ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { changrick } 7 วันของยมทูต - END -

    ลำดับตอนที่ #3 : {rewrite} SEVEN DAYS | 2

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 59


    [2]

    ผมรีบพาชางฮยอนไปที่ห้องพักก่อนที่คนที่มาด้วยจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก หลังจากเข้าห้องไปแล้วจู่ๆเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ล้มตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน หน้าตาเริ่มซีดเซียว หรืออาจจะเป็นผลจากที่เขาเผลอไปโดนตัวเมื่อสักครู่ ถ้าอย่างนั้นเด็กตรงหน้าก็คงจะไม่ได้แปลกเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่าแปลกที่ไม่ได้เป็นลมล้มพับไปในทันทีที่เขาสัมผัสเหมือนกับเหยื่อรายอื่นๆ

    ผมมองร่างที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงด้วยแววตาหลากอารมณ์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองหาวิทยุรอบๆห้องแทน จนเจอกับวิทยุเครื่องเก่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะถัดจากเตียงเดี่ยวขนาดกลาง ผมรีบเดินไปหยิบมันและทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนอนถัดจากเพื่อนร่วมห้องก่อนจะเปิดและเลื่อนสถานีไปเรื่อยๆ จากเสียงสัญญาณรำคาญหูกลายเป็นเพลงบัลลาดทำนองเนิบนาบน่าหลงใหลก่อนจะหลับตาลงซึมซับกับบทเพลงที่โปรดปราน

     

     “ช่วยด้วย ... ช่วยผม ..ได้โปรด

     

    เสียงเพ้อแหบแห้งดังมาจากคนข้างๆ ตอนนี้ร่างตรงหน้านอนขดตัวกอดตัวเองยิ่งกว่าเก่า ตัวสั่นระริกเหมือนกำลังกลัวบางสิ่งบางอย่างจับหัวใจ

     

     “ช่วยด้วยครับ ..

     

    ถึงจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชางฮยอนและไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่พอเห็นภาพที่เขาดูหดหู่และหวาดกลัวอย่างจับใจนั้นแล้วก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ แต่ผมก็ล้มเลิกความคิดก่อนจะกลับมาสนใจกับเพลงบัลลาดจากวิทยุเครื่องเก่าดังเดิม

    มือป้อมๆที่ยังมีคราบเลือดสีน้ำตาลเปรอะอยู่เอื้อมมาคว้าเอวผม กำชายเสื้อเอาไว้แน่น เขาเลื่อนตัวสั่นเทาจนผมรู้สึกได้เข้ามาใกล้มากขึ้นจนกลายเป็นซบ ปากก็ยังคงเอ่ยร้องให้ช่วยอยู่ไม่ขาด ความรู้สึกสงสารวูบไหวในความคิดเพียงชั่วครู่ก่อนผมจะสลัดมันออกไป วิทยุถูกนำกลับไปวางไว้ที่เดิม

     

     

    ยมทูตไม่ควรแตะต้องตัวมนุษย์ด้วยมือเปล่าๆ

     

     

    ผมไม่ควรจะแตะต้องตัวเขาเลย

     

     

    แต่ไม่รู้เป็นเพราะความรู้สึกอะไรที่เกิดขึ้นมา

     

     

    มือของผมก็วางอยู่บนศีรษะอีกคนเสียแล้ว

     

     

     

    ผมจำได้ว่ามนุษย์จะทำแบบนี้เพื่อปลอบโยนคนอื่น มนุษย์ที่ผมตรวจสอบเมื่อหลายสิบปีก่อนบอกกับผมตอนเธอกอดลูกชายของเธอ

     

     

    เป็นเวลาตีห้ากว่าๆแล้ว ท้องฟ้ายังคงมืดสลัวบวกกับอากาศหนาวเย็นหลังฝนตกและไอน้ำที่มีมากมายนั้นไม่ได้ส่งผลต่อผิวกายของผมเลยแม้แต่นิด ผมเดินลงมาชั้นล่างและขอยากับอุปกรณ์ทำแผลจากผู้ดูแลก่อนจะเดินกลับขึ้นไป เจ้าของร่างอวบที่ทั้งตัวเปรอะเปื้อนและมีคราบเลือดเล็กน้อยขยับตัวและยันตัวลุกจากเตียง

     “ตื่นแล้วเหรอ

     “ยังไม่ตื่นล่ะมั้ง

     “งั้นเหรอจงฮยอนยักไหล่อย่างไม่หยีระก่อนจะวางกล่องยาไว้ข้างตัวอีกคน

     “อย่างน้อยก็ควรจะทำแผลสักหน่อย

     “รู้แล้วหน่าชางฮยอนสะบัดผ้าห่มออกให้พ้นตัวก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำจัดการตนเองให้เรียบร้อย ผมจึงเลือกหยิบหนังสือนิตยสารเล่มเก่าที่ตีพิมพ์เมื่อหลายเดือนก่อนขึ้นมาเปิดอ่านผ่านๆ จนกระทั่งชางฮยอนอาบน้ำเสร็จแล้วเดินมานั่งลงบนเตียง แรงยวบจากการกระทำนั้นบวกกับคำถามที่ถูกส่งมาจากอีกคนทำให้ผมต้องละสายตาจากนิตยสารในมือแล้วนายไม่อาบน้ำหน่อยเหรอ

     “ไม่จำเป็น

     “สกปรก

     “เหรอผมมองอีกคนแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก “จริงๆฉันอาบแล้วล่ะ”เด็กชายพยักหน้าหงึกๆอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะทำแผลให้ตัวเองต่อ  

    ผมหยิบกล่องยาที่อีกคนใช้เสร็จแล้วก่อนจะลุกเดินออกไปแล้วเรียกให้ชางฮยอนตามลงไปข้างล่าง

    หลังจากจัดแจงจ่ายเงินค่าที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็โดนชวนให้ทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้ให้แขกรับประทานตอนเช้า ชางฮยอนยังคงทานเสียงดังและดูมีความสุขกับการกินดังเช่นเมื่อวานนี้ ส่วนเขาก็ดื่มแค่น้ำเปล่าหนึ่งแก้ว เพราะไม่รู้ว่าจะกินเยอะๆไปทำไม ในเมื่อไม่ได้รับรู้รสชาติอะไร เมื่อทานเสร็จคุณป้าคนเดิมกับเมื่อวานก็เดินออกมาส่งพวกเขาด้วยหน้าตายิ้มแย้มอย่างใจดี

     “จะไปที่ไหนกันหรือจ้ะ?”

     “ทะเล Y ครับชางฮยอนตอบส่งๆ ก่อนจะเดินขึ้นรถไป

     “เหรอจ้ะ ถ้าอากาศดีกว่านี้ก็คงจะดีนะ

     “นั่นสิครับเพราะผมก็อยากจะมีวันที่สดใสเหมือนคนอื่นเขาบ้างเหมือนกัน หลังจากที่ฟังเพื่อนร่วมงานเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ฟังว่าชีวิตของพวกเขาดีแค่ไหนตอนออกไปทำงานพร้อมอากาศแจ่มใส

     “เดินทางปลอดภัยจ้ะ

     

     การเดินทางในวันที่สองได้เริ่มต้นขึ้นด้วยบรรยากาศอึมครึมเช่นเคยเหมือนทุกครั้ง ระหว่างทางไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก มีเพียงแค่เสียงเพลงจากวิทยุเท่านั้นที่ยังคงแผดเสียงไม่หยุดหย่อน

     “ถามหน่อยนะผมตัดสินใจถาม

     “อะไรอีก

     “ทำไมต้องไปที่ทะเล Y” หลังจากถามคำถามออกไปก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอีก จนครู่ต่อมาเจ้าของร่างอวบที่นั่งข้างๆผมถึงยอมปริปาก

     “ผมเป็นฆาตกร

     “นั่นก็รู้อยู่แล้ว

     “รู้ไหมว่าผมฆ่าใคร

     “ง่ายๆ ก็แม่ของนายไง แล้วยังไง?” ก็แน่ล่ะ เมื่อวานเจ้าตัวก็บอกออกมาเองแท้ๆ เขาต้องการจะบอกอะไรกันนะ

     “รู้ไหมทำไมถึงฆ่าชางฮยอนหันมามองผม ผมส่ายหน้าเล็กน้อยพรางส่งเสียงหึออกมาเป็นเชิงว่า ไม่รู้สิ อีกคนหัวเราะในลำคอเบาๆและหันกลับไปมองถนนด้านหน้าก่อนจะพูดต่อ

     “เพราะน่ารำคาญ

     “แค่นี้?”

     “ไม่หรอก ยังมีอีก จะเล่าให้ฟังแล้วกันคราวนี้เปลี่ยนเป็นหันไปมองวิวนอกหน้าต่างในฝั่งที่ตัวเองนั่ง กอดอกและพิงไปกับเบาะรถอย่างผ่อนคลาย

     “เธอแต่งงานกับคนเลวนั่นทันทีที่พ่อตายได้ไม่ถึงเดือน ผู้ชายคนนั้นอารมณ์รุนแรงและโหดร้าย ชอบทำลายข้าวของ ผมเกลียดเขามากที่เขาทุบตีแม่ ผมพยายามจะเข้าไปช่วยแม่อยู่หลายครั้งเพราะทนไม่ได้ มันจับผมยัดไว้ในตู้เสื้อผ้า ผมช่วยอะไรแม่ไม่ได้เลยหน้าหวานสลดลงเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงและเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อไป

     “หลังจากที่โดนจับขังในตู้ครั้งแรก ก็โดนจับขังอีกเรื่อยๆและพอเริ่มโตขึ้นคนเลวนั่นก็เลิกทำร้ายแม่และหันมาทำร้ายผมแทนโดยมีแม่คอยหนุนหลังและช่วยเขาให้ทำร้ายผมมากขึ้น ผมเคยโดนจับยัดในกระเป๋าเดินทางใบเล็กสามวันเต็ม เกือบตายอยู่รอมร่อ สติเริ่มเลือนรางแต่พอจะมองเห็นได้ว่าคนที่มาช่วยคือแม่

     “แล้วฆ่าเธอทำไม

     “ก็กำลังจะเล่าอยู่นี่

     “อ่อ งั้นเล่าเลย

     “ไอคนเลวคนนั้นมันถือมีดเข้ามาในห้อง แกว่งมีดไปมาและขู่ให้กลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าไม่งั้นจะฆ่าทั้งให้หมดทั้งผมทั้งแม่ แม่ดูหน้าสลดลงแต่รู้ไหมเธอทำยังไง

     “ยังไง?”

     “เข้าข้างคนชั่วคนนั้นยังไงล่ะ

     “...”

     “มันทุบตีผมโดยมีแม่ยืนดูอยู่เฉยๆและยิ้มออกมา เห็นแล้วมันหงุดหงิดเป็นบ้าเลยล่ะ

    “...”

    แต่เพราะไอชายชั่วนั่นมันโง่ ผมเลยแย่งมีดมาได้และแทงมัน หน้าตาแม่ดูตกใจมากและเข้าไปกอดร่างไอชายชั่วนั่นไว้และร้องเรียกชื่อมัน ยิ่งเห็นแล้วมันก็ยิ่งรำคาญลูกตาก็เลยแทงแม่ไปด้วย

    ฉันต้องรู้สึกยังไงผมไม่รู้จริงๆว่าควรจะรู้สึกสงสารชางฮยอนหรือเปล่า หรือควรเศร้าสลดใจที่บุพการีของเขาโดนฆ่าหรือไม่

    ไม่รู้สิ แค่ไม่ทำอะไรขัดหูขัดตาและทำให้ผมรำคาญ

    อ่อ อย่างงั้นเหรอ แล้วทำยังไงถึงจะไม่ขัดหูขัดตานาย

    แบบที่ทำอยู่ตอนนี้ชางฮยอนพูดจบก็หันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งไม่ได้หันมามองผม ถึงผมจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คือการขัดหูขัดตาเขาชัดๆ แต่ผมก็เลือกที่จะบอกว่า ขับรถอ่ะนะ

    ใช่! ขับรถชนเสาไฟตายไปเลยไป

    เสาไหน

    นี่ขี้สงสัยหรือโง่กันแน่ชางฮยอนจิ๊ปากอย่างขัดใจ ผมเริ่มสังเกตได้ว่าอีกคนคงเริ่มโกรธขึ้นมาเล็กน้อย

    อย่างฉันน่ะเหรอ

    ให้ตายเถอะ

    นายไม่ตายเร็วๆนี้หรอก

     

    เพราะฉันยังไม่ได้รายงานว่า รับไว้ เลยนะ นายจะไม่ตายหรอก

     

     ผมคิด

     

    คุยกับหมอนี่ก็สนุกดี คงเพราะไม่ได้คุยกับมนุษย์มานานหลายปีล่ะมั้งถึงได้รู้สึกแบบนั้น แต่คนตรงหน้าผมนี่ดูเป็นเด็กที่น่ากลัวเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อคืนก็ดูเป็นเด็กที่อ่อนแอมากขนาดนั้นแท้ๆ ไม่รู้ว่าต้องเก็บอะไรไว้ในใจเยอะขนาดไหน จะบอกว่าเป็นเด็กที่น่าสงสารแต่ก็คงดูขัดกับการกระทำของเขาอยู่ดี

     และทั้งรถต่อจากนี้ก็มีเพียงเสียงเพลงที่ดังเรื่อยๆต่อไปโดยไม่หยุดหย่อน ตอนนี้เราเดินทางมาถึงทะเล Y ตามที่เจ้าตัวอยากมา แต่กลับไม่ได้มีหาดทรายหรืออะไรตามคำเรียกทะเลที่ผมเคยได้ยินมาเลยแต่น้อย

     

    ที่นี่คือทะเลจริงๆเหรอ?” ผมถามอีกคนเมื่อจอดรถตรงที่จอดสำหรับนักท่องเที่ยว พลางมองดูภาพด้านหน้าตนเองที่มีเพียงผืนน้ำกว้างไกลออกไป และป่าห้อมล้อมแต่ก็ไม่ได้ดูทึบไปเสียหมด ยังคงมีจุดชมวิวและร้านรวงต่างๆไม่มากนัก จัดว่าค่อนข้างโล่งเลยหล่ะนะถ้าเทียบกับพวกเมืองใหญ่ๆแล้ว

    นี่แหละทะเล

    แล้วตรงไหนคือชายหาดล่ะผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ จากที่ฟังเพื่อนร่วมงานเล่าให้ฟังและภาพถ่ายของพวกเขาแล้ว ที่นี่ก็ไม่ได้เข้าข่ายคำว่าทะเลเลยสักนิด เหมือนหนองน้ำเสียมากกว่า

    โง่จริงๆใช่มั้ยเนี่ย

    “...”

    เขาเรียกว่าทะเลสาบ

    อ่อ..เหรอผมไม่ได้ว่าอะไรต่อก่อนจะเดินออกมาพิงกับกระโปรงหน้ารถ สูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติเข้าเต็มปอด เพราะผมหยุดตกไปได้สักพักเลยทำให้อากาศเย็นและสดชื่นมาก

    อย่าบอกนะว่าไม่เคยมาชางฮยอนเดินตามเขาหันมามองผมอึ้งๆ “ให้ตายเถอะ คุณมันประหลาดจริงๆ” ผมไม่ได้สนใจอะไร ชางฮยอนเองก็เหมือนกัน เขาเดินมาพิงกระโปรงรถข้างๆผม เหม่อมองออกไกลสุดสายตา

    “ที่นี่เงียบสงบดีนะ” ผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ถ้าสายตาผมยังคงทำงานได้ปกติดีคงเห็นผิดว่าชางฮยอนยิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่ใช่รอยยิ้มเหยียดแบบทุกครั้ง เด็กชายดันตัวออกจากกระโปรงรถเดินนำไปใกล้บริเวณทะเลสาบมากขึ้น

    “เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจอะไร คนเราก็ยังอยากมีใครสักคนที่คอยรับฟังปัญหาหรือความผิดของเรานะ” ชางฮยอนพูด รอยยิ้มเมื่อครู่นี้หายไปและถูกแทนที่ด้วยความเรียบเฉย ผมมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ

    “พอได้มองไปที่ทะเลสาบ ผมรู้สึกราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ และมันกำลังปลอบปะโลมเราอยู่”

    .

    .

    .

    ความเชื่อหน่ะชางฮยอนพูดออกมาก่อนจะเดินนำไปตามลำธารเล็กๆที่เชื่อมต่อระหว่างภูเขากับทะเลสาบแห่งนี้ ผมไม่ได้พูดอะไรและเดินตามเจ้าตัวไปเงียบๆ ชางฮยอนถอดรองเท้าผ้าใบที่เปรอะคราบโคลนและคราบเลือดที่แห้งกรังมาถือไว้ ก่อนจะเดินลงไปในลำธารน้ำเย็นเฉียบนั่น

    อ่า...เย็นดีจังตอนนี้ท้องฟ้าอึมครึมมืดครึ้ม อากาศหนาวเย็นที่กระทบผิวกายทำเอาขนลุกซู่ แต่ก็สดชื่นไม่น้อย วันนี้ฝนไม่ตกหนักเหมือนเช่นทุกวัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท้องฟ้าปรอดโปร่งและมีแสงอาทิตย์เจิดจ้า ส่วนผมเลือกที่จะเดินไปตามกรวดหินเล็กๆด้านข้างมากกว่าจะลงไปเดินในน้ำแบบนั้น

    จริงๆผมแค่เคยอ่านเจอในนิตยสารท่องเที่ยวแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ถ้าเดินขึ้นไปสวนกับลำธารนี้จนถึงด้านบน จะมีศาลเจ้าอยู่ และไม่ว่าจะขออะไร มันก็จะเป็นจริงจู่ๆคนด้านข้างก็พูดขึ้นมา

    แล้วจะขออะไร

    ไม่รู้สิสีหน้าเขาดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างนั้นพวกเราก็เดินต่อไปโดยไม่พูดอะไรกันอีก ปล่อยให้เสียงน้ำไหลนำพาไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง

     

    พ่อหนุ่มเสียงหญิงชราเรียกในขณะที่เธอกำลังเดินลงจากเขาพร้อมด้วยชายชราข้างกาย

    ครับชางฮยอนเป็นฝ่ายตอบ

    จะขึ้นไปด้านบนหรือ

    ครับ

    ด้านบนน่ะ มันถูกปิดไปแล้วล่ะ ตอนนี้มีแค่ที่ร้างๆ ฉันกับตาเพิ่งไปมาเมื่อกี้นี้เอง กลับลงไปเถอะพ่อหนุ่ม จะได้ไม่เสียเวลา

    อ่า .. ขอบคุณนะครับหมดคำพูด หญิงชราก็ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้พรางกอดแขนชายผู้เป็นที่รักเดินลงจากเขาไป

    นายว่าไงชางฮยอนถาม

    แล้วแต่จะขึ้นไปหรือไม่ ผมก็ไม่ได้สูญเสียพลังงานหรือรู้สึกเหนื่อยอยู่แล้ว

    ไหนๆก็อุตส่าห์มาแล้วนะ

    อยากไปก็ไปสิ

    ไม่อ่ะ

    อะไรของนาย

    แต่ก็ขี้เกียจลงไป นั่งนี่ละกันชางฮยอนว่าก่อนจะเดินไปนั่งบนโขดหินเตี้ยๆริมลำธาร พึลึกคนเสียจริง อยากจะให้พามาแต่สุดท้ายกลับมานั่งเอาเสียกลางทางแบบนี้ บ่นในใจแต่ก็เดินไปนั่งข้างๆอย่างช่วยไม่ได้

    ขอถามอะไรอีกหน่อยสิจู่ๆก็นึกถึงเรื่องที่ต้องตรวจสอบขึ้นมาได้ จริงๆจะให้กลับไปรายงานผลว่า  รับไว้ตอนนี้เลยก็เห็นจะได้ แต่อย่างที่ผมเคยบอกไป ผมไม่ยอมให้โอกาสดีๆที่จะได้ใช้ชีวิตดื่มด่ำเสียงเพลงนี้จบลงง่ายๆแน่นอน

    ที่สำคัญคือ อยากรู้จิตใจของเด็กคนนี้อีกสักหน่อย

    ว่ามา

    ถ้ารู้ว่าตัวเองจะตายในอีกไม่กี่วัน อยากจะทำอะไร

    ไม่มี

    จริง?”

    อือ ก็ทำในสิ่งที่อยากทำก่อนตายไปแล้ว

    ฆ่าคนน่ะเหรอ

    คนที่อยากให้ตายก็ตายไปแล้ว เพราะงั้นถ้าตายซะตอนนี้ก็ไม่เสียใจ

    แสดงว่าอยากตายตอนนี้ผมเลิกคิ้ว อีกคนจ้องหน้าผมเขม็ง ก่อนจะก้มมองสายคล้องคอ เอื้อมมือมาดึงป้ายประจำตัวพนักงานบริษัทของผมไปดู ก่อนจะพูดขึ้นอีกรอบ

    ทำงานบริษัทไฟฟ้านี่

    อืม ทำไม

    คิดว่าทำมูลนิธิ เห็นชอบถามเรื่องเป็นๆตายๆ

    ก็แค่เข้าใจสัจธรรม

    พอดีเลย ไปบวชซะ แล้วมาประจำที่ศาลเจ้าข้างบนแล้วกันว่าก่อนจะรีบลุกออกไปทันที แต่คงเพราะไม่ได้ตั้งใจหรือเพราะหินลื่นทำให้เด็กคนนั้นล้มลงก้นจุ่มน้ำไปเต็มๆ ผมมองภาพนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ภายนอกเข้มแข็งโหดเหี้ยมถึงขนาดฆ่าคนได้ แต่จริงๆแล้วในใจก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น

    ยิ้มทำไม

    เปล่า รีบลุกขึ้นมาสิผมมองดูชางฮยอนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาดุๆมาทางผม เท่าที่สั่งสมประสบการณ์ตอนนี้บนโลกมนุษย์มา เขาคงต้องการความช่วยเหลือ ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

    แต่ถ้าไม่พูดออกมา

    ผมก็ไม่ยอมช่วยหรอกนะ

     

    แน่นอน ผมมันยมทูตจอมเย็นชาอยู่แล้ว

     

    รีบกลับไปฟังเพลงเฮฟวี่เมนทัลต่อคงดีกว่า

     

     “คนอะไรไร้น้ำใจชะมัด

     “ถ้าอยากให้ช่วยก็ลองพูดดีๆสิ

    ที่จริง ตอนนี้ผมไม่ได้ใส่ถุงมือและกลัวว่าถ้าไปสัมผัสกันจะทำให้อีกคนหมดสติอีก ถึงแม้คราวก่อนเขาจะไม่เป็นอะไรด้วยความบังเอิญ หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่คราวนี้ก็ไม่อยากเสี่ยง เพราะผมก็คงไม่ได้แข็งแรงพอที่จะแบกหมอนี่ลงไปด้านล่างแน่ๆถ้าเขาเป็นลม

     “ที่บริษัทเขาจ้างนายได้ยังไง ไร้น้ำใจขนาดนี้

     “งั้นเจอกันที่รถแล้วกันผมหมุนตัวกลับ

     “เดี๋ยวสิ..ช่วยผมหน่อย

     “...”

     “เร็วๆสิ ยืนเฉยอยู่ได้

     “อ่า เอาล่ะๆ ช่วยก็ได้เพราะดูท่าทางคงไม่มีทางได้พูดดีๆกันเป็นแน่ ถ้าเกิดโดนตัวแล้วเป็นอะไรขึ้นมา ก็คงไม่ต้องนั่งเถียงกันอีก

    ผมเลือกจะจับบริเวณที่มีเสื้อแขนยาวปิดทับอยู่เพื่อพยุงอีกคนให้ลุกขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง แต่มืออีกข้างของเขาเอื้อมมาจับมือผมเพื่อช่วยพยุงตัวเองเสียอย่างนั้น และผลที่ได้คือ เขาไม่เป็นอะไรเลยเหมือนเช่นเคย

    อีกเรื่องแปลกที่ผมเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไร

    เราเดินกลับลงมาได้สักระยะ เด็กที่ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรเดินช้าลงเรื่อยๆก่อนจะส่งมือมาดึงชายเสื้อผมไว้คุณ

    เขาเรียกผมก่อนจะเดินมาด้านหลังและเอาแขนทั้งสองข้างมาคล้องคอผม เล่นเอางงไม่น้อย

     “ผมรู้สึกเหมือนจะ ... ห .. หล ..หลับพูดยังไม่ทันจบประโยคดี ก็ขาพับลงไปแล้วพร้อมกับทิ้งน้ำหนักตัวไว้บนหลังของผม

     

     

    มาเหมือนเมื่อคืนเลยสินะ

     

     

    ไม่ได้สลบไปในทันที แต่รอสักพักก็จะหลับไปเอง

     

    สุดท้ายคนซวยก็คือผม

     

     

    ต้องแบกเจ้านี่กลับไปจนได้สินะ




    - - - - - - - - - - 

    - 160515 มาแย้ววว ตอนนี้ค่อนข้างจะเหมือนเดิมครับ เพิ่มอะไรไปนิดหน่อย แล้วก็ตัดตอนล้างบาปนั่นออก รู้สึกเป็นมุขที่สิ้นคิดเลยเปลี่ยนเหตุผลของเรื่องนี้ใหม่ 55555555555 ยังมีคนรออยู่มั้ยนะ เริ่มไม่ค่อยมั่นใจ ถถถถถถถถถถถถ

    - 160530 แก้ผิดตอนครับ ไม่มีอะไร 5555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×