คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : SEVEN DAYS | 6
หลังจากเถียงกับชางฮยอนเมื่อคืนว่าจะไปพักที่ไหนอยู่หลายรอบ
สุดท้ายก็มาจบที่อพาร์ทเม้นท์เดียวกับที่อยู่เก่าของเจ้าตัวเอง
แม้ว่าผมจะพูดเตือนไปหลายครั้งว่าตำรวจอาจจะตามมาจับได้ง่ายแต่ชางฮยอนเอาแต่ยืนกรานว่าต้องเป็นที่นี่ด้วยเหตุผลที่ว่า
‘เก็บศัตรูไว้ให้ชิดเก็บมิตรไว้ให้ห่าง’
ถึงผมจะไม่เข้าใจสำนวนอะไรของเขาแต่ก็ต้องยอมตามใจเจ้าเด็กดื้อคนนั้นไปจนได้
ยังไงซะ ผมก็คงไม่ยอมให้ตำรวจมาขัดขวางระหว่างผมอยู่ที่นี่เป็นแน่
สถานที่เกิดเหตุถูกกั้นเอาไว้ด้วยแถบกั้นสีเหลืองตามที่เห็นในหนังในละครทั่วไป
บริเวณชั้นล่างก็มีตำรวจผลัดกันมาเฝ้าเผื่อว่าจะได้เจอตัวการของคดีนี้
แต่ก็อย่างว่า พวกตำรวจมักจะชะล่าใจแล้วก็หละหลวมเกินไปจนเกิดเป็นช่องว่างเล็กๆขณะที่พวกเขากำลังงีบหลับ
พวกเราจึงสามารถเข้ามาพักในอพาร์ทเม้นท์หลังนี้ได้โดยสวัสดิภาพ
ห้องที่ผมอยู่เป็นห้องที่อยู่ด้านริมสุดของตึกถัดจากห้องที่เกิดเหตุ
หลังจากชางฮยอนหลับไปผมก็ถือโอกาสมาเดินสำรวจบริเวณสถานที่ต้องห้ามนี้
เป็นที่เดียวกับที่ตัวผมเมื่อสิบปีก่อนพาชางฮยอนมาส่งคืนให้กับผู้เป็นมารดา
ที่นี่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่สภาพที่เปลี่ยนไปตามอายุการใช้งานหลายสิบปีเท่านั้น
ผมไม่ได้เดินเข้าไปด้านในเพราะเกิดขี้เกียจขึ้นมากะทันหัน
ได้แต่ยืนพิงระเบียงด้านนอกเฉยๆเท่านั้น ..ว่าแต่ ไปสูบบุหรี่สักหน่อยดีไหมนะ
ใช่แล้วล่ะ
ยมทูตเองก็สูบบุหรี่เหมือนกันแล้วแต่กิจวัตรหรือลักษณะนิสัยของแต่ละคน
อย่างตัวผมเองก็ไม่ได้สูบเป็นกิจจะลักษณะอะไรหรอก
เพียงแค่เหลือบไปเห็นคุณลุงยามแก่ๆนั่งสูบบุหรี่บนเก้าอี้กลมอยู่ที่ชั้นล่างแล้วเกิดอยากจะชวนพูดคุยด้วยเท่านั้นแหละ
ลุงแกก็เล่าเรื่องลูกเมียให้ฟังบ้างตามประสาคนแก่ หลังจากนั้นก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกัน
นั่งสูบบุหรี่กันเงียบๆรอเวลาพระอาทิตย์ส่องแสงแล้วจึงเอ่ยลาและขอบคุณสำหรับบุหรี่หนึ่งมวน
ผมเดินกลับไปที่ห้อง
เสียงเพลงดังเล็ดลอดออกมาจากนอกประตูทำให้ผมสามารถรับรู้ได้ว่าชางฮยอนคงจะตื่นนอนแล้วและก็เป็นไปตามคาดเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป
“อรุณสวัสดิ์ ตื่นเช้าจัง” ผมเอ่ยทักทายชางฮยอนที่นั่งอยู่หน้าเครื่องเล่นแผ่นเสียงเปิดเพลงวนไปวนมาอยู่หลายรอบไม่ได้สนใจคำทักทายยามเช้าเลยแม้แต่น้อย
จำได้ว่าเป็นแผ่นเสียงที่ผมหยิบมันมาด้วย
แล้วเจ้านี่ไปหาเครื่องเล่นมาจากไหนล่ะนั่นเมื่อคืนยังไม่เห็นมี
ผมเดินเข้าไปใกล้เพื่อจะดูให้ชัดๆ
“เครื่องรุ่นเก่าอยู่นะ ไปเอามาจากไหนเหรอ”
“ห้องโน้นอ่ะ เดินไปเอาตอนตีสามตีสี่แล้วมั้ง
เห็นนั่งสูบบุหรี่อยู่กับลุงยามเลยไม่ได้เรียก”
“อ่อ” ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วนั่งลงบนพื้นด้านข้างชางฮยอนที่ยังคงเปิดเพลงเดิมวนซ้ำๆอยู่หลายรอบ
“เปิดซ้ำหลายรอบทำไมน่ะ”
“ผมว่าเพลงมันแปลกๆอ่ะ”
“แปลก?”
ผมมองหน้าชางฮยอนอย่างไม่เข้าใจว่ามันแปลกตรงไหน
ผมคิดว่ามันก็เป็นเพลงธรรมดาที่ปกติดีไม่มีอะไรแปลก
“อือ
ความหมายของแต่ละเพลงถ้าเอามาเรียงต่อกันแล้วดูเหมือนเป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตของคนแต่งเลย”
“แล้วมันแปลกยังไง คนเขาก็ทำกันเยอะแยะ”
“ผิดแล้ว” ชางฮยอนส่ายหน้า
“เหมือนเขาจะพูดถึงคนที่จากไปแล้วด้วย บางทีอาจจะเป็นคนที่รักมาก คนรัก
หรือไม่ก็ลูก”
“นอนน้อยสินะนายน่ะ ไปพักผ่อนเถอะ
เดี๋ยวจะไปซื้อข้าวมาให้” ผมว่าแล้วเตรียมจะลุกขึ้นเพราะผมไม่ได้คิดว่ามันแปลกเลยแม้แต่นิดเดียว
พวกศิลปินส่วนใหญ่ก็เอาเรื่องราวชีวิตตัวเองมาเล่าผ่านเพลงกันทั้งนั้น แต่ทว่าชางฮยอนก็รั้งแขนเอาไว้เสียก่อน
..อีกแล้ว โดนจับแขนเหมือนเมื่อวานนี้อีกแล้ว ทันทีที่ปลายนิ้วเย็นสัมผัสโดนข้อมือแล้วรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวนี่มันคืออะไรกันนะ
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าและความรู้สึกให้เป็นปกติ
“มีอะไร”
“รออาบน้ำแปปนึงสิ เดี๋ยวจะไปด้วย”
“อืม เร็วๆล่ะ” ผมตอบรับ
นั่งมองชางฮยอนลุกออกไปจนเขาหายเข้าไปห้องน้ำ คิดไม่ตกกับความรู้สึกเมื่อกี้นี้
ยมทูตไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อสัมผัสของอากาศหรืออะไรทั้งสิ้น
แต่อาการที่รู้สึกเหมือนชาไปทั้งตัวแบบนั้นไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจริงๆ ผมได้แต่สงสัยว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนั้น
เราออกมาทานอาหารที่ร้านอาหารชุดแถวอพาร์ทเม้นท์ ความจริงผมไม่อยากให้ชางฮยอนออกมาด้วยเพราะว่าที่ด้านล่างอพาร์ทเม้นท์มีตำรวจพลัดเวรกันมาเฝ้าอยู่ตลอดเวลาและมันคงจะเสี่ยงอันตรายเกินไปแต่คนหัวดื้ออย่างชางฮยอนมีหรือจะยอม
เขาสบโอกาสตอนที่ตำรวจนายใหม่มาผลัดเวรกันแล้วเดินออกไปจากอพาร์ทเม้นท์ ไม่วายทิ้งท้ายเอาไว้ให้ผมว่า ‘คนจะตายแล้วก็ตามใจกันหน่อยสิ’
ถือเป็นโชคดีอีกครั้งที่สามารถรอดพ้นจากสายตาของพวกเจ้าหน้าที่มาได้
พวกเขาทำงานกันหละหลวมแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้กันล่ะ
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดตัวเลขอาชญากรรมถึงได้เพิ่มขึ้นทุกวัน เราอยู่กันในประเทศที่ไม่ปลอดภัยแม้แต่ในบ้านตัวเองด้วยซ้ำ
ตัวอย่างเช่น ยู ชางฮยอน เป็นต้น... แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
เราสั่งอาหารมาทานกันแค่ชุดเดียวสำหรับชางฮยอนส่วนผมก็ทำหน้าที่แค่นั่งเฉยๆ และจ่ายเงินเท่านั้นแหละ
“คุณรู้จักร้านขายเพลงเก่าๆเยอะไหม”
เด็กหนุ่มถามขึ้นมาระหว่างที่กำลังตักข้าวใส่ปาก
“ประมาณหนึ่ง”
“พาไปหน่อยสิ”
ผมเลิกคิ้วมองอีกคนด้วยความแปลกใจที่จู่ๆก็มาขอให้พาไปร้านขายเพลงเก่า
ชางฮยอนพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าฟังไม่ผิดหรอก
หรือเพราะเรื่องแผ่นเพลงที่ผมหยิบมาด้วยนั่น
“ถ้าเป็นเพราะเรื่องแผ่นนั่..”
“ผมแค่อยากหาเพลงมาฟัง” ชางฮยอนขัดขึ้นมา
ผมตอบตกลงเพื่อให้เขาสบายใจ
ชางฮยอนน่ะก็แค่หาข้ออ้างขึ้นมาเพื่อให้ผมอนุญาตเท่านั้นแหละ
จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไรคงไม่ผิดไปจากที่ผมคิดนักหรอก
ผมพาคนหัวดื้อมาที่ร้านเพลงเก่าที่เปิดมาหลายปี
เป็นร้านประจำที่ผมมักจะมาเสมอเมื่อมีงานตรวจสอบที่โลกมนุษย์แห่งนี้จนสนิทกับคุณลุงเจ้าของร้านไปโดยปริยายในเชิงที่ว่ารู้หน้าค่าตากันเป็นอย่างดี
แต่ถ้าถามว่าเคยคุยกันไหมก็ตอบได้เลยว่าแทบจะนับคำได้
หมายถึงไม่ค่อยได้คุยเท่าไหร่ มาที่นี่ทีไรก็ตรงดิ่งไปฟังเพลงเลยไม่ได้สนใจอย่างอื่นนักหรอก
คุณลุงแกก็เข้ามาแนะนำเพลงให้เป็นครั้งคราวเท่านั้นเพราะว่าไม่อยากรบกวนลูกค้า
เวลาทุกคนมาที่นี่ก็จะเห็นแกนั่งอยู่แต่ที่เคาน์เตอร์คิดเงินไม่ลุกไปไหน เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าไม่อยากรบกวนลูกค้านั่นอาจจะเป็นแค่ข้ออ้างของคนแก่ที่ขี้เกียจจะลุกเดินไปไหนมาไหน
เพราะสังขารมันไม่โอเค
ผมปล่อยให้ชางฮยอนเดินวุ่นวายไปรอบร้านส่วนตัวเองก็เดินมาโซนเพลงคลาสสิก
หยิบหูฟังขึ้นมาใส่และจมดิ่งไปกับท่วงทำนองเพลงแสนอ่อนหวานราวกับตัวเองหลุดไปอยู่ในทุ่งดอกไม้และเหล่าผีเสื้อแสนสวยบินว่อนไปทั่วสวนแต่แล้วกลับโดนซัดกระหน่ำด้วยพายุจนไม่เหลือสภาพความงามใดเมื่อรู้สึกถึงแรงสะกิดที่ต้นแขนจนต้องถอดหูฟังออก
คนด้านข้างทำหน้าหงิก
สงสัยว่าจะตามหาสิ่งที่ต้องการไม่พบล่ะมั้ง
“ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย”
“อืม ถ้าหาแผ่นเพลงแผ่นนั้นก็คงไม่เจอหรอก”
“ทำไมล่ะ? มันเก่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แสดงว่านายหาแผ่นนั้นอยู่จริงๆ”
ผมหันไปมองชางฮยอน ท่าทางลอกแลกยามถูกจับได้นั่นเล่นเอาผมเกือบจะหลุดขำ
คงจะตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าตัวเองเผลอหลุดอะไรออกมาเสียแล้ว
“ที่หาไม่เจอไม่ใช่เพราะมันเก่า แต่เพราะนายไม่สังเกตให้ดีต่างหาก”
ชางฮยอนทำหน้าเหมือนจะไม่เข้าใจที่ผมพยายามบอก “แผ่นเพลงเผ่นนั้น
นายเอามันมาด้วยใช่ไหม”
“เอ่อ...” ดวงตาสีนิลกลมโตนั่นเบิกกว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคอแต่ก็ยอมหยิบแผ่นเพลงที่เป็นปัญหานั่นออกมาจากด้านในของเสื้อฮู้ดที่เขาใส่อยู่
“รู้ได้ยังไงเนี่ย”
“ฉันก็บอกไปแล้วว่าฉันรู้อะไรหลายอย่าง” ผมหยิบซองเพลงในมือชางฮยอนมาถือไว้เองแล้วพลิกให้เขาดูตรงตัวอักษร
ชเว ที่มุมกระดาษ
ถัดลงไปด้านล่างอีกนิดมีข้อความสั้นๆที่มีขนาดเล็กมากถูกเขียนเอาไว้
ใจความว่าแผ่นเพลงชุดนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อการค้าขาย เพราะฉะนั้นนี่คงเป็นแผ่นเพลงที่ทำแจกเนื่องในโอกาสพิเศษอะไรสักอย่าง
คงหาไม่ได้ตามร้านขายเพลงแบบนี้แน่นอน
“เห็นแล้วก็เลิกสนใจเถอะ” ผมส่งซองเพลงคืนให้ชางฮยอนแล้วหยิบหูฟังอันเดิมขึ้นมาใส่
เด็กหนุ่มขบกัดริมฝีปากล่างแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ร่างอวบเดินตรงดิ่งไปทางเคาน์เตอร์ที่มีลุงเจ้าของร้านนั่งอยู่
เหมือนจะคุยอะไรกันสักพักแล้วเดินออกจากร้านไป ผมมองตามจนกระทั่งเด็กคนนั้นเดินมาหยุดตรงหน้าผมที่มีแผ่นกระจกใสของร้านกั้นอยู่
ชางฮยอนแปะกระดาษเอสี่ที่มีข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือขยุกขยิกอ่านไม่ค่อยออกไว้บนกระจก
มืออีกข้างก็ยกนิ้วขึ้นมาชี้ให้ผมอ่านข้อความนั้นแล้วเขาก็เดินจากไป
นี่ผมต้องยอมแพ้เจ้านั่นอีกแล้วหรือยังไงนะ
ไม่สนใจก็เรื่องของคุณ ผมจะไปหาเอง งั้นเหรอ? ทำไมถึงได้ทำตัวน่าปวดหัวนักนะ
ผมไม่เห็นแรงจูงใจหรือผลประโยชน์อะไรที่เด็กคนนั้นจะได้รับจากเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
แม้จะพอเดาสาเหตุได้บ้างเล็กน้อยแต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะกระตือรือร้นอยากจะรู้ไปเพื่ออะไร
เรื่องที่ว่าทำไมผมถึงได้มาเป็นยมทูตน่ะ
คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้แน่
ผมเดินตามชางฮยอนมาจนถึงร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่
ร่างอวบเดินหายเข้าไปพักหนึ่งแล้วก็เดินกลับออกมายืนคอตกอยู่หน้าร้าน
อินเตอร์เน็ตคาเฟ่เป็นสถานที่ที่คนสามารถมาใช้บริการได้อย่างเป็นส่วนตัวเหมือนนอนเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ที่บ้านแต่เป็นส่วนตัวกว่าที่บ้านหลายเท่าสำหรับบางคนเพราะว่าพวกเขาจะลบข้อมูลการใช้บริการของลูกค้าทุกครั้ง
จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเราทำอะไรไปบ้าง แต่เงื่อนไขสำคัญในการเข้าใช้คือต้องมีบัตรประจำตัวของตัวเองมายืนยันและชางฮยอนก็คงจะไม่มี ถึงมีแต่ก็ให้ไม่ได้
“มาเพื่อยืนหน้าร้านนี่เหรอ ทำไมไม่เข้าไปล่ะ”
ผมพูดแหย่ ชางฮยอนเหลือบมองผมด้วยหางตา
สายตาที่ไม่เป็นมิตรบ่งบอกให้รู้ว่าผมคงพูดตรงสะกิดใจหมอนี่เข้าให้แล้ว
ผมเดินเข้าไปในร้านก็พบกับพนักงานยืนกล่าวยินดีต้อนรับและโค้งให้
ผมก้มตอบเล็กน้อยและเดินเข้าไปฟังพนักงานอธิบายถึงวิธีการใช้งานที่นี่
ผมหยิบเอาบัตรประจำตัวปลอมๆที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษยื่นให้กับพนักงานและเซ็นชื่อเรียบร้อย
เสร็จแล้วพนักงานคนนั้นก็ยื่นอะไรสักอย่างที่คล้ายจะเป็นยูเอสบีที่ใช้ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์และอธิบายวิธีการใช้งานเสร็จสรรพ
ดูเหมือนมันจะเป็นรหัสผ่านเข้าใช้งานระบบของคาเฟ่แห่งนี้
ผมทำท่าจะยื่นมือไปรับแต่แล้วมันก็โดนชิงไปโดยแมวขโมยตัวปัญหาที่ดูเหมือนจะมายืนจ้องรอเหยื่ออยู่ได้สักพักแล้ว
รู้ตัวอีกทีชางฮยอนแย่งเจ้ายูเอสบีนั่นไปแล้วหายเข้าไปด้านใน
พนักงานคนเมื่อครู่ทำหน้าตาตื่นด้วยเพราะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เขามากับผม”
ผมเอ่ยบอกก่อนจะเดินตามเข้าไปด้านใน
นี่ผมไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเขานะ
ผมแค่อยากหาประสบการณ์ใหม่ๆให้ตัวเองเพียงเท่านั้น
จริงๆ
ผมเดินตามชางฮยอนเข้ามาก็เห็นเขาจับจองที่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ไปเสียเรียบร้อย
โชคดีที่ตรงด้านหลังเป็นเหมือนที่นอนขนาดเล็กให้ผมได้นั่ง ดูเขาจะจริงจังกับเรื่องนี้เสียยิ่งกว่าอะไรดีแต่ทว่าต่อให้นั่งหานานเท่าไหร่มันก็ไร้วี่แววว่าจะเจอเบาะแสที่เจ้าตัวต้องการ
เดาได้จากเสียงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าของชางฮยอน
อย่างน้อยช่วยเปิดเพลงให้ฟังแทนเสียงถอนหายใจของชางฮยอนคงดีกว่าหลายเท่า
“โอ๊ะ!” เสียงร้องดังมาจากคนที่นั่งอยู่หน้าคอมตามด้วยเสียงรัวแป้นพิมพ์หลายครั้ง
เขารื้อหากระดาษกับปากกาเสียงดัง
ลงมือเขียนอะไรสักอย่างลงไปจากนั้นก็ลุกมานั่งลงข้างผมแล้วยัดกระดาษใบเล็กเมื่อครู่มาไว้ในมือของผม
..มือมันชาอีกแล้ว อย่ามาจับกันมากจะได้ไหมล่ะ
“อะไร” ผมก้มลงดูกระดาษในมือที่มีตัวเลขกำกับไว้ตามด้วยชื่อถนนและชื่อเมือง
คงจะเป็นที่อยู่ของใครสักคน
ชางฮยอนดูท่าทางตื่นเต้นและอารมณ์ดีขึ้นมากกว่าเมื่อครู่นี้หลายเท่า
“พาไปหน่อย”
“ทำไมต้องไป”
“คุณบอกว่าผมอยากไปไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอ” อีกแล้ว..
เล่นเอามุขเดิมมาใช้แบบนี้ผมก็ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงเหมือนกัน
ถ้ายมทูตมีความสามารถเกี่ยวกับการย้อนเวลาได้ผมคงกลับไปแก้ไขคำพูดตัวเองเมื่อวานนี้แน่นอน
ตอนนั้นผมพูดไปเพียงเพราะว่าชางฮยอนเอาแต่นิ่งเงียบตลอดทางต่างหาก
พอเห็นผมมองเขานิ่ง คนถูกมองก็เลยพูดขึ้นมาอีก
“คนจะต..”
“คนจะตายแล้วก็ตามใจหน่อยเถอะหน่า เหอะ....”
ผมส่งเสียงในลำคอ ดูเหมือนต้องแพ้กับสายตาอ้อนวอนแบบนั้นอีกแล้วสินะ
ไม่รู้ไปเอาเวลาที่ไหนมาฝึกทั้งที่ก็อยู่ด้วยกันตลอดแท้ๆ “ตามใจแล้วกัน”
เอาแต่คิดว่าตัวเองจะตายแล้วแบบนี้
ถ้าเกิดผมให้อยู่ต่อขึ้นมาคงจะช็อคมากแน่ แบบนั้นก็เท่ากับผมได้เอาคืนอย่างแนบเนียนแถมคงจะสะใจไม่หยอกด้วย
แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองวัน ..เห็นแก่เวลาสองวันหรอกนะ
ถึงได้ยอมตามใจเขาน่ะ คิดแบบนี้แล้วสบายใจขึ้นมาอีกนิด (นิดเดียว)
ตามที่อยู่ที่ชางฮยอนให้มามันค่อนข้างจะไกลกับที่อยู่ของเราตอนนี้พอสมควรเพราะมันอยู่อีกเมืองหนึ่ง
ผมขับรถเข้ามาในซอยเล็กๆของเมืองนี้ เล็กขนาดที่รถใหญ่วิ่งผ่านได้แค่เลนส์เดียว
ถ้าหากไปเจอกับรถที่สวนออกมานี่ก็ไม่ต้องนึกถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นเลย ผมเลยเลือกจะไปฝากรถไว้ที่ถนนใหญ่ที่หน้าซอยแล้วเดินเท้าเข้ามาแทน
หวังว่าจะไม่โดนตำรวจท้องที่ล็อคล้อแล้วแปะใบสั่งไว้เป็นพอ
ชางฮยอนยกกระดาษในมือขึ้นดูสลับกับเลขที่ตามบ้านต่างๆและมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านขายเพลงเก่าร้านหนึ่ง
“น่าจะที่นี่นะ” เขามองกระดาษในมือสลับกับเลขที่บ้านที่อยู่ใต้ป้ายชื่อร้านไม้อัดผุๆ
ตัวอักษรถูกเขียนด้วยพู่กันหมึกดำเป็นคำว่า ชเว ตัวใหญ่ สภาพร้านดูเก่ามาก
คงเกินยี่สิบปี สังเกตได้จากป้ายผุๆอันนั้นและประตูไม้สีซีดกับรอยปลวกกิน
ที่ผนังก็กลายเป็นสีเหลืองออกน้ำตาลจนเดาแทบไม่ออกว่ามันเคยเป็นสีขาวมาก่อนหรือไม่
และกระจกใสที่มีฝุ่นจับจนขุ่นไม่เหลือความใส
แม้แต่เงาสะท้อนในกระจกก็ยังเห็นตัวผมไม่ชัดด้วยซ้ำ แบบนี้ไม่รู้ว่าจะมีคนมาอุดหนุนบ้างหรือเปล่า
คนเข้าร้านจะมีบ้างไหมถามแบบนี้ดีกว่า
ชางฮยอนกดกริ่งที่อยู่ข้างกับประตูอยู่สามครั้งกว่าบานประตูจะถูกแง้มออกเล็กน้อยพอให้เห็นผู้ชายที่ดูมีอายุ
หลังโก่ง ผมขาวทั้งหัวออกมาต้อนรับ
“มาหาใครหรือ”
เสียงแหบๆฟังไม่ค่อยชัดตามประสาคนอายุมากเอ่ยถาม
“คุณปู่ใช่เจ้าของเพลงนี้หรือเปล่าครับ?” ชางฮยอนยื่นซองเพลงที่ถือติดมาด้วยให้กับชายคนนั้น
เขารับไปแล้วยืนพินิจพิจารณาอยู่สักพัก
มือที่มีรอยเหี่ยวย่นนั้นลูบไปบนซองด้วยความทะนุถนอม
“ไม่คิดว่ายังมีคนเก็บไว้อยู่
เข้ามาก่อนสิพ่อหนุ่ม เดินทางมาไกลจากโซลใช่ไหม มาคนเดียวคงเหนื่อยแย่
เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าก่อนเถอะ” ชายชราเปิดประตูไม้ให้กว้างขึ้น
ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งพักด้านในแล้วหันหลังเดินนำเข้าไป
ผมกับชางฮยอนหันมองหน้ากันแทบจะทันทีที่สิ้นประโยคเชื้อเชิญนั่นแต่ไม่มีใครเอ่ยพูดอะไรต่อกัน
ชางฮยอนพยักหน้าให้ผมเดินตามเข้าไปซึ่งผมก็ทำตาม
แม้ว่าชายชราผู้นั้นจะเชิญชางฮยอนเพียงคนเดียวทั้งที่ผมและชางฮยอนก็ยืนอยู่ใกล้กันแต่ผู้ที่ถูกเชิญเข้าไปในบ้านมีเพียงแค่ชางฮยอนเท่านั้น
คงอายุเยอะจนสายตาฟ่าฟางไปหมดแล้วสินะ
ชายคนนั้นเชิญให้ชางฮยอนนั่งบนเก้าอี้รับแขกและยกน้ำชามารินใส่แก้วใบเล็กให้ชางฮยอนเพียงที่เดียว
ชางฮยอนดูอึกอัก คอยมองมาที่ผมเป็นระยะคงเพราะทำตัวไม่ถูก
ผมเลยส่ายหน้าบอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไรเขาจึงกลับไปสนใจกับชายชราเจ้าของร้านเพลงเก่าแก่แห่งนี้ต่อ
“ผมลองฟังเพลงแผ่นนี้ซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง
เลยสงสัยว่าคุณปู่หมายถึงใครหรือเปล่าครับ” ชายชราก้มลงมองแผ่นเพลงในมือ
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นคลี่ยิ้มออกมาจนเห็นฟันปลอม
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
“ผมมีคนรู้จักอยู่คนนึง เขาคล้ายกับเนื้อเพลงในนี้มาก
ผมก็เลย...”
“พ่อหนุ่มได้เจอยมทูตแล้วใช่ไหม”
“เอ๋?” ชายชราคนนั้นมองหน้าชางฮยอนด้วยรอยยิ้ม
ไม่มีแววตระหนกตกใจเลยแม้แต่น้อย ชางฮยอนหันมามองหน้าผมสลับกับชายคนนั้น ผมพยักหน้าให้ชางฮยอนเพื่อให้เขาตอบความจริงออกไป
“ครับ ผมเจอเขา”
“เจอแล้วสินะ”
“แต่ว่า มันเกี่ยวอะไรกันครับ”
“พ่อหนุ่มอาจจะไม่เชื่อ
แต่ฉันจะเล่าให้เธอฟังอีกสักครั้ง เธอไม่ใช่คนแรกหรอกนะ
ที่มาถามเรื่องพวกนี้กับฉัน
ตลอดเกือบครึ่งชีวิตของฉันคอยแต่เฝ้าตอบคำถามนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
คนที่เธอเจอ...ตอนนี้เขาก็อยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
“ค-ครับ” ชางฮยอนพยักหน้าตอบ
“ฉันอยากจะมองเห็นเขานะ
เขาคงจะได้ยินที่ฉันพูดแต่พอเขาก้าวออกจากที่นี่ไปเขาก็คงจะลืมเหมือนกับทุกทีนั่นแหละ
เด็กคนนั้นน่ะ...” ชายชราหันไปมองด้านหลังของชางฮยอน
ผมหันมองไปตามสายตาของเขาและหยุดอยู่ตรงที่กรอบรูปของเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่วางอยู่บนหลังตู้ และภาพถัดไปดูเหมือนจะเป็นภาพช่วงวัยรุ่นของเด็กคนนั้นที่หน้าตาคล้ายผม
คล้ายมาก ..จนคิดว่าเป็นคนเดียวกับผมตอนนี้ไม่ผิด
“เขาเป็นลูกชายคนโตของบ้านนี้
ฉันตื่นขึ้นมาในห้องตัวเองเพราะได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าลูกชายคนโตได้จากไปแล้วด้วยอุบัติเหตุ
ฉันไม่เคยรู้หรอกว่าอุบัติเหตุอะไร รู้แค่เพียงเขาจากไปแล้วเท่านั้น
ครอบครัวเราเป็นทุกข์กันมาก
ทางเดียวที่ฉันจะระบายความเจ็บปวดเหล่านั้นก็คือเขียนเรื่องราวของเขาขึ้นมาเป็นบทเพลง
หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็มีคนแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆพร้อมกับเพลงพวกนี้เหมือนกับเธอ....”
ทั้งผมและชางฮยอนต่างก็นิ่งไปทั้งคู่
เหมือนความทรงจำทุกอย่างมันหลั่งไหลเข้ามาจนผมเจ็บที่ศีรษะ
จึงลุกออกไปนอกร้านทันที ไม่เช่นนั้นหัวของผมคงได้ระเบิดเป็นเถ้าแน่
- - - -
“ผม...ขอโทษนะครับที่มารบกวน”
ชางฮยอนลุกขึ้นโค้งลาชายชราทันทีเมื่อเห็นจงฮยอนลุกออกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว
แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตูออกไป ชายชราคนนั้นก็ได้ทิ้งคำพูดเอาหนึ่งเอาไว้
“มันคงเป็นโชคชะตาของพวกเธอ พ่อหนุ่ม....เธอน่ะ
ไม่เหมือนคนอื่น”
เด็กหนุ่มโค้งลาอีกครั้งแล้วรีบเดินจากมาด้วยความร้อนรน
ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายคนนั้นพูดก็ตาม เด็กชายเดินออกมาหน้าร้านก็พบชายร่างสูงยืนพิงกำแพงรออยู่ด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ทำไมเข้าไปนานจัง ฉันรอจนเมื่อยขาไปหมด”
จงฮยอนแค่พูดไปแบบนั้น ยมทูตไม่มีทางรู้สึกปวดเมื่อยหรอกนะเรื่องนี้ชางฮยอนรู้ดี
คนตัวเล็กลองคิดทบทวนคำพูดของคุณปู่คนเมื่อกี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่า
..จงฮยอนคงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นด้านในนั้นไปจนหมดแล้วจริงๆตามคำที่ชายชราคนนั้นบอก
แล้วที่เขาทำไปนี่เพื่ออะไรกันนะ
ตัวชางฮยอนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“บ่นมากไปได้ รีบกลับเถอะ จะมืดแล้ว”
ทั้งสองคนเดินไกลออกจากร้านไปเรื่อยๆโดยมีสายตาของคุณชเวคอยมองดูทั้งคู่อยู่จนลับสายตา...
“ขอโทษนะ” ชางฮยอนก้มหน้าจนคางชิดอก
คุณยมทูตจงฮยอนได้แต่มองภาพนั้นแล้วคิดไปต่างๆนาๆว่าคนแบบ ยู
ชางฮยอน จะมาขอโทษตนเองเรื่องอะไร
จงฮยอนอาจจะคิดว่าขอโทษเรื่องที่ทำตัววุ่นวายให้เขาพามาที่นี่ หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขายืนรออยู่นาน
“ไปเป็นไร ฉันจะลืมๆมันไปแล้วกัน” ก็ลืมไปแล้วนี่ตาบ้า
ชางฮยอนคิดในใจ
“นี่คุณ... ถ้าถึงตอนนั้น
ช่วยตัดสินให้ผมตายไปเลยได้ไหม?”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็..ไม่อยากอยู่คนเดียวจนแก่ตาย
แบบนั้นคงเหงาแย่เลย อีกอย่างผมจะโดนตำรวจจับได้ตอนไหนก็ไม่รู้
แย่กว่านั้นผมอาจจะไปตายอยู่ในคุกก็ได้
แบบนั้นก็คงน่าอนาถยิ่งกว่าแก่เหงาเดียวดายอยู่คนเดียวหลายเท่า”
จงฮยอนหันมองคนด้านข้างแบบไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าชางฮยอนจะคิดแบบนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้ต่างไปจากที่เขาเคยคิดเอาไว้เท่าไหร่นัก
หากต้องใช้ชีวิตอยู่กับความผิดที่มีติดตัวไปตลอดคงยากจะมีความสุขและอนาคตที่ดี
ในเมื่อเจ้าตัวเอ่ยออกมาด้วยตัวเองแบบนี้แล้ว... มีหรือที่จงฮยอนจะปฏิเสธเจตนารมณ์ของชางฮยอน
คงต้องตัดสินใจไปตามความต้องการของเจ้าตัวเองเสียแล้วกระมัง
- - - - -
จริงๆตอนนี้ไม่ได้ตั้งใจให้ความหลังน้องชางเป็นแบบนี้เลย แต่ไปๆมาๆก็เป็นแบบนี้ไปซะงั้น ;w;
ตอนหน้าจบแน่ อิอิ จะจบแล้ว รู้สึกภาคภูมิใจเหลือเกิน 5555555 ติดตามกันด้วยนะค้าบบบ >w< อยากเอามาลงตอนวัน 6 ปี แต่จะปั่นทันไหม ถถถถ
ความคิดเห็น