ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War Of Heaven :: สงครามล้างพันธุ์อสูร

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 13 :: ความรู้สึก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 74
      0
      11 พ.ย. 48

                        เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก้าวเดินอย่างเร่งรีบตามทางเดินที่ทอดยาวในยามราตรี เสียงพื้นรองเท้าบดกรวดดังขึ้นทำลายความเงียบงันรอบด้าน... น่าแปลก มันเงียบ... เงียบสงัด... เงียบจนน่ากลัว ดวงตาสีส้มเหลือบมองท้องฟ้าสีดำสนิท... ไม่มีพระจันทร์รึ?... พลันริมฝีปากบางก็เหยียดรอยยิ้มออก สองมือล้วงกระเป๋าท่าทางผ่อนคลายก่อนที่เขาจะถอนหายใจน้อยๆ



                        \"ทางไหนล่ะเนี่ย\" เจ้าตัวรำพันเบาๆก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วยกมือเกาหัวแก้เก้อก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดู... จะให้โทรถามใครล่ะวะ ก็ในเมื่ออุตส่าห์แอบออกมายังงี้... อุตส่าห์สะกดรอยตามพี่เจมาหวังจะมาช่วยคุยกะพี่ทรายให้รู้เรื่องๆ ไปๆมาๆ แอบดูคู่นั้นคุยยังไม่ทันสามคำพี่เจกลับชิ่งกลับบ้านไปซะเฉยๆ ปล่อยให้เขาตามอยู่คนเดียวจนสุดท้ายก็มาหลงทางอยู่อย่างนี้



                        กร เปิดฝาโทรศัพมือถือออกก่อนจะสูดลมหายใจ เอาวะ!... ในเมื่อเป็นอย่างนี้คงต้องโทร อย่างน้อยหาทางกลับบ้านให้ได้ก่อนก็ดี ว่าแล้วเจ้าตัวก็กดเบอร์โทรแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูพร้อมนับเสียงสัญญาณในใจ



                        หนึ่งครั้ง... สองครั้ง... สามครั้ง... แกร็ก!



                        \"ฮัลโหล\" เสียงงัวเงียของสาวน้อยพูดกรอกลงมาตามสายอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก



                        \"นั่นใครน่ะ? นี่ผมกรนะ\"



                        \"อ้อ... คุณเองหรอ ฉันสิชาไง\" น้ำเสียงของเธอเหมือนจะตื่นขึ้นกะทันหันทั้งยังเจือความประหลาดใจไว้นิดๆ



                        \"สิชา ช่วยไปตามใครก็ได้มาซักคนสิผมมีเรื่องด่วน\"



                        \"เรื่องด่วนอะไรล่ะ?\" เจ้าหล่อนถาม



                        \"อ่า... ผม... เอ่อ...\"



                        \"หลงทางอยู่ล่ะสิ?\" เธอว่าอย่างรู้ทัน

                        

                        \"เฮ้ย!!!\"



                        กรร้องเสียงหลง ไม่รู้ว่าเธอรู้ได้ไงว่าเขากำลังมะงุมมะงาหราหาทางกลับบ้านอยู่ หรือว่ายัยนี่...มีโทรจิต?



                        \"สงสัยล่ะสิว่ารู้ได้ยังไง?\" สิชาถามตรงใจเล่นเอากรอึ้งไปพักหนึ่ง...สงสัยยัยเด็กนี่จะมีโทรจิตจริงๆวุ้ย...



                        \"แพนเป็นไซโคเมทเลอร์น่ะ\" สิชาเฉลยแต่นั่นกลับยิ่งทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น



                        \"คือ... แพนสามารถส่งกระแสจิตไปตามสิ่งของได้เพียงแค่สัมผัส แพนไซโคเมทรี่เห็นว่าคุณเดินตามคนชื่อเจกับทรายไปแล้วก็เห็นคุณยืนอยู่คนเดียว เดี๋ยวฉันจะให้แพนบอกทางกลับให้ละกัน\"



                        \"...แพนไซโคเมทรี่ได้ระยะไกลได้ด้วยหรอ?\" เด็กหนุ่มถามพร้อมกับที่ความคิดดีๆฉายวาบเข้ามาในหัว



                        \"ได้สิ ระยะทางไม่ใช่ปัญหาหรอก\" สิชาว่า



                        \"ดีเลย งั้นผมมีเรื่องสนุกๆให้ทำ...\"



                        ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



                        แสงสีทองลอดผ่านม่านหน้าต่างยามเช้าเข้ามากระทบร่างของนารุยะ หลิน... เธอแทบนอนไม่หลับทั้งคืน ความรู้สึกแปลกประหลาดวนเวียนอยู่ในสมองซึมผ่านส่งต่อจากเส้นเลือดเข้าไปยังหัวใจ... เธอเสียใจเรื่องทราย...แต่กลับรู้สึกดีอย่างที่ไม่ควรจะรู้สึก...กับเร...



                        หลินสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกจากสมอง ก่อนจะลุกขึ้นด้วยความรู้สึกผิด... ผิดต่อทราย และผิดต่อทุกคน...



                        เธอลุกขึ้นจากเตียงหยิบผ้าเช็ดตัวก้าวเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว สายน้ำเย็นฉ่ำที่ตกกระทบเรือนร่างแทงความหนาวเหน็บลึกถึงกระดูกไล่ความง่วงงุนไปได้จนหมดสิ้น เรือนผมเธอเปียกชุ่มไล้ลงตามไหล่ ซอกคอ และแผ่นหลังขาวนวล ดวงเนตรสีนิลคู่สวยเหม่อมองราวตกอยู่ในภวังค์ความคิดแสนไกล... เสียงตวาดกับคำพูดของทรายเมื่อวานยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท...พลันคำพูดของใครบางคนก็ดังก้องขึ้นมา...



                        ...หรือว่า...ความรู้สึกของพวกเราทุกคนจะอยู่เหนือกรอบของเหตุและผล อยู่เหนือกฏเกณฑ์ อยู่เหนือทุกสิ่ง...



                        คงจะจริงอย่างที่เรว่า... เธอถึงได้รู้สึกแบบนี้ คนที่ไม่เคยจะเชื่อในคำว่ามิตรภาพอย่างเธอ คนที่อยู่แต่ในสังคมแห่งการแข่งขันอย่างเธอ... เวลานี้ เธอปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าเธอรู้สึกห่วงทรายแค่ไหน และทั้งๆที่เธอไม่เคยยอมใคร ถ้าเป็นคนอื่นที่พูดทำร้ายจิตใจเธอขนาดนั้นเธอคงจะโกรธ แต่กับทราย... เธอโกรธไม่ลงจริงๆ



                        หลินแย้มรอยยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะบิดมือหยุดสายน้ำที่ไหลพรั่งพรูลงพลางนึกในใจ...



                        ถึงเวลาที่เธอต้องทำอะไรบ้างแล้ว...



                        ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



                        ทรายยังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง... เช้าแล้ว แต่เธอยังไม่ได้หลับแม้สักวินาที ดวงตาช้ำแดงบวมปูดจนดูแทบไม่ได้ แต่เธอไม่สน ในเวลานี้เธอไม่สนอะไรทั้งนั้น บทสนทนาเมื่อคืนยังดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวสมองเหมือนเล่นเทปย้อนอัตโนมัติ...



                        \"ทราย!! ทรายใจเย็นก่อนได้ไหม ที่พี่จิ้งเขาทำน่ะเพราะห่วงนะ\"



                        \"ทรายไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น!! เจไม่เข้าใจทรายหรอก เจน่ะก็พวกเดียวกับจิ้งเหมือนกันน่ะแหละ!!!!\"



                        \"ทราย...\"



                        \"ถ้าเป็นห่วงนักงั้นทรายก็ขอถอนตัว!! ต่อแต่นี้พวกเราก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก!!!!\"




                        หยาดน้ำตาใสๆพลันรื้นขึ้นมาอีกครั้ง... ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของเธอเอง เพราะเธอ ที่ใจร้อนเกินไป... นึกถึงถ้อยคำของเจแล้วมันก็จริง... ทุกคนเป็นห่วงเธอ โดยเฉพาะจิ้ง... ถ้าเขาคิดจะปิดบังเธอแต่แรกคงไม่พาเธอมาถึงนี่ เธอยังมีครอบครัว... มีแม่ มีโรงเรียน มีเพื่อน มีน้อง... แต่คนอื่นต่างจากเธอ... แม้จะมาคิดได้ตอนนี้แต่มันก็สายเสียแล้ว เธอไม่กล้าจะกลับไปสู้หน้าใครในนั้นได้อีกแล้ว...



                        ก๊อก! ก๊อก!



                        เศษหินเล็กลอยขึ้นกระทบกระจกหน้าต่าง ส่งผลให้สาวน้อยชะโงกหน้าลงไปดูอย่างเสียมิได้ แต่แล้วดวงตาสีน้ำตาลกลมโตก็ต้องเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง- -



                        \"กร!!!\"



                        เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างส่งให้คนข้างบนอย่างอารมณ์ดีก่อนจะลงนั่งขัดสมาธิกับพื้น



                        \"หวัดดีพี่ทราย เฮ่อ... กว่าจะหาบ้านพี่เจอนี่ลำบากแทบแย่เลยนะ\"



                        \"เฮ้ย!! มาได้ไงน่ะ แล้วมาทำไม?!\"



                        \"อ่าว เพ่! พูดงี้ไล่กันนี่หว่า!\" กรเบ้ปากถลกแขนเสื้อประมาณว่าถ้าพี่ทรายอยู่ตรงหน้าคงโดนต่อยคว่ำไปแล้ว เด็กสาวเห็นอย่างนั้นก็หลุดเสียงหัวเราะลั่นออกมาอย่างเก็บไม่อยู่ กรฉีกยิ้มกว้างกับกับผลงานก่อนจะถอนหายใจเบาๆ



                        \"ผมมีเรื่องที่จะพูดกับพี่...เรื่องสำคัญมาก...\"



                        เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงหนักด้วยท่าทีสบายๆเหมือนเก่า แต่ดวงเนตรสีส้มคมกล้านั้นกลับเหลือบมองคู่สนทนแน่วแน่จนเธอไม่อาจจะละสายตาหรือเบือนหน้าหนีไปไหนได้



                        \"ผมอยากให้พี่กลับมารวมกับพวกเราเหมือนเดิม\"



                        ...............



                        ความเงียบงันโรยตัวผ่านทั้งคู่ ใบไม้เหลืองกรอบปลิดปลิวร่วงหล่นลงตามสายลมที่พัดโชย ดวงตากลมโตสีน้ำตาลทอดมองตามอย่างไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยคำตอบก่อนจะหลุบลงด้วยความคับข้องใจทั้งมวล



                        \"ว่าไงล่ะพี่?\" กรเอ่ยเร้า แต่นั่นยิ่งทำให้สาวน้อยคู่สนทนายิ่งสงวนถ้อยคำลงไปอีก



                        \"ดี! งั้นถ้าพี่ออก... ผมก็ออก!!\"



                        ...............................



                        \"...ทำมาเป็นพูดดี... รู้หรอกน่า ใจจริงอยากเบี้ยวพวกนั้นล่ะสิท่า...\"



                        กรหน้าเจื่อนลงนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มแห้งๆแล้วยกมือเกาหัวแก้เก้อ



                        \"โธ่!! พี่ แหม ดูดิ ฝึกก็หนัก ข้าวปลาก็เขียมจะตาย เบี้ยว่งเบี้ยหวัดก็ไม่เคยได้ แถมยังต้องไปเป็นกระสอบทรายให้สัตว์ประหลาดบ้าบอนั่นเป็นฝูง ทำไปทำมาผมว่ามันขาดทุนมากกว่าได้กำไรนะเนี่ย อีกอย่างผมชักคิดถึงบ้านแล้วด้วยน้า...\" กรลูบปลายคางแย้มรอยยิ้มสบายอารมณ์จนคนข้างบนอดหมั่นไส้ไม่ได้



                        \"จบเรื่องคุยแล้วก็กลับๆไปได้แล้วไป เหม็นขี้หน้า\" ทรายทำจมูกย่นก่อนจะทำท่าดึงบานหน้าต่างปิดเข้ามตัดการติดต่อจากคนข้างล่างเอาซะดื้อๆ



                        \"โอ้... จูเลียตที่รักยอดยาหยียาใจสุดสวาทขาดดิ้นแทบสิ้นลมของข้า เจ้าจะตัดรอนข้าไปใย? ถ้าหากเจ้าไม่ยอมจะเอื้อนเอ่ยวาจาอันใดแก่ข้า กรือหมดรักจากข้าแล้วก็โปรดฆ่าข้าเสียเถิด โฮๆๆๆๆ~\" สุ้มเสียงดัดจริตของเด็กหนุ่มเล่นเอาสาวเจ้าข้างบนที่ถูกเหมาเข้าร่วมเล่นละครจำอวดแทบสำลัก ก่อนจะขยำกระดาษบนโต๊ะเขวี้ยงลงไปโดนกบาลของไอ้คนหน้าด้านเล่นบทน้ำเน่าได้กลางวันแสกๆไม่อายผีสางเทวดาฟ้าดิน



                        \"ฮ่าๆๆๆๆ พี่ทรายนี่ตลกเป็นบ้าเลย ฮ่าๆๆๆๆ\" เจ้าตัวหัวเราะลั่นก่อนจะลงไปนั่งยองๆเอามือกุมท้องอยู่กับพื้นจนคนมองต้องประเคนข้าวของลงมาให้อีกสองสามชิ้นมันถึงจะหุบปาก



                        \"น่าๆ กลับไปด้วยกันเหอะพี่ อยู่คนเดียวเหี่ยวเฉาแก่ตายคาบ้านนะท่าน\"



                        \"ให้ไปอยู่กะเราน่ะพี่ยอมตายคาบ้านดีกว่า!!\" เจ้าหล่อนว่าก่อนจะแลบลิ้นแผล่บให้แล้วปิดหน้าต่างดังปึ้ง ทิ้งให้คนข้างนอกยืนแกร่วอยู่ตรงนั้นท่ามกลางลายลมที่พัดผ่าน เจ้าตัวดึงม่านเบาบางปิดลงเหมือนจะไม่รับรู้แต่ทว่ารอยยิ้มบางๆยังคงไม่จางไปจากใบหน้า...



                        ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



                        โต๊ะอาหารเช้าที่เคยครึกครื้น บัดนี้เงียบสงัดราวว่างเปล่าทั้งๆที่มีคนนั่งอยู่กว่าสิบชีวิต สิชาเหลือบมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างทำตัวไม่ค่อยจะถูก เธอรู้เรื่องเมื่อวานนี้ทั้งหมดแล้ว ถึงแม้เธอจะยังไม่สนิทกับใครมากแต่ดูจากบรรยากาศเครียดขึ้งบนโต๊ะอาหารวันนี้ก็พอจะเดาออกว่าคนที่ชื่อทรายมีความสำคัญกับุกคนมากขนาดไหน...



                        \"เอ้อ! เครสไม่เห็นกรตั้งแต่มื่อวานคืนแล้ว มีใครเห็นในบ้างรึเปล่า?\" เครสถามเสียงแปร่ง ใบหน้าของเด็กสาวฉาบรอยยิ้มสดใสที่พยายามจะลบความอึดอัดให้หายไป แต่เรรู้... เขารู้ว่าเธอกำลังฝืนยิ้ม...



                        \"ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่ค่อยได้สนใจ...\" เจเอ่ยนิ่งผิดจากทุกที ส่วนเรกับพอลก็ได้แต่สบตากันอย่างกลัดกลุ้ม ไม่รู้จะพยุงบทสนทนาตรงหน้านี่ได้อย่างไร เพราะต่างคนก็ต่างไม่ถนัดพูดทั้งคู่ แล้วยิ่งมาเจอสถานการณ์แบบนี้ยิ่งไม่อยากจะพูดเข้าไปใหญ่



                        \"เอ่อ... ผมไปช่วยเครสแล้วกันนะ\" เรรีบลุกชิ่งขณะที่พอลถลึงตาใส่ให้ด้วยไม่นึกว่าตัวเองจะถูกทิ้งให้รับมือสถานการณ์สุดหินนี้แต่เพียงลำพัง จะลุกตามมันไปก็กระไรอยู่ แต่ถ้าจะให้นั่งต่อนี่คงได้ตายเพราะโดนปราณความเงียบอัดส่งให้ธาตุไฟเข้าแทรกกระอักเลือดตายเป็นแน่แท้ ทางเดียวที่เหลือก็คือต้องหันไปหวังที่พึ่งจากเด็กสาวข้างๆ



                        \"เอ้อ... แล้ว เมื่อไหร่แพมจะฟื้นล่ะ?\" พอลเอ่ยถามสิชา ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่ถนัดพูดก็ยังอุตส่าห์พูดจนได้ และดูเหมือนคำพูดของเด็กหนุ่มจะได้ผล เพราะบรรดาคนร่วมโต๊ะที่ได้แต่นั่งเงียบกันมานานต่างเงยหน้าขึ้นฟังคำตอบด้วย



                        \"ตอบอะไรไม่ได้หรอก... แพมหลับอยู่ในแคปซูลมาตั้งสี่ปี จู่ๆออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้แค่ยังหายใจอยู่ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว\" สิชาตอบเหมือนกับว่านั่นเป็นเรื่องธรรมดาๆเหมือน 1+1 เท่ากับสอง แต่คนฟังกลับขมวดคิ้วมุ่นไปตามๆกัน



                        \"สี่ปีที่แล้ว...ตั้งแต่ที่พ่อแพมตายสินะ...\" จิ้งเปรยท่าทีครุ่นคิด แต่คำพูดของเด็กหนุ่มกลับเรียกดวงตากลมใสของสิชาให้หันมามองได้อย่างประหลาดใจแกมทึ่ง



                        \"คุณรู้ได้ยังไงว่าพ่อแพมตายเมื่อสี่ปีที่แล้ว?...\"



                        .....................



                        เงียบ........ ความเงียบโรยตัวทิ้งลงกะทันหัน เล่นเอาคนหลุดปากพูดหน้าเผือดลงถนัดก่อนจะนึกด่าตัวเองในใจว่าทำไม๊...ทำไมถึงได้หลุดปากพูดพล่อยๆออกไปได้



                        \"อ่า... ผม...ผม...พอดี...เอ่อ รู้จักกันนิดหน่อย- -\"



                        \"พี่จิ้งกำลังโกหก\" แพนเอ่ยขัดขึ้นกลางประโยคเล่นเอาชายหนุ่มต้องกลืนคำพูดต่อไปลงคอทันทีก่อนจะเบิกตาถลน ในขณะที่สิชายิ้มพรายดวงตาพราวระยับ



                        \"อย่าดูถูกแพนนะคะ... แพนน่ะเป็นไซโคเมทเลอร์ สามารถมองเห็นภาพอดีต ปัจจุบัน อนาคตผ่านสิ่งของได้ แล้วเมื่อกี้...สงสัยว่าความกระวนกระวายของพี่มันคงสื่อลงไปถึงโต๊ะ เก้าอี้ ช้อนส้อมที่พี่จิ้งสัมผัสอยู่ แพนก็เลยจับไต๋ได้ยังไงล่ะ\"



                        ซวยแล้วมั้ยล่ะ... จิ้งกลืนน้ำลายก่อนจะยิ้มแห้งๆ แล้วรีบลุกชิ่งไปอย่างเงียบเชียบพลางนึกเขกกะโหลกตัวเองในใจไปด้วย



                        \"พี่จิ้งกะชิ่งหรอ?\" สิชาพูดดักคอเล่นเอาชายหนุ่มแทบล้มลงไปดิ้นตายอยู่กับพื้น ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยโดนต้อนจนมุมจากเด็กอายุ 14 ได้ขนาดนี้มาก่อนเลย คิดแล้วก็น่าอดสูยิ่งนัก



                        \"อย่าให้แพนต้องเสียเวลาไซโคเมทรี่เลยค่ะ... พี่จิ้งรู้อะไร บอกพวกเรามาตามตรงเลยดีกว่า\" สิชายืนคำขาด แววตาของเจ้าหล่อนส่องประกายเอาจริง ทำให้จิ้งต้องหันไปสบสายตากับคนอื่นๆอย่างชั่งใจ ทั้งเจ หลิน และพอล สบสายตากลับอย่างรู้ความหมาย...



                        บางที...คงต้องถึงเวลาคายความลับบ้างแล้ว...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×