คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : SEVEN DAYS | 3 (100%)
{ ๓ }
หลังจากแบกฆาตกรหนุ่มอายุน้อยลงจากเขามาถึงรถ
ผมก็แทบจะโยนเขาเข้าไปในรถทันที
ถึงจะมารับบทเป็นหนุ่มวัยรุ่นแบบนี้แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เหนื่อย
ที่ว่ายมทูตไม่เหนื่อยไม่ล้ามันเป็นความจริง
แต่ลองมาแบกเด็กน้ำหนักขนาดนี้ลงจากเขา ถึงจะเป็นยมทูตก็อดปวดหลังและเอวไม่ได้อยู่ดี
บรรยากาศอึมครึมยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม
แต่เพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้วอากาศจึงอุ่นขึ้นมาคลายหนาวได้เพียงเล็กน้อย
ผมทิ้งอีกคนไว้ในรถก่อนจะเดินหาร้านสะดวกซื้อใกล้บริเวณนั้น
โชคดีที่มันอยู่ไม่ไกลมากเลยไม่ต้องเดินหาให้เสียเวลา
ผมเดินดูของที่พอจะซื้อไปให้อีกคนกินได้ก่อนจะหยิบโอนิกิริ(ข้าวปั้นสามเหลี่ยม)ไส้บ๊วยกับแซลมอนย่างขึ้นมาใส่ตะกร้า
นมจืด กาแฟกระป๋อง น้ำผลไม้และน้ำเปล่าผมก็หยิบใส่ตามในตะกร้าด้วยเช่นกัน
“ไม่กินกาแฟนะ”
เสียงดังขึ้นด้านหลังทำผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันไปเห็นอีกคนยืนอยู่ข้างๆ
“เดินมาตอนไหน”
“ตั้งแต่โดนโยนทิ้งไว้ในรถนั่นแหละ”
“คิดว่าหลับไปแล้วเลยไม่อยากปลุก”
“เหรอ”
ผมไม่ตอบอะไรก่อนจะหันเอากาแฟกระป๋องไปวางคืนที่เดิม
“ลองทิ้งผมไว้จริงๆสิ คุณเตรียมตามไปอยู่กับแม่ผมได้เลย”
“กลัวไปหมดแล้ว”
ชางฮยอนมองผมเคืองๆ มือก็เตรียมล้วงออกจากกระเป๋ากางเกง
“บอกแล้วไงว่าอย่าเอามีดออกมา”
ผมจ้องอีกคนเขม็งไม่แพ้กันจนเจ้าตัวเอามือออกจากกระเป๋ามาโบกไปมาตรงหน้า
“ทิ้งไปตั้งแต่ที่โรงแรมแล้ว”
“ก็ดี” เพราะถ้านายแทงมาแล้วฉันไม่ตาย
นายก็คงช็อคเป็นอย่างมาก –
ผมเดินออกมาเตรียมไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์โดยไม่ลืมหยิบเอาถุงมือที่บังเอิญไปเห็นติดมือมาจ่ายเงินด้วย
ชางฮยอนไม่พูดอะไรแล้วเดินตามมาเฉยๆ
“ข่าวด่วน
ตำรวจสันนิษฐาน บุตรชายที่หายไปอาจมีส่วนในเหตุการณ์ฆาตรกรรมเมื่อวานนี้....”
จอโทรทัศน์ปรากฏภาพข่าวที่ได้ฟังในวิทยุไปเมื่อวาน
แต่ต่างกันที่บนหน้าจอขึ้นภาพบุตรชายคนที่ว่าเด่นหรา
และยังบอกอีกว่าใครพบเจอให้รีบแจ้งตำรวจ ชางฮยอนดูท่าทางลอกแลก เขายกฮู้ดขึ้นมาสวมก่อนจะเดินมายืนหลบด้านหลังผมจนชิด
ขณะเดียวกันที่เจ้าของร้านคิดเงินเสร็จเรียบร้อย ผมพาชางฮยอนเดินออกมาสักพักก็เห็นอีกคนยังไม่หายกังวลสักทีเลยพูดขัดขึ้นมาตอนกำลังเดินกลับไปที่รถ
“ไม่ต้องกลัวหรอก
นายหน้าไม่เหมือนในรูปนั้น”
“จริงเหรอ” เด็กชายเอ่ยขึ้นทั้งๆที่ยังก้มหน้ามองพื้นไม่เลิก
พอเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็อดที่จะเอ่ยวาจาเย้าหยอกออกไปไม่ได้
“อือ
ตอนนี้นายดูอ้วนกว่าในรูปตั้งเยอะ”
“เอ้ะ! นี่!” อีกคนมองค้อนผมวงใหญ่ ผมยื่นมือไปดึงฮู้ดของเขาให้ลงมาปิดหน้ามากพอที่จะทำให้อีกคนเซไปเล็กน้อย
“หึ แค่นี้ก็ไม่เห็นหน้าแล้ว”
เด็กหนุ่มจิ๊ปากสบถงึมงำอยู่คนเดียวแต่ก็พอได้ยินว่าเจ้าตัวกำลังด่าผมอยู่
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เขาเดินกระแทกเท้าแรงๆนำไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งและปิดเสียงดังจนผมกลัวเหลือเกินว่าประตูมันจะพัง
ผมเดินตามมานั่งฝั่งคนขับ ยื่นถุงขนมที่เพิ่งซื้อจากร้านเมื่อครู่ส่งให้
อีกคนรับไปแต่ก็ไม่ได้หันมามองหน้าก่อนจะสนใจแกะห่อโอนิกิริออกมายัดเข้าปาก
“แล้วนี่จะเอายังไงต่อ” ผมถามพรางเอื้อมไปหยิบถุงมือที่อยู่ในถุงพลาสติกออกมาสวมที่มือ
ถึงจะเป็นแค่ถุงมือไหมพรมถักแต่คงพอจะช่วยได้บางเวลาที่เผลอไปโดนตัวเด็กข้างๆเข้า แต่ที่ขัดใจนิดหน่อยคงจะเป็นสีชมพูพาสเทลของมัน
เรียกเสียงหัวเราะหึๆจากคนข้างๆได้ดีเลยทีเดียว
“ขำอะไรนัก”
“เปล่า แค่คิดว่ามันเข้ากับคุณดี
ใส่ไว้ก็ดีแล้วเพราะมือคุณมันเย็นมากๆ” ชางฮยอนตอบแต่ก็ยังคงหัวเราะอยู่ในลำคอไม่เลิก
“ก็ใส่เพราะแบบนั้นแหละ”
ผมตอบพร้อมกับสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนจะหันไปถามย้ำกับอีกคนว่าจะเอายังไงต่อไปดี เด็กข้างๆกัดข้าวปั้นไปหนึ่งคำ
ทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักครู่ในขณะที่ปากก็เคี้ยวไม่หยุดก่อนจะบอกจุดหมายปลายทางออกมา
ไม่ห่างจากทะเลสาบออกไปมากนักจะเป็นย่านที่พักอาศัย
ทั้งพวกรีสอร์ท โฮมสเตย์ รวมไปถึงบ้านพักทั้งของนักท่องเที่ยวและบ้านพักส่วนตัว ผมจอดรถหน้าบ้านพักหลังหนึ่ง
เป็นบ้านที่ตั้งอยู่บนตีนเขาห่างจากบ้านหลังอื่นพอสมควรแต่หากมองออกไปก็ยังคงเห็นทะเลสาบอยู่
ภายนอกดูเก่าเพราะสีของผนังที่เปลี่ยนไปและหลุดลอกไปบ้าง กับประตูรัวสนิมเขรอะ
ด้านหน้ามีป้ายเขียนด้วยมือเอาไว้ว่าขายด่วนพร้อมกับเบอร์ติดต่อ ตัวหนังสือสีซีดพอจะบอกได้ว่ามันคงประกาศขายไปเมื่อนานมาแล้ว
ผมสำรวจภายนอกด้วยสายตาสักพักก่อนจะหันกลับมามองอีกคนที่เปิดประตูรถออกไปแล้ว
ผมจึงออกตามไป
ชางฮยอนเดินเข้าไปใกล้ประตูรั้วและเอื้อมมือไปจับมัน
เขามองอยู่สักพักก่อนจะกระโดดปีนข้ามรั้วสนิมเขรอะเข้าไปด้านใน
“ทำอะไรน่ะ” ผมถามแต่ชางฮยอนก็ไม่ได้สนใจจะตอบ
แต่กลับเดินเข้าไปหมุนลูกบิดประตูซะดื้อๆ
เห็นแบบนั้นผมก็เลยปีนรั้วเข้าไปตามก่อนจะเดินไปยืนข้างๆชางฮยอนที่ใช้มือหมุนลูกบิดอย่างเอาเป็นเอาตายแต่มันก็เปิดไม่ออก
“บ้านมันมีเจ้าของ จะเปิดออกได้ไงล่ะ”
ชางฮยอนหันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะผละออกไปเดินดูรอบๆบ้านแทน เขากลับมาพร้อมท่อนไม้ในมือที่หากใครโดนทุบด้วยไม้อันนี้ก็คงสลบไปทันที
เด็กหนุ่มเดินมาเบียดตัวผมให้หลบไปห่างๆก่อนจะยกไม้นั่นทุบไปที่ลูกบิดประตูอย่างหนักสองสามทีจนมันหลุดออกจากกรอบ
คงเป็นเพราะไม้ที่ทำประตูมันเก่ามากแล้วถึงได้แตกออกง่ายๆแบบนี้
เด็กหนุ่มเปิดประตูออกก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน
ความมืดในตอนแรกค่อยๆสว่างขึ้นเมื่อชางฮยอนเดินไปเปิดไฟรอบบ้านอย่างชำนาญราวกับว่าเคยอยู่ในบ้านหลังนี้มาก่อน
ผมเดินไปสำรวจรอบๆบ้าน
บ้านหลังนี้ถึงภายนอกจะดูเก่าโทรมๆแต่ด้านในยังคงเหมือนใหม่ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างยังคงอยู่ครบและทั้งหมดถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว
มีฝุ่นและใยแมงมุมนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้สกปรกมาก ผมเดินผ่านห้องครัวและลองเปิดน้ำจากก๊อกดูก็พบว่ามันยังคงใช้ได้ดีจึงเลิกสนใจ
ชางฮยอนยืนนิ่งๆอยู่หน้าชั้นวางของข้างๆกับโทรทัศน์
ผมเดินไปยืนซ้อนหลังอีกคนก่อนจะถามออกไป “ดูอะไรอยู่เหรอ”
“เปล่า”
เด็กชายตอบกลับมาก่อนจะวางกรอบรูปถ่ายคว่ำไว้แบบเดิม
“ผมจะขึ้นไปด้านบนนะ”
บอกแค่นั้นก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไป ผมหันกลับไปมองกรอบรูปอันเดิมที่วางคว่ำอยู่อย่างคิดไม่ตก
เพราะแสงไฟที่ส่องกระทบกับกระจกของกรอบรูปจึงทำให้ผมเห็นภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก
แต่มันกลับคุ้นเคยเหมือนกับเคยเห็นภาพนั้นมาก่อนแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ผมละสายตาจากกรอบรูปนั่นก่อนจะเดินขึ้นไปสำรวจชั้นบนบ้าง
“คงคิดมากไปเองล่ะมั้ง”
- 50% -
ผมเดินขึ้นบันไดมาช้าๆ
บนผนังถูกตกแต่งด้วยกรอบรูปจำนวนไม่น้อย
ถึงจะมีฝุ่นเขรอะอยู่หน่อยแต่ก็มองออกว่าเป็นรูปทิวทัศน์
ผมหยุดมองรูปภาพทะเลสาบรูปหนึ่งในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสพรางคิดว่าถ้าหากผมมีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้สักครั้งก็คงดี
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจที่ผมเริ่มทำงานเป็นผู้ตรวจสอบเต็มตัว
อากาศมันไม่เคยดีเลยสักครั้ง แสงอาทิตย์จะอุ่นเท่าฮีตเตอร์หรือไม่
นั่นก็เป็นเรื่องที่ผมยังไม่ค่อยแน่ใจนัก
ครืดดด ครืด
เสียงสิ่งของขนาดใหญ่เสียดสีกับพื้นไม้ดังขึ้นเรียกให้ผมละความสนใจจากรูปภาพตรงหน้าไปสนใจเสียงนั้นแทน
ผมเดินขึ้นไปจนสุดทางก็พบว่าเสียงนั้นมาจากห้องทางซ้ายที่คิดว่าคงจะเป็นห้องนอน
ชางฮยอนกำลังเลื่อนตู้เสื้อผ้าขนาดกลางมาทางประตู
แต่ดูท่าว่ามันจะไม่ค่อยขยับเท่าไหร่นัก
“ทำอะไร”
ผมถามก่อนจะเดินเข้าไปใกล้วัตถุทรงสี่เหลี่ยมขนาดกลางนั่น
ชางฮยอนชะโงกหน้าออกมาจากหลังตู้ก่อนจะเอ่ยตอบคำถาม
“มาพอดีเลย ช่วยเลื่อนตู้หน่อยสิ”
“จะเลื่อนไปไหน”
“เถอะหน่า แค่เลื่อนมันไปไว้ด้านนอก”
ชางฮยอนไม่ได้บอกอะไรมาก เขาดันหลังผมให้เดินไปใกล้ตู้ “เร็วเข้า”
ผมไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก
เพราะดูเหมือนถามไปก็จะไม่ได้คำตอบเลยช่วยชางฮยอนดันเจ้าวัตถุสี่เหลี่ยมนี้ไปไว้ด้านนอกห้อง
แต่ถ้าลองนึกถึงสิ่งที่เด็กคนนี้เคยพูดไว้ว่าเจ้าตัวเคยโดนจับยัดในตู้เสื้อผ้าก็คงจะไม่แปลกหากเขาจะตั้งใจให้สิ่งนี้ออกไปจากสายตา ซึ่งหนักเอาเรื่องอยู่ไม่ใช่น้อย
หลังจากจัดการเจ้าตู้เสื้อผ้าเจ้าปัญหาเรียบร้อย ชางฮยอนถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้าออกดู
ด้านในยังพอมีเสื้อผ้าอยู่หลายชุด คงเป็นของเจ้าของบ้านที่ปล่อยขาย
“ยังมีเสื้อผ้าอยู่บ้าง เปลี่ยนชุดหน่อยมั้ย”
เด็กชายคุ้ยหาอะไรอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยถาม
“นอกจากจะงัดบ้านเขาเข้ามา เลื่อนตู้เสื้อผ้าเขา ยังจะขโมยชุดเขาอีก
เชื่อเลย” ผมบ่น
“อย่าพูดมาก..เอาไป” ผมรับชุดที่ชางฮยอนส่งมาให้ จะว่าส่งก็ไม่ถูกนัก
คงต้องเรียกว่ายัดใส่มือมากกว่าถึงจะถูก
ชางฮยอนยังคงรื้อหาชุดที่ตัวเองอยากใส่แต่ก็ยังไม่วายบ่นว่าไม่ชอบชุดสูทพนักงานบริษัทที่ผมใส่อยู่เท่าไหร่
มันเหมือนกับว่าเขาเดินอยู่กับลุงแก่ๆซึ่งผมมั่นใจว่ามันไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นเสียหน่อย
ที่นี่มีห้องนอนแค่ห้องเดียวแต่เป็นห้องใหญ่ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นโถงและชานกว้าง
บนกำแพงมีกระถางต้นไม้เล็กๆวางอยู่ บางส่วนก็แตกหักไปบ้าง
มีเศษดินกระจัดกระจายเต็มไปหมด
โต๊ะและเก้าอี้เหล็กดัดสีขาวมีรอยขึ้นสนิมอยู่ทั่วเพราะตั้งไว้นอกชานจนน้ำฝนทำปฏิกิริยากับออกซิเจน
หยดน้ำเกาะอยู่เต็มจนไม่สามารถนั่งกินลมชมวิวด้านนอกได้
ถึงอย่างนั้นตัวโถงด้านในก็สามารถเห็นวิวทะเลสาบได้ชัดเจนไม่ต่างกัน
ผมเดินสำรวจรอบโถงที่มีเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ ตู้ต่างๆถูกคลุมด้วยผ้าขาว
ผมเอาผ้าขาวที่คลุมโต๊ะอยู่ออกพบว่ามันเป็นเครื่องเล่นแผ่นไวนิลแบบเก่า
ข้างๆกันเป็นตู้เก็บแผ่นไวนิลหลายแผ่น นั่นเป็นที่พอใจสำหรับคอเพลงแบบผมมาก
“ชอบฟังเพลงมากเลยเหรอ” เสียงใสดังขึ้นด้านหลัง
ชางฮยอนย่อตัวลงมานั่งข้างๆกัน ผมพนักหน้าแทนการตอบคำถามนั้น
“ฟังอันนี้สิ” มือเล็กเอื้อมไปหยิบซองกระดาษสีฟ้าขึ้นมา ด้านหน้ามีตัวหนังสือสีดำเขียนว่า
Nirvana ผมรับมาก่อนจะเอาแผ่นไปใส่ในเครื่องเล่นซึ่งมันยังคงทำงานได้ดีเหมือนใหม่ ทำนองเพลงดูหนักแน่นและเสียงแหบพร่าของนักร้องนำกลับนุ่มหูน่าฟังเหลือเกิน
“โอ้ รสนิยมนายก็ดีเหมือนกันนี่” ฟังแมะะะ เผื่ออยากฟัง #######
ผมเดินไปนั่งที่โซฟากลางห้องที่มียูชางฮยอนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
ผ้าสีขาวที่ใช้คลุมถูกโยนไปกองไว้ข้างๆ เราทั้งคู่ปล่อยให้บทสนทนาจบลงแค่นั้น
ให้เสียงเพลงจาก Nirvana บรรเลงไปแทนคำพูด ความเงียบ และอากาศชื้นๆจากละอองฝนยามบ่ายแก่ เนิ่นนานพอจนกระทั่งบทเพลงสุดท้ายจบลงแทนที่ด้วยเสียงหยาดฝนที่กระหน่ำตกลงมากระทบพื้นและหลังคาด้านนอก
กลบแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
ถึงแม้ว่าวันของผมจะไม่เคยสดใสแต่ผมมั่นใจว่านี่เป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด
มากกว่าการได้พบเจอกับอากาศดีเสียอีก
ยู ชางฮยอน เด็กมัธยมปลายผู้มีโชคชะตาที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
หลังจากที่พ่อของตัวเองตายด้วยฝีมือยมทูตตนไหนก็ไม่รู้พรากไป
แม่ของเขามีคนรักใหม่และโชคร้ายที่คนๆนั้นไม่ใช่คนดี เด็กตัวแค่นี้ต้องรับเคราะห์จากอารมณ์รุนแรงของคนๆนั้นหลายปีตั้งแต่เด็กจนโตและเป็นเรื่องน่าตลกที่แม่ของตัวเองก็ดันไม่เข้าข้างซะด้วยสิ
จิตใจเขาคงบอบช้ำเกินกว่าจะใช้สติพิจารณาว่าควรทำอย่างไร
และคงมืดมัวพอที่จิตใต้สำนึกจะสั่งให้ลงมือฆ่าคน
ยู ชางฮยอนเป็นเด็กที่น่าสงสาร
น่าสงสารเกินกว่าที่จะแบกทุกอย่างเอาไว้
น่าสงสารเกินกว่าที่จะมีชีวิตอยู่และเจ็บปวดต่อไปเพราะมีประวัติอาชกรติดตัว
ยากต่อการใช้ชีวิตในอนาคต น่าสงสารเกินกว่าจะ ‘ปล่อยไป’
“เฮ้ออออออออ”
เสียงถอนหายใจยาวดึงผมออกจากความคิดของตัวเอง
เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจไปมาคลายความเมื่อยจากการนั่งท่าเดิมนานๆ
“ไง” ผมหันไปถามคนข้างๆที่ยังคงนั่งหลับตาถอนหายใจทิ้งขว้างอยู่อย่างนั้น
“เปล่า กี่โมงแล้วเนี่ย มีนาฬิกาไหม”
ชางฮยอนว่าพรางไปหันซ้ายทีขวาที
“ไม่มีหรอก” ผมว่าก่อนจะลุกเดินไปเลือกแผ่นเพลงแผ่นใหม่มาเปลี่ยนแทนแผ่นเก่าที่เพลงจบไปแล้ว
“พอฝนตกแล้วดูเวลาไม่ออกตลอด...ว่าแต่คุณทำอาหารเป็นหรือเปล่า?”
ประโยคแรกดูเหมือนจะบ่นกับตัวเอง ส่วนประโยคที่สองดูเป็นประโยคคำถามที่เจ้าตัวเอ่ยถามผม
ผมเองมีโอกาสไปใช้ชีวิตในครัวหลายครั้งเนื่องจากงานที่ผมต้องทำเลยพอเคยเห็นการทำอาหารจากพวกเหยื่อที่เป็นพ่อครัวอยู่บ้าง
“ก็พอได้นะ”
“...”
“พวกอาหารกึ่งสำเร็จรูปน่ะ”
ถึงแบบนั้นทักษะการทำอาหารของผมก็ไม่ได้พัฒนาไปเลย
เด็กชายส่งเสียงเหอะออกมาให้กับคำตอบของผมก่อนจะพูดขึ้น
“แบบนั้นผมก็ทำได้ เหอะ..ชีวิตชายโสดงี้สินะ”
ผมไหวไหล่อย่างไม่สนใจคำพูดของชางฮยอนเพราะมันคือเรื่องจริงที่ผมไม่จำเป็นต้องทำอาหารอะไรอยู่แล้ว
แค่น้ำแก้วเดียวก็มากเพียงพอสำหรับผมแล้ว ส่วนพวกอาหารสำเร็จรูปมันก็ทำง่ายจริงๆเหมือนที่เจ้าตัวว่านั่นแหละ
“หิวจะแย่อยู่แล้ว”
“ให้ไปซื้อให้ไหม?”
“ไม่ล่ะ
ขนมเมื่อตอนบ่ายยังมีเหลืออยู่”
“แล้วแต่นะ”
ผมหยิบซองเพลงสีน้ำตาลเก่าๆขึ้นมามอง
บนนั้นไม่ได้เขียนอะไรเอาไว้นอกจากตัวตัวอักษรเล็กๆสีดำตรงกลางว่า‘ชเว’ จัดการเปลี่ยนแผ่นเสร็จแล้วจึงหันกลับมานั่งที่พอๆกับเสียงบ่นตัดพ้อของอีกคนดังขึ้นเบาๆ
“เมื่อก่อนมันเคยดีกว่านี้แท้ๆ....”
ชางฮยอนทอดสายตาไปมองทะเลสาบตรงหน้าเลื่อนลอยจนไม่สามารถบอกได้ว่าสายตาของเด็กคนนี้โฟกัสอยู่ตรงจุดไหน
ดวงตาใสหม่นแสงลงพอๆกับเสียงพูดของเขา
“ตอนที่พ่อยังอยู่...”
“พ่อน่ะ ทำอาหารเก่งมากแล้วก็ใจดีมากๆด้วยนะ” ชางฮยอนพูดด้วยรอยยิ้ม
ไม่ใช่ยิ้มที่ดูมีความสุขแต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ดูเย้ยหยั่นอยู่ในที
ผมไม่ได้พูดอะไรปล่อยให้อีกคนพูดต่อและคอยฟังอย่างตั้งใจ
“เราเคยมาเที่ยวที่นี่ด้วยกัน ผม พ่อ
แล้วก็เพื่อนของพ่อ ตอนนั้นแม่ต้องดูแลคุณยายก็เลยไม่ได้มาด้วยกัน บ้านหลังนี้น่ะ
เป็นบ้านพักตากอากาศที่พ่อซื้อเอาไว้ ......พ่อสัญญาว่าสักวันเราจะมาด้วยกันอีก...”
เขาทอดเสียงลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ทะเลสาบเบื้องหน้า
“แต่สุดท้ายพ่อก็ตาย หึ..ตลกดี”
“คงรักพ่อมากสินะ”
“งั้นเหรอ”
ชางฮยอนเหยียดยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ถึงว่าล่ะ
นายถึงดูรู้ทุกอย่างในบ้านนี้ดีนัก”
“คุณบอกว่าสักวันเราก็ต้องตาย”
“อืม”
เด็กชายไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมกำลังตื่นเต้นที่รู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นของเจ้าตัวเองเลยสักนิด
เขายังคงพูดต่อไปในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด
ถึงจะรู้สึกเสียหน้าอยู่นิดๆแต่ก็ตั้งใจฟังต่อไป
“พ่อผมก็เคยพูด ตั้งแต่เพื่อนคนนั้นของพ่อโผล่มา
พ่อก็เอาแต่พูดประโยคนี้ซ้ำๆน่ารำคาญ พ่อเองก็น่ารำคาญ”
“ก็มันเรื่องจริง”
“แบบนั้นถึงน่ารำคาญไง”
“ตายแล้วจะได้เจอพ่อ ไม่ดีเหรอ?”
“ไม่อยากเจอหรอก คนผิดสัญญาแบบนั้น”
“ปากแข็งนักนะ”
“ช่างเถอะ ยังไงวันนึงก็ต้องตาย”
“ช่วงนี้อยากทำอะไรก็ทำ นายอาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้
ไม่มีใครรู้หรอก”
“ผมรู้..”
ชางฮยอนยกขาขึ้นมาบนโซฟา
กอดเข่าตัวเองเอาไว้พร้อมกับประโยคสุดท้ายนั้น ท่าทางอ่อนแรงฉายชัดมากขึ้นกว่าเดิมอีกทั้งอากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ
เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อเพราะผมไม่รู้จะตอบอย่างไรต่อดี
แต่ประโยคนั้นของอีกคนก็ไม่ใช่ประโยคที่ต้องการคำตอบเสียเท่าไหร่นัก
“จะไปเอาขนมในรถมาให้แล้วกัน”
“อื้อ”
ผมเลือกเดินออกมาแทนที่จะนั่งอยู่เฉยๆ
บรรยากาศตรงนั้นน่าอึดอัดยิ่งกว่าอะไรและไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกอึดอัดทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นด้วยซ้ำ
หลังจากหยิบถุงขนมในรถเสร็จเรียบร้อยเตรียมเอาไปให้คนที่รออยู่เพราะคิดว่าเขาอาจจะหิวมากจนเพ้อเจ้อเลยพูดอะไรออกมา
กรอบรูปที่ถูกวางคว่ำไว้โดยฝีมือชางฮยอนเรียกความสนใจให้ผมต้องหยุดมอง
รูปภาพที่มองเห็นไม่ชัดในตอนนั้นกลับคุ้นตามากเสียจนอดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาดู
ในภาพมีผู้ชายวัยกลางคนกับเด็กชายตัวเล็กขี่หลังเขาอยู่
แต่สิ่งที่เรียกความสนใจของผมยิ่งกว่าสองคนนั้นคงเป็นผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังนั่นมากกว่า
ผู้ชายคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีคนนั้น....
- 100% -
- - - - -
- 160528 เฮลโล่ววว หายไปหลายวันเลย เพิ่งกลับจากเข้าค่ายครับผม เอามาแค่นี้ก่อนนะ ยังขี้เกียจอยู่เลย -3-
- 160530 ทำไมมันแลดูมุ้งมิ้งขึ้น(รึเปล่า) บรรยากาศไม่ได้อึมครึมเหมือนตอนแรกแล้วนะ(แต่ก็ยังพอมีอยู่บ้าง) เอ้ะะะะ?? ดูเหมือนจงฮยอนจะรับไว้ด้วยสิ ตกลงจะรับไว้หรือปล่อยไปกันแน่นะ? เพลงของ nirvana ที่ใส่ไปนี่ก็ไม่มีความหมายแฝงอะไรใส่ไปเฉยๆเพราะเราชอบเพลงเขา 5555555 ลองไปหาฟังกันได้น้า ส่วนตัวชอบ come as you are แหละ
ยังมีคนอ่านอีกไหมไม่รู้ แต่ก็แต่ง แต่งๆไปจะแป้กมั้ยก็ไม่รู้แต่ก็อยากแต่ง อยากให้มันจบ ;w; แต่ช่วงนี้ทีนท็อปเงียบจริงๆเนอะ ชางริคก็เงี้ยบบบเงียบบบ น้องชางก็ไปนั่งเหงาๆแต่งเพลงอยู่บริษัท ริคกี้ก็ไปช่วยออมม่าขายของ ถถถถ
ความคิดเห็น