น...

     

                    ท่านได้พบน้องชายของท่านบ้างไหม? เดย์วอเอ่ยถาม เรียกให้คิ้วคนฟังเลิกขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ

     

                    เจ้าหมายถึงเดรโก? ข้าคิดว่าคำถามนั้นข้าน่าจะเป็นคนถามมากว่าไม่ใช่รึ?

     

                    งั้นหมายความว่าท่านก็ไม่ได้ติดต่อกับท่านจ้าวสินะ

     

                    ก็คงเป็นเช่นนั้น คาเอิลตอบเรียบก่อนจะยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแล้วเท้าคางกับพนักเก้าอี้

     

                    ไหนล่ะ? เจ้าว่าเจ้าพานักดนตรีมาให้ข้า ข้าก็อยากจะฟังดนตรีสักหน่อย พวกเจ้ายินดีจะเล่นให้ข้าฟังไหม? ชายหนุ่มแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ชินหันมามองหน้าเพื่อนก่อนจะก้าวออกไปโค้งคำนับให้กับคนฟังกิตติมศักดิ์ แล้วยกไวโอลินขึ้นพาดบ่า มือข้างซ้ายที่จับคันสีเริ่มสั่นเท่าและปวดแปลบ แต่เขาก็ต้องสะกดกลั้นความเจ็บไว้

     

                    เขาขยับไม้ลงแนบเส้นเอ็นบางก่อให้เกิดเสียงหวานต้องหู คลื่นเสียงของไวโอลินถูกเล่นเป็นทำนองแช่มช้าแผ่วเบาดึงให้คนฟังหลับตาพริ้ม แต่ทว่า...

     

                    โอ๊ย!” ชินอุทานเบาๆก่อนที่เสียงดนตรีจะหยุดลง แขนซ้ายของเขาปวดระบมจนเม็ดเหงื่อผุดพราวเต็มใบหน้า พอลรีบเข้าไปดูอาการเพ่อนแต่เด็กหนุ่มก็บอกปัด

     

                    อะไรกันเดย์วอ... คาอิลเอ่ยน้ำเสียงมีแววเยาะหยันอยู่ในที นักดนตรีของเจ้ามีความสามารถเพียงเท่านี้ จะมาหลอกข้ารึไงกัน? อย่างนี้ข้าควรสั่งให้คนของข้าฉีกมันเป็นชิ้นๆซะดีไหม? คาอิลแย้มรอยยิ้มเย็นชา ในขณะที่ชินสบตาเขาด้วยความเจ็บใจ ทว่า ใครบางคนกลับก้าวเข้ามาขวางหน้า

     

                    แค่เล่นให้คุณพอใจเท่านั้นใช่ไหม? เรเอ่ยเรียบ ก่อนจะหันหลังกลับไปยังเปียโนไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เขาลูบนิ้วไปบนคีย์ที่เต็มไปด้วยฝุ่น ก่อนจะพรมนิ้วลงบรรเลงเพลง

     

                    ท่วงทำนองหวานแผ่วทว่าเต็มไปด้วยความอาทรลอดผ่านออกจากประตูห้อง ลอยก้องไปตามทางเดินราวกับกำลังค้นหาบางสิ่ง ก่อนจะแทรกตัวผ่านเข้าไปในห้องๆหนึ่งซึ่งมีร่างของใครบางคนกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง

     

                    ราวกับเสียงดนตรีกระซิบปลุกเธอแผ่วเบา...เพียงแค่เสียงแว่วเท่านั้นแต่เธอกลับจำท่วงทำนองนั้นได้ดี

     

                    ร่างบางลุกจากเตียงแล้วเดินออกไปนอกห้อง มุ่งไปยังที่มาของเสียง...เสียงดังก้องอยู่ในทุกอณูของหัวใจ ที่ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งก็ไม่มีวันลืม มือบางทาบลงกับประตูก่อนจะผลักมันเปิดออก แล้วเจ้าของเสียงดนตรีนั้นก็ปรากฏแก่สายตา...

     

                    เจ้าของบทเพลงที่ครอบครองหัวใจเธอไปด้วย...

     

                    ท่วงทำนองยังคงบรรเลงแผ่วหวาน ดวงตาคู่สวยฉายแววอาทรพลันเมื่อสบเข้ากับดวงหน้าของคนที่หวังจะมอบเพลงบทนี้ให้...

     

                    พลันน้ำตาก็ร่วงลงมาช้าๆจากใบหน้าของสตรีที่เพิ่งเข้ามาน้ำตาที่หลั่งออกมาจากความดีใจ น้ำตาที่ไร้เสียงสะอื้นทุกข์ทรมาน ต่างกับทุกคราวที่ผ่านมา...

     

                    แล้วริมฝีปากบางก็ขยับรอยยิ้มขึ้นช้าๆ เป็นรอยยิ้มที่ตรึงตาคนมองยิ่งนัก

     

                    เธอแทบอยากจะเดินเข้าไปกอดเข้า อยากจะเข้าไปจูบเขา บอกเขาว่าเธอคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆกับดวงตาคู่สวยคู่นั้นมากเพียงใด อยากได้ยินเสียงทุ้มที่เคยกระซิบแผ่ว อยากให้มือคู่นั้นช่วยปาดน้ำตาออกจากใบหน้า อยากได้ยินคำว่ารัก...

     

                    แต่ในขณะเดียวกันนั้นบทเพลงกลับบาดลึกลงในใจคาอิล เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะทำให้เธอยิ้มได้ แต่กับชายคนนี้ ทำไมกัน?... ราวกับหัวใจถูกบีบ เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสองคนนั้นต้องเคยพบกันมาก่อนแน่ ไม่สิ...ชายคนนั้น ต้องมาเพื่อพบเธอแน่ๆ...

     

                    คิดดังนั้นแล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินมาคว้าข้อมือของหญิงสาวให้ไปนั่งด้วยกันทั้งๆที่ดวงตาสีทองยังคงจ้องมองชายคนนั้นอย่างไม่วางตา สายตาที่ทำให้เขายิ่งเกลียดชังชายตรงหน้าขึ้นเป็นเท่าทวี ก่อนจะดึงให้เครสเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างไม่เกรงใจสายตาใครสักนิด แล้วทันทีที่นิ้วเรียวของเรกดลงบนคีย์สุดท้าย คาอิลก็โน้มใบหน้าลงจูบหญิงสาวในอ้อมกอดท่ามกลางความตะลึงงันของอีกฝ่าย

     

                    มือบางพยายามผลักร่างของคนตรงหน้าออกในขณะที่เรกำมือแน่น ดวงตาคู่สวยเปลี่ยนแววเรื่อเรืองเป็นสีน้ำเงินเข้ม ก่อนที่จะคืนกลับมาดังเดิม เขาข่มตาลงสีหน้าฉายแววเจ็บปวดชัดก่อนที่มือแกร่งจะขยับกำเกร็งแน่นพยายามข่มอารมณ์

     

                    เผี๊ยะ!

     

                    มือบางฟาดลงเต็มใบหน้าของคาอิลเต็มแรง หยาดน้ำตาร่วงพรูลงมาเป็นสาย แววตาของเธอดูเคียดแค้นชิงชังเข้ามากกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น ราวกับคมมีดที่แทงทะลุเข้ามาในใจให้ความแข้มแข็งอ่อนยวบ

     

                    อย่าได้มาแตะต้องตัวฉัน... ฉันเกลียดนาย ได้ยินไหมว่าฉันเกลียดนาย เธอกระซิบแผ่วเบาทว่าทุกคนในห้องก็ได้ยินกันชัดเจน ร่างบางๆสั่นเทิ้มด้วยแรงโทสะ ก่อนที่ดวงตาสีทองจะเบือนมาสบกับร่างของชายหนุ่มอีกคน แล้วความเจ็บปวดก็ฉายชัดบนหน้าหวาน

     

                    มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้... ไม่น่าเลย...

     

                    เครสหมุนตัวแล้ววิ่งกลับออกไป มีเพียงดวงตาทู่สวยที่ทอดมองตามไปอย่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน

     

                    ขอโทษทีนะ... คาอิลเอ่ยพลางหัวเราะแห้งๆ ชายหนุ่มทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรงก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้า ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ข้าขอพักสักหน่อยได้ไหม?

     

                    อย่าฝืนตัวเองเลยคาอิล... เพียงแต่หากไม่เป็นการรบกวนมากนัก พวกข้าจะขออนุญาตพักที่นี่สักคืนได้ไหม? เวลานี้ก็ค่ำเกินไปที่ข้าจะออกเดินทาง เดย์วอเอ่ยเรียบ

     

                    ได้สิ... บอกทาสคนไหนก็ได้ที่พวกเจ้าเจอ ไม่ว่าจะต้องการอะไรก็ขอให้บอก แต่ตอนนี้พวกเจ้าได้โปรดออกไปได้ไหม?

     

                    โดยไม่ต้องให้คำร้องขอดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง เดย์วอก็นำพวกเรออกมาจากห้องนั้นทันที ทิ้งให้อสูรหนุ่มอยู่ในห้องเพียงลำพังพร้อมกับความเจ็บปวดในใจที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับจากใครมากมายถึงเพียงนี้

     

                    กับแค่คำว่าเกลียดคำเดียว ถึงกับจะฆ่าเขาให้ตายได้ตรงนั้นเลยหรือ?... บางทีอาจเป็นเพราะเขารักเธอ...

     

                    เขายิ้มหยันเหมือนกับจะสมเพชตัวเอง ก่อนที่หยาดน้ำไสๆจะไหลผ่านมือที่ปิดดวงตาทั้งสองอยู่...

     

                    ดูไม่ได้เอาเสียเลย...คาอิล นาเกีย...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×