คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : SEVEN DAYS | 7 end.
DAY 6 03:03 AM
สายฝนยังคงเทกระหน่ำต่อเนื่องตลอดทั้งคืนในขณะที่ทั้งเมืองกำลังหลับใหล
หากแต่ว่าสิ่งไม่มีชีวิตในคราบมนุษย์มิอาจหลับตาม
ชายร่างสูงสันทัดเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอยเล็กๆแสนแคบในเมืองใหญ่
ในมือถือร่มคันสีแดงสะดุดตาทว่าไม่มีใครว่างมาสังเกตเรื่องพวกนี้ในเวลานี้กันหรอก
ชายผู้นั้นยังคงก้าวเดินต่อไปในฐานะผู้พิพากษาความตายจนกระทั่งถึงที่หมาย
ประตูเหล็กบานใหญ่บนกำแพงด้านในสุดของซอยที่ไม่มีทางไปต่อได้ถูกเลื่อนเปิดออกโดยฝีมือชายผู้นั้น
ที่ด้านหลังกำแพงซึ่งมนุษย์มิอาจมองเห็น ที่นั่นคือสถานที่อยู่ของเหล่ายมทูตทั้งหลาย
และประตูบานนี้คือทางเชื่อมของทั้งสองโลก
ชเว จงฮยอน กลับมาที่นี่เมื่อเขาได้รับการแจ้งเตือนจากฝ่ายข่าวกรองว่าตัวเขาเองเหลือเวลาอีกเพียงแค่สองวันเท่านั้น
และให้รีบแจ้งเจตจำนงของตนเองก่อนจะหมดวันที่เจ็ด
จงฮยอนมาที่นี่แจ้งข่าวนั้น...เรื่องการตัดสินใจของเขา อันที่จริงจงฮยอนไม่จำเป็นต้องรีบมาทันทีก็ได้
เพียงแต่เขาคงคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะที่สุดแล้ว
“ไงคุณจงฮยอน ได้คำตอบแล้วหรือ?”
จงฮยอนไม่ตอบแต่กลับจ้องหน้าหญิงสาววัยกลางคนในชุดสูทสีดำขลับ เรียวปากของเธอถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีเลือดหมูแสยะยิ้มออกมา
“คราวนี้มาเร็วกว่าปกตินะ หวังว่าคงเป็นข่าวดีใช่ไหมคะ?”
จงฮยอนสบตากับดวงตาเรียวนั่น เผยรอยยิ้มมุมปากออกมาดูน่ากลัว
เรื่องที่ว่าจะ ‘รับไว้’ หรือ ‘ปล่อย’ ไปนั้น..เขาได้คิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว
“เรื่องนั้นผมตัดสินใจแล้วครับ
แต่ผมมีอีกเรื่องที่อยากให้ช่วย” หญิงสาวมองไปที่คู่สนทนา เธอไม่อยากเชื่อหูของตัวเองเสียเท่าไหร่
ทว่าสายตาแบบนั้นทำให้เธอต้องเผยรอยยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
“พร้อมแล้วสินะคะ”
รอยยิ้มที่เคลือบแฝงไปด้วยยาพิษ
เหยื่อที่ถูกรายงานผลว่า ‘รับไว้’ จะเสียชีวิตทันทีในวันที่ 8
หลังจากที่การตรวจสอบจบลง กลับกันหากผลถูกรายงานว่า ‘ปล่อยไป’ คนผู้นั้นก็รอด
07:27 AM
ผมกลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ในตอนเช้า
ชางฮยอนยังคงนอนคุ้ดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเบาะนอนนั่นตั้งแต่เมื่อวานซืน
พูดง่ายๆคือตั้งแต่กลับมาจากร้านเพลงนั่นเจ้าตัวก็เอาแต่นอนไม่ออกไปไหนรวมทั้งเมื่อวานนี้ด้วย
จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมา ยกเว้นเมื่อถึงมื้ออาหาร เขาบอกว่ารู้สึกหดหู่และเศร้ามากพอคิดว่าตัวเองจะตายและยังช็อคเรื่องที่เพิ่งจะรู้มาในวันนั้นด้วย
ผมไม่เข้าใจนักหรอกว่ามันจะร้ายแรงแสนสาหัสอะไรขนาดนั้น
“ตื่นได้แล้วมั้ง”
ผมลองเดินไปยืนตรงหน้าคนที่กำลังนอนตะแคงข้างอยู่แล้ววางถุงใส่ข้าวกล่องที่แวะซื้อติดมือมาด้วยเมื่อสักครู่ไว้ตรงนั้น
ชางฮยอนลืมตาขึ้นมาดูประมาณสามวินาทีแล้วพลิกตัวไปอีกข้าง
“หึ
ไม่เอา”
“จะนอนให้มันหมดไปอีกวันจริงๆหรือไง”
พอถามจบ อีกคนก็เด้งตัวจากเบาะขึ้นมานั่งทั้งที่เปลือกตายังคงปิดสนิท
“ข้างนอกตำรวจเต็มไปหมด
คุณไม่ให้ผมออกไปหรอก” และก็ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ
“ทำไมเวลาฉันห้ามถึงดื้อดึงอยากจะออกไปนัก
แต่พอฉันอนุญาตให้ออกไปได้ดันไม่อยากไป” ผมย่อตัวลงนั่งยองกับพื้นเพื่อให้สามารถคุยกับอีกคนได้ถนัดแต่ชางฮยอนก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าเขาจะ
“ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
บทจะเอาใจยากก็ยากเกินที่จะคาดเดาเสียเหลือเกิน
ความหัวดื้อของชางฮยอนคงเป็นลักษณะของคนอีกประเภทหนึ่งที่โลกต้องจารึกเอาไว้เชียวล่ะ
พอเห็นว่าพูดไปยังไงก็ไม่ได้ผลผมเลยต้องดึงกลยุทธ์สุดท้ายที่เตรียมไว้ออกมาใช้
ผมยื่นตั๋วหนังสองใบไปวางไว้บนเบาะนอนตรงหน้าชางฮยอนที่กำลังนอนหันหลังให้กัน
“ไปอาบน้ำได้แล้ว
เดี๋ยวจะไม่ทันนะ”
ชางฮยอนลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง
ดวงตาปรือๆอย่างคนง่วงงุนกระพริบถี่ๆเพื่อปรับแสง “ชอบใช้ให้คนอื่นไปอาบน้ำ
แต่ผมยังไม่เคยเห็นคุณอาบน้ำสักวันเลยนะ หรือว่าเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นด้วย
สกปรกชะมัด”
“หรือจะให้ฉันไปอาบด้วยกัน”
“โรคจิต...”
ชางฮยอนบ่นและหันกลับไปนั่งมองตั๋วหนังสองใบที่วางอยู่บนเบาะสักพัก
จนผมคิดว่าเขาคงตาสว่างหายง่วงแล้วถึงได้หยิบตั๋วขึ้นมาดู “...แล้วนี่อะไรอ่ะ
หนังรัก แหวะ”
“มีให้ดูเรื่องเดียวก็อย่าเรื่องมากหน่า”
ผมว่าแล้วพยักเพยิดให้ชางฮยอนรีบลุกไปอาบน้ำเสียทีก่อนที่จะไปไม่ทันหนังรอบเช้าตอนสิบโมง
เขาส่งเสียงจึปากแล้วสะบัดผ้าห่มใส่หน้าผมก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
ความจริงแล้วผมแค่กลัวว่าจะไปไม่ทันฟังเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้เสียมากกว่า
เพลงที่ถูกแต่งโดยศิลปินดังของประเทศนี้หากพลาดแล้วคงจะน่าเสียดายอยู่มากโข
และผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น
ตัวผมชอบการดูหนังในโรงมากกว่าเช่าหรือซื้อม้วนวีดีโอมานั่งดูในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆที่บ้าน
นอกจากระบบเสียงดังกระหึ่มที่จะทำให้คุณสามารถดื่มด่ำกับเสียงเพลงประกอบได้เต็มที่แล้ว
ขนาดจอภาพที่ใหญ่เท่ากำแพงบ้านนั่นยิ่งเพิ่มความสุนทรีย์มากขึ้นอีกหลายเท่าเลยด้วย
หนังเรื่องนี้เป็นหนังรักก็จริงแต่ตัวหนังได้เล่าถึงเรื่องราวมิตรภาพและสังคมมนุษย์สอดแทรกข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตได้ดี
ทั้งสองคนได้สัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ทว่าเรื่องน่าเศร้าเพียงอย่างเดียวคือพระเอกของเรื่องนี้เกิดป่วยหนักและสุดท้ายเขาก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดกาลเพียงลำพัง
ส่วนคนที่เพิ่งแหวะหนังรักเมื่อตอนอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์บัดนี้กลับร้องห่มร้องไห้เสียยกใหญ่ยิ่งกว่าได้ดูเรื่องราวชีวิตจริงของตนเองเสียอีก
ถึงแม้ภายในโรงหนังจะมืดจนไม่สามารถมองเห็นได้ดีแต่เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของชางฮยอนมันดังจนได้ยินชัดเจนไม่แพ้กับเสียงซาวด์แทร็กจากหนัง
เขายังคงเป็นแบบนั้นจนกระทั่งไฟในโรงภาพยนตร์ถูกเปิดขึ้นหลังจากหนังจบและผู้คนเริ่มทยอยกันออกไป
มุมอ่อนไหวของพวกมนุษย์โลกผู้ไม่พึงระลึกถึงความจริงที่ว่าความตายเป็นเรื่องปกติ..แต่ก็คงต้องยกเว้นชางฮยอนอีกสินะ
รายนั้นถึงจะรู้แต่ก็ยังอ่อนไหวอยู่ดี นับเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาร้องไห้อีกเช่นกัน
จะว่าน่าประทับใจดีไหมที่ได้เห็นหลายๆมุมของชางฮยอน ถึงตอนนี้จะเดินออกจากโรงหนังมาสักพักแล้วก็เถอะ
เขายังไม่หายหงอยเลย
“อ่า..เมื่อตอนเช้ามีใครบางคนบอกว่าแหวะหนังรักด้วยสินะ
แต่สภาพตอนนี้ดูไม่จืดเลย นายว่ามั้ย?” ผมหันไปขอความเห็นจากชางฮยอน
คิดว่าเขาคงโวยวายออกมาแน่หากเป็นเวลาปกติ แต่เปล่าเลย
เด็กนั่นยังคงเดินด้วยท่าทางอ่อนแรงไปเรื่อยๆอย่างเดิม
“อือ
นั่นสิ..ทำไมถึงได้เศร้าแบบนี้นะ ช่วงแรกมันก็เลี่ยนอยู่หรอก เฮ้ออ....” ชางฮยอนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหยุดเดิน
ทำเอาผมเกือบจะหยุดตามไม่ทัน “ดูอีกสักรอบได้ไหม มันสนุกมากเลย”
ใบหน้าหวานบูดบึ้งลงกว่าเก่าทันทีที่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก
ไม่มีเงินเหลือแล้ว”
“ไม่ใช่ว่ายมทูตผลิตเงินเองได้หรอกหรือ”
“ใช้อะไรคิดกันล่ะนั่น”
เราสองคนเลือกทานอาหารมื้อเที่ยงในละแวกนั้นและเหมือนอย่างทุกทีคือเราสั่งอาหารเพียงชุดเดียวสำหรับชางฮยอน
เนื่องจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้ไม่สามารถเดินไปที่รถได้ ระหว่างนั้นชางฮยอนก็พาผมเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น
แต่จะเป็นร้านเช่าวีดีโอเสียส่วนใหญ่
ส่วนภาระหน้าที่เรื่องค่าใช้จ่ายนั้นตกเป็นของผม ชางฮยอนหยิบมาแต่หนังประเภทฆาตกรรมอำพราง
สืบสวนคดีสยอง วีรบุรุษกอบกู้โลก หนังสงคราม ต่อสู้ บู้แหลก ยิงกระจายอะไรทำนองนั้นใส่ลงมาในตะกร้าไม่หยุดมือ
แต่มันไม่ใช่แนวหนังแบบที่ผมประทับใจเท่าไหร่นักเลยแอบหยิบไปวางคืนบนชั้นเสียก็หลายแผ่น
หากชางฮยอนรู้เข้าเขาคงต้องโวยวายเป็นแน่ แต่ผมสนใจเสียที่ไหนล่ะ จริงไหม
ผมกับชางฮยอนตกลงกันว่าเวลาอีกสองวันที่เหลือจะใช้ไปกับเรื่องพวกนี้อย่างปลอดภัยภายในห้องสี่เหลี่ยมที่อพาร์ทเม้นท์โดยไม่ต้องออกไปพบเจอกับตำรวจอีกเลยและไม่ลืมแวะเข้าร้านสะดวกซื้อจับจ่ายใช้สอยอาหารสำหรับสองวันมาอีกถุงใหญ่
กลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์อีกทีก็เป็นเวลาบ่ายสามกว่าแล้ว บริเวณด้านหน้ามีตำรวจจับกลุ่มกันอยู่สามถึงสี่นาย
ยังไม่รวมกับที่คอยยืนสำรวจที่ด้านหน้าห้องพักนั่นอีกหนึ่งคนดูเยอะกว่าปกติ
พวกนั้นคงได้กลิ่นอะไรตุๆแล้วสินะถึงได้ยกโขยงกันมาเสียขนาดนี้
ทันทีที่ลงจากรถ
คนที่ดูเหมือนจะเป็นตำรวจนอกเรื่องแบบในชุดสูทนายหนึ่งก็เดินเข้ามาโค้งทักทาย ผมโค้งตอบพรางเหลือบไปมองชางฮยอนเล็กน้อย
เขาคลุมฮู้ดปิดบังใบหน้าและโค้งให้กับตำรวจคนนั้นเล็กน้อยก่อนจะหันหลังหนีขึ้นตึกไป
“น้องชายหรือครับ”
ตำรวจรายนั้นเอ่ยถามเมื่อมองตามชางฮยอนไปจนลับตา
“ครับ
ขอโทษแทนเขาด้วย พอดีเขาค่อนข้างจะขี้อาย”
“ไม่เป็นไรครับ
ว่าแต่คุณพักอยู่ที่ห้องด้านข้างนั้นใช่ไหม?” ผมพยักหน้าให้แทนคำตอบ
ในความทรงจำของผู้ที่เกี่ยวข้องกับอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ถูกเพิ่มเติมตัวละครเข้าไปอีกหนึ่งซึ่งนั่นก็คือตัวผมที่เป็นเจ้าของห้องพักนั้นอย่างแนบเนียน
“มีอะไรเกิดขึ้นครับ” ผมทำทีเป็นหันไปมองรอบตัวที่มีพวกตำรวจหลายนายยืนกันอยู่แล้วหันกลับมาสนใจคู่สนทนาทั้งที่ตัวผมเองนั้นรู้ดีอยู่แล้ว
“เราได้รับแจ้งมาว่าเจอตัวบุคคลที่ดูคล้ายผู้ต้องสงสัยในละแวกนี้น่ะครับ
เลยต้องจัดทีมคอยคุมเข้มกันเป็นพิเศษ ต้องขอโทษด้วยหากเผลอไปรบกวนคุณเข้า”
ชายวัยสามสิบตอนปลายก้มหัวให้เล็กน้อยแทนการขอโทษ
“ครับ ทำงานกันให้เต็มที่เถอะครับ”
เพราะสิ่งที่พวกคุณได้รับแจ้งมานั้นมันถูกต้องแบบไม่ต้องสงสัยอีกทั้งคนที่ว่านั่นอยู่ใกล้จมูกคุณมากชนิดทีแค่สูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งครั้งก็ได้กลิ่นแล้วล่ะนะ
...แต่ดูเหมือนจะแย่แล้วแฮะ พวกเขายังไม่รู้ตัวกันด้วยซ้ำ ผมส่งยิ้มให้
“ระวังตัวกันด้วยนะครับ
หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลให้แจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันที ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
ชายวัยกลางคนทิ้งท้ายไว้ให้แล้วเดินกลับไปรวมกลุ่มกับนายตำรวจคนอื่น ผมเดินกลับไปเอาของที่รถแล้วเดินขึ้นตึก
ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นชางฮยอนกำลังรื้อกล่องอะไรสักอย่างเสียงดังกุกกัก
“ทำอะไรอยู่”
“หาวีดีโอเกม”
ชางฮยอนโผล่หน้าขึ้นมาตอบแล้วก้มกลับไปรื้อหาแผ่นวีดีโอเกมที่ว่าในลังเหมือนเดิม
“หือ? ไปเอามาจากไหน”
“ห้องไง” คงจะหมายถึงห้องเก่าของตัวเอง
“มีตำรวจเฝ้าอยู่นี่” ผมถามพร้อมกับเดินเอาของไปวางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟากลางห้อง
“ระเบียง”
ผมพยักหน้าเข้าใจ
พอลองสังเกตที่ประตูกระจกที่ด้านหลังห้องถึงได้เห็นว่ามันถูกเปิดเอาไว้
“ไวดีนะ”
“แน่นอน”
ผมคิดว่าตัวเองขึ้นมาบนห้องหลังจากชางฮยอนเพียงไม่นานแต่ในเวลานั้นเขากลับปีนไปที่ห้องด้านข้างพร้อมกับขนวีดีโอเกมกลับมาด้วยเวลาเพียงน้อยนิด
คนแบบชางฮยอนไม่ว่าวิธีไหนก็ต้องทำให้ได้สินะ ถึงตำรวจจะยืนเฝ้ากันอยู่หน้าห้องแต่ชางฮยอนก็ยังอุตส่าห์ปีนระเบียงด้านหลังข้ามไปได้โดยไม่ถูกสงสัยแม้แต่น้อย
จะว่าเป็นคนที่น่าทึ่งก็คงใช่ แต่ถ้ามองอีกมุมก็คงต้องบอกว่าน่ากลัว
“จะดูหนังไหม”
ผมถามในขณะที่กำลังหยิบเอาม้วนวีดีโอหนังที่เพิ่งเช่ามาเมื่อครู่ออกจากถุง
ชางฮยอนที่ดูท่าจะยอมแพ้กับการค้นหาวีดีโอเกมของตัวเองพยักหน้ารับ
ผมเลือกหนังเรื่องที่ผมอยากดูมันซ้ำอีกครั้งมากที่สุดมาเปิดดู มันเป็นหนังที่ค่อนข้างเก่าที่ผมเคยดูตอนมาตรวจสอบพวกมนุษย์ครั้งแรกๆและเป็นหนังที่ให้ความหมายกับชีวิตมนุษย์เอาไว้ค่อยข้างดีมากทีเดียว
จากนั้นเราทั้งคู่จึงย้ายตัวเองกลับมานั่งที่โซฟากลางห้อง
ทันทีที่ขึ้นชื่อหนังพวกคุณคงจะเดากันได้ว่าจากนี้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
“นี่มันหนังอะไรเนี่ย” แน่นอนว่าเป็นเสียงบ่นของชางฮยอนตามที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด
เขาฉวยเอาถุงที่บรรจุม้วนวีดีโออีกหลายม้วนไปค้นดู
เมื่อไม่พบสิ่งที่น่าพึงพอใจก็วางมันลงเช่นเดิมแต่ออกแรงตอนวางมากกว่าปกติเล็กน้อย
“แล้วหนังที่ผมเลือกล่ะ”
“ทำไมถึงชอบโวยวายนัก ดูไปเถอะ”
“ชิ”
ชางฮยอนทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วพิงหลังไปกับที่พักแขน
ส่วนเท้านั้นยื่นมาทางด้านที่ผมนั่งอยู่แต่ด้วยว่าโซฟามันไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดที่จะยืดขาจนสุดความยาวได้หากนั่งกันอยู่สองคน
ถึงแม้ว่าชางฮยอนจะขาสั้นก็ตามที เห็นแบบนั้นเจ้าตัวจึงถีบบริเวณขาอ่อนและสะโพกรวมไปถึงสีข้างและเผลอหรือจงใจให้โดนต้นแขนผมอยู่หลายครั้ง
สุดท้ายพอผมไม่ยอมขยับให้เขาเลยยกเท้ามาวางไว้บนหน้าตักของผมแทน ดูท่าว่าหมอนี่ชักจะสบายเกินไปแล้ว
นี่เขาเห็นผมเป็นเพื่อนเล่นหรือยังไงกันนะ
แต่เอาเถอะ
ผมจะไม่ถือสากับคนที่ใกล้จะสิ้นอายุขัยในเร็ววันนี้ก็แล้วกัน
“สบายจังเลยนะ”
ผมพูดเชิงกระเซ้าเย้าแหย่แต่ชางฮยอนไม่มีทีท่าว่าจะทุกข์ร้อนอะไร
กลับกันเขาเลือกที่จะนอนเหยียดตัวยาวแนบไปกับโซฟาแทนคำพูด
กลายเป็นว่านอกจากเท้าของเขาก็ยังมีขาของเจ้านั่นพาดหน้าตักของผมไปด้วย
เราดูหนังกันเงียบๆ
พอจบเรื่องหนึ่งก็ต่อด้วยเรื่องที่สองและสามไปเรื่อย ชางฮยอนเองก็แกะขนมออกมากินบ้าง
นั่งบ้าง นอนบ้างเปลี่ยนท่าทุกครั้งที่ตัวเขาเริ่มรู้สึกเมื่อยจนบางทีมันก็ทำให้ผมรู้สึกรำคาญ
ชางฮยอนเป็นคนอ่อนไหวจริงๆ
ไม่ว่าจะดูหนังไปกี่เรื่องเขาก็มักจะร้องไห้ออกมาตลอด ผิดกับยูชางฮยอนคนเก่าเมื่อหลายวันก่อน
ชางฮยอนที่ชอบพูดประชดประชัน ขี้หงุดหงิด ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือหยดน้ำตาให้ได้เห็นเลยแม้แต่น้อย
อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกสบายขึ้นจากทุกเรื่องร้ายๆที่พบเจอมาทั้งเรื่องพ่อเลี้ยงและแม่ใจร้ายรวมถึงความทรงจำแสนเจ็บปวดเกี่ยวกับผู้เป็นพ่อ
เพราะไม่มีเรื่องพวกนั้นคอยมากวนใจจึงทำให้เขาแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้มากกว่าที่เคยเป็นและคงปล่อยวางเพราะรู้เรื่องที่ตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นานด้วย
ถึงแม้ข้างนอกนั่นจะมีพวกตำรวจคอยวนเวียนอยู่ราวกับสัมภเวสีก็เถอะ แต่ไม่ว่ายังไง นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาสุ่มๆเอาจากความคิดของผมเท่านั้น
เมื่อหนังม้วนที่สี่กำลังฉายชัดอยู่ในจอสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าโทรทัศน์ดำเนินมาได้เพียงแค่ครึ่งทาง
ตอนนั้นผมรู้สึกถึงความหนักอึ้งของอะไรบางอย่างกระทบเข้าที่ไหล่ของตัวเองจึงหันไปมองและได้พบกับกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มและใบหน้ายามหลับของชางฮยอน
อีกทั้งปากที่กำลังอ้ากว้างกับหยาดน้ำเหนียวๆตรงริมฝีปากที่ทำท่าจะไหลลงมาสัมผัสกับเสื้อที่ผมใส่อยู่รอมร่อก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงไปกองอยู่ที่หน้าตักของผมแทน
กลายเป็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้กลับไปคล้ายกับในวันแรกที่เจอกัน ต่างกันตรงที่ว่าผมไม่ได้ฟังเพลงแต่กำลังดูหนัง
ชางฮยอนกำลังหลับโดยซุกหน้าไว้กับหน้าขาของผมไม่ใช่แผ่นหลัง
และเขาไม่ได้ละเมอเพ้อถึงฝันร้ายที่ผมไม่รู้ว่าเขาพบเจออะไรในนั้นแต่เป็นเสียงกรนเบาๆแทน
ผมทำอะไรไม่ถูก อย่างที่ผมเคยบอกไปว่ายมทูตไม่ควรสัมผัสโดนตัวของมนุษย์โดยตรงแต่ชางฮยอนกลับเป็นเหมือนทุกข้อห้ามสำหรับผม
เขามักทำให้ผมเผลออยู่หลายครั้งและชอบเผลอมาโดนตัวผมด้วย และตอนนี้ผมก็เผลอวางแขนพาดไปบนลำตัวของเขาแบบช่วยไม่ได้
..แน่ล่ะ
เพราะผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองควรจะเอามือไปวางไว้ที่ตรงไหนในเมื่อไม่มีพื้นที่เหลือให้ผมวางมันเลยสักนิดนอกจากที่ตรงนั้น
ผมเคยคิดว่าที่ชางฮยอนไม่ค่อยเป็นอะไรเวลาผมโดนตัวอาจเป็นเพราะเขามีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เรื่องเมื่อสิบปีก่อน
แต่เรื่องไร้สาระแบบนั้นเป็นใครก็คงยากจะเชื่อแม้แต่ตัวผมเอง
พอนึกถึงเรื่องเมื่อสิบปี่ก่อนแล้วก็อดนึกโทษตัวเองไม่ได้
ผมกำลังจะทำให้เรื่องราวเก่าๆกลับมาฉายในชีวิตของชางฮยอนอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แต่ในเมื่อผมได้ตัดสินใจไปแล้ว
หากจะกลับไปแก้ไขตอนนี้ก็คงสายเกินไป
ขอโทษนะ ที่ฉันต้องตัดสินใจแบบนี้
DAY 7
เช้าวันนี้ยังคงไม่สดใสเหมือนดั่งเช่นทุกวัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ชางฮยอนก็เอาแต่นั่งเล่นวีดีโอเกมที่หอบย้ายมาจากห้องเก่าเมื่อวานนี้
พอแพ้ก็ทำท่าจะเขวี้ยงสิ่งที่เรียกว่าจอยสติกทิ้งไปบนพื้นแต่ก็หยิบกลับเอามาเล่นต่อ
การแพ้หลายครั้งติดต่อกันของชางฮยอนทำให้ผมที่ยืนดูอยู่นานแล้วต้องพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “อ่อนหัด”
และดูเหมือนจะไปเติมเชื้อไฟให้กับไม้ฟืนเสียแล้วสิ
“อ่อนหัดเหรอ?
มาแข่งกันหน่อยไหมล่ะ”
ผมยิ้มให้กับท่าทางที่ติดจะหงุดหงิดนั้นแล้วเดินไปนั่งบนพื้นใกล้กับชางฮยอน
จอยสติกอีกอันถูกต่อกับเครื่องหลักและถูกยื่นมาให้ผม ผมรับไว้
“อย่าดูถูกกันเชียว”
เห็นแบบนี้ผมเองก็เคยตรวจสอบพวกเด็กหัวโจกตามเกมเซ็นเตอร์อยู่ครั้งหนึ่ง
ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าจะชนะ แต่ท่าทางการเล่นแบบชางฮยอนนั้นผมคงไม่แพ้
และมันก็เป็นจริงดังคาดและไม่ว่าจะเล่นไปอีกกี่ครั้งชางฮยอนก็ยังแพ้เหมือนเดิม
ด้วยนิสัยของเขา แน่นอนว่าเจ้านั่นโวยวายเสียยกใหญ่ อีกทั้งยังหาว่าผมแอบโกงบ้าง
หรือเอาเปรียบเขาในฐานะยมทูตบ้างซึ่งพวกข้ออ้างเหล่านั้นมันช่างดูไม่สอดคล้องกันยิ่งนัก
ผมจะยอมแพ้ให้สักรอบหนึ่งก็แล้วกัน
“เยส” ชางฮยอนร้องออกมาด้วยความดีใจจนหงายหลังลงไปนอนกลิ้งกับพื้น
ท่าทางที่ดูดีใจจนเกินเหตุแบบนั้นมันทำให้อีกคนดูเหมือนกับพวกเด็กประถมไม่มีผิด
“ฉันออมมือให้หรอกหน่า”
“แพ้ก็ยอมรับแบบลูกผู้ชายหน่อยสิ”
ชางฮยอนตบบ่าผมคล้ายกับจะปลอบใจให้กับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้และอีกหลายครั้งที่ผมยอมอ่อนให้อีกคนชนะ
“นายเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”
ผมบอกในขณะที่ยังสนใจกับภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอโทรทัศน์นั่นอยู่
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้พูดออกไป
“พูดเรื่องอะไร”
“หมายถึงเปลี่ยนไปจากวันแรกที่เจอกัน”
“แล้วแปลกตรงไหน
ถ้าคุณอยากให้ผมเป็นเหมือนตอนนั้นอีกก็บอกกันดีๆ ในครัวดูท่าจะมีอุปกรณ์ครบมือด้วย”
ชางฮยอนว่าแล้วพยักเพยิดไปทางครัวเล็กๆที่อยู่ทางเดียวกับประตูทางเข้า
“ไม่ดีมั้ง”
“ยังไงคุณก็ไม่ตายอ่ะ
จะกลัวทำไมนัก ผมต่างหากที่จะตาย ยังไม่กลัวเลย”
“จ้า
พ่อคนเก่ง”
ชางฮยอนคงจะเตรียมพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้
ที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่การเล่นเกมถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเขาเองฟุ้งซ่านและคิดกังวลเกี่ยวกับมัน
มนุษย์แต่ละคนจะมีรูปแบบการเสียชีวิตที่แตกต่างกันไป
หากยังจำได้ว่าพวกการตายด้วยอุบัติเหตุต่างๆนั้นถือเป็นฝีมือของเหล่ายมทูตทั้งสิ้น
ยกเว้นป่วยตาย หรือฆ่าตัวตาย
ผมเชื่อว่าในใจเขาคงจินตนาการภาพการตายของตัวเองเอาไว้ว่าจะเป็นแบบไหน
แน่นอนว่ามันจะไม่เจ็บปวด
ผมและชางฮยอนใช้เวลาตลอดทั้งวันสุดท้ายนี้อยู่ด้วยกันในห้องนี้
เล่นเกมและทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผมเป็นคนทำด้วยเคยอวดเอาไว้เมื่อตอนอยู่ที่บ้านพักว่าสามารถทำได้
สุดท้ายจึงโดนชางฮยอนสั่งให้ไปทำเพราะว่าเจ้าตัวนั้นขี้เกียจและเหนื่อยมากจนไม่อยากขยับตัวไปไหนโดยยกเหตุผลที่ว่า
“คุณเป็นยมทูตนี่ คงไม่เหนื่อยหรอก”
ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วผมเป็นยมทูตจริงหรือเปล่า
หากว่าเป็นคนอื่นทั่วไปรู้ว่าผมเป็นใครผมก็เชื่อเหลือเกินว่าพวกเขาคงเกรงกลัวผมมากกว่าจะทำในสิ่งที่ชางฮยอนกำลังจะทำอยู่เป็นแน่
หลังจากจัดการเรื่องอาหารการกินเรียบร้อยแล้วเราเล่นเกมไพ่กัน
แต่ไม่ว่าจะเล่นอะไรชางฮยอนผู้อ่อนหัดก็ยังเป็นผู้อ่อนหัดอยู่วันยังค่ำ
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะถึงวันใหม่...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆจากหน่วยชั่วโมงเปลี่ยนเป็นนาทีและเป็นวินาทีในที่สุด
ชางฮยอนเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ว่าจะเล่นยังไงคงไม่มีทางชนะผู้ที่มีประสบการณ์หลายสิบปีแบบผมถึงได้ยอมแพ้แล้วเดินไปนั่งรับลมเล่นที่หน้าระเบียงแทน
ผมเดินตามมานั่งลงด้านข้างชางฮยอนที่นั่งกำลังนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ก่อนแล้ว ลมกำลังพัดแรงราวกับต้องการพรากทุกอย่างไปเสียเดี๋ยวนี้
“คืนนี้ดาวสวยนะ”
ดวงตากลมโตนั้นกำลังจดจ้องไปที่เหล่าดาวบนท้องฟ้าไม่วางตา
เรียกให้ผมต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองบ้าง ฝนไม่ได้ตกมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็นทำให้ท้องฟ้าวันนี้ดูปลอดโปร่งและมีดวงดาวปรากฏให้เห็นแต่ไม่มากนัก
ถึงแม้จะมีแสงไฟจากบ้านเรือนหลายหลังแต่นั่นไม่อาจบดบังแสงสว่างของกลุ่มดาวเหล่านั้นได้เลย
เรานั่งมองดาวอยู่ที่ตรงนี้ ต่างฝ่ายต่างเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อกัน ปล่อยให้เสียงลมพัดขับกล่อม
นานเท่าไหร่ผมไม่รู้
อาจจะนานหลายนาทีหรือเป็นชั่วโมงแต่ทว่าก็มิอาจนับดวงดาวบนนั้นได้ครบ
จนกระทั่งความเงียบได้ถูกทำลาย
“วันสุดท้ายแล้ว..เร็วจังนะ”
ผมได้แค่ตอบเสียงอือในลำคอเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาดี ชางฮยอนพิงศีรษะไปกับประตูกระจกใส
เขาหลับตาลงและสูดหายใจเข้าเต็มปอดและปล่อยมันออกมาช้าๆ พร้อมกับถ้อยคำที่ดูอ่อนแรง
“เหนื่อยจัง
ขอนอนหน่อยได้ไหม” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ศีรษะของชางฮยอนก็พิงลงบนไหล่นี้เสียแล้ว เขายังคงกอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น
- - - -
“ครับ
ทราบแล้ว”
นายตำรวจชั้นผู้น้อยขานรับก่อนจะเก็บเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงในกระเป๋า
วิ่งกระหืดกระหอบไปหาหัวหน้าของตนเองที่ยืนอยู่บริเวณป้อมยาม “ผู้กองครับ
เราได้รับแจ้งจากทางสถานีว่าคนร้ายพักอยู่ที่นี่ครับ”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองพูด
ราวกับว่าความทรงจำบางอย่างได้ถูกลบออกไปกะทันหันจนรู้สึกปวดบริเวณขมับ
แม้ว่าเขาพยายามนึกถึงคนที่เขาได้พูดคุยด้วยเมื่อวานนี้สักเท่าไหร่แต่ก็มิอาจนึกออก
ชายผู้ที่อาศัยอยู่ที่ห้องพักฝั่งริมสุดนั้น
“ค้นทุกชั้นเดี๋ยวนี้”
แม้ว่าสายตาของเขาจะจดจ้องอยู่ที่ประตูห้องพักติดกับสถานที่เกิดเหตุ
ทว่าเขาก็ต้องสั่งให้ลูกน้องค้นให้ทั่วทุกซอกมุม
“ครับ!”
นายตำรวจสามคนที่เหลือขานรับและวิ่งเข้าไปในตึกทันที
พร้อมทั้งเสียงไซเรนและรถตำรวจอีกหลายคันที่ตามมาปิดล้อมที่นี่เอาไว้เพื่อไม่ให้ผู้ต้องสงสัยรายนั้นหนีออกไปได้
ถึงเวลาปิดคดีนี้แล้ว
- - - -
ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีดำมืดทึบค่อยๆแปลเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้นเมื่อถึงเวลาที่โลกโคจรรอบตัวเองครบหนึ่งรอบและพระอาทิตย์กลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง...เช้าที่สดใสกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้
จงฮยอนรู้ดีว่าตัวเขาเริ่มจางลงไปจากเดิมและจะหายไปในที่สุด
แขนแกร่งยกขึ้นโอบรอบไหล่บอบบางนั้นเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อบอกลากับร่างกายที่กำลังหายใจรวยริน
จนกระทั่งท่อนแขนที่โอบกอดเข่าของตนเองไว้ของชางฮยอนค่อยๆคลายออกจากกันพร้อมกับการหายไปของยมทูตนาม
ชเว จงฮยอน
ปัง!
เสียงประตูกระแทกกับผนังดังขึ้นพร้อมกับตำรวจหลายนายกรูกันเข้ามาภายในห้องพัก
“เจอแล้วครับ!!”
หนึ่งในตำรวจที่เข้ามาสำรวจภายในห้องตะโกนบอกกับเพื่อนร่วมงาน เขานั่งลงข้างร่างของชางฮยอนพร้อมกับตรวจดูบริเวณข้อมือเพื่อวัดชีพจร
ช่างน่าเศร้าเมื่อเขาได้พบว่าร่างนั้น “เสียชีวิตแล้วครับ!”
ร่างที่ไร้ซึ่งลมหายใจถูกเคลื่อนย้ายออกจากอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้
ทางตำรวจได้ทำการชันสูตรแต่ไม่พบความผิดปกติใดที่สื่อถึงการฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรม
สุดท้ายคดีนี้ก็ได้ปิดฉากลงพร้อมกับที่ผู้ต้องหายูชางฮยอนพ้นทุกข้อกล่าวหาเนื่องจากเขาเสียชีวิต
และ
ชเว จงฮยอน เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ห้องนั้นไม่ได้ถูกกล่าวถึง
- END -
.
.
.
.
“เฮือก!”
ภายในห้องเงียบสงัดและมืดมิด
อากาศภายในค่อนข้างเย็นชื้นเนื่องจากเครื่องปรับอากาศ
ผู้ชายตัวเล็กในชุดสีขาวลืมตาตื่นขึ้นมา ‘เขา’ หันมองไปรอบๆ
แม้จะมืดมิดแต่พอจะเดาได้ว่าที่นี่คือห้องนอนที่อยู่ในบ้านหลังไหนสักหลัง แสงแดดที่พอลอดผ่านม่านหนาเข้ามาได้เพียงน้อยนิดนั่นกำลังเรียกว่าสนใจจาก
‘เขา’ จนต้องลุกไปเปิดมันออก
เพราะว่าต้องเผชิญกับแสงแดดจ้ากะทันหันทำให้ต้องหรี่ตาลงจนสามารถปรับให้เป็นปกติได้
ทิวทัศน์ด้านนอกนั้นทะเลสาบผืนกว้างที่แสนคุ้นเคย ท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใสไร้เมฆหมอกกวนใจนั่นทำให้
‘เขา’ คลี่ยิ้มออกมา
‘เขา’
ที่ควรจะหลับไปนิรันดร์กลับลืมตาตื่นขึ้นมาในบ้านของตนราวกับได้รับจุมพิตจากเจ้าชาย
Back to DAY 6 03:13 AM
“คราวนี้มาเร็วกว่าปกตินะ
หวังว่าคงเป็นข่าวดีใช่ไหมคะ?” เสียงแหลมเล็กเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่กลับดูอันตรายและพร้อมกลืนกินทุกดวงวิญญาณไปเสียสิ้นด้วยริมฝีปากแดงก่ำของหล่อน
จงฮยอนสบตากับดวงตาเรียวนั่น เผยรอยยิ้มมุมปากออกมาดูน่ากลัว
เรื่องที่ว่าจะ ‘รับไว้’ หรือ ‘ปล่อย’ ไปนั้น..เขาได้คิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว
“เรื่องนั้นผมตัดสินใจแล้วครับ
แต่ผมมีอีกเรื่องที่อยากให้ช่วย” หญิงสาวมองไปที่คู่สนทนา เธอไม่อยากเชื่อหูของตัวเองเสียเท่าไหร่
ทว่าสายตาแบบนั้นทำให้เธอต้องเผยรอยยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
“พร้อมแล้วสินะคะ”
รอยยิ้มที่เคลือบแฝงไปด้วยยาพิษ
“ครับ ผมพร้อม”
แฟ้มบันทึกประวัติได้ลงผลการตัดสินใจของจงฮยอนเอาไว้ว่าเขานั้นเลือกรับเหยื่อไว้ด้วยเงื่อนไขพิเศษที่ว่า
‘รับไว้เพื่อปล่อยไป’
นั่นเท่ากับว่าเขาเลือกจะปล่อยเหยื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่เหยื่อจะถูกลบความทรงจำทุกอย่างออกไปและใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติราวกับการตายแล้วเกิดใหม่
แต่ทว่า..ไม่เคยมียมทูตตนใดเลือกใช้วิธีนี้ด้วยข้อจำกัดพิเศษของมัน
ดังนี้
“หากคุณเลือกแล้วนั่นเท่ากับคุณได้ละเลยหน้าที่ของตนเอง
หลังจากนี้คุณจะไม่ได้รับหน้าที่ใดๆจนกระทั่งเจ็ดวันสุดท้ายของเหยื่อคนนั้นเวียนมาถึงอีกครั้ง
สิ่งเดียวที่คุณจะเลือกได้คือ ‘รับไว้’ จากนั้น..คุณจะหายไป ตลอดกาลไม่มีวันหวนกลับ”
ร่างสูงสันทัดเดินกลับออกมาจากประตูเหล็กหลังกำแพงนั้น
ระหว่างทางกลับไปที่พักเขาเดินผ่านโรงภาพยนตร์
ป้ายวาดมือขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าเรียกความสนใจจากเขาได้ไม่น้อย
ขายาวก้าวเข้าไปที่ช่องขายบัตรและซื้อมันกลับมาด้วย
ในหัวของเขาคิดอยู่หลายอย่างว่าเวลาที่เหลือจะทำอย่างไรต่อไปและนี่เป็นเหมือนอีกหนึ่งทางเลือก
เมื่อได้มันมาแล้วจงฮยอนจึงเดินกลับออกมาและตรงไปที่ร้านขายของชำแถวนั้น
เขาต้องกลับไปให้ถึงที่พักก่อนที่ชางฮยอนจะตื่น
มิเช่นนั้นคงได้โดนโวยวายใส่อีกเป็นแน่ แต่เขายังมีอีกเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่ด้วย
จงฮยอนแวะที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะบริเวณนั้น
เมื่อมองจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เขาจึงกดหมายเลขที่ต้องการเพื่อแจ้งเรื่องบางอย่าง
รอเสียงสัญญาณไม่นานปลายสายก็ตอบรับ เสียงทุ้มหนักแน่นนั้นทำให้จงฮยอนนึกหวั่นใจ
แต่เขาเลือกแล้วที่จะให้มันเป็นเช่นนี้
“ผมคิดว่าเห็นคนที่ท่าทางคล้ายผู้ต้องสงสัยในคดีอพาร์ทเม้นท์
C อยู่แถวนี้ครับ ช่วยตรวจสอบด้วย”
- - - -
DAY
12
เขารู้ดีว่าเขาจะไม่มีโอกาสมีชีวิตอีกแล้วทั้งในโลกมนุษย์หรือยมทูตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
หากแต่เขาจะรอเจ็ดวันสุดท้ายที่จะได้เจอชางฮยอนอีกครั้ง และนั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาและเด็กคนนั้น
จงฮยอนคอยมองเหยื่อรายสุดท้ายของเขาจากที่ไกลๆ
พระอาทิตย์ตกดินที่อยู่ตรงหน้าเขามันช่างสวยงามและอบอุ่น
อย่างน้อยชางฮยอนก็ทำให้เขาได้สัมผัสกับความอบอุ่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
“กว่าจะถึงตอนนั้นก็ช่วยใช้ชีวิตให้มีความสุขตลอดไปด้วยนะ
...แล้วเจอกันใหม่ ยูชางฮยอน”
Real END
ความคิดเห็น