ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War Of Heaven :: สงครามล้างพันธุ์อสูร

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 :: ครึ่งอสูร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 159
      0
      14 ต.ค. 48

                        ตูมมมมมม!!!!!!!!!!



                        เสียงระเบิดดังขึ้นซ้ำอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้ไม่ได้มาจากบนฟ้า- -ผู้คนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน เศษกระเบื้องปลิวว่อนตามแรง ฝุ่นควันฟุ้งตรลบขึ้นบดบังทัศนวิสัย แต่ทว่าเสียงกรีดร้องยังคงดังระงมไปทั่งทุกตารางนิ้ว



                        “เจ!! มาทางนี้เร็ว!!” สัญชาติญาณส่วนลึกเรียกให้ทรายรีบดึงมือเพื่อนสาวออกวิ่งทันที แม้จะยังไม่รู้หนทาง แต่ก็ยังดีกว่ายืนรอความตายล่ะน่า!!



                        “ทราย!!!!!!” เสียงตะโกนดังขึ้นเบื้องหลังเด็กสาวทั้งสองท่ามกลางฝูงคนและความแตกตื่น ทรายหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็พบ เม กร กับซัน กำลังวิ่งตามมาสมทบ



                        “ทรายโอเคไหม?” เมโลดี้เอ่ยถามเพื่อนก่อนเป็นอย่างแรก



                        “อือ ไม่เป็นไร- -แล้วเครสกับเรล่ะ?”



                        “ผมไม่รู้เหมือนกัน โทรหาไม่ได้ด้วย” ซันเอ่ยพลางมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างกลัดกลุ้ม



                        “ทรายว่าเราไปที่บ้านก่อนเถอะแล้วค่อยหาทางติดต่อสองคนนั้นอีกที” ทรายเอ่ยเมื่อเกิดการระเบิดครั้งที่สามใกล้ตัวพวกเขามากขึ้นกว่าทุกที แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตอบอะไร- -



                        ตูมมมมม!!!!!



                        จู่ๆพื้นที่พวกทรายยืนอยู่ก็ไหวสะเทือนแล้วเกิดระเบิดขึ้นในพรับตา!!



                        Water Ball!!!



                        ลูกบอลพลังน้ำของเมโลดี้เข้าครอบคลุมปกป้องทุกคนจากแรงระเบิดได้ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง



                        “เจเป็นอะไรไหม?” ทรายค่อยๆลุกขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปประคองเจที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุด



                        “ทรายหลบไป!!!” เจตะโกนลั่นก่อนจะผลักร่างเด็กสาวออกไปให้พ้นทาง เพราะเบื้องหน้าเธอบัดนี้คือนกยักษ์ที่ร่อนลงมาหมายจะคร่าชีวิตของเธอ!!!!!!!!



                        Lightning!!!!



                        สายอสนีบาตผ่าเปรี้ยงลงกลางแสกหน้าของเจ้านกยักษ์ตัวนั้นเรียกเสียงร้องโหยหวนดังก้อง- -เงาสีดำพวยพุ่งขึ้นพันธนาการร่างเจ้าสัตว์ประหลาดก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นของมีคมทิ่มแทงเข้าในเนื้อ เรียกกลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียนกับหยดเลือดสีเขียวคล้ำให้กระเซ็นไปทั่วบริเวณ แต่แทนที่มันจะตกต้องลงบนร่างของเจ กลับมีเกราะใสสีทองบางๆกางกั้นครอบไว้- -ดวงเนตรสีเลือดเบือนหันกลับไปมองนกประหลาดนั่นก่อนจะเบิกกว้างด้วยความตกใจว่าเปลวเพลิงสีฟ้าได้โหมลุกทั่วทั้งร่างของสัตว์ร้าย!!



                        เพียงพริบตาช่องมิติโปร่งใสก็ปรากฏขึ้นข้างกายของเด็กสาวก่อนจะดูดร่างเธอหายลับไปปรากฏข้างๆคนกลุ่มหนึ่ง...



                        ...คนที่ช่วยเธอไว้เมื่อครู่...



                       “เจหลบไป...” น้ำเสียงทุ้มเอ่ย ก่อนที่เจ้าของคำพูดนั้นจะก้าวออกไปประจันหน้ากับสัตว์ร้ายที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นอย่างน่าอนาถ... ดวงตาสีมรกตฉายแววโกรธกรุ่นผิดวิสัยจนคนมองอดรู้สึกหนาวๆร้อนๆไม่ได้- -ชายหนุ่มเหยียดแขนขึ้นตรงก่อนที่ประจุไฟนับแสนโวลต์จะวิ่งแล่นออกจากร่างส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบดูอึมครึมไปสนิท- -ประจุไฟฟ้ามหาศาลพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าก่อนจะรวมตัวลงมาที่ฝ่ามือแกร่งของชายหนุ่มราวกับเป็นดาบขนาดยักษ์- -ดาบที่เจ้าของฟาดลงใส่ศัตรูตรงหน้าอย่างไม่มีคำว่าปรานี...



                       Thunder Sword!!!



                       เปรี้ยงงงงงงง!!!!!!!!!



                       มวลประจุไฟฟ้ามหาศาลพุ่งเข้ากระแทกร่างสัตว์ประหลาดส่งรัศมีแห่งการทำลายล้างไปทั่วทุกอาณาบริเวณ กระแสไฟวิ่งผ่านอากาศแทรกเข้าหาทุกชีวิตที่กางโล่พลังออกกั้นไว้โดยไม่ลังเล เศษหญ้ายามเมื่อแตะเพียงเศษประจุก็กลับแหลกสลายเหลือเพียงเถ้าธุลี... กระแสไฟฟ้านับแสนโวลต์ที่บดขยี้ได้แม้แต่โมเลกุลที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต!!!



                       ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย... ไร้สิ้นสรรพเสียงใดๆ... คงมีแต่บุรุษที่ยืนสงบนิ่งอยู่กลางลานกว้างที่พินาศยับเยินนั่นเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิต...



                       “พี่จิ้ง!!!!!” ร่างบางของสาวน้อยที่หวิดตายเมื่อครู่จ้ำเท้าเข้ามาด้วยหน้าตาบ่งบอกถึงอารมณ์ตึงสุดขีด



                       “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้!! มัวแต่ไปหลีสาวที่ไหนอีกล่ะ!! ใช่สิ!!! เจมันไม่ได้- -“



                       คำพูดถูกหยุดดื้อๆด้วยอ้อมกอดของบุรุษตรงหน้าที่โถมเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัว... มือแกร่งที่สังหารสัตว์ประหลาดเมื่อครู่ บัดนี้ตระกองกอดร่างเด็กสาวไว้แน่น... นี่เธอรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่ามันสั่นเทา...?



                       “ผมเป็นห่วงเจขนาดไหนรู้ไหม?...อย่าทำให้เป็นห่วงอีกนะ” ถ้อยคำกระซิบข้างหูช่วยผ่อนอารมณ์ขึ้งของเจ้าหล่อนลงไปโข แต่พอรู้สึกถึงสัมผัสแปลกๆ ดวงหน้านวลก็ขึ้นสีเรื่องก่อนจะดันร่างสูงออกแล้วประทับผ่ามืออรหันต์ที่ข้างแก้มเต็มรัก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตวาดแหว



                       “ไอ้พี่จิ้งลามก!!!!”



                       “อะไร้!... จับนิดจับหน่อยทำเป็นหวง- -ว่าแต่เจกินเยอะไปรึเปล่า? บั้นท้ายออกแล้วนะ”



                       โครม!!!



                       คราวนี้ถูกถีบงามๆถูกยันส่งให้กลางท้องเล่นเอาคนโดนจุกกลิ้งลงไปกองกับพื้นพลางนึกสงสัยในใจว่าที่โดนนี่เพราะมืออยู่ไม่สุขหรือปากพูดความจริงกันแน่...



                       “เจ... ใจเย็น” หลินเดินเข้ามาห้ามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เจตวัดสายตาไปมองร่างอีกสาองร่างที่ไม่คุ้นตาแต่กลับเดินมาพร้อมกับหลิน



                       “อ้อ... นี่เครสกับเร... ที่หลินเล่าให้ฟังเมื่อวานไง” ยังไม่ทันทีเจ้าตัวจะได้เอ่ยอะไร เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาซะก่อน



                       “เครส เร!!!”



                       ร่างบางของเด็กสาววิ่งรี่เข้ามาพร้อมกับคณะข้างหลังที่ประกอบไปด้วย กร เม และซัน...



                       “อ้าว!! รู้จักกันด้วยหรอ?” ทั้งเครสทั้งทรายต่างก็เอ่ยออกมาพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆให้ดังระร่วนก้องลานกว้างที่มีเพียงแต่กลุ่มพวกเขาเท่านั้น



                       “ให้ตาย... โลกกลมจริงๆพับผ่าสิ” กรพูดกลั้วหัวเราะ



                       “นั่นน่ะสิ ไม่น่าเชื่อว่าจะบังเอิญขนาดนี้” พอลเอ่ยขึ้นบ้างก่อนที่ต่างฝ่ายจะแนะนำตัวซึ่งกันและกัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรมากกว่านั้น เสียงไซเรนที่คุ้นหูก็ดังก้อง...

    ตำรวจ!!!!!!



                       “เดือดร้อนอีกแล้วมั้ยล่ะ” เรพูดเอือมๆก่อนจะเริ่มกวาดตามองหาทางหนีทีไล่ ในขณะที่เด็กหนุ่มผมน้ำตาล เจ้าของดวงตาสีม่วงนามพอลที่ยืนข้างๆเขากลับยกมือเหยียดขึ้นจนสุดแขนอย่างไม่มีท่าทีตระหนก



                       Warp Dome!!!!



                       ฟึ่บ!!!!!!!



                       โดมโปร่งใสปรากฏขึ้นครอบร่างของคนทั้งกลุ่มก่อนจะบิดเบี้ยวเลือนหายไปในพริบตา เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ร่างของตำรวจสามนายจะวิ่งรี่เข้ามา ณ ที่นั้น... ดวงตาสามคู่เหลียวมองซึ่งกันและกันด้วยความฉงน...



                       ไม่มีใครที่นั่น... กลางลานหินที่พังยับคงเหลือไว้เพียงสายลมแผ่วเบาที่โชยผ่านไปเท่านั้น...



                        ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



                       “ณ เวลา 10 นาฬิกาของวันนี้ ได้เกิดการจลาจลขึ้นพร้อมกันทั้ง 36 มลรัฐในเฮฟเว่น จากการสืบทราบเบื้องต้นของตำรวจ ยังไม่สามารถหาตัวผู้กระทำความผิดได้ แต่ทางตำรวจได้คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นกลุ่มกบฏแบ่งแยกอาณาจักร- -“



                       ฟึ่บ!- -



                       ภาพข่าวในจอโทรทัศน์ดับวูบลงด้วยฝีมือของซัน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะโยนรีโมททิ้งลงบนโต๊ะอย่างไม่แยแส



                       “กบฏแบ่งแยกบ้าน่ะสิ!! คิดว่าคนอื่นโง่พอที่จะไม่รู้หรือไงว่าไอ้เรื่องเผาธงนั่นมันสัญญาณสงครามชัดๆ!!” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยความหัวเสียสุดฤทธิ์



                       “ใจเย็นๆน่าซัน...” เรเดินมาตบบ่าเพื่อนเบา “คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดคงไม่ใช่สำนักข่าวนั่นหรอก... ฉันว่า...พวกเราคงต้องถาม...” ดวงเนตรสีฟ้าน้ำทะเลไล่สายตาลงไปหยุดที่บุคคลผู้หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยนาม...



                       “พี่จิ้ง…” ทุกสายตาตวัดมามองที่เจ้าของนามโดยพร้อมเพรียง กลุ่มหนึ่งแสดงแววหวาดวิตก อีกกลุ่มแสดงแววคาดคั้นเยือกเย็น... สายตาที่เรียกให้น้ำลายถูกกลืนเกลื่อนลงคออย่างยากเย็น...



                       “อ่า... บ้านสวยนะครับฟิลลิป” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปลี่ยนเรื่องพูดเอาซะดื้อๆ เล่นเอาเพื่อนที่มาด้วยกุมขมับกันไปเป็นแถบ ส่วนชายชราเจ้าของนามฟิลลิป ไอน์เกน ได้แต่ยิ้มขันๆกับความทึ่มของชายหนุ่มอ่อนวัยตรงหน้า



                       “เรมันว่าตรงประเด็นดีนะ ตอบมาดีกว่าคุณจิ้ง เกลเบลี่ยน” ชายชราแย้มรอยยิ้มละไม ทว่าแววตากลับเปล่งประกายประหลาด ที่เรียกให้สองมือของคนถูกคาดคั้นต้องยกขึ้นยอมจำนน



                       “ครับๆ ผมบอกก็ได้”



                       “พี่จิ้ง” หลินเอ่ยเสียงเข้มแต่ทว่าปลายเสียงเจือความประหวั่นอย่างที่ซ่อนไว้ไม่อยู่



                       “ผมรู้ๆ... เรื่องนี้มันไม่ควรบอกกับใคร... แต่ไหนๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว...” จิ้งเอ่ย ก่อนที่จะเบนนัยน์ตาสีเขียวมรกตไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลของชายชรา



                       “เรื่องมันมีอยู่ว่า... เจดันเดินไปเหยียบเท้าจิ๊กโก๋เข้าให้ก็เลยโดนเค้าตามหาเรื่องครับ”



                       คำตอบที่ได้เล่นเอาคนรอฟังสบถพรืดยาวเหยียดแล้วขุดเอาบรรพบุรุษของคนตอบมาบ่นเสียยับอย่างไม่คิดจะเกรงใจ



                       “จิ๊กโก๋บ้านจิ้งมันจะมีปัญญาส่งสัตว์ประหลาดมาตามล่าเจมั้ยล่ะ? แล้วไหนจะไอ้เรื่องเผาธงนั่นอีก!!” ทรายตวาดแหวพร้อมกำปั้นที่ทุบลงบนหัวชายหนุ่มอย่างเคยนิสัย เล่นเอาคนโดนมะเหงกถึงกับเหวอ



                       “เจ้าทรายนี่!! ไปเรียกเขาห้วนๆแล้วยังไปเขกกะโหลกเขาอีก!!! เขาแก่กว่านะรู้ไหม?” ผู้เป็นตาใช้ไม้เท้าฟาดแข้งหลานสาวคนโตที่กระโดดหยองแหยงด้วยความเจ็บพลางบ่นกระปอดกระแปด



                       “แหม...ตา... ไม่เห็นเป็นไรเลย... จะเด็กจะแก่ แต่ก็เพื่อนกันทั้งนั้นแหละ...”



                       ...เพื่อน...งั้นหรือ?...



                       ดวงเนตรสีมรกตเหลือบมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ...



                       คำว่าเพื่อน... ที่เขาไม่เคยได้ยินมันมาตลอดยี่สิบปี แม้แต่จากปากของคนที่เขาเห็นมันเป็นเพื่อน...



                       แต่กับเด็กสาวคนนี้- -ไม่สิ... กับคนกลุ่มนี้...ที่เพิ่งรู้จักกันยังไม่ทันข้ามวัน...



                       คนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่กลับมอบความห่วงใย มอบความช่วยเหลือ และเอ่ยคำว่า ‘เพื่อน’ กับเขาได้อย่างเต็มปาก...คำที่ช่วยให้เขาตัดสินใจได้อย่างไม่ลังเลแม้สักนิด...



                       “พวกคุณเชื่อเรื่องครึ่งอสูรมั้ย?” จิ้งเอ่ยเรียบขณะที่ประกายตาของหลิน เจ และพอลกลับมีแววเครียดขึงปนจะตกใจกับคำพูดของบุรุษตรงหน้า



                       “อะไรนะ?” เมย้อนถามทันควัน- -ก็แน่ล่ะ... ในเมื่อเรื่องครึ่งอสูรนั่นมันกลายเป็นนิทานหลอกเด็กสำหรับคนยุคนี้ไปแล้ว ในประวัติศาสตร์ไม่มีการจารึกว่าครึ่งอสูรมีตัวตนจริง... จะมีก็แต่พวกกบฏกลายพันธุ์ที่ไม่ได้น่ากลัวไปกว่ามนุษย์จอมอึดก็เท่านั้น



                       “เครสเชื่อ” เด็กสาวตอบเรียบที่เรียกดวงตาสีฟ้าครามของเด็กสาวให้มองด้วยความฉงน



                       “เครส... แต่ว่า- -“



                       “มันเป็นเรื่องจริงเมโลดี้” พอลเอ่ยสำทับ “ประวัติศาสตร์ของเฮฟเว่นถูกบิดเบือน มนุษย์ที่ถูกอาวุธชีวภาพแล้วกลายพันธุ์เป็นครึ่งอสูรมีอยู่จริง!”



                       “พระเจ้า!!” เมอุทานอย่างเหลือเชื่อ



                       “ไม่มีพระเจ้า ไม่มีนางฟ้าอะไรทั้งนั้น” เจเอ่ยเครียด “เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นฝีมือของครึ่งอสูร”



                       ...ครึ่งอสูร...



                       คำที่ตอกย้ำลงในส่วนลึกของจิตใจ... มือบางขยับกำเกร็งแน่นขณะที่ภาพเหตุการณ์ในอดีตหวนย้อนกลับขึ้นมา



                       …แม่...



                       “เครสหนีไป!!!”



                       “ไม่!! หนูจะอยู่กับแม่!!”



                       “เด็กโง่!!! ออกไปซะ!!”



                       “ไม่!! พ่อ!! แม่!!!!”



                       “เครสลูกรัก... แม่กับพ่อรักลูกนะ... แม่รักลูก... ขอร้อง... หนีไปซะ!!!!!!!!!”



                       “ไม่!!!!!!!!!!”



                       .........................



                       ...พ่อ... แม่...




                       \"เครส... เครส!!\" ร่างบางสะดุ่งเฮือกเมื่อนิ้วมือเย็นเฉียบของใครบางคนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ... ดวงตาสีเหล็กคู่นั้นแสดงความเป็นห่วงฉายชัด...



                       \"ไม่เป็นไรซัน...\" เธอเผยรอยยิ้มตอบ



                       \"แล้ว... ทำไมพวกพี่ไปเกี่ยวข้องกับครึ่งอสูรได้ล่ะ?\" เรเอ่ยถามต่อ ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู้นั้นไม่ได้มีแววปลาตไปแม้แต่น้อย



                       \"เอ่อ...ผม...\" สีหน้าของเจ้าตัวเริ่มกระอักกระอ่วน ทำให้สายตารอบข้างจิกย้ำลงมาหมายจะคาดคั้นเอาความลับให้ได้



                       \"พวกเราเป็นมือปราบครึ่งอสูร\" เสียงหวานเอ่ยขัดขึ้นทันทีอย่างไม่ได้ตั้งตัว เรียกกระแสสายตาของคนทั้งห้องให้แปรไปจับจ้องอยู่ที่เธอเพียงผู้เดียว... แต่เจไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย... เธอมองบุรุษข้างๆอย่างจะตำหนิ แต่แล้วก็กลับเมินเฉยเสียเหมือนไม่ใส่ใจ



                       \"ที่ต้องเก็บเป็นความลับไม่บอกกันตั้งแต่แรกเพราะกลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อ... แล้วอีกอย่างพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องเดินทางออกตามล่าครึ่งอสูรตัวต่อไปแล้วด้วย คงจะรบกวนพวกทรายไม่นาน\" รอยยิ้มฉาบละไมบนดวงหน้า แต่แววตาของเธอกลับหมองลงนิดหนึ่งเหมือนจะเสียใจที่ต้องรีบลา



                       \"พี่เจรบกวนพวกเครสอีกไม่นาน แต่เครสคงต้องรบกวนพวกที่เจอีกนานเลยล่ะ\" เด็กสาวก้าวออกไปข้างหน้าแล้วขยับรอยยิ้มมากเล่ห์ขึ้นบนใบหน้า



                       \"หมายความว่ายังไงเครส?...\" หลินเอ่ยถามเสียงเบา



                       \"ก็หมายความว่า... พวกเราได้เจอกันไปอีกนานแน่... เครสจะร่วมทีมไปปราบอสูรกับพวกพี่เจด้วยไงล่ะ\"



                        ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



                       สายลมพัดเอื่อยเข้าต้องกระดิ่งลมให้กระเพื่อมส่งเสียงเสนาะราวเสียงหัวเราะร่วนของใครบางคน แต่ทว่าคนที่นั่งอยู่บนพื้นนอกชานนั้นกับมีสีหน้าตึงอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมสีทองปลิวไสวราวเส้นไหม ร่างเล็กของชายชราก้าวเข้ามาใกล้ก่อนจะทรุดนั่งลงกับผู้เป็นหลาน...



                       \"เอาจริงหรือ?\" ชายชราเอ่ยคำถามทั้งๆที่สายตาเหม่อมองออกไปไกลสุดทะเล หลานสาวพยักหน้าน้อย... ไม่เอ่ยคำตอบผิดนิสัย... เห็นอย่างนั้นก็จนปัญญา ได้แต่ถอนหายใจหนักก่อนจะยกมือวางบนหัวของหลานสาวเบาๆก่อนจะเอ่ยถ้อย



                       \"ตาเลี้ยงเจ้ามาแต่ไหนแต่ไร... ถึงจะเลี้ยงมากับมือ แต่ตากำหนดเส้นทางชีวิตเจ้าไม่ได้... ถ้าอยากไปก็ไปเถอะ ทางตัวเอง คงต้องเลือกเองแต่ตาอยากให้เจ้าจำไว้อย่างหนึ่ง... ชีวิตของเจ้า พ่อแม่เจ้ารักษาชีวิตเจ้าไว้... อย่าทำให้พวกเขาเสียใจ... คิด ก่อนที่จะทำ อย่ามานั่งเสียใจทีหลังว่าพลาดไปแล้ว... เพราะถึงจะพลาด แต่เราก็ยังลุกขึ้นได้เสมอ ตราบใดที่ลมหายใจยังไม่หมด...\"



                       ชายชราถอนหายใจเบาอีกรอบก่อนจะเหลือบมองดวงหน้าของหลานสาว



                       \"และสุดท้าย... ตารักเจ้านะเครส...\"



                       \"หนูก็รักตานะ...\"



                       ครืด...



                       ประตูกระจกหลังสองตาหลานเลื่อนเปิดออก... ซันกับทรายก้าวเข้ามาแล้วสวมกอดชายชราแน่น... เพียงเท่านั้นเขาก็รู้ความหมายของเด็กๆดี...



                       ทั้งสี่สวมกอดกันเนิ่นนาน ราวกับกลัวว่าต่างฝ่ายจะระเหยหายไปจากอากาศธาตุ... ราวกับจะซึมซับเอาทุกอณูของกันและกันไว้... แล้วหยาดน้ำตาของใครคนหนึ่งก็ไหลลงมาเงียบๆ...



                       ...อาร์ทิมิส...ไดอาน่า... คุ้มครองลูกกับหลานของเธอด้วย...



                        ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



                       ราตรีกาลค่อยล่วงผ่านไปช้าๆ แต่ในที่สุด ดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นจากสายน้ำตาที่โอบล้อมอาณาสวรรค์ สาดแสงสีทองอุ่นกล่าวคำอรุณสวัสดิ์กับทุกสรรพชีวิต... ทุกสรรพชีวิต... ยกเว้น คนกลุ่มหนึ่ง...



                       เสียงฝีเท้าดังก้องบนถนนที่ไร้ซึ่งสรรพชีวิต... แววตาของแต่ละคนดูเครียดขึ้งยกเว้นบุรุษที่นำทีมที่ยังคงเสมองซ้ายขวาสบายอกสบายใจจนสาวน้อยที่เดินข้างๆต้องเอ่ยปากถาม



                       \"พี่จิ้งคิดยังไงถึงยอมให้พวกเครสตามเรามาด้วยน่ะ\" กระแสเสียงถูกกดลงจนเบาแผ่ว ดวงตาสีเลือดเน้นหนักกว่าถ้อยที่ถูกเอ่ย แต่คนโดนถามกลับหัวเราะขันน้อยๆก่อนจะเอ่ยคำตอบ



                       \"ทุกการกระทำมีเหตุผลเสมอเจ... เขามีเหตุผลของเขา เราก็มีเหตุผลของเรา ผมไปห้ามเขาไม่ได้หรอก\" ชายหนุ่มตอบสบายๆ



                       \"แต่พี่จิ้งก็รู้ว่ามันอันตราย...\"



                       \"เจ... ลองคิดดูนะ ถึงผมห้าม ยังไงพวกเขาก็คงตามมา แล้วถ้าเขาเกิดตามเรามาโดยที่เราไม่รู้ มันจะไม่อันตรายกว่างั้นหรอ?\"



                       เด็กสาวนิ่งงันกับคำตอบ ดวงตาสีเลือดหลุบต่ำลง... ถึงเธอจะรู้ว่าเขาพูดถูก แต่เธอก็ไม่อยากให้ใครมาจบชีวิตลงเพราะพวกเธออีกแล้ว...



                       \"เจ...\" คำเอ่ยเรียกชื่อตามมาด้วยเสียงถอนลมหายใจแผ่วเบาก่อนจะกล่าวต่อ



                       \"บางทีอะไรที่มันจะเกิดเราก็ต้องปล่อยมันไปบ้าง... ถ้ายิ่งดึงยิ่งรั้งไว้ก็มีแต่ตัวเราเองไม่ใช่หรือที่จะเจ็บ?\" รอยยิ้มอ่อนโยนทอดลงมา เรียกให้เด็กสาวยิ้มตอบกลับไปบ้างก่อนจะจมลงสู่ห้วงความคิดของตัวเอง...



                       ...อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิดสินะ...



                       ถัดมาเพียงไม่กี่ฝีก้าว พวกของเครสเดินเกาะกลุ่มกันเงียบๆ แต่ละคนต่างตกอยู่ในภวังค์แห่งห้วงคิดจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ก่อนที่เครสจะเอ่ย



                       \"เร...\" เด็กสาวเอ่ยเรียก



                       \"นายกลับไปเถอะ พาทุกคนกลับไปด้วย มันอันตรายเกินไป\" น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยยังคงสงบนิ่งทว่าประกายตากลับแปรไหวก่อนจะหลุบลงแล้วเอ่ยต่อ



                       \"พวกนายไม่เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี่ ฉันไม่อยากให้ครอบครัวของพวกนายต้องเสียใจ... รินจะว่ายังไงที่จู่ๆพี่ชายก็มาหายไปโดยไม่ได้บอกแบบนี้น่ะ...\"



                       \"แล้วทำไมเธอต้องคิดแทนคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อยด้วยล่ะ!\" น้ำเสียงเด็กหนุ่มตวัดทิ้งลงแฝงแววขุ่นขึ้งจางๆ แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา



                       \"เครส... เธอคิดมาเกินไปนะ เลิกคิดแทนคนอื่นเสียทีเถอะ ยิ่งคิดมากก็ยิ่งทุกข์มาก เธอจะคิดให้เปลืองสมองทำไม?\"



                       \"แต่ว่า...\"



                       \"ฟังนะ... ไม่ใช่ฉันไม่รักพ่อ แม่ หรือริน แต่ชีวิตฉัน ฉันมีทางเดินของฉัน... มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวที่อยู่ๆก็ทิ้งพวกเขามา... แต่ฉันอยากทำอะไรตามใจบ้าง ฉันก้าวออกมาแล้ว และก็หันหลังกลับไปไม่ได้ด้วย\"



                       มือแกร่งเอื้อมขึ้นขยี้ผมเธอเบาๆพร้อมรอยยิ้ม... รอยยิ้มอ่อนโยนราวสายลมที่พัดพาเอาความทุกข์ทั้งมวลให้ปลิวายไปในอากาศ...



                       ...ขอบใจนะเร...



                       \"นี่! ว่าแต่ เราจะไปไหนกันอ่ะจิ้ง?\" ทรายตะโกนถามคนเดินนำขบวนที่จู่ๆก็หยุดยืนมองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไรซักอย่างบนท้องถนน



                       \"หืม? อ๋อ... เราจะไปยูดาห์กัน\"



                       \"ห๋า? ไปทำไมอ่ะ\"



                       \"เอาน่า... พี่ตั้งหลักกันก่อน จะเอายังไงเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที\" เจ้าตัวตอบพลางโบกมือหยอยๆเรียกรถประจำทางให้จอด



                       \"แล้วจะไปยังไงอ่ะจิ้ง\" ทรายยังซักต่อไม่เลิกขณะที่คนถูกถามแบกเป้ขึ้นหลังเตรียมก้าวขึ้นรถเมล์เต็มที่



                       \"อ้าว! ก็ไปรมเมล์ไง... คงซักสองวันแหละกว่าจะถึง แต่ไปกันเยอะๆก็งี้ล่ะ ผมไม่ค่อยมีตังค์เท่าไหร่\" ว่าจบเจ้าตัวก็ผลุบหายเข้าไปในรถเมล์ทิ้งให้คนฟงคำตอบนิ่งอึ้งกันไปเป็นแถบ...



                       รถเมล์... ไปถึงเมืองหลวงอย่างยูดาห์ก็อีกสองวัน...



                       รถเมล์เนี่ยนะ!!!



                       ...ให้ตายเหอะ!! ให้มันได้ยังงี้สิ!!!!...

                  

                      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×