ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { changrick } 7 วันของยมทูต - END -

    ลำดับตอนที่ #8 : SEVEN DAYS | 7 end.

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 59


    7


    DAY 6 03:03 AM


    สายฝนยังคงเทกระหน่ำต่อเนื่องตลอดทั้งคืนในขณะที่ทั้งเมืองกำลังหลับใหล หากแต่ว่าสิ่งไม่มีชีวิตในคราบมนุษย์มิอาจหลับตาม ชายร่างสูงสันทัดเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอยเล็กๆแสนแคบในเมืองใหญ่ ในมือถือร่มคันสีแดงสะดุดตาทว่าไม่มีใครว่างมาสังเกตเรื่องพวกนี้ในเวลานี้กันหรอก ชายผู้นั้นยังคงก้าวเดินต่อไปในฐานะผู้พิพากษาความตายจนกระทั่งถึงที่หมาย


    ประตูเหล็กบานใหญ่บนกำแพงด้านในสุดของซอยที่ไม่มีทางไปต่อได้ถูกเลื่อนเปิดออกโดยฝีมือชายผู้นั้น ที่ด้านหลังกำแพงซึ่งมนุษย์มิอาจมองเห็น ที่นั่นคือสถานที่อยู่ของเหล่ายมทูตทั้งหลาย และประตูบานนี้คือทางเชื่อมของทั้งสองโลก


    ชเว จงฮยอน กลับมาที่นี่เมื่อเขาได้รับการแจ้งเตือนจากฝ่ายข่าวกรองว่าตัวเขาเองเหลือเวลาอีกเพียงแค่สองวันเท่านั้น และให้รีบแจ้งเจตจำนงของตนเองก่อนจะหมดวันที่เจ็ด จงฮยอนมาที่นี่แจ้งข่าวนั้น...เรื่องการตัดสินใจของเขา อันที่จริงจงฮยอนไม่จำเป็นต้องรีบมาทันทีก็ได้ เพียงแต่เขาคงคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะที่สุดแล้ว


    “ไงคุณจงฮยอน ได้คำตอบแล้วหรือ?” จงฮยอนไม่ตอบแต่กลับจ้องหน้าหญิงสาววัยกลางคนในชุดสูทสีดำขลับ เรียวปากของเธอถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีเลือดหมูแสยะยิ้มออกมา “คราวนี้มาเร็วกว่าปกตินะ หวังว่าคงเป็นข่าวดีใช่ไหมคะ?”


    จงฮยอนสบตากับดวงตาเรียวนั่น เผยรอยยิ้มมุมปากออกมาดูน่ากลัว


    เรื่องที่ว่าจะ รับไว้ หรือ ปล่อย ไปนั้น..เขาได้คิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว


     

    “เรื่องนั้นผมตัดสินใจแล้วครับ แต่ผมมีอีกเรื่องที่อยากให้ช่วย” หญิงสาวมองไปที่คู่สนทนา เธอไม่อยากเชื่อหูของตัวเองเสียเท่าไหร่ ทว่าสายตาแบบนั้นทำให้เธอต้องเผยรอยยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน


    “พร้อมแล้วสินะคะ”


    รอยยิ้มที่เคลือบแฝงไปด้วยยาพิษ

     

    เหยื่อที่ถูกรายงานผลว่า รับไว้จะเสียชีวิตทันทีในวันที่ 8 หลังจากที่การตรวจสอบจบลง กลับกันหากผลถูกรายงานว่า ปล่อยไป คนผู้นั้นก็รอด

     







                    07:27 AM


                    ผมกลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ในตอนเช้า ชางฮยอนยังคงนอนคุ้ดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเบาะนอนนั่นตั้งแต่เมื่อวานซืน พูดง่ายๆคือตั้งแต่กลับมาจากร้านเพลงนั่นเจ้าตัวก็เอาแต่นอนไม่ออกไปไหนรวมทั้งเมื่อวานนี้ด้วย จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมา ยกเว้นเมื่อถึงมื้ออาหาร เขาบอกว่ารู้สึกหดหู่และเศร้ามากพอคิดว่าตัวเองจะตายและยังช็อคเรื่องที่เพิ่งจะรู้มาในวันนั้นด้วย ผมไม่เข้าใจนักหรอกว่ามันจะร้ายแรงแสนสาหัสอะไรขนาดนั้น


                    “ตื่นได้แล้วมั้ง” ผมลองเดินไปยืนตรงหน้าคนที่กำลังนอนตะแคงข้างอยู่แล้ววางถุงใส่ข้าวกล่องที่แวะซื้อติดมือมาด้วยเมื่อสักครู่ไว้ตรงนั้น ชางฮยอนลืมตาขึ้นมาดูประมาณสามวินาทีแล้วพลิกตัวไปอีกข้าง


                    “หึ ไม่เอา”


                    “จะนอนให้มันหมดไปอีกวันจริงๆหรือไง” พอถามจบ อีกคนก็เด้งตัวจากเบาะขึ้นมานั่งทั้งที่เปลือกตายังคงปิดสนิท


                    “ข้างนอกตำรวจเต็มไปหมด คุณไม่ให้ผมออกไปหรอก” และก็ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ


                    “ทำไมเวลาฉันห้ามถึงดื้อดึงอยากจะออกไปนัก แต่พอฉันอนุญาตให้ออกไปได้ดันไม่อยากไป” ผมย่อตัวลงนั่งยองกับพื้นเพื่อให้สามารถคุยกับอีกคนได้ถนัดแต่ชางฮยอนก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าเขาจะ “ไม่ไปไหนทั้งนั้น”


                    บทจะเอาใจยากก็ยากเกินที่จะคาดเดาเสียเหลือเกิน ความหัวดื้อของชางฮยอนคงเป็นลักษณะของคนอีกประเภทหนึ่งที่โลกต้องจารึกเอาไว้เชียวล่ะ พอเห็นว่าพูดไปยังไงก็ไม่ได้ผลผมเลยต้องดึงกลยุทธ์สุดท้ายที่เตรียมไว้ออกมาใช้ ผมยื่นตั๋วหนังสองใบไปวางไว้บนเบาะนอนตรงหน้าชางฮยอนที่กำลังนอนหันหลังให้กัน


                    “ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันนะ”


                    ชางฮยอนลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง ดวงตาปรือๆอย่างคนง่วงงุนกระพริบถี่ๆเพื่อปรับแสง “ชอบใช้ให้คนอื่นไปอาบน้ำ แต่ผมยังไม่เคยเห็นคุณอาบน้ำสักวันเลยนะ หรือว่าเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นด้วย สกปรกชะมัด”


                    “หรือจะให้ฉันไปอาบด้วยกัน”


                    “โรคจิต...” ชางฮยอนบ่นและหันกลับไปนั่งมองตั๋วหนังสองใบที่วางอยู่บนเบาะสักพัก จนผมคิดว่าเขาคงตาสว่างหายง่วงแล้วถึงได้หยิบตั๋วขึ้นมาดู “...แล้วนี่อะไรอ่ะ หนังรัก แหวะ”


                    “มีให้ดูเรื่องเดียวก็อย่าเรื่องมากหน่า” ผมว่าแล้วพยักเพยิดให้ชางฮยอนรีบลุกไปอาบน้ำเสียทีก่อนที่จะไปไม่ทันหนังรอบเช้าตอนสิบโมง เขาส่งเสียงจึปากแล้วสะบัดผ้าห่มใส่หน้าผมก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ความจริงแล้วผมแค่กลัวว่าจะไปไม่ทันฟังเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้เสียมากกว่า เพลงที่ถูกแต่งโดยศิลปินดังของประเทศนี้หากพลาดแล้วคงจะน่าเสียดายอยู่มากโข และผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น


                    ตัวผมชอบการดูหนังในโรงมากกว่าเช่าหรือซื้อม้วนวีดีโอมานั่งดูในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆที่บ้าน นอกจากระบบเสียงดังกระหึ่มที่จะทำให้คุณสามารถดื่มด่ำกับเสียงเพลงประกอบได้เต็มที่แล้ว ขนาดจอภาพที่ใหญ่เท่ากำแพงบ้านนั่นยิ่งเพิ่มความสุนทรีย์มากขึ้นอีกหลายเท่าเลยด้วย หนังเรื่องนี้เป็นหนังรักก็จริงแต่ตัวหนังได้เล่าถึงเรื่องราวมิตรภาพและสังคมมนุษย์สอดแทรกข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตได้ดี ทั้งสองคนได้สัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ทว่าเรื่องน่าเศร้าเพียงอย่างเดียวคือพระเอกของเรื่องนี้เกิดป่วยหนักและสุดท้ายเขาก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดกาลเพียงลำพัง


                    ส่วนคนที่เพิ่งแหวะหนังรักเมื่อตอนอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์บัดนี้กลับร้องห่มร้องไห้เสียยกใหญ่ยิ่งกว่าได้ดูเรื่องราวชีวิตจริงของตนเองเสียอีก ถึงแม้ภายในโรงหนังจะมืดจนไม่สามารถมองเห็นได้ดีแต่เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของชางฮยอนมันดังจนได้ยินชัดเจนไม่แพ้กับเสียงซาวด์แทร็กจากหนัง เขายังคงเป็นแบบนั้นจนกระทั่งไฟในโรงภาพยนตร์ถูกเปิดขึ้นหลังจากหนังจบและผู้คนเริ่มทยอยกันออกไป


                    มุมอ่อนไหวของพวกมนุษย์โลกผู้ไม่พึงระลึกถึงความจริงที่ว่าความตายเป็นเรื่องปกติ..แต่ก็คงต้องยกเว้นชางฮยอนอีกสินะ รายนั้นถึงจะรู้แต่ก็ยังอ่อนไหวอยู่ดี นับเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาร้องไห้อีกเช่นกัน จะว่าน่าประทับใจดีไหมที่ได้เห็นหลายๆมุมของชางฮยอน ถึงตอนนี้จะเดินออกจากโรงหนังมาสักพักแล้วก็เถอะ เขายังไม่หายหงอยเลย


                    “อ่า..เมื่อตอนเช้ามีใครบางคนบอกว่าแหวะหนังรักด้วยสินะ แต่สภาพตอนนี้ดูไม่จืดเลย นายว่ามั้ย?” ผมหันไปขอความเห็นจากชางฮยอน คิดว่าเขาคงโวยวายออกมาแน่หากเป็นเวลาปกติ แต่เปล่าเลย เด็กนั่นยังคงเดินด้วยท่าทางอ่อนแรงไปเรื่อยๆอย่างเดิม


                    “อือ นั่นสิ..ทำไมถึงได้เศร้าแบบนี้นะ ช่วงแรกมันก็เลี่ยนอยู่หรอก เฮ้ออ....” ชางฮยอนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหยุดเดิน ทำเอาผมเกือบจะหยุดตามไม่ทัน “ดูอีกสักรอบได้ไหม มันสนุกมากเลย”


                    ใบหน้าหวานบูดบึ้งลงกว่าเก่าทันทีที่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก ไม่มีเงินเหลือแล้ว”


                    “ไม่ใช่ว่ายมทูตผลิตเงินเองได้หรอกหรือ”


                    “ใช้อะไรคิดกันล่ะนั่น”


                    เราสองคนเลือกทานอาหารมื้อเที่ยงในละแวกนั้นและเหมือนอย่างทุกทีคือเราสั่งอาหารเพียงชุดเดียวสำหรับชางฮยอน เนื่องจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้ไม่สามารถเดินไปที่รถได้ ระหว่างนั้นชางฮยอนก็พาผมเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น แต่จะเป็นร้านเช่าวีดีโอเสียส่วนใหญ่ ส่วนภาระหน้าที่เรื่องค่าใช้จ่ายนั้นตกเป็นของผม ชางฮยอนหยิบมาแต่หนังประเภทฆาตกรรมอำพราง สืบสวนคดีสยอง วีรบุรุษกอบกู้โลก หนังสงคราม ต่อสู้ บู้แหลก ยิงกระจายอะไรทำนองนั้นใส่ลงมาในตะกร้าไม่หยุดมือ แต่มันไม่ใช่แนวหนังแบบที่ผมประทับใจเท่าไหร่นักเลยแอบหยิบไปวางคืนบนชั้นเสียก็หลายแผ่น หากชางฮยอนรู้เข้าเขาคงต้องโวยวายเป็นแน่ แต่ผมสนใจเสียที่ไหนล่ะ จริงไหม


                    ผมกับชางฮยอนตกลงกันว่าเวลาอีกสองวันที่เหลือจะใช้ไปกับเรื่องพวกนี้อย่างปลอดภัยภายในห้องสี่เหลี่ยมที่อพาร์ทเม้นท์โดยไม่ต้องออกไปพบเจอกับตำรวจอีกเลยและไม่ลืมแวะเข้าร้านสะดวกซื้อจับจ่ายใช้สอยอาหารสำหรับสองวันมาอีกถุงใหญ่ กลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์อีกทีก็เป็นเวลาบ่ายสามกว่าแล้ว บริเวณด้านหน้ามีตำรวจจับกลุ่มกันอยู่สามถึงสี่นาย ยังไม่รวมกับที่คอยยืนสำรวจที่ด้านหน้าห้องพักนั่นอีกหนึ่งคนดูเยอะกว่าปกติ พวกนั้นคงได้กลิ่นอะไรตุๆแล้วสินะถึงได้ยกโขยงกันมาเสียขนาดนี้


                    ทันทีที่ลงจากรถ คนที่ดูเหมือนจะเป็นตำรวจนอกเรื่องแบบในชุดสูทนายหนึ่งก็เดินเข้ามาโค้งทักทาย ผมโค้งตอบพรางเหลือบไปมองชางฮยอนเล็กน้อย เขาคลุมฮู้ดปิดบังใบหน้าและโค้งให้กับตำรวจคนนั้นเล็กน้อยก่อนจะหันหลังหนีขึ้นตึกไป


                    “น้องชายหรือครับ” ตำรวจรายนั้นเอ่ยถามเมื่อมองตามชางฮยอนไปจนลับตา


                    “ครับ ขอโทษแทนเขาด้วย พอดีเขาค่อนข้างจะขี้อาย”


                    “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณพักอยู่ที่ห้องด้านข้างนั้นใช่ไหม?” ผมพยักหน้าให้แทนคำตอบ ในความทรงจำของผู้ที่เกี่ยวข้องกับอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ถูกเพิ่มเติมตัวละครเข้าไปอีกหนึ่งซึ่งนั่นก็คือตัวผมที่เป็นเจ้าของห้องพักนั้นอย่างแนบเนียน


    “มีอะไรเกิดขึ้นครับ” ผมทำทีเป็นหันไปมองรอบตัวที่มีพวกตำรวจหลายนายยืนกันอยู่แล้วหันกลับมาสนใจคู่สนทนาทั้งที่ตัวผมเองนั้นรู้ดีอยู่แล้ว


    “เราได้รับแจ้งมาว่าเจอตัวบุคคลที่ดูคล้ายผู้ต้องสงสัยในละแวกนี้น่ะครับ เลยต้องจัดทีมคอยคุมเข้มกันเป็นพิเศษ ต้องขอโทษด้วยหากเผลอไปรบกวนคุณเข้า” ชายวัยสามสิบตอนปลายก้มหัวให้เล็กน้อยแทนการขอโทษ


    “ครับ ทำงานกันให้เต็มที่เถอะครับ” เพราะสิ่งที่พวกคุณได้รับแจ้งมานั้นมันถูกต้องแบบไม่ต้องสงสัยอีกทั้งคนที่ว่านั่นอยู่ใกล้จมูกคุณมากชนิดทีแค่สูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งครั้งก็ได้กลิ่นแล้วล่ะนะ ...แต่ดูเหมือนจะแย่แล้วแฮะ พวกเขายังไม่รู้ตัวกันด้วยซ้ำ ผมส่งยิ้มให้


    “ระวังตัวกันด้วยนะครับ หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลให้แจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันที ขอโทษที่รบกวนนะครับ” ชายวัยกลางคนทิ้งท้ายไว้ให้แล้วเดินกลับไปรวมกลุ่มกับนายตำรวจคนอื่น ผมเดินกลับไปเอาของที่รถแล้วเดินขึ้นตึก ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นชางฮยอนกำลังรื้อกล่องอะไรสักอย่างเสียงดังกุกกัก


    “ทำอะไรอยู่”


    “หาวีดีโอเกม” ชางฮยอนโผล่หน้าขึ้นมาตอบแล้วก้มกลับไปรื้อหาแผ่นวีดีโอเกมที่ว่าในลังเหมือนเดิม


    “หือ? ไปเอามาจากไหน”


    “ห้องไง” คงจะหมายถึงห้องเก่าของตัวเอง


    “มีตำรวจเฝ้าอยู่นี่” ผมถามพร้อมกับเดินเอาของไปวางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟากลางห้อง


    “ระเบียง”


    ผมพยักหน้าเข้าใจ พอลองสังเกตที่ประตูกระจกที่ด้านหลังห้องถึงได้เห็นว่ามันถูกเปิดเอาไว้


    “ไวดีนะ”


    “แน่นอน”


    ผมคิดว่าตัวเองขึ้นมาบนห้องหลังจากชางฮยอนเพียงไม่นานแต่ในเวลานั้นเขากลับปีนไปที่ห้องด้านข้างพร้อมกับขนวีดีโอเกมกลับมาด้วยเวลาเพียงน้อยนิด คนแบบชางฮยอนไม่ว่าวิธีไหนก็ต้องทำให้ได้สินะ ถึงตำรวจจะยืนเฝ้ากันอยู่หน้าห้องแต่ชางฮยอนก็ยังอุตส่าห์ปีนระเบียงด้านหลังข้ามไปได้โดยไม่ถูกสงสัยแม้แต่น้อย จะว่าเป็นคนที่น่าทึ่งก็คงใช่ แต่ถ้ามองอีกมุมก็คงต้องบอกว่าน่ากลัว


    “จะดูหนังไหม” ผมถามในขณะที่กำลังหยิบเอาม้วนวีดีโอหนังที่เพิ่งเช่ามาเมื่อครู่ออกจากถุง ชางฮยอนที่ดูท่าจะยอมแพ้กับการค้นหาวีดีโอเกมของตัวเองพยักหน้ารับ ผมเลือกหนังเรื่องที่ผมอยากดูมันซ้ำอีกครั้งมากที่สุดมาเปิดดู มันเป็นหนังที่ค่อนข้างเก่าที่ผมเคยดูตอนมาตรวจสอบพวกมนุษย์ครั้งแรกๆและเป็นหนังที่ให้ความหมายกับชีวิตมนุษย์เอาไว้ค่อยข้างดีมากทีเดียว จากนั้นเราทั้งคู่จึงย้ายตัวเองกลับมานั่งที่โซฟากลางห้อง ทันทีที่ขึ้นชื่อหนังพวกคุณคงจะเดากันได้ว่าจากนี้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น


    “นี่มันหนังอะไรเนี่ย” แน่นอนว่าเป็นเสียงบ่นของชางฮยอนตามที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด เขาฉวยเอาถุงที่บรรจุม้วนวีดีโออีกหลายม้วนไปค้นดู เมื่อไม่พบสิ่งที่น่าพึงพอใจก็วางมันลงเช่นเดิมแต่ออกแรงตอนวางมากกว่าปกติเล็กน้อย


    “แล้วหนังที่ผมเลือกล่ะ”


    “ทำไมถึงชอบโวยวายนัก ดูไปเถอะ”


    “ชิ” ชางฮยอนทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วพิงหลังไปกับที่พักแขน ส่วนเท้านั้นยื่นมาทางด้านที่ผมนั่งอยู่แต่ด้วยว่าโซฟามันไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดที่จะยืดขาจนสุดความยาวได้หากนั่งกันอยู่สองคน ถึงแม้ว่าชางฮยอนจะขาสั้นก็ตามที เห็นแบบนั้นเจ้าตัวจึงถีบบริเวณขาอ่อนและสะโพกรวมไปถึงสีข้างและเผลอหรือจงใจให้โดนต้นแขนผมอยู่หลายครั้ง สุดท้ายพอผมไม่ยอมขยับให้เขาเลยยกเท้ามาวางไว้บนหน้าตักของผมแทน ดูท่าว่าหมอนี่ชักจะสบายเกินไปแล้ว นี่เขาเห็นผมเป็นเพื่อนเล่นหรือยังไงกันนะ


    แต่เอาเถอะ ผมจะไม่ถือสากับคนที่ใกล้จะสิ้นอายุขัยในเร็ววันนี้ก็แล้วกัน


    “สบายจังเลยนะ” ผมพูดเชิงกระเซ้าเย้าแหย่แต่ชางฮยอนไม่มีทีท่าว่าจะทุกข์ร้อนอะไร กลับกันเขาเลือกที่จะนอนเหยียดตัวยาวแนบไปกับโซฟาแทนคำพูด กลายเป็นว่านอกจากเท้าของเขาก็ยังมีขาของเจ้านั่นพาดหน้าตักของผมไปด้วย


    เราดูหนังกันเงียบๆ พอจบเรื่องหนึ่งก็ต่อด้วยเรื่องที่สองและสามไปเรื่อย ชางฮยอนเองก็แกะขนมออกมากินบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้างเปลี่ยนท่าทุกครั้งที่ตัวเขาเริ่มรู้สึกเมื่อยจนบางทีมันก็ทำให้ผมรู้สึกรำคาญ


     ชางฮยอนเป็นคนอ่อนไหวจริงๆ ไม่ว่าจะดูหนังไปกี่เรื่องเขาก็มักจะร้องไห้ออกมาตลอด ผิดกับยูชางฮยอนคนเก่าเมื่อหลายวันก่อน ชางฮยอนที่ชอบพูดประชดประชัน ขี้หงุดหงิด ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือหยดน้ำตาให้ได้เห็นเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกสบายขึ้นจากทุกเรื่องร้ายๆที่พบเจอมาทั้งเรื่องพ่อเลี้ยงและแม่ใจร้ายรวมถึงความทรงจำแสนเจ็บปวดเกี่ยวกับผู้เป็นพ่อ เพราะไม่มีเรื่องพวกนั้นคอยมากวนใจจึงทำให้เขาแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้มากกว่าที่เคยเป็นและคงปล่อยวางเพราะรู้เรื่องที่ตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นานด้วย ถึงแม้ข้างนอกนั่นจะมีพวกตำรวจคอยวนเวียนอยู่ราวกับสัมภเวสีก็เถอะ แต่ไม่ว่ายังไง นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาสุ่มๆเอาจากความคิดของผมเท่านั้น


    เมื่อหนังม้วนที่สี่กำลังฉายชัดอยู่ในจอสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าโทรทัศน์ดำเนินมาได้เพียงแค่ครึ่งทาง ตอนนั้นผมรู้สึกถึงความหนักอึ้งของอะไรบางอย่างกระทบเข้าที่ไหล่ของตัวเองจึงหันไปมองและได้พบกับกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มและใบหน้ายามหลับของชางฮยอน อีกทั้งปากที่กำลังอ้ากว้างกับหยาดน้ำเหนียวๆตรงริมฝีปากที่ทำท่าจะไหลลงมาสัมผัสกับเสื้อที่ผมใส่อยู่รอมร่อก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงไปกองอยู่ที่หน้าตักของผมแทน กลายเป็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้กลับไปคล้ายกับในวันแรกที่เจอกัน ต่างกันตรงที่ว่าผมไม่ได้ฟังเพลงแต่กำลังดูหนัง ชางฮยอนกำลังหลับโดยซุกหน้าไว้กับหน้าขาของผมไม่ใช่แผ่นหลัง และเขาไม่ได้ละเมอเพ้อถึงฝันร้ายที่ผมไม่รู้ว่าเขาพบเจออะไรในนั้นแต่เป็นเสียงกรนเบาๆแทน


    ผมทำอะไรไม่ถูก อย่างที่ผมเคยบอกไปว่ายมทูตไม่ควรสัมผัสโดนตัวของมนุษย์โดยตรงแต่ชางฮยอนกลับเป็นเหมือนทุกข้อห้ามสำหรับผม เขามักทำให้ผมเผลออยู่หลายครั้งและชอบเผลอมาโดนตัวผมด้วย และตอนนี้ผมก็เผลอวางแขนพาดไปบนลำตัวของเขาแบบช่วยไม่ได้ ..แน่ล่ะ เพราะผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองควรจะเอามือไปวางไว้ที่ตรงไหนในเมื่อไม่มีพื้นที่เหลือให้ผมวางมันเลยสักนิดนอกจากที่ตรงนั้น


    ผมเคยคิดว่าที่ชางฮยอนไม่ค่อยเป็นอะไรเวลาผมโดนตัวอาจเป็นเพราะเขามีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เรื่องเมื่อสิบปีก่อน แต่เรื่องไร้สาระแบบนั้นเป็นใครก็คงยากจะเชื่อแม้แต่ตัวผมเอง


    พอนึกถึงเรื่องเมื่อสิบปี่ก่อนแล้วก็อดนึกโทษตัวเองไม่ได้ ผมกำลังจะทำให้เรื่องราวเก่าๆกลับมาฉายในชีวิตของชางฮยอนอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แต่ในเมื่อผมได้ตัดสินใจไปแล้ว หากจะกลับไปแก้ไขตอนนี้ก็คงสายเกินไป

     


    ขอโทษนะ ที่ฉันต้องตัดสินใจแบบนี้

     

     



                    DAY 7


                    เช้าวันนี้ยังคงไม่สดใสเหมือนดั่งเช่นทุกวัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ชางฮยอนก็เอาแต่นั่งเล่นวีดีโอเกมที่หอบย้ายมาจากห้องเก่าเมื่อวานนี้ พอแพ้ก็ทำท่าจะเขวี้ยงสิ่งที่เรียกว่าจอยสติกทิ้งไปบนพื้นแต่ก็หยิบกลับเอามาเล่นต่อ


                    การแพ้หลายครั้งติดต่อกันของชางฮยอนทำให้ผมที่ยืนดูอยู่นานแล้วต้องพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “อ่อนหัด”     

        

                    และดูเหมือนจะไปเติมเชื้อไฟให้กับไม้ฟืนเสียแล้วสิ


                    “อ่อนหัดเหรอ? มาแข่งกันหน่อยไหมล่ะ” ผมยิ้มให้กับท่าทางที่ติดจะหงุดหงิดนั้นแล้วเดินไปนั่งบนพื้นใกล้กับชางฮยอน จอยสติกอีกอันถูกต่อกับเครื่องหลักและถูกยื่นมาให้ผม ผมรับไว้


                    “อย่าดูถูกกันเชียว” เห็นแบบนี้ผมเองก็เคยตรวจสอบพวกเด็กหัวโจกตามเกมเซ็นเตอร์อยู่ครั้งหนึ่ง ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าจะชนะ แต่ท่าทางการเล่นแบบชางฮยอนนั้นผมคงไม่แพ้ และมันก็เป็นจริงดังคาดและไม่ว่าจะเล่นไปอีกกี่ครั้งชางฮยอนก็ยังแพ้เหมือนเดิม ด้วยนิสัยของเขา แน่นอนว่าเจ้านั่นโวยวายเสียยกใหญ่ อีกทั้งยังหาว่าผมแอบโกงบ้าง หรือเอาเปรียบเขาในฐานะยมทูตบ้างซึ่งพวกข้ออ้างเหล่านั้นมันช่างดูไม่สอดคล้องกันยิ่งนัก


                    ผมจะยอมแพ้ให้สักรอบหนึ่งก็แล้วกัน


                    “เยส” ชางฮยอนร้องออกมาด้วยความดีใจจนหงายหลังลงไปนอนกลิ้งกับพื้น ท่าทางที่ดูดีใจจนเกินเหตุแบบนั้นมันทำให้อีกคนดูเหมือนกับพวกเด็กประถมไม่มีผิด


                    “ฉันออมมือให้หรอกหน่า”


                    “แพ้ก็ยอมรับแบบลูกผู้ชายหน่อยสิ” ชางฮยอนตบบ่าผมคล้ายกับจะปลอบใจให้กับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้และอีกหลายครั้งที่ผมยอมอ่อนให้อีกคนชนะ


                    “นายเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” ผมบอกในขณะที่ยังสนใจกับภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอโทรทัศน์นั่นอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้พูดออกไป


                    “พูดเรื่องอะไร”


                    “หมายถึงเปลี่ยนไปจากวันแรกที่เจอกัน”


                    “แล้วแปลกตรงไหน ถ้าคุณอยากให้ผมเป็นเหมือนตอนนั้นอีกก็บอกกันดีๆ ในครัวดูท่าจะมีอุปกรณ์ครบมือด้วย” ชางฮยอนว่าแล้วพยักเพยิดไปทางครัวเล็กๆที่อยู่ทางเดียวกับประตูทางเข้า


                    “ไม่ดีมั้ง”


                    “ยังไงคุณก็ไม่ตายอ่ะ จะกลัวทำไมนัก ผมต่างหากที่จะตาย ยังไม่กลัวเลย”


                    “จ้า พ่อคนเก่ง”


                    ชางฮยอนคงจะเตรียมพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ ที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่การเล่นเกมถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเขาเองฟุ้งซ่านและคิดกังวลเกี่ยวกับมัน มนุษย์แต่ละคนจะมีรูปแบบการเสียชีวิตที่แตกต่างกันไป หากยังจำได้ว่าพวกการตายด้วยอุบัติเหตุต่างๆนั้นถือเป็นฝีมือของเหล่ายมทูตทั้งสิ้น ยกเว้นป่วยตาย หรือฆ่าตัวตาย ผมเชื่อว่าในใจเขาคงจินตนาการภาพการตายของตัวเองเอาไว้ว่าจะเป็นแบบไหน


                    แน่นอนว่ามันจะไม่เจ็บปวด


                    ผมและชางฮยอนใช้เวลาตลอดทั้งวันสุดท้ายนี้อยู่ด้วยกันในห้องนี้ เล่นเกมและทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผมเป็นคนทำด้วยเคยอวดเอาไว้เมื่อตอนอยู่ที่บ้านพักว่าสามารถทำได้ สุดท้ายจึงโดนชางฮยอนสั่งให้ไปทำเพราะว่าเจ้าตัวนั้นขี้เกียจและเหนื่อยมากจนไม่อยากขยับตัวไปไหนโดยยกเหตุผลที่ว่า “คุณเป็นยมทูตนี่ คงไม่เหนื่อยหรอก” ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วผมเป็นยมทูตจริงหรือเปล่า หากว่าเป็นคนอื่นทั่วไปรู้ว่าผมเป็นใครผมก็เชื่อเหลือเกินว่าพวกเขาคงเกรงกลัวผมมากกว่าจะทำในสิ่งที่ชางฮยอนกำลังจะทำอยู่เป็นแน่


                    หลังจากจัดการเรื่องอาหารการกินเรียบร้อยแล้วเราเล่นเกมไพ่กัน แต่ไม่ว่าจะเล่นอะไรชางฮยอนผู้อ่อนหัดก็ยังเป็นผู้อ่อนหัดอยู่วันยังค่ำ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะถึงวันใหม่...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆจากหน่วยชั่วโมงเปลี่ยนเป็นนาทีและเป็นวินาทีในที่สุด


                    ชางฮยอนเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ว่าจะเล่นยังไงคงไม่มีทางชนะผู้ที่มีประสบการณ์หลายสิบปีแบบผมถึงได้ยอมแพ้แล้วเดินไปนั่งรับลมเล่นที่หน้าระเบียงแทน ผมเดินตามมานั่งลงด้านข้างชางฮยอนที่นั่งกำลังนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ก่อนแล้ว ลมกำลังพัดแรงราวกับต้องการพรากทุกอย่างไปเสียเดี๋ยวนี้


                    “คืนนี้ดาวสวยนะ” ดวงตากลมโตนั้นกำลังจดจ้องไปที่เหล่าดาวบนท้องฟ้าไม่วางตา เรียกให้ผมต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองบ้าง ฝนไม่ได้ตกมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็นทำให้ท้องฟ้าวันนี้ดูปลอดโปร่งและมีดวงดาวปรากฏให้เห็นแต่ไม่มากนัก ถึงแม้จะมีแสงไฟจากบ้านเรือนหลายหลังแต่นั่นไม่อาจบดบังแสงสว่างของกลุ่มดาวเหล่านั้นได้เลย เรานั่งมองดาวอยู่ที่ตรงนี้ ต่างฝ่ายต่างเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อกัน ปล่อยให้เสียงลมพัดขับกล่อม นานเท่าไหร่ผมไม่รู้ อาจจะนานหลายนาทีหรือเป็นชั่วโมงแต่ทว่าก็มิอาจนับดวงดาวบนนั้นได้ครบ จนกระทั่งความเงียบได้ถูกทำลาย


                    “วันสุดท้ายแล้ว..เร็วจังนะ” ผมได้แค่ตอบเสียงอือในลำคอเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาดี ชางฮยอนพิงศีรษะไปกับประตูกระจกใส เขาหลับตาลงและสูดหายใจเข้าเต็มปอดและปล่อยมันออกมาช้าๆ พร้อมกับถ้อยคำที่ดูอ่อนแรง


                    “เหนื่อยจัง ขอนอนหน่อยได้ไหม” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ศีรษะของชางฮยอนก็พิงลงบนไหล่นี้เสียแล้ว เขายังคงกอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น

     



    - - - -


     


                    “ครับ ทราบแล้ว” นายตำรวจชั้นผู้น้อยขานรับก่อนจะเก็บเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงในกระเป๋า วิ่งกระหืดกระหอบไปหาหัวหน้าของตนเองที่ยืนอยู่บริเวณป้อมยาม “ผู้กองครับ เราได้รับแจ้งจากทางสถานีว่าคนร้ายพักอยู่ที่นี่ครับ”


                    เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองพูด ราวกับว่าความทรงจำบางอย่างได้ถูกลบออกไปกะทันหันจนรู้สึกปวดบริเวณขมับ แม้ว่าเขาพยายามนึกถึงคนที่เขาได้พูดคุยด้วยเมื่อวานนี้สักเท่าไหร่แต่ก็มิอาจนึกออก ชายผู้ที่อาศัยอยู่ที่ห้องพักฝั่งริมสุดนั้น


                    “ค้นทุกชั้นเดี๋ยวนี้” แม้ว่าสายตาของเขาจะจดจ้องอยู่ที่ประตูห้องพักติดกับสถานที่เกิดเหตุ ทว่าเขาก็ต้องสั่งให้ลูกน้องค้นให้ทั่วทุกซอกมุม


                    “ครับ!” นายตำรวจสามคนที่เหลือขานรับและวิ่งเข้าไปในตึกทันที พร้อมทั้งเสียงไซเรนและรถตำรวจอีกหลายคันที่ตามมาปิดล้อมที่นี่เอาไว้เพื่อไม่ให้ผู้ต้องสงสัยรายนั้นหนีออกไปได้


     

                    ถึงเวลาปิดคดีนี้แล้ว

     


    - - - -

     



    ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีดำมืดทึบค่อยๆแปลเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้นเมื่อถึงเวลาที่โลกโคจรรอบตัวเองครบหนึ่งรอบและพระอาทิตย์กลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง...เช้าที่สดใสกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้


    จงฮยอนรู้ดีว่าตัวเขาเริ่มจางลงไปจากเดิมและจะหายไปในที่สุด


    แขนแกร่งยกขึ้นโอบรอบไหล่บอบบางนั้นเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อบอกลากับร่างกายที่กำลังหายใจรวยริน จนกระทั่งท่อนแขนที่โอบกอดเข่าของตนเองไว้ของชางฮยอนค่อยๆคลายออกจากกันพร้อมกับการหายไปของยมทูตนาม ชเว จงฮยอน

     

    ปัง!

    เสียงประตูกระแทกกับผนังดังขึ้นพร้อมกับตำรวจหลายนายกรูกันเข้ามาภายในห้องพัก


    “เจอแล้วครับ!!” หนึ่งในตำรวจที่เข้ามาสำรวจภายในห้องตะโกนบอกกับเพื่อนร่วมงาน เขานั่งลงข้างร่างของชางฮยอนพร้อมกับตรวจดูบริเวณข้อมือเพื่อวัดชีพจร


    ช่างน่าเศร้าเมื่อเขาได้พบว่าร่างนั้น “เสียชีวิตแล้วครับ!

     


    ร่างที่ไร้ซึ่งลมหายใจถูกเคลื่อนย้ายออกจากอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ ทางตำรวจได้ทำการชันสูตรแต่ไม่พบความผิดปกติใดที่สื่อถึงการฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรม สุดท้ายคดีนี้ก็ได้ปิดฉากลงพร้อมกับที่ผู้ต้องหายูชางฮยอนพ้นทุกข้อกล่าวหาเนื่องจากเขาเสียชีวิต


     และ


    ชเว จงฮยอน เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ห้องนั้นไม่ได้ถูกกล่าวถึง

     

     


    - END -

    .




    .

    .

    .

     

                   


     

     


     

                    “เฮือก!


                    ภายในห้องเงียบสงัดและมืดมิด อากาศภายในค่อนข้างเย็นชื้นเนื่องจากเครื่องปรับอากาศ ผู้ชายตัวเล็กในชุดสีขาวลืมตาตื่นขึ้นมา เขาหันมองไปรอบๆ แม้จะมืดมิดแต่พอจะเดาได้ว่าที่นี่คือห้องนอนที่อยู่ในบ้านหลังไหนสักหลัง แสงแดดที่พอลอดผ่านม่านหนาเข้ามาได้เพียงน้อยนิดนั่นกำลังเรียกว่าสนใจจาก เขา จนต้องลุกไปเปิดมันออก


                    เพราะว่าต้องเผชิญกับแสงแดดจ้ากะทันหันทำให้ต้องหรี่ตาลงจนสามารถปรับให้เป็นปกติได้ ทิวทัศน์ด้านนอกนั้นทะเลสาบผืนกว้างที่แสนคุ้นเคย ท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใสไร้เมฆหมอกกวนใจนั่นทำให้ เขาคลี่ยิ้มออกมา


                    เขา ที่ควรจะหลับไปนิรันดร์กลับลืมตาตื่นขึ้นมาในบ้านของตนราวกับได้รับจุมพิตจากเจ้าชาย

     

     

     


                    Back to DAY 6 03:13 AM


     “คราวนี้มาเร็วกว่าปกตินะ หวังว่าคงเป็นข่าวดีใช่ไหมคะ?” เสียงแหลมเล็กเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่กลับดูอันตรายและพร้อมกลืนกินทุกดวงวิญญาณไปเสียสิ้นด้วยริมฝีปากแดงก่ำของหล่อน


    จงฮยอนสบตากับดวงตาเรียวนั่น เผยรอยยิ้มมุมปากออกมาดูน่ากลัว


    เรื่องที่ว่าจะ รับไว้ หรือ ปล่อย ไปนั้น..เขาได้คิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว

     

    “เรื่องนั้นผมตัดสินใจแล้วครับ แต่ผมมีอีกเรื่องที่อยากให้ช่วย” หญิงสาวมองไปที่คู่สนทนา เธอไม่อยากเชื่อหูของตัวเองเสียเท่าไหร่ ทว่าสายตาแบบนั้นทำให้เธอต้องเผยรอยยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน


    “พร้อมแล้วสินะคะ”


    รอยยิ้มที่เคลือบแฝงไปด้วยยาพิษ


    “ครับ ผมพร้อม”

     



                    แฟ้มบันทึกประวัติได้ลงผลการตัดสินใจของจงฮยอนเอาไว้ว่าเขานั้นเลือกรับเหยื่อไว้ด้วยเงื่อนไขพิเศษที่ว่า รับไว้เพื่อปล่อยไปนั่นเท่ากับว่าเขาเลือกจะปล่อยเหยื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่เหยื่อจะถูกลบความทรงจำทุกอย่างออกไปและใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติราวกับการตายแล้วเกิดใหม่ แต่ทว่า..ไม่เคยมียมทูตตนใดเลือกใช้วิธีนี้ด้วยข้อจำกัดพิเศษของมัน

                    ดังนี้


                    “หากคุณเลือกแล้วนั่นเท่ากับคุณได้ละเลยหน้าที่ของตนเอง หลังจากนี้คุณจะไม่ได้รับหน้าที่ใดๆจนกระทั่งเจ็ดวันสุดท้ายของเหยื่อคนนั้นเวียนมาถึงอีกครั้ง สิ่งเดียวที่คุณจะเลือกได้คือ รับไว้ จากนั้น..คุณจะหายไป ตลอดกาลไม่มีวันหวนกลับ”

                   


    ร่างสูงสันทัดเดินกลับออกมาจากประตูเหล็กหลังกำแพงนั้น ระหว่างทางกลับไปที่พักเขาเดินผ่านโรงภาพยนตร์ ป้ายวาดมือขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าเรียกความสนใจจากเขาได้ไม่น้อย ขายาวก้าวเข้าไปที่ช่องขายบัตรและซื้อมันกลับมาด้วย ในหัวของเขาคิดอยู่หลายอย่างว่าเวลาที่เหลือจะทำอย่างไรต่อไปและนี่เป็นเหมือนอีกหนึ่งทางเลือก เมื่อได้มันมาแล้วจงฮยอนจึงเดินกลับออกมาและตรงไปที่ร้านขายของชำแถวนั้น เขาต้องกลับไปให้ถึงที่พักก่อนที่ชางฮยอนจะตื่น มิเช่นนั้นคงได้โดนโวยวายใส่อีกเป็นแน่ แต่เขายังมีอีกเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่ด้วย


    จงฮยอนแวะที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะบริเวณนั้น เมื่อมองจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เขาจึงกดหมายเลขที่ต้องการเพื่อแจ้งเรื่องบางอย่าง รอเสียงสัญญาณไม่นานปลายสายก็ตอบรับ เสียงทุ้มหนักแน่นนั้นทำให้จงฮยอนนึกหวั่นใจ แต่เขาเลือกแล้วที่จะให้มันเป็นเช่นนี้


    “ผมคิดว่าเห็นคนที่ท่าทางคล้ายผู้ต้องสงสัยในคดีอพาร์ทเม้นท์ C อยู่แถวนี้ครับ ช่วยตรวจสอบด้วย”

     


    - - - -

     

     

                   

                    DAY 12


                    เขารู้ดีว่าเขาจะไม่มีโอกาสมีชีวิตอีกแล้วทั้งในโลกมนุษย์หรือยมทูตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากแต่เขาจะรอเจ็ดวันสุดท้ายที่จะได้เจอชางฮยอนอีกครั้ง และนั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาและเด็กคนนั้น

     

                    จงฮยอนคอยมองเหยื่อรายสุดท้ายของเขาจากที่ไกลๆ พระอาทิตย์ตกดินที่อยู่ตรงหน้าเขามันช่างสวยงามและอบอุ่น อย่างน้อยชางฮยอนก็ทำให้เขาได้สัมผัสกับความอบอุ่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย

     

     

                    “กว่าจะถึงตอนนั้นก็ช่วยใช้ชีวิตให้มีความสุขตลอดไปด้วยนะ ...แล้วเจอกันใหม่ ยูชางฮยอน”

     

     


     

    Real END







    TALK : ในที่สุดฟิคเรื่องนี้ก็เดินทางมาถึงตอนจบจนได้สินะคะ ถึงแม้ว่ากว่ามันจะจบนี่ก็ล่อมาสามปีแล้วก็ตาม (แต่ก็จบได้ภายในสองเดือนละนะ 555555555555) จะเอามาลงตอนวันครบรอบแต่ก็ไม่สามารถจริงๆค่ะ มัวแต่หวีดอยู่ ฮือๆ 
    ไม่รู้ว่าทุกคนจะคาดเดาตอนจบกันไว้แบบไหน แต่ถ้าลองสังเกตดีๆถึงการตัดสินใจของจงฮยอนตั้งแต่ตอนแรกๆอาจจะพอเดาได้ก็ได้นะ อิอิ สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านและให้กำลังใจกันจริงๆค่ะ ถึงจะมีคนอ่านไม่มากแต่ก็มีคนอ่าน ดีใจมากจริงๆ เราอาจจะไม่ใช่คนที่เขียนดีมาก แต่เราจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณทุกกำลังใจจริงๆนะ เจอกันเรื่องหน้า(ที่ไม่รู้เมื่อไหร่)ครับผม

    ปล.เราแต่งสเปฯเอาไว้ด้วยแหละ แต่ยังไม่จบ ถ้ามีโอกาสจะเอามาลงให้ได้อ่านกันนะคะ
    ปลล.เพิ่งสังเกตว่าวันจบวันเดียวกับวันที่มารีไรท์เลยแฮะ 12 เดือน 5 กับ 12 เดือน 7
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×