ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 :: ครึ่งอสูร
                    ตูมมมมมม!!!!!!!!!!
                    เสียงระเบิดดังขึ้นซ้ำอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้ไม่ได้มาจากบนฟ้า- -ผู้คนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน เศษกระเบื้องปลิวว่อนตามแรง ฝุ่นควันฟุ้งตรลบขึ้นบดบังทัศนวิสัย แต่ทว่าเสียงกรีดร้องยังคงดังระงมไปทั่งทุกตารางนิ้ว
                    “เจ!! มาทางนี้เร็ว!!” สัญชาติญาณส่วนลึกเรียกให้ทรายรีบดึงมือเพื่อนสาวออกวิ่งทันที แม้จะยังไม่รู้หนทาง แต่ก็ยังดีกว่ายืนรอความตายล่ะน่า!!
                    “ทราย!!!!!!” เสียงตะโกนดังขึ้นเบื้องหลังเด็กสาวทั้งสองท่ามกลางฝูงคนและความแตกตื่น ทรายหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็พบ เม กร กับซัน กำลังวิ่งตามมาสมทบ
                    “ทรายโอเคไหม?” เมโลดี้เอ่ยถามเพื่อนก่อนเป็นอย่างแรก
                    “อือ ไม่เป็นไร- -แล้วเครสกับเรล่ะ?”
                    “ผมไม่รู้เหมือนกัน โทรหาไม่ได้ด้วย” ซันเอ่ยพลางมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างกลัดกลุ้ม
                    “ทรายว่าเราไปที่บ้านก่อนเถอะแล้วค่อยหาทางติดต่อสองคนนั้นอีกที” ทรายเอ่ยเมื่อเกิดการระเบิดครั้งที่สามใกล้ตัวพวกเขามากขึ้นกว่าทุกที แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตอบอะไร- -
                    ตูมมมมม!!!!!
                    จู่ๆพื้นที่พวกทรายยืนอยู่ก็ไหวสะเทือนแล้วเกิดระเบิดขึ้นในพรับตา!!
                    Water Ball!!!
                    ลูกบอลพลังน้ำของเมโลดี้เข้าครอบคลุมปกป้องทุกคนจากแรงระเบิดได้ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง
                    “เจเป็นอะไรไหม?” ทรายค่อยๆลุกขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปประคองเจที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุด
                    “ทรายหลบไป!!!” เจตะโกนลั่นก่อนจะผลักร่างเด็กสาวออกไปให้พ้นทาง เพราะเบื้องหน้าเธอบัดนี้คือนกยักษ์ที่ร่อนลงมาหมายจะคร่าชีวิตของเธอ!!!!!!!!
                    Lightning!!!!
                    สายอสนีบาตผ่าเปรี้ยงลงกลางแสกหน้าของเจ้านกยักษ์ตัวนั้นเรียกเสียงร้องโหยหวนดังก้อง- -เงาสีดำพวยพุ่งขึ้นพันธนาการร่างเจ้าสัตว์ประหลาดก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นของมีคมทิ่มแทงเข้าในเนื้อ เรียกกลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียนกับหยดเลือดสีเขียวคล้ำให้กระเซ็นไปทั่วบริเวณ แต่แทนที่มันจะตกต้องลงบนร่างของเจ กลับมีเกราะใสสีทองบางๆกางกั้นครอบไว้- -ดวงเนตรสีเลือดเบือนหันกลับไปมองนกประหลาดนั่นก่อนจะเบิกกว้างด้วยความตกใจว่าเปลวเพลิงสีฟ้าได้โหมลุกทั่วทั้งร่างของสัตว์ร้าย!!
                    เพียงพริบตาช่องมิติโปร่งใสก็ปรากฏขึ้นข้างกายของเด็กสาวก่อนจะดูดร่างเธอหายลับไปปรากฏข้างๆคนกลุ่มหนึ่ง...
                    ...คนที่ช่วยเธอไว้เมื่อครู่...
                  “เจหลบไป...” น้ำเสียงทุ้มเอ่ย ก่อนที่เจ้าของคำพูดนั้นจะก้าวออกไปประจันหน้ากับสัตว์ร้ายที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นอย่างน่าอนาถ... ดวงตาสีมรกตฉายแววโกรธกรุ่นผิดวิสัยจนคนมองอดรู้สึกหนาวๆร้อนๆไม่ได้- -ชายหนุ่มเหยียดแขนขึ้นตรงก่อนที่ประจุไฟนับแสนโวลต์จะวิ่งแล่นออกจากร่างส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบดูอึมครึมไปสนิท- -ประจุไฟฟ้ามหาศาลพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าก่อนจะรวมตัวลงมาที่ฝ่ามือแกร่งของชายหนุ่มราวกับเป็นดาบขนาดยักษ์- -ดาบที่เจ้าของฟาดลงใส่ศัตรูตรงหน้าอย่างไม่มีคำว่าปรานี...
                  Thunder Sword!!!
                  เปรี้ยงงงงงงง!!!!!!!!!
                  มวลประจุไฟฟ้ามหาศาลพุ่งเข้ากระแทกร่างสัตว์ประหลาดส่งรัศมีแห่งการทำลายล้างไปทั่วทุกอาณาบริเวณ กระแสไฟวิ่งผ่านอากาศแทรกเข้าหาทุกชีวิตที่กางโล่พลังออกกั้นไว้โดยไม่ลังเล เศษหญ้ายามเมื่อแตะเพียงเศษประจุก็กลับแหลกสลายเหลือเพียงเถ้าธุลี... กระแสไฟฟ้านับแสนโวลต์ที่บดขยี้ได้แม้แต่โมเลกุลที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต!!!
                  ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย... ไร้สิ้นสรรพเสียงใดๆ... คงมีแต่บุรุษที่ยืนสงบนิ่งอยู่กลางลานกว้างที่พินาศยับเยินนั่นเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิต...
                  “พี่จิ้ง!!!!!” ร่างบางของสาวน้อยที่หวิดตายเมื่อครู่จ้ำเท้าเข้ามาด้วยหน้าตาบ่งบอกถึงอารมณ์ตึงสุดขีด
                  “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้!! มัวแต่ไปหลีสาวที่ไหนอีกล่ะ!! ใช่สิ!!! เจมันไม่ได้- -“
                  คำพูดถูกหยุดดื้อๆด้วยอ้อมกอดของบุรุษตรงหน้าที่โถมเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัว... มือแกร่งที่สังหารสัตว์ประหลาดเมื่อครู่ บัดนี้ตระกองกอดร่างเด็กสาวไว้แน่น... นี่เธอรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่ามันสั่นเทา...?
                  “ผมเป็นห่วงเจขนาดไหนรู้ไหม?...อย่าทำให้เป็นห่วงอีกนะ” ถ้อยคำกระซิบข้างหูช่วยผ่อนอารมณ์ขึ้งของเจ้าหล่อนลงไปโข แต่พอรู้สึกถึงสัมผัสแปลกๆ ดวงหน้านวลก็ขึ้นสีเรื่องก่อนจะดันร่างสูงออกแล้วประทับผ่ามืออรหันต์ที่ข้างแก้มเต็มรัก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตวาดแหว
                  “ไอ้พี่จิ้งลามก!!!!”
                  “อะไร้!... จับนิดจับหน่อยทำเป็นหวง- -ว่าแต่เจกินเยอะไปรึเปล่า? บั้นท้ายออกแล้วนะ”
                  โครม!!!
                  คราวนี้ถูกถีบงามๆถูกยันส่งให้กลางท้องเล่นเอาคนโดนจุกกลิ้งลงไปกองกับพื้นพลางนึกสงสัยในใจว่าที่โดนนี่เพราะมืออยู่ไม่สุขหรือปากพูดความจริงกันแน่...
                  “เจ... ใจเย็น” หลินเดินเข้ามาห้ามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เจตวัดสายตาไปมองร่างอีกสาองร่างที่ไม่คุ้นตาแต่กลับเดินมาพร้อมกับหลิน
                  “อ้อ... นี่เครสกับเร... ที่หลินเล่าให้ฟังเมื่อวานไง” ยังไม่ทันทีเจ้าตัวจะได้เอ่ยอะไร เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาซะก่อน
                  “เครส เร!!!”
                  ร่างบางของเด็กสาววิ่งรี่เข้ามาพร้อมกับคณะข้างหลังที่ประกอบไปด้วย กร เม และซัน...
                  “อ้าว!! รู้จักกันด้วยหรอ?” ทั้งเครสทั้งทรายต่างก็เอ่ยออกมาพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆให้ดังระร่วนก้องลานกว้างที่มีเพียงแต่กลุ่มพวกเขาเท่านั้น
                  “ให้ตาย... โลกกลมจริงๆพับผ่าสิ” กรพูดกลั้วหัวเราะ
                  “นั่นน่ะสิ ไม่น่าเชื่อว่าจะบังเอิญขนาดนี้” พอลเอ่ยขึ้นบ้างก่อนที่ต่างฝ่ายจะแนะนำตัวซึ่งกันและกัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรมากกว่านั้น เสียงไซเรนที่คุ้นหูก็ดังก้อง...
ตำรวจ!!!!!!
                  “เดือดร้อนอีกแล้วมั้ยล่ะ” เรพูดเอือมๆก่อนจะเริ่มกวาดตามองหาทางหนีทีไล่ ในขณะที่เด็กหนุ่มผมน้ำตาล เจ้าของดวงตาสีม่วงนามพอลที่ยืนข้างๆเขากลับยกมือเหยียดขึ้นจนสุดแขนอย่างไม่มีท่าทีตระหนก
                  Warp Dome!!!!
                  ฟึ่บ!!!!!!!
                  โดมโปร่งใสปรากฏขึ้นครอบร่างของคนทั้งกลุ่มก่อนจะบิดเบี้ยวเลือนหายไปในพริบตา เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ร่างของตำรวจสามนายจะวิ่งรี่เข้ามา ณ ที่นั้น... ดวงตาสามคู่เหลียวมองซึ่งกันและกันด้วยความฉงน...
                  ไม่มีใครที่นั่น... กลางลานหินที่พังยับคงเหลือไว้เพียงสายลมแผ่วเบาที่โชยผ่านไปเท่านั้น...
                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
                  “ณ เวลา 10 นาฬิกาของวันนี้ ได้เกิดการจลาจลขึ้นพร้อมกันทั้ง 36 มลรัฐในเฮฟเว่น จากการสืบทราบเบื้องต้นของตำรวจ ยังไม่สามารถหาตัวผู้กระทำความผิดได้ แต่ทางตำรวจได้คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นกลุ่มกบฏแบ่งแยกอาณาจักร- -“
                  ฟึ่บ!- -
                  ภาพข่าวในจอโทรทัศน์ดับวูบลงด้วยฝีมือของซัน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะโยนรีโมททิ้งลงบนโต๊ะอย่างไม่แยแส
                  “กบฏแบ่งแยกบ้าน่ะสิ!! คิดว่าคนอื่นโง่พอที่จะไม่รู้หรือไงว่าไอ้เรื่องเผาธงนั่นมันสัญญาณสงครามชัดๆ!!” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยความหัวเสียสุดฤทธิ์
                  “ใจเย็นๆน่าซัน...” เรเดินมาตบบ่าเพื่อนเบา “คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดคงไม่ใช่สำนักข่าวนั่นหรอก... ฉันว่า...พวกเราคงต้องถาม...” ดวงเนตรสีฟ้าน้ำทะเลไล่สายตาลงไปหยุดที่บุคคลผู้หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยนาม...
                  “พี่จิ้ง ” ทุกสายตาตวัดมามองที่เจ้าของนามโดยพร้อมเพรียง กลุ่มหนึ่งแสดงแววหวาดวิตก อีกกลุ่มแสดงแววคาดคั้นเยือกเย็น... สายตาที่เรียกให้น้ำลายถูกกลืนเกลื่อนลงคออย่างยากเย็น...
                  “อ่า... บ้านสวยนะครับฟิลลิป” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปลี่ยนเรื่องพูดเอาซะดื้อๆ เล่นเอาเพื่อนที่มาด้วยกุมขมับกันไปเป็นแถบ ส่วนชายชราเจ้าของนามฟิลลิป ไอน์เกน ได้แต่ยิ้มขันๆกับความทึ่มของชายหนุ่มอ่อนวัยตรงหน้า
                  “เรมันว่าตรงประเด็นดีนะ ตอบมาดีกว่าคุณจิ้ง เกลเบลี่ยน” ชายชราแย้มรอยยิ้มละไม ทว่าแววตากลับเปล่งประกายประหลาด ที่เรียกให้สองมือของคนถูกคาดคั้นต้องยกขึ้นยอมจำนน
                  “ครับๆ ผมบอกก็ได้”
                  “พี่จิ้ง” หลินเอ่ยเสียงเข้มแต่ทว่าปลายเสียงเจือความประหวั่นอย่างที่ซ่อนไว้ไม่อยู่
                  “ผมรู้ๆ... เรื่องนี้มันไม่ควรบอกกับใคร... แต่ไหนๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว...” จิ้งเอ่ย ก่อนที่จะเบนนัยน์ตาสีเขียวมรกตไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลของชายชรา
                  “เรื่องมันมีอยู่ว่า... เจดันเดินไปเหยียบเท้าจิ๊กโก๋เข้าให้ก็เลยโดนเค้าตามหาเรื่องครับ”
                  คำตอบที่ได้เล่นเอาคนรอฟังสบถพรืดยาวเหยียดแล้วขุดเอาบรรพบุรุษของคนตอบมาบ่นเสียยับอย่างไม่คิดจะเกรงใจ
                  “จิ๊กโก๋บ้านจิ้งมันจะมีปัญญาส่งสัตว์ประหลาดมาตามล่าเจมั้ยล่ะ? แล้วไหนจะไอ้เรื่องเผาธงนั่นอีก!!” ทรายตวาดแหวพร้อมกำปั้นที่ทุบลงบนหัวชายหนุ่มอย่างเคยนิสัย เล่นเอาคนโดนมะเหงกถึงกับเหวอ
                  “เจ้าทรายนี่!! ไปเรียกเขาห้วนๆแล้วยังไปเขกกะโหลกเขาอีก!!! เขาแก่กว่านะรู้ไหม?” ผู้เป็นตาใช้ไม้เท้าฟาดแข้งหลานสาวคนโตที่กระโดดหยองแหยงด้วยความเจ็บพลางบ่นกระปอดกระแปด
                  “แหม...ตา... ไม่เห็นเป็นไรเลย... จะเด็กจะแก่ แต่ก็เพื่อนกันทั้งนั้นแหละ...”
                  ...เพื่อน...งั้นหรือ?...
                  ดวงเนตรสีมรกตเหลือบมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ...
                  คำว่าเพื่อน... ที่เขาไม่เคยได้ยินมันมาตลอดยี่สิบปี แม้แต่จากปากของคนที่เขาเห็นมันเป็นเพื่อน...
                  แต่กับเด็กสาวคนนี้- -ไม่สิ... กับคนกลุ่มนี้...ที่เพิ่งรู้จักกันยังไม่ทันข้ามวัน...
                  คนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่กลับมอบความห่วงใย มอบความช่วยเหลือ และเอ่ยคำว่า ‘เพื่อน’ กับเขาได้อย่างเต็มปาก...คำที่ช่วยให้เขาตัดสินใจได้อย่างไม่ลังเลแม้สักนิด...
                  “พวกคุณเชื่อเรื่องครึ่งอสูรมั้ย?” จิ้งเอ่ยเรียบขณะที่ประกายตาของหลิน เจ และพอลกลับมีแววเครียดขึงปนจะตกใจกับคำพูดของบุรุษตรงหน้า
                  “อะไรนะ?” เมย้อนถามทันควัน- -ก็แน่ล่ะ... ในเมื่อเรื่องครึ่งอสูรนั่นมันกลายเป็นนิทานหลอกเด็กสำหรับคนยุคนี้ไปแล้ว ในประวัติศาสตร์ไม่มีการจารึกว่าครึ่งอสูรมีตัวตนจริง... จะมีก็แต่พวกกบฏกลายพันธุ์ที่ไม่ได้น่ากลัวไปกว่ามนุษย์จอมอึดก็เท่านั้น
                  “เครสเชื่อ” เด็กสาวตอบเรียบที่เรียกดวงตาสีฟ้าครามของเด็กสาวให้มองด้วยความฉงน
                  “เครส... แต่ว่า- -“
                  “มันเป็นเรื่องจริงเมโลดี้” พอลเอ่ยสำทับ “ประวัติศาสตร์ของเฮฟเว่นถูกบิดเบือน มนุษย์ที่ถูกอาวุธชีวภาพแล้วกลายพันธุ์เป็นครึ่งอสูรมีอยู่จริง!”
                  “พระเจ้า!!” เมอุทานอย่างเหลือเชื่อ
                  “ไม่มีพระเจ้า ไม่มีนางฟ้าอะไรทั้งนั้น” เจเอ่ยเครียด “เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นฝีมือของครึ่งอสูร”
                  ...ครึ่งอสูร...
                  คำที่ตอกย้ำลงในส่วนลึกของจิตใจ... มือบางขยับกำเกร็งแน่นขณะที่ภาพเหตุการณ์ในอดีตหวนย้อนกลับขึ้นมา
                  แม่...
                  “เครสหนีไป!!!”
                  “ไม่!! หนูจะอยู่กับแม่!!”
                  “เด็กโง่!!! ออกไปซะ!!”
                  “ไม่!! พ่อ!! แม่!!!!”
                  “เครสลูกรัก... แม่กับพ่อรักลูกนะ... แม่รักลูก... ขอร้อง... หนีไปซะ!!!!!!!!!”
                  “ไม่!!!!!!!!!!”
                  .........................
                  ...พ่อ... แม่...
                  \"เครส... เครส!!\" ร่างบางสะดุ่งเฮือกเมื่อนิ้วมือเย็นเฉียบของใครบางคนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ... ดวงตาสีเหล็กคู่นั้นแสดงความเป็นห่วงฉายชัด...
                  \"ไม่เป็นไรซัน...\" เธอเผยรอยยิ้มตอบ
                  \"แล้ว... ทำไมพวกพี่ไปเกี่ยวข้องกับครึ่งอสูรได้ล่ะ?\" เรเอ่ยถามต่อ ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู้นั้นไม่ได้มีแววปลาตไปแม้แต่น้อย
                  \"เอ่อ...ผม...\" สีหน้าของเจ้าตัวเริ่มกระอักกระอ่วน ทำให้สายตารอบข้างจิกย้ำลงมาหมายจะคาดคั้นเอาความลับให้ได้
                  \"พวกเราเป็นมือปราบครึ่งอสูร\" เสียงหวานเอ่ยขัดขึ้นทันทีอย่างไม่ได้ตั้งตัว เรียกกระแสสายตาของคนทั้งห้องให้แปรไปจับจ้องอยู่ที่เธอเพียงผู้เดียว... แต่เจไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย... เธอมองบุรุษข้างๆอย่างจะตำหนิ แต่แล้วก็กลับเมินเฉยเสียเหมือนไม่ใส่ใจ
                  \"ที่ต้องเก็บเป็นความลับไม่บอกกันตั้งแต่แรกเพราะกลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อ... แล้วอีกอย่างพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องเดินทางออกตามล่าครึ่งอสูรตัวต่อไปแล้วด้วย คงจะรบกวนพวกทรายไม่นาน\" รอยยิ้มฉาบละไมบนดวงหน้า แต่แววตาของเธอกลับหมองลงนิดหนึ่งเหมือนจะเสียใจที่ต้องรีบลา
                  \"พี่เจรบกวนพวกเครสอีกไม่นาน แต่เครสคงต้องรบกวนพวกที่เจอีกนานเลยล่ะ\" เด็กสาวก้าวออกไปข้างหน้าแล้วขยับรอยยิ้มมากเล่ห์ขึ้นบนใบหน้า
                  \"หมายความว่ายังไงเครส?...\" หลินเอ่ยถามเสียงเบา
                  \"ก็หมายความว่า... พวกเราได้เจอกันไปอีกนานแน่... เครสจะร่วมทีมไปปราบอสูรกับพวกพี่เจด้วยไงล่ะ\"
                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
                  สายลมพัดเอื่อยเข้าต้องกระดิ่งลมให้กระเพื่อมส่งเสียงเสนาะราวเสียงหัวเราะร่วนของใครบางคน แต่ทว่าคนที่นั่งอยู่บนพื้นนอกชานนั้นกับมีสีหน้าตึงอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมสีทองปลิวไสวราวเส้นไหม ร่างเล็กของชายชราก้าวเข้ามาใกล้ก่อนจะทรุดนั่งลงกับผู้เป็นหลาน...
                  \"เอาจริงหรือ?\" ชายชราเอ่ยคำถามทั้งๆที่สายตาเหม่อมองออกไปไกลสุดทะเล หลานสาวพยักหน้าน้อย... ไม่เอ่ยคำตอบผิดนิสัย... เห็นอย่างนั้นก็จนปัญญา ได้แต่ถอนหายใจหนักก่อนจะยกมือวางบนหัวของหลานสาวเบาๆก่อนจะเอ่ยถ้อย
                  \"ตาเลี้ยงเจ้ามาแต่ไหนแต่ไร... ถึงจะเลี้ยงมากับมือ แต่ตากำหนดเส้นทางชีวิตเจ้าไม่ได้... ถ้าอยากไปก็ไปเถอะ ทางตัวเอง คงต้องเลือกเองแต่ตาอยากให้เจ้าจำไว้อย่างหนึ่ง... ชีวิตของเจ้า พ่อแม่เจ้ารักษาชีวิตเจ้าไว้... อย่าทำให้พวกเขาเสียใจ... คิด ก่อนที่จะทำ อย่ามานั่งเสียใจทีหลังว่าพลาดไปแล้ว... เพราะถึงจะพลาด แต่เราก็ยังลุกขึ้นได้เสมอ ตราบใดที่ลมหายใจยังไม่หมด...\"
                  ชายชราถอนหายใจเบาอีกรอบก่อนจะเหลือบมองดวงหน้าของหลานสาว
                  \"และสุดท้าย... ตารักเจ้านะเครส...\"
                  \"หนูก็รักตานะ...\"
                  ครืด...
                  ประตูกระจกหลังสองตาหลานเลื่อนเปิดออก... ซันกับทรายก้าวเข้ามาแล้วสวมกอดชายชราแน่น... เพียงเท่านั้นเขาก็รู้ความหมายของเด็กๆดี...
                  ทั้งสี่สวมกอดกันเนิ่นนาน ราวกับกลัวว่าต่างฝ่ายจะระเหยหายไปจากอากาศธาตุ... ราวกับจะซึมซับเอาทุกอณูของกันและกันไว้... แล้วหยาดน้ำตาของใครคนหนึ่งก็ไหลลงมาเงียบๆ...
                  ...อาร์ทิมิส...ไดอาน่า... คุ้มครองลูกกับหลานของเธอด้วย...
                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
                  ราตรีกาลค่อยล่วงผ่านไปช้าๆ แต่ในที่สุด ดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นจากสายน้ำตาที่โอบล้อมอาณาสวรรค์ สาดแสงสีทองอุ่นกล่าวคำอรุณสวัสดิ์กับทุกสรรพชีวิต... ทุกสรรพชีวิต... ยกเว้น คนกลุ่มหนึ่ง...
                  เสียงฝีเท้าดังก้องบนถนนที่ไร้ซึ่งสรรพชีวิต... แววตาของแต่ละคนดูเครียดขึ้งยกเว้นบุรุษที่นำทีมที่ยังคงเสมองซ้ายขวาสบายอกสบายใจจนสาวน้อยที่เดินข้างๆต้องเอ่ยปากถาม
                  \"พี่จิ้งคิดยังไงถึงยอมให้พวกเครสตามเรามาด้วยน่ะ\" กระแสเสียงถูกกดลงจนเบาแผ่ว ดวงตาสีเลือดเน้นหนักกว่าถ้อยที่ถูกเอ่ย แต่คนโดนถามกลับหัวเราะขันน้อยๆก่อนจะเอ่ยคำตอบ
                  \"ทุกการกระทำมีเหตุผลเสมอเจ... เขามีเหตุผลของเขา เราก็มีเหตุผลของเรา ผมไปห้ามเขาไม่ได้หรอก\" ชายหนุ่มตอบสบายๆ
                  \"แต่พี่จิ้งก็รู้ว่ามันอันตราย...\"
                  \"เจ... ลองคิดดูนะ ถึงผมห้าม ยังไงพวกเขาก็คงตามมา แล้วถ้าเขาเกิดตามเรามาโดยที่เราไม่รู้ มันจะไม่อันตรายกว่างั้นหรอ?\"
                  เด็กสาวนิ่งงันกับคำตอบ ดวงตาสีเลือดหลุบต่ำลง... ถึงเธอจะรู้ว่าเขาพูดถูก แต่เธอก็ไม่อยากให้ใครมาจบชีวิตลงเพราะพวกเธออีกแล้ว...
                  \"เจ...\" คำเอ่ยเรียกชื่อตามมาด้วยเสียงถอนลมหายใจแผ่วเบาก่อนจะกล่าวต่อ
                  \"บางทีอะไรที่มันจะเกิดเราก็ต้องปล่อยมันไปบ้าง... ถ้ายิ่งดึงยิ่งรั้งไว้ก็มีแต่ตัวเราเองไม่ใช่หรือที่จะเจ็บ?\" รอยยิ้มอ่อนโยนทอดลงมา เรียกให้เด็กสาวยิ้มตอบกลับไปบ้างก่อนจะจมลงสู่ห้วงความคิดของตัวเอง...
                  ...อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิดสินะ...
                  ถัดมาเพียงไม่กี่ฝีก้าว พวกของเครสเดินเกาะกลุ่มกันเงียบๆ แต่ละคนต่างตกอยู่ในภวังค์แห่งห้วงคิดจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ก่อนที่เครสจะเอ่ย
                  \"เร...\" เด็กสาวเอ่ยเรียก
                  \"นายกลับไปเถอะ พาทุกคนกลับไปด้วย มันอันตรายเกินไป\" น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยยังคงสงบนิ่งทว่าประกายตากลับแปรไหวก่อนจะหลุบลงแล้วเอ่ยต่อ
                  \"พวกนายไม่เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี่ ฉันไม่อยากให้ครอบครัวของพวกนายต้องเสียใจ... รินจะว่ายังไงที่จู่ๆพี่ชายก็มาหายไปโดยไม่ได้บอกแบบนี้น่ะ...\"
                  \"แล้วทำไมเธอต้องคิดแทนคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อยด้วยล่ะ!\" น้ำเสียงเด็กหนุ่มตวัดทิ้งลงแฝงแววขุ่นขึ้งจางๆ แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา
                  \"เครส... เธอคิดมาเกินไปนะ เลิกคิดแทนคนอื่นเสียทีเถอะ ยิ่งคิดมากก็ยิ่งทุกข์มาก เธอจะคิดให้เปลืองสมองทำไม?\"
                  \"แต่ว่า...\"
                  \"ฟังนะ... ไม่ใช่ฉันไม่รักพ่อ แม่ หรือริน แต่ชีวิตฉัน ฉันมีทางเดินของฉัน... มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวที่อยู่ๆก็ทิ้งพวกเขามา... แต่ฉันอยากทำอะไรตามใจบ้าง ฉันก้าวออกมาแล้ว และก็หันหลังกลับไปไม่ได้ด้วย\"
                  มือแกร่งเอื้อมขึ้นขยี้ผมเธอเบาๆพร้อมรอยยิ้ม... รอยยิ้มอ่อนโยนราวสายลมที่พัดพาเอาความทุกข์ทั้งมวลให้ปลิวายไปในอากาศ...
                  ...ขอบใจนะเร...
                  \"นี่! ว่าแต่ เราจะไปไหนกันอ่ะจิ้ง?\" ทรายตะโกนถามคนเดินนำขบวนที่จู่ๆก็หยุดยืนมองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไรซักอย่างบนท้องถนน
                  \"หืม? อ๋อ... เราจะไปยูดาห์กัน\"
                  \"ห๋า? ไปทำไมอ่ะ\"
                  \"เอาน่า... พี่ตั้งหลักกันก่อน จะเอายังไงเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที\" เจ้าตัวตอบพลางโบกมือหยอยๆเรียกรถประจำทางให้จอด
                  \"แล้วจะไปยังไงอ่ะจิ้ง\" ทรายยังซักต่อไม่เลิกขณะที่คนถูกถามแบกเป้ขึ้นหลังเตรียมก้าวขึ้นรถเมล์เต็มที่
                  \"อ้าว! ก็ไปรมเมล์ไง... คงซักสองวันแหละกว่าจะถึง แต่ไปกันเยอะๆก็งี้ล่ะ ผมไม่ค่อยมีตังค์เท่าไหร่\" ว่าจบเจ้าตัวก็ผลุบหายเข้าไปในรถเมล์ทิ้งให้คนฟงคำตอบนิ่งอึ้งกันไปเป็นแถบ...
                  รถเมล์... ไปถึงเมืองหลวงอย่างยูดาห์ก็อีกสองวัน...
                  รถเมล์เนี่ยนะ!!!
                  ...ให้ตายเหอะ!! ให้มันได้ยังงี้สิ!!!!...
             
                 
                    เสียงระเบิดดังขึ้นซ้ำอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้ไม่ได้มาจากบนฟ้า- -ผู้คนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน เศษกระเบื้องปลิวว่อนตามแรง ฝุ่นควันฟุ้งตรลบขึ้นบดบังทัศนวิสัย แต่ทว่าเสียงกรีดร้องยังคงดังระงมไปทั่งทุกตารางนิ้ว
                    “เจ!! มาทางนี้เร็ว!!” สัญชาติญาณส่วนลึกเรียกให้ทรายรีบดึงมือเพื่อนสาวออกวิ่งทันที แม้จะยังไม่รู้หนทาง แต่ก็ยังดีกว่ายืนรอความตายล่ะน่า!!
                    “ทราย!!!!!!” เสียงตะโกนดังขึ้นเบื้องหลังเด็กสาวทั้งสองท่ามกลางฝูงคนและความแตกตื่น ทรายหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็พบ เม กร กับซัน กำลังวิ่งตามมาสมทบ
                    “ทรายโอเคไหม?” เมโลดี้เอ่ยถามเพื่อนก่อนเป็นอย่างแรก
                    “อือ ไม่เป็นไร- -แล้วเครสกับเรล่ะ?”
                    “ผมไม่รู้เหมือนกัน โทรหาไม่ได้ด้วย” ซันเอ่ยพลางมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างกลัดกลุ้ม
                    “ทรายว่าเราไปที่บ้านก่อนเถอะแล้วค่อยหาทางติดต่อสองคนนั้นอีกที” ทรายเอ่ยเมื่อเกิดการระเบิดครั้งที่สามใกล้ตัวพวกเขามากขึ้นกว่าทุกที แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตอบอะไร- -
                    ตูมมมมม!!!!!
                    จู่ๆพื้นที่พวกทรายยืนอยู่ก็ไหวสะเทือนแล้วเกิดระเบิดขึ้นในพรับตา!!
                    Water Ball!!!
                    ลูกบอลพลังน้ำของเมโลดี้เข้าครอบคลุมปกป้องทุกคนจากแรงระเบิดได้ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง
                    “เจเป็นอะไรไหม?” ทรายค่อยๆลุกขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปประคองเจที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุด
                    “ทรายหลบไป!!!” เจตะโกนลั่นก่อนจะผลักร่างเด็กสาวออกไปให้พ้นทาง เพราะเบื้องหน้าเธอบัดนี้คือนกยักษ์ที่ร่อนลงมาหมายจะคร่าชีวิตของเธอ!!!!!!!!
                    Lightning!!!!
                    สายอสนีบาตผ่าเปรี้ยงลงกลางแสกหน้าของเจ้านกยักษ์ตัวนั้นเรียกเสียงร้องโหยหวนดังก้อง- -เงาสีดำพวยพุ่งขึ้นพันธนาการร่างเจ้าสัตว์ประหลาดก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นของมีคมทิ่มแทงเข้าในเนื้อ เรียกกลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียนกับหยดเลือดสีเขียวคล้ำให้กระเซ็นไปทั่วบริเวณ แต่แทนที่มันจะตกต้องลงบนร่างของเจ กลับมีเกราะใสสีทองบางๆกางกั้นครอบไว้- -ดวงเนตรสีเลือดเบือนหันกลับไปมองนกประหลาดนั่นก่อนจะเบิกกว้างด้วยความตกใจว่าเปลวเพลิงสีฟ้าได้โหมลุกทั่วทั้งร่างของสัตว์ร้าย!!
                    เพียงพริบตาช่องมิติโปร่งใสก็ปรากฏขึ้นข้างกายของเด็กสาวก่อนจะดูดร่างเธอหายลับไปปรากฏข้างๆคนกลุ่มหนึ่ง...
                    ...คนที่ช่วยเธอไว้เมื่อครู่...
                  “เจหลบไป...” น้ำเสียงทุ้มเอ่ย ก่อนที่เจ้าของคำพูดนั้นจะก้าวออกไปประจันหน้ากับสัตว์ร้ายที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นอย่างน่าอนาถ... ดวงตาสีมรกตฉายแววโกรธกรุ่นผิดวิสัยจนคนมองอดรู้สึกหนาวๆร้อนๆไม่ได้- -ชายหนุ่มเหยียดแขนขึ้นตรงก่อนที่ประจุไฟนับแสนโวลต์จะวิ่งแล่นออกจากร่างส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบดูอึมครึมไปสนิท- -ประจุไฟฟ้ามหาศาลพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าก่อนจะรวมตัวลงมาที่ฝ่ามือแกร่งของชายหนุ่มราวกับเป็นดาบขนาดยักษ์- -ดาบที่เจ้าของฟาดลงใส่ศัตรูตรงหน้าอย่างไม่มีคำว่าปรานี...
                  Thunder Sword!!!
                  เปรี้ยงงงงงงง!!!!!!!!!
                  มวลประจุไฟฟ้ามหาศาลพุ่งเข้ากระแทกร่างสัตว์ประหลาดส่งรัศมีแห่งการทำลายล้างไปทั่วทุกอาณาบริเวณ กระแสไฟวิ่งผ่านอากาศแทรกเข้าหาทุกชีวิตที่กางโล่พลังออกกั้นไว้โดยไม่ลังเล เศษหญ้ายามเมื่อแตะเพียงเศษประจุก็กลับแหลกสลายเหลือเพียงเถ้าธุลี... กระแสไฟฟ้านับแสนโวลต์ที่บดขยี้ได้แม้แต่โมเลกุลที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต!!!
                  ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย... ไร้สิ้นสรรพเสียงใดๆ... คงมีแต่บุรุษที่ยืนสงบนิ่งอยู่กลางลานกว้างที่พินาศยับเยินนั่นเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิต...
                  “พี่จิ้ง!!!!!” ร่างบางของสาวน้อยที่หวิดตายเมื่อครู่จ้ำเท้าเข้ามาด้วยหน้าตาบ่งบอกถึงอารมณ์ตึงสุดขีด
                  “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้!! มัวแต่ไปหลีสาวที่ไหนอีกล่ะ!! ใช่สิ!!! เจมันไม่ได้- -“
                  คำพูดถูกหยุดดื้อๆด้วยอ้อมกอดของบุรุษตรงหน้าที่โถมเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัว... มือแกร่งที่สังหารสัตว์ประหลาดเมื่อครู่ บัดนี้ตระกองกอดร่างเด็กสาวไว้แน่น... นี่เธอรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่ามันสั่นเทา...?
                  “ผมเป็นห่วงเจขนาดไหนรู้ไหม?...อย่าทำให้เป็นห่วงอีกนะ” ถ้อยคำกระซิบข้างหูช่วยผ่อนอารมณ์ขึ้งของเจ้าหล่อนลงไปโข แต่พอรู้สึกถึงสัมผัสแปลกๆ ดวงหน้านวลก็ขึ้นสีเรื่องก่อนจะดันร่างสูงออกแล้วประทับผ่ามืออรหันต์ที่ข้างแก้มเต็มรัก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตวาดแหว
                  “ไอ้พี่จิ้งลามก!!!!”
                  “อะไร้!... จับนิดจับหน่อยทำเป็นหวง- -ว่าแต่เจกินเยอะไปรึเปล่า? บั้นท้ายออกแล้วนะ”
                  โครม!!!
                  คราวนี้ถูกถีบงามๆถูกยันส่งให้กลางท้องเล่นเอาคนโดนจุกกลิ้งลงไปกองกับพื้นพลางนึกสงสัยในใจว่าที่โดนนี่เพราะมืออยู่ไม่สุขหรือปากพูดความจริงกันแน่...
                  “เจ... ใจเย็น” หลินเดินเข้ามาห้ามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เจตวัดสายตาไปมองร่างอีกสาองร่างที่ไม่คุ้นตาแต่กลับเดินมาพร้อมกับหลิน
                  “อ้อ... นี่เครสกับเร... ที่หลินเล่าให้ฟังเมื่อวานไง” ยังไม่ทันทีเจ้าตัวจะได้เอ่ยอะไร เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาซะก่อน
                  “เครส เร!!!”
                  ร่างบางของเด็กสาววิ่งรี่เข้ามาพร้อมกับคณะข้างหลังที่ประกอบไปด้วย กร เม และซัน...
                  “อ้าว!! รู้จักกันด้วยหรอ?” ทั้งเครสทั้งทรายต่างก็เอ่ยออกมาพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆให้ดังระร่วนก้องลานกว้างที่มีเพียงแต่กลุ่มพวกเขาเท่านั้น
                  “ให้ตาย... โลกกลมจริงๆพับผ่าสิ” กรพูดกลั้วหัวเราะ
                  “นั่นน่ะสิ ไม่น่าเชื่อว่าจะบังเอิญขนาดนี้” พอลเอ่ยขึ้นบ้างก่อนที่ต่างฝ่ายจะแนะนำตัวซึ่งกันและกัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรมากกว่านั้น เสียงไซเรนที่คุ้นหูก็ดังก้อง...
ตำรวจ!!!!!!
                  “เดือดร้อนอีกแล้วมั้ยล่ะ” เรพูดเอือมๆก่อนจะเริ่มกวาดตามองหาทางหนีทีไล่ ในขณะที่เด็กหนุ่มผมน้ำตาล เจ้าของดวงตาสีม่วงนามพอลที่ยืนข้างๆเขากลับยกมือเหยียดขึ้นจนสุดแขนอย่างไม่มีท่าทีตระหนก
                  Warp Dome!!!!
                  ฟึ่บ!!!!!!!
                  โดมโปร่งใสปรากฏขึ้นครอบร่างของคนทั้งกลุ่มก่อนจะบิดเบี้ยวเลือนหายไปในพริบตา เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ร่างของตำรวจสามนายจะวิ่งรี่เข้ามา ณ ที่นั้น... ดวงตาสามคู่เหลียวมองซึ่งกันและกันด้วยความฉงน...
                  ไม่มีใครที่นั่น... กลางลานหินที่พังยับคงเหลือไว้เพียงสายลมแผ่วเบาที่โชยผ่านไปเท่านั้น...
                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
                  “ณ เวลา 10 นาฬิกาของวันนี้ ได้เกิดการจลาจลขึ้นพร้อมกันทั้ง 36 มลรัฐในเฮฟเว่น จากการสืบทราบเบื้องต้นของตำรวจ ยังไม่สามารถหาตัวผู้กระทำความผิดได้ แต่ทางตำรวจได้คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นกลุ่มกบฏแบ่งแยกอาณาจักร- -“
                  ฟึ่บ!- -
                  ภาพข่าวในจอโทรทัศน์ดับวูบลงด้วยฝีมือของซัน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะโยนรีโมททิ้งลงบนโต๊ะอย่างไม่แยแส
                  “กบฏแบ่งแยกบ้าน่ะสิ!! คิดว่าคนอื่นโง่พอที่จะไม่รู้หรือไงว่าไอ้เรื่องเผาธงนั่นมันสัญญาณสงครามชัดๆ!!” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยความหัวเสียสุดฤทธิ์
                  “ใจเย็นๆน่าซัน...” เรเดินมาตบบ่าเพื่อนเบา “คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดคงไม่ใช่สำนักข่าวนั่นหรอก... ฉันว่า...พวกเราคงต้องถาม...” ดวงเนตรสีฟ้าน้ำทะเลไล่สายตาลงไปหยุดที่บุคคลผู้หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยนาม...
                  “พี่จิ้ง ” ทุกสายตาตวัดมามองที่เจ้าของนามโดยพร้อมเพรียง กลุ่มหนึ่งแสดงแววหวาดวิตก อีกกลุ่มแสดงแววคาดคั้นเยือกเย็น... สายตาที่เรียกให้น้ำลายถูกกลืนเกลื่อนลงคออย่างยากเย็น...
                  “อ่า... บ้านสวยนะครับฟิลลิป” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปลี่ยนเรื่องพูดเอาซะดื้อๆ เล่นเอาเพื่อนที่มาด้วยกุมขมับกันไปเป็นแถบ ส่วนชายชราเจ้าของนามฟิลลิป ไอน์เกน ได้แต่ยิ้มขันๆกับความทึ่มของชายหนุ่มอ่อนวัยตรงหน้า
                  “เรมันว่าตรงประเด็นดีนะ ตอบมาดีกว่าคุณจิ้ง เกลเบลี่ยน” ชายชราแย้มรอยยิ้มละไม ทว่าแววตากลับเปล่งประกายประหลาด ที่เรียกให้สองมือของคนถูกคาดคั้นต้องยกขึ้นยอมจำนน
                  “ครับๆ ผมบอกก็ได้”
                  “พี่จิ้ง” หลินเอ่ยเสียงเข้มแต่ทว่าปลายเสียงเจือความประหวั่นอย่างที่ซ่อนไว้ไม่อยู่
                  “ผมรู้ๆ... เรื่องนี้มันไม่ควรบอกกับใคร... แต่ไหนๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว...” จิ้งเอ่ย ก่อนที่จะเบนนัยน์ตาสีเขียวมรกตไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลของชายชรา
                  “เรื่องมันมีอยู่ว่า... เจดันเดินไปเหยียบเท้าจิ๊กโก๋เข้าให้ก็เลยโดนเค้าตามหาเรื่องครับ”
                  คำตอบที่ได้เล่นเอาคนรอฟังสบถพรืดยาวเหยียดแล้วขุดเอาบรรพบุรุษของคนตอบมาบ่นเสียยับอย่างไม่คิดจะเกรงใจ
                  “จิ๊กโก๋บ้านจิ้งมันจะมีปัญญาส่งสัตว์ประหลาดมาตามล่าเจมั้ยล่ะ? แล้วไหนจะไอ้เรื่องเผาธงนั่นอีก!!” ทรายตวาดแหวพร้อมกำปั้นที่ทุบลงบนหัวชายหนุ่มอย่างเคยนิสัย เล่นเอาคนโดนมะเหงกถึงกับเหวอ
                  “เจ้าทรายนี่!! ไปเรียกเขาห้วนๆแล้วยังไปเขกกะโหลกเขาอีก!!! เขาแก่กว่านะรู้ไหม?” ผู้เป็นตาใช้ไม้เท้าฟาดแข้งหลานสาวคนโตที่กระโดดหยองแหยงด้วยความเจ็บพลางบ่นกระปอดกระแปด
                  “แหม...ตา... ไม่เห็นเป็นไรเลย... จะเด็กจะแก่ แต่ก็เพื่อนกันทั้งนั้นแหละ...”
                  ...เพื่อน...งั้นหรือ?...
                  ดวงเนตรสีมรกตเหลือบมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ...
                  คำว่าเพื่อน... ที่เขาไม่เคยได้ยินมันมาตลอดยี่สิบปี แม้แต่จากปากของคนที่เขาเห็นมันเป็นเพื่อน...
                  แต่กับเด็กสาวคนนี้- -ไม่สิ... กับคนกลุ่มนี้...ที่เพิ่งรู้จักกันยังไม่ทันข้ามวัน...
                  คนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่กลับมอบความห่วงใย มอบความช่วยเหลือ และเอ่ยคำว่า ‘เพื่อน’ กับเขาได้อย่างเต็มปาก...คำที่ช่วยให้เขาตัดสินใจได้อย่างไม่ลังเลแม้สักนิด...
                  “พวกคุณเชื่อเรื่องครึ่งอสูรมั้ย?” จิ้งเอ่ยเรียบขณะที่ประกายตาของหลิน เจ และพอลกลับมีแววเครียดขึงปนจะตกใจกับคำพูดของบุรุษตรงหน้า
                  “อะไรนะ?” เมย้อนถามทันควัน- -ก็แน่ล่ะ... ในเมื่อเรื่องครึ่งอสูรนั่นมันกลายเป็นนิทานหลอกเด็กสำหรับคนยุคนี้ไปแล้ว ในประวัติศาสตร์ไม่มีการจารึกว่าครึ่งอสูรมีตัวตนจริง... จะมีก็แต่พวกกบฏกลายพันธุ์ที่ไม่ได้น่ากลัวไปกว่ามนุษย์จอมอึดก็เท่านั้น
                  “เครสเชื่อ” เด็กสาวตอบเรียบที่เรียกดวงตาสีฟ้าครามของเด็กสาวให้มองด้วยความฉงน
                  “เครส... แต่ว่า- -“
                  “มันเป็นเรื่องจริงเมโลดี้” พอลเอ่ยสำทับ “ประวัติศาสตร์ของเฮฟเว่นถูกบิดเบือน มนุษย์ที่ถูกอาวุธชีวภาพแล้วกลายพันธุ์เป็นครึ่งอสูรมีอยู่จริง!”
                  “พระเจ้า!!” เมอุทานอย่างเหลือเชื่อ
                  “ไม่มีพระเจ้า ไม่มีนางฟ้าอะไรทั้งนั้น” เจเอ่ยเครียด “เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นฝีมือของครึ่งอสูร”
                  ...ครึ่งอสูร...
                  คำที่ตอกย้ำลงในส่วนลึกของจิตใจ... มือบางขยับกำเกร็งแน่นขณะที่ภาพเหตุการณ์ในอดีตหวนย้อนกลับขึ้นมา
                  แม่...
                  “เครสหนีไป!!!”
                  “ไม่!! หนูจะอยู่กับแม่!!”
                  “เด็กโง่!!! ออกไปซะ!!”
                  “ไม่!! พ่อ!! แม่!!!!”
                  “เครสลูกรัก... แม่กับพ่อรักลูกนะ... แม่รักลูก... ขอร้อง... หนีไปซะ!!!!!!!!!”
                  “ไม่!!!!!!!!!!”
                  .........................
                  ...พ่อ... แม่...
                  \"เครส... เครส!!\" ร่างบางสะดุ่งเฮือกเมื่อนิ้วมือเย็นเฉียบของใครบางคนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ... ดวงตาสีเหล็กคู่นั้นแสดงความเป็นห่วงฉายชัด...
                  \"ไม่เป็นไรซัน...\" เธอเผยรอยยิ้มตอบ
                  \"แล้ว... ทำไมพวกพี่ไปเกี่ยวข้องกับครึ่งอสูรได้ล่ะ?\" เรเอ่ยถามต่อ ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู้นั้นไม่ได้มีแววปลาตไปแม้แต่น้อย
                  \"เอ่อ...ผม...\" สีหน้าของเจ้าตัวเริ่มกระอักกระอ่วน ทำให้สายตารอบข้างจิกย้ำลงมาหมายจะคาดคั้นเอาความลับให้ได้
                  \"พวกเราเป็นมือปราบครึ่งอสูร\" เสียงหวานเอ่ยขัดขึ้นทันทีอย่างไม่ได้ตั้งตัว เรียกกระแสสายตาของคนทั้งห้องให้แปรไปจับจ้องอยู่ที่เธอเพียงผู้เดียว... แต่เจไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย... เธอมองบุรุษข้างๆอย่างจะตำหนิ แต่แล้วก็กลับเมินเฉยเสียเหมือนไม่ใส่ใจ
                  \"ที่ต้องเก็บเป็นความลับไม่บอกกันตั้งแต่แรกเพราะกลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อ... แล้วอีกอย่างพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องเดินทางออกตามล่าครึ่งอสูรตัวต่อไปแล้วด้วย คงจะรบกวนพวกทรายไม่นาน\" รอยยิ้มฉาบละไมบนดวงหน้า แต่แววตาของเธอกลับหมองลงนิดหนึ่งเหมือนจะเสียใจที่ต้องรีบลา
                  \"พี่เจรบกวนพวกเครสอีกไม่นาน แต่เครสคงต้องรบกวนพวกที่เจอีกนานเลยล่ะ\" เด็กสาวก้าวออกไปข้างหน้าแล้วขยับรอยยิ้มมากเล่ห์ขึ้นบนใบหน้า
                  \"หมายความว่ายังไงเครส?...\" หลินเอ่ยถามเสียงเบา
                  \"ก็หมายความว่า... พวกเราได้เจอกันไปอีกนานแน่... เครสจะร่วมทีมไปปราบอสูรกับพวกพี่เจด้วยไงล่ะ\"
                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
                  สายลมพัดเอื่อยเข้าต้องกระดิ่งลมให้กระเพื่อมส่งเสียงเสนาะราวเสียงหัวเราะร่วนของใครบางคน แต่ทว่าคนที่นั่งอยู่บนพื้นนอกชานนั้นกับมีสีหน้าตึงอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมสีทองปลิวไสวราวเส้นไหม ร่างเล็กของชายชราก้าวเข้ามาใกล้ก่อนจะทรุดนั่งลงกับผู้เป็นหลาน...
                  \"เอาจริงหรือ?\" ชายชราเอ่ยคำถามทั้งๆที่สายตาเหม่อมองออกไปไกลสุดทะเล หลานสาวพยักหน้าน้อย... ไม่เอ่ยคำตอบผิดนิสัย... เห็นอย่างนั้นก็จนปัญญา ได้แต่ถอนหายใจหนักก่อนจะยกมือวางบนหัวของหลานสาวเบาๆก่อนจะเอ่ยถ้อย
                  \"ตาเลี้ยงเจ้ามาแต่ไหนแต่ไร... ถึงจะเลี้ยงมากับมือ แต่ตากำหนดเส้นทางชีวิตเจ้าไม่ได้... ถ้าอยากไปก็ไปเถอะ ทางตัวเอง คงต้องเลือกเองแต่ตาอยากให้เจ้าจำไว้อย่างหนึ่ง... ชีวิตของเจ้า พ่อแม่เจ้ารักษาชีวิตเจ้าไว้... อย่าทำให้พวกเขาเสียใจ... คิด ก่อนที่จะทำ อย่ามานั่งเสียใจทีหลังว่าพลาดไปแล้ว... เพราะถึงจะพลาด แต่เราก็ยังลุกขึ้นได้เสมอ ตราบใดที่ลมหายใจยังไม่หมด...\"
                  ชายชราถอนหายใจเบาอีกรอบก่อนจะเหลือบมองดวงหน้าของหลานสาว
                  \"และสุดท้าย... ตารักเจ้านะเครส...\"
                  \"หนูก็รักตานะ...\"
                  ครืด...
                  ประตูกระจกหลังสองตาหลานเลื่อนเปิดออก... ซันกับทรายก้าวเข้ามาแล้วสวมกอดชายชราแน่น... เพียงเท่านั้นเขาก็รู้ความหมายของเด็กๆดี...
                  ทั้งสี่สวมกอดกันเนิ่นนาน ราวกับกลัวว่าต่างฝ่ายจะระเหยหายไปจากอากาศธาตุ... ราวกับจะซึมซับเอาทุกอณูของกันและกันไว้... แล้วหยาดน้ำตาของใครคนหนึ่งก็ไหลลงมาเงียบๆ...
                  ...อาร์ทิมิส...ไดอาน่า... คุ้มครองลูกกับหลานของเธอด้วย...
                    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
                  ราตรีกาลค่อยล่วงผ่านไปช้าๆ แต่ในที่สุด ดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นจากสายน้ำตาที่โอบล้อมอาณาสวรรค์ สาดแสงสีทองอุ่นกล่าวคำอรุณสวัสดิ์กับทุกสรรพชีวิต... ทุกสรรพชีวิต... ยกเว้น คนกลุ่มหนึ่ง...
                  เสียงฝีเท้าดังก้องบนถนนที่ไร้ซึ่งสรรพชีวิต... แววตาของแต่ละคนดูเครียดขึ้งยกเว้นบุรุษที่นำทีมที่ยังคงเสมองซ้ายขวาสบายอกสบายใจจนสาวน้อยที่เดินข้างๆต้องเอ่ยปากถาม
                  \"พี่จิ้งคิดยังไงถึงยอมให้พวกเครสตามเรามาด้วยน่ะ\" กระแสเสียงถูกกดลงจนเบาแผ่ว ดวงตาสีเลือดเน้นหนักกว่าถ้อยที่ถูกเอ่ย แต่คนโดนถามกลับหัวเราะขันน้อยๆก่อนจะเอ่ยคำตอบ
                  \"ทุกการกระทำมีเหตุผลเสมอเจ... เขามีเหตุผลของเขา เราก็มีเหตุผลของเรา ผมไปห้ามเขาไม่ได้หรอก\" ชายหนุ่มตอบสบายๆ
                  \"แต่พี่จิ้งก็รู้ว่ามันอันตราย...\"
                  \"เจ... ลองคิดดูนะ ถึงผมห้าม ยังไงพวกเขาก็คงตามมา แล้วถ้าเขาเกิดตามเรามาโดยที่เราไม่รู้ มันจะไม่อันตรายกว่างั้นหรอ?\"
                  เด็กสาวนิ่งงันกับคำตอบ ดวงตาสีเลือดหลุบต่ำลง... ถึงเธอจะรู้ว่าเขาพูดถูก แต่เธอก็ไม่อยากให้ใครมาจบชีวิตลงเพราะพวกเธออีกแล้ว...
                  \"เจ...\" คำเอ่ยเรียกชื่อตามมาด้วยเสียงถอนลมหายใจแผ่วเบาก่อนจะกล่าวต่อ
                  \"บางทีอะไรที่มันจะเกิดเราก็ต้องปล่อยมันไปบ้าง... ถ้ายิ่งดึงยิ่งรั้งไว้ก็มีแต่ตัวเราเองไม่ใช่หรือที่จะเจ็บ?\" รอยยิ้มอ่อนโยนทอดลงมา เรียกให้เด็กสาวยิ้มตอบกลับไปบ้างก่อนจะจมลงสู่ห้วงความคิดของตัวเอง...
                  ...อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิดสินะ...
                  ถัดมาเพียงไม่กี่ฝีก้าว พวกของเครสเดินเกาะกลุ่มกันเงียบๆ แต่ละคนต่างตกอยู่ในภวังค์แห่งห้วงคิดจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ก่อนที่เครสจะเอ่ย
                  \"เร...\" เด็กสาวเอ่ยเรียก
                  \"นายกลับไปเถอะ พาทุกคนกลับไปด้วย มันอันตรายเกินไป\" น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยยังคงสงบนิ่งทว่าประกายตากลับแปรไหวก่อนจะหลุบลงแล้วเอ่ยต่อ
                  \"พวกนายไม่เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี่ ฉันไม่อยากให้ครอบครัวของพวกนายต้องเสียใจ... รินจะว่ายังไงที่จู่ๆพี่ชายก็มาหายไปโดยไม่ได้บอกแบบนี้น่ะ...\"
                  \"แล้วทำไมเธอต้องคิดแทนคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อยด้วยล่ะ!\" น้ำเสียงเด็กหนุ่มตวัดทิ้งลงแฝงแววขุ่นขึ้งจางๆ แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา
                  \"เครส... เธอคิดมาเกินไปนะ เลิกคิดแทนคนอื่นเสียทีเถอะ ยิ่งคิดมากก็ยิ่งทุกข์มาก เธอจะคิดให้เปลืองสมองทำไม?\"
                  \"แต่ว่า...\"
                  \"ฟังนะ... ไม่ใช่ฉันไม่รักพ่อ แม่ หรือริน แต่ชีวิตฉัน ฉันมีทางเดินของฉัน... มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวที่อยู่ๆก็ทิ้งพวกเขามา... แต่ฉันอยากทำอะไรตามใจบ้าง ฉันก้าวออกมาแล้ว และก็หันหลังกลับไปไม่ได้ด้วย\"
                  มือแกร่งเอื้อมขึ้นขยี้ผมเธอเบาๆพร้อมรอยยิ้ม... รอยยิ้มอ่อนโยนราวสายลมที่พัดพาเอาความทุกข์ทั้งมวลให้ปลิวายไปในอากาศ...
                  ...ขอบใจนะเร...
                  \"นี่! ว่าแต่ เราจะไปไหนกันอ่ะจิ้ง?\" ทรายตะโกนถามคนเดินนำขบวนที่จู่ๆก็หยุดยืนมองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไรซักอย่างบนท้องถนน
                  \"หืม? อ๋อ... เราจะไปยูดาห์กัน\"
                  \"ห๋า? ไปทำไมอ่ะ\"
                  \"เอาน่า... พี่ตั้งหลักกันก่อน จะเอายังไงเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที\" เจ้าตัวตอบพลางโบกมือหยอยๆเรียกรถประจำทางให้จอด
                  \"แล้วจะไปยังไงอ่ะจิ้ง\" ทรายยังซักต่อไม่เลิกขณะที่คนถูกถามแบกเป้ขึ้นหลังเตรียมก้าวขึ้นรถเมล์เต็มที่
                  \"อ้าว! ก็ไปรมเมล์ไง... คงซักสองวันแหละกว่าจะถึง แต่ไปกันเยอะๆก็งี้ล่ะ ผมไม่ค่อยมีตังค์เท่าไหร่\" ว่าจบเจ้าตัวก็ผลุบหายเข้าไปในรถเมล์ทิ้งให้คนฟงคำตอบนิ่งอึ้งกันไปเป็นแถบ...
                  รถเมล์... ไปถึงเมืองหลวงอย่างยูดาห์ก็อีกสองวัน...
                  รถเมล์เนี่ยนะ!!!
                  ...ให้ตายเหอะ!! ให้มันได้ยังงี้สิ!!!!...
             
                 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น