ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { changrick } 7 วันของยมทูต - END -

    ลำดับตอนที่ #7 : SEVEN DAYS | 6

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 59


    6




     

    หลังจากเถียงกับชางฮยอนเมื่อคืนว่าจะไปพักที่ไหนอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็มาจบที่อพาร์ทเม้นท์เดียวกับที่อยู่เก่าของเจ้าตัวเอง แม้ว่าผมจะพูดเตือนไปหลายครั้งว่าตำรวจอาจจะตามมาจับได้ง่ายแต่ชางฮยอนเอาแต่ยืนกรานว่าต้องเป็นที่นี่ด้วยเหตุผลที่ว่า เก็บศัตรูไว้ให้ชิดเก็บมิตรไว้ให้ห่างถึงผมจะไม่เข้าใจสำนวนอะไรของเขาแต่ก็ต้องยอมตามใจเจ้าเด็กดื้อคนนั้นไปจนได้ ยังไงซะ ผมก็คงไม่ยอมให้ตำรวจมาขัดขวางระหว่างผมอยู่ที่นี่เป็นแน่


    สถานที่เกิดเหตุถูกกั้นเอาไว้ด้วยแถบกั้นสีเหลืองตามที่เห็นในหนังในละครทั่วไป บริเวณชั้นล่างก็มีตำรวจผลัดกันมาเฝ้าเผื่อว่าจะได้เจอตัวการของคดีนี้ แต่ก็อย่างว่า พวกตำรวจมักจะชะล่าใจแล้วก็หละหลวมเกินไปจนเกิดเป็นช่องว่างเล็กๆขณะที่พวกเขากำลังงีบหลับ พวกเราจึงสามารถเข้ามาพักในอพาร์ทเม้นท์หลังนี้ได้โดยสวัสดิภาพ


    ห้องที่ผมอยู่เป็นห้องที่อยู่ด้านริมสุดของตึกถัดจากห้องที่เกิดเหตุ หลังจากชางฮยอนหลับไปผมก็ถือโอกาสมาเดินสำรวจบริเวณสถานที่ต้องห้ามนี้ เป็นที่เดียวกับที่ตัวผมเมื่อสิบปีก่อนพาชางฮยอนมาส่งคืนให้กับผู้เป็นมารดา ที่นี่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่สภาพที่เปลี่ยนไปตามอายุการใช้งานหลายสิบปีเท่านั้น ผมไม่ได้เดินเข้าไปด้านในเพราะเกิดขี้เกียจขึ้นมากะทันหัน ได้แต่ยืนพิงระเบียงด้านนอกเฉยๆเท่านั้น ..ว่าแต่ ไปสูบบุหรี่สักหน่อยดีไหมนะ


    ใช่แล้วล่ะ ยมทูตเองก็สูบบุหรี่เหมือนกันแล้วแต่กิจวัตรหรือลักษณะนิสัยของแต่ละคน อย่างตัวผมเองก็ไม่ได้สูบเป็นกิจจะลักษณะอะไรหรอก เพียงแค่เหลือบไปเห็นคุณลุงยามแก่ๆนั่งสูบบุหรี่บนเก้าอี้กลมอยู่ที่ชั้นล่างแล้วเกิดอยากจะชวนพูดคุยด้วยเท่านั้นแหละ ลุงแกก็เล่าเรื่องลูกเมียให้ฟังบ้างตามประสาคนแก่ หลังจากนั้นก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกัน นั่งสูบบุหรี่กันเงียบๆรอเวลาพระอาทิตย์ส่องแสงแล้วจึงเอ่ยลาและขอบคุณสำหรับบุหรี่หนึ่งมวน


    ผมเดินกลับไปที่ห้อง เสียงเพลงดังเล็ดลอดออกมาจากนอกประตูทำให้ผมสามารถรับรู้ได้ว่าชางฮยอนคงจะตื่นนอนแล้วและก็เป็นไปตามคาดเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป


    “อรุณสวัสดิ์ ตื่นเช้าจัง” ผมเอ่ยทักทายชางฮยอนที่นั่งอยู่หน้าเครื่องเล่นแผ่นเสียงเปิดเพลงวนไปวนมาอยู่หลายรอบไม่ได้สนใจคำทักทายยามเช้าเลยแม้แต่น้อย จำได้ว่าเป็นแผ่นเสียงที่ผมหยิบมันมาด้วย แล้วเจ้านี่ไปหาเครื่องเล่นมาจากไหนล่ะนั่นเมื่อคืนยังไม่เห็นมี ผมเดินเข้าไปใกล้เพื่อจะดูให้ชัดๆ


    “เครื่องรุ่นเก่าอยู่นะ ไปเอามาจากไหนเหรอ”


    “ห้องโน้นอ่ะ เดินไปเอาตอนตีสามตีสี่แล้วมั้ง เห็นนั่งสูบบุหรี่อยู่กับลุงยามเลยไม่ได้เรียก”


    “อ่อ” ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วนั่งลงบนพื้นด้านข้างชางฮยอนที่ยังคงเปิดเพลงเดิมวนซ้ำๆอยู่หลายรอบ


    “เปิดซ้ำหลายรอบทำไมน่ะ”


    “ผมว่าเพลงมันแปลกๆอ่ะ”


    “แปลก?” ผมมองหน้าชางฮยอนอย่างไม่เข้าใจว่ามันแปลกตรงไหน ผมคิดว่ามันก็เป็นเพลงธรรมดาที่ปกติดีไม่มีอะไรแปลก


    “อือ ความหมายของแต่ละเพลงถ้าเอามาเรียงต่อกันแล้วดูเหมือนเป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตของคนแต่งเลย”


    “แล้วมันแปลกยังไง คนเขาก็ทำกันเยอะแยะ”


    “ผิดแล้ว” ชางฮยอนส่ายหน้า “เหมือนเขาจะพูดถึงคนที่จากไปแล้วด้วย บางทีอาจจะเป็นคนที่รักมาก คนรัก หรือไม่ก็ลูก”


    “นอนน้อยสินะนายน่ะ ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวจะไปซื้อข้าวมาให้” ผมว่าแล้วเตรียมจะลุกขึ้นเพราะผมไม่ได้คิดว่ามันแปลกเลยแม้แต่นิดเดียว พวกศิลปินส่วนใหญ่ก็เอาเรื่องราวชีวิตตัวเองมาเล่าผ่านเพลงกันทั้งนั้น แต่ทว่าชางฮยอนก็รั้งแขนเอาไว้เสียก่อน ..อีกแล้ว โดนจับแขนเหมือนเมื่อวานนี้อีกแล้ว ทันทีที่ปลายนิ้วเย็นสัมผัสโดนข้อมือแล้วรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวนี่มันคืออะไรกันนะ ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าและความรู้สึกให้เป็นปกติ


    “มีอะไร”


    “รออาบน้ำแปปนึงสิ เดี๋ยวจะไปด้วย”


    “อืม เร็วๆล่ะ” ผมตอบรับ นั่งมองชางฮยอนลุกออกไปจนเขาหายเข้าไปห้องน้ำ คิดไม่ตกกับความรู้สึกเมื่อกี้นี้ ยมทูตไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อสัมผัสของอากาศหรืออะไรทั้งสิ้น แต่อาการที่รู้สึกเหมือนชาไปทั้งตัวแบบนั้นไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจริงๆ ผมได้แต่สงสัยว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนั้น

     


                    เราออกมาทานอาหารที่ร้านอาหารชุดแถวอพาร์ทเม้นท์ ความจริงผมไม่อยากให้ชางฮยอนออกมาด้วยเพราะว่าที่ด้านล่างอพาร์ทเม้นท์มีตำรวจพลัดเวรกันมาเฝ้าอยู่ตลอดเวลาและมันคงจะเสี่ยงอันตรายเกินไปแต่คนหัวดื้ออย่างชางฮยอนมีหรือจะยอม เขาสบโอกาสตอนที่ตำรวจนายใหม่มาผลัดเวรกันแล้วเดินออกไปจากอพาร์ทเม้นท์ ไม่วายทิ้งท้ายเอาไว้ให้ผมว่า คนจะตายแล้วก็ตามใจกันหน่อยสิ


    ถือเป็นโชคดีอีกครั้งที่สามารถรอดพ้นจากสายตาของพวกเจ้าหน้าที่มาได้ พวกเขาทำงานกันหละหลวมแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้กันล่ะ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดตัวเลขอาชญากรรมถึงได้เพิ่มขึ้นทุกวัน เราอยู่กันในประเทศที่ไม่ปลอดภัยแม้แต่ในบ้านตัวเองด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น ยู ชางฮยอน เป็นต้น... แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ


    เราสั่งอาหารมาทานกันแค่ชุดเดียวสำหรับชางฮยอนส่วนผมก็ทำหน้าที่แค่นั่งเฉยๆ และจ่ายเงินเท่านั้นแหละ


    “คุณรู้จักร้านขายเพลงเก่าๆเยอะไหม” เด็กหนุ่มถามขึ้นมาระหว่างที่กำลังตักข้าวใส่ปาก


    “ประมาณหนึ่ง”


    “พาไปหน่อยสิ” ผมเลิกคิ้วมองอีกคนด้วยความแปลกใจที่จู่ๆก็มาขอให้พาไปร้านขายเพลงเก่า ชางฮยอนพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าฟังไม่ผิดหรอก หรือเพราะเรื่องแผ่นเพลงที่ผมหยิบมาด้วยนั่น


    “ถ้าเป็นเพราะเรื่องแผ่นนั่..”


    “ผมแค่อยากหาเพลงมาฟัง” ชางฮยอนขัดขึ้นมา ผมตอบตกลงเพื่อให้เขาสบายใจ ชางฮยอนน่ะก็แค่หาข้ออ้างขึ้นมาเพื่อให้ผมอนุญาตเท่านั้นแหละ จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไรคงไม่ผิดไปจากที่ผมคิดนักหรอก


    ผมพาคนหัวดื้อมาที่ร้านเพลงเก่าที่เปิดมาหลายปี เป็นร้านประจำที่ผมมักจะมาเสมอเมื่อมีงานตรวจสอบที่โลกมนุษย์แห่งนี้จนสนิทกับคุณลุงเจ้าของร้านไปโดยปริยายในเชิงที่ว่ารู้หน้าค่าตากันเป็นอย่างดี แต่ถ้าถามว่าเคยคุยกันไหมก็ตอบได้เลยว่าแทบจะนับคำได้ หมายถึงไม่ค่อยได้คุยเท่าไหร่ มาที่นี่ทีไรก็ตรงดิ่งไปฟังเพลงเลยไม่ได้สนใจอย่างอื่นนักหรอก คุณลุงแกก็เข้ามาแนะนำเพลงให้เป็นครั้งคราวเท่านั้นเพราะว่าไม่อยากรบกวนลูกค้า เวลาทุกคนมาที่นี่ก็จะเห็นแกนั่งอยู่แต่ที่เคาน์เตอร์คิดเงินไม่ลุกไปไหน เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าไม่อยากรบกวนลูกค้านั่นอาจจะเป็นแค่ข้ออ้างของคนแก่ที่ขี้เกียจจะลุกเดินไปไหนมาไหน เพราะสังขารมันไม่โอเค


    ผมปล่อยให้ชางฮยอนเดินวุ่นวายไปรอบร้านส่วนตัวเองก็เดินมาโซนเพลงคลาสสิก หยิบหูฟังขึ้นมาใส่และจมดิ่งไปกับท่วงทำนองเพลงแสนอ่อนหวานราวกับตัวเองหลุดไปอยู่ในทุ่งดอกไม้และเหล่าผีเสื้อแสนสวยบินว่อนไปทั่วสวนแต่แล้วกลับโดนซัดกระหน่ำด้วยพายุจนไม่เหลือสภาพความงามใดเมื่อรู้สึกถึงแรงสะกิดที่ต้นแขนจนต้องถอดหูฟังออก


    คนด้านข้างทำหน้าหงิก สงสัยว่าจะตามหาสิ่งที่ต้องการไม่พบล่ะมั้ง


    “ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย”


    “อืม ถ้าหาแผ่นเพลงแผ่นนั้นก็คงไม่เจอหรอก”


    “ทำไมล่ะ? มันเก่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ”


    “แสดงว่านายหาแผ่นนั้นอยู่จริงๆ” ผมหันไปมองชางฮยอน ท่าทางลอกแลกยามถูกจับได้นั่นเล่นเอาผมเกือบจะหลุดขำ คงจะตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าตัวเองเผลอหลุดอะไรออกมาเสียแล้ว


    “ที่หาไม่เจอไม่ใช่เพราะมันเก่า แต่เพราะนายไม่สังเกตให้ดีต่างหาก” ชางฮยอนทำหน้าเหมือนจะไม่เข้าใจที่ผมพยายามบอก “แผ่นเพลงเผ่นนั้น นายเอามันมาด้วยใช่ไหม”


    “เอ่อ...” ดวงตาสีนิลกลมโตนั่นเบิกกว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคอแต่ก็ยอมหยิบแผ่นเพลงที่เป็นปัญหานั่นออกมาจากด้านในของเสื้อฮู้ดที่เขาใส่อยู่ “รู้ได้ยังไงเนี่ย”


    “ฉันก็บอกไปแล้วว่าฉันรู้อะไรหลายอย่าง” ผมหยิบซองเพลงในมือชางฮยอนมาถือไว้เองแล้วพลิกให้เขาดูตรงตัวอักษร ชเว ที่มุมกระดาษ ถัดลงไปด้านล่างอีกนิดมีข้อความสั้นๆที่มีขนาดเล็กมากถูกเขียนเอาไว้ ใจความว่าแผ่นเพลงชุดนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อการค้าขาย เพราะฉะนั้นนี่คงเป็นแผ่นเพลงที่ทำแจกเนื่องในโอกาสพิเศษอะไรสักอย่าง คงหาไม่ได้ตามร้านขายเพลงแบบนี้แน่นอน


    “เห็นแล้วก็เลิกสนใจเถอะ” ผมส่งซองเพลงคืนให้ชางฮยอนแล้วหยิบหูฟังอันเดิมขึ้นมาใส่ เด็กหนุ่มขบกัดริมฝีปากล่างแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ร่างอวบเดินตรงดิ่งไปทางเคาน์เตอร์ที่มีลุงเจ้าของร้านนั่งอยู่ เหมือนจะคุยอะไรกันสักพักแล้วเดินออกจากร้านไป ผมมองตามจนกระทั่งเด็กคนนั้นเดินมาหยุดตรงหน้าผมที่มีแผ่นกระจกใสของร้านกั้นอยู่ ชางฮยอนแปะกระดาษเอสี่ที่มีข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือขยุกขยิกอ่านไม่ค่อยออกไว้บนกระจก มืออีกข้างก็ยกนิ้วขึ้นมาชี้ให้ผมอ่านข้อความนั้นแล้วเขาก็เดินจากไป


    นี่ผมต้องยอมแพ้เจ้านั่นอีกแล้วหรือยังไงนะ


    ไม่สนใจก็เรื่องของคุณ ผมจะไปหาเอง งั้นเหรอ? ทำไมถึงได้ทำตัวน่าปวดหัวนักนะ ผมไม่เห็นแรงจูงใจหรือผลประโยชน์อะไรที่เด็กคนนั้นจะได้รับจากเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แม้จะพอเดาสาเหตุได้บ้างเล็กน้อยแต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะกระตือรือร้นอยากจะรู้ไปเพื่ออะไร


    เรื่องที่ว่าทำไมผมถึงได้มาเป็นยมทูตน่ะ คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้แน่

     


    ผมเดินตามชางฮยอนมาจนถึงร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ร่างอวบเดินหายเข้าไปพักหนึ่งแล้วก็เดินกลับออกมายืนคอตกอยู่หน้าร้าน อินเตอร์เน็ตคาเฟ่เป็นสถานที่ที่คนสามารถมาใช้บริการได้อย่างเป็นส่วนตัวเหมือนนอนเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ที่บ้านแต่เป็นส่วนตัวกว่าที่บ้านหลายเท่าสำหรับบางคนเพราะว่าพวกเขาจะลบข้อมูลการใช้บริการของลูกค้าทุกครั้ง จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเราทำอะไรไปบ้าง แต่เงื่อนไขสำคัญในการเข้าใช้คือต้องมีบัตรประจำตัวของตัวเองมายืนยันและชางฮยอนก็คงจะไม่มี ถึงมีแต่ก็ให้ไม่ได้


    “มาเพื่อยืนหน้าร้านนี่เหรอ ทำไมไม่เข้าไปล่ะ” ผมพูดแหย่ ชางฮยอนเหลือบมองผมด้วยหางตา สายตาที่ไม่เป็นมิตรบ่งบอกให้รู้ว่าผมคงพูดตรงสะกิดใจหมอนี่เข้าให้แล้ว


    ผมเดินเข้าไปในร้านก็พบกับพนักงานยืนกล่าวยินดีต้อนรับและโค้งให้ ผมก้มตอบเล็กน้อยและเดินเข้าไปฟังพนักงานอธิบายถึงวิธีการใช้งานที่นี่ ผมหยิบเอาบัตรประจำตัวปลอมๆที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษยื่นให้กับพนักงานและเซ็นชื่อเรียบร้อย เสร็จแล้วพนักงานคนนั้นก็ยื่นอะไรสักอย่างที่คล้ายจะเป็นยูเอสบีที่ใช้ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์และอธิบายวิธีการใช้งานเสร็จสรรพ ดูเหมือนมันจะเป็นรหัสผ่านเข้าใช้งานระบบของคาเฟ่แห่งนี้ ผมทำท่าจะยื่นมือไปรับแต่แล้วมันก็โดนชิงไปโดยแมวขโมยตัวปัญหาที่ดูเหมือนจะมายืนจ้องรอเหยื่ออยู่ได้สักพักแล้ว


    รู้ตัวอีกทีชางฮยอนแย่งเจ้ายูเอสบีนั่นไปแล้วหายเข้าไปด้านใน พนักงานคนเมื่อครู่ทำหน้าตาตื่นด้วยเพราะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก


    “ไม่เป็นไรหรอกครับ เขามากับผม” ผมเอ่ยบอกก่อนจะเดินตามเข้าไปด้านใน


    นี่ผมไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเขานะ ผมแค่อยากหาประสบการณ์ใหม่ๆให้ตัวเองเพียงเท่านั้น


    จริงๆ


    ผมเดินตามชางฮยอนเข้ามาก็เห็นเขาจับจองที่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ไปเสียเรียบร้อย โชคดีที่ตรงด้านหลังเป็นเหมือนที่นอนขนาดเล็กให้ผมได้นั่ง ดูเขาจะจริงจังกับเรื่องนี้เสียยิ่งกว่าอะไรดีแต่ทว่าต่อให้นั่งหานานเท่าไหร่มันก็ไร้วี่แววว่าจะเจอเบาะแสที่เจ้าตัวต้องการ เดาได้จากเสียงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าของชางฮยอน อย่างน้อยช่วยเปิดเพลงให้ฟังแทนเสียงถอนหายใจของชางฮยอนคงดีกว่าหลายเท่า


    “โอ๊ะ!” เสียงร้องดังมาจากคนที่นั่งอยู่หน้าคอมตามด้วยเสียงรัวแป้นพิมพ์หลายครั้ง เขารื้อหากระดาษกับปากกาเสียงดัง ลงมือเขียนอะไรสักอย่างลงไปจากนั้นก็ลุกมานั่งลงข้างผมแล้วยัดกระดาษใบเล็กเมื่อครู่มาไว้ในมือของผม ..มือมันชาอีกแล้ว อย่ามาจับกันมากจะได้ไหมล่ะ


    “อะไร” ผมก้มลงดูกระดาษในมือที่มีตัวเลขกำกับไว้ตามด้วยชื่อถนนและชื่อเมือง คงจะเป็นที่อยู่ของใครสักคน ชางฮยอนดูท่าทางตื่นเต้นและอารมณ์ดีขึ้นมากกว่าเมื่อครู่นี้หลายเท่า


    “พาไปหน่อย”


    “ทำไมต้องไป”


    “คุณบอกว่าผมอยากไปไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอ” อีกแล้ว.. เล่นเอามุขเดิมมาใช้แบบนี้ผมก็ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงเหมือนกัน ถ้ายมทูตมีความสามารถเกี่ยวกับการย้อนเวลาได้ผมคงกลับไปแก้ไขคำพูดตัวเองเมื่อวานนี้แน่นอน ตอนนั้นผมพูดไปเพียงเพราะว่าชางฮยอนเอาแต่นิ่งเงียบตลอดทางต่างหาก พอเห็นผมมองเขานิ่ง คนถูกมองก็เลยพูดขึ้นมาอีก


    “คนจะต..”


    “คนจะตายแล้วก็ตามใจหน่อยเถอะหน่า เหอะ....” ผมส่งเสียงในลำคอ ดูเหมือนต้องแพ้กับสายตาอ้อนวอนแบบนั้นอีกแล้วสินะ ไม่รู้ไปเอาเวลาที่ไหนมาฝึกทั้งที่ก็อยู่ด้วยกันตลอดแท้ๆ “ตามใจแล้วกัน”


    เอาแต่คิดว่าตัวเองจะตายแล้วแบบนี้ ถ้าเกิดผมให้อยู่ต่อขึ้นมาคงจะช็อคมากแน่ แบบนั้นก็เท่ากับผมได้เอาคืนอย่างแนบเนียนแถมคงจะสะใจไม่หยอกด้วย แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองวัน ..เห็นแก่เวลาสองวันหรอกนะ ถึงได้ยอมตามใจเขาน่ะ คิดแบบนี้แล้วสบายใจขึ้นมาอีกนิด (นิดเดียว)


    ตามที่อยู่ที่ชางฮยอนให้มามันค่อนข้างจะไกลกับที่อยู่ของเราตอนนี้พอสมควรเพราะมันอยู่อีกเมืองหนึ่ง ผมขับรถเข้ามาในซอยเล็กๆของเมืองนี้ เล็กขนาดที่รถใหญ่วิ่งผ่านได้แค่เลนส์เดียว ถ้าหากไปเจอกับรถที่สวนออกมานี่ก็ไม่ต้องนึกถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นเลย ผมเลยเลือกจะไปฝากรถไว้ที่ถนนใหญ่ที่หน้าซอยแล้วเดินเท้าเข้ามาแทน หวังว่าจะไม่โดนตำรวจท้องที่ล็อคล้อแล้วแปะใบสั่งไว้เป็นพอ


    ชางฮยอนยกกระดาษในมือขึ้นดูสลับกับเลขที่ตามบ้านต่างๆและมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านขายเพลงเก่าร้านหนึ่ง


    “น่าจะที่นี่นะ” เขามองกระดาษในมือสลับกับเลขที่บ้านที่อยู่ใต้ป้ายชื่อร้านไม้อัดผุๆ ตัวอักษรถูกเขียนด้วยพู่กันหมึกดำเป็นคำว่า ชเว ตัวใหญ่ สภาพร้านดูเก่ามาก คงเกินยี่สิบปี สังเกตได้จากป้ายผุๆอันนั้นและประตูไม้สีซีดกับรอยปลวกกิน ที่ผนังก็กลายเป็นสีเหลืองออกน้ำตาลจนเดาแทบไม่ออกว่ามันเคยเป็นสีขาวมาก่อนหรือไม่ และกระจกใสที่มีฝุ่นจับจนขุ่นไม่เหลือความใส แม้แต่เงาสะท้อนในกระจกก็ยังเห็นตัวผมไม่ชัดด้วยซ้ำ แบบนี้ไม่รู้ว่าจะมีคนมาอุดหนุนบ้างหรือเปล่า คนเข้าร้านจะมีบ้างไหมถามแบบนี้ดีกว่า


    ชางฮยอนกดกริ่งที่อยู่ข้างกับประตูอยู่สามครั้งกว่าบานประตูจะถูกแง้มออกเล็กน้อยพอให้เห็นผู้ชายที่ดูมีอายุ หลังโก่ง ผมขาวทั้งหัวออกมาต้อนรับ


    “มาหาใครหรือ” เสียงแหบๆฟังไม่ค่อยชัดตามประสาคนอายุมากเอ่ยถาม


    “คุณปู่ใช่เจ้าของเพลงนี้หรือเปล่าครับ?” ชางฮยอนยื่นซองเพลงที่ถือติดมาด้วยให้กับชายคนนั้น เขารับไปแล้วยืนพินิจพิจารณาอยู่สักพัก มือที่มีรอยเหี่ยวย่นนั้นลูบไปบนซองด้วยความทะนุถนอม


    “ไม่คิดว่ายังมีคนเก็บไว้อยู่ เข้ามาก่อนสิพ่อหนุ่ม เดินทางมาไกลจากโซลใช่ไหม มาคนเดียวคงเหนื่อยแย่ เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าก่อนเถอะ” ชายชราเปิดประตูไม้ให้กว้างขึ้น ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งพักด้านในแล้วหันหลังเดินนำเข้าไป ผมกับชางฮยอนหันมองหน้ากันแทบจะทันทีที่สิ้นประโยคเชื้อเชิญนั่นแต่ไม่มีใครเอ่ยพูดอะไรต่อกัน ชางฮยอนพยักหน้าให้ผมเดินตามเข้าไปซึ่งผมก็ทำตาม


    แม้ว่าชายชราผู้นั้นจะเชิญชางฮยอนเพียงคนเดียวทั้งที่ผมและชางฮยอนก็ยืนอยู่ใกล้กันแต่ผู้ที่ถูกเชิญเข้าไปในบ้านมีเพียงแค่ชางฮยอนเท่านั้น คงอายุเยอะจนสายตาฟ่าฟางไปหมดแล้วสินะ


    ชายคนนั้นเชิญให้ชางฮยอนนั่งบนเก้าอี้รับแขกและยกน้ำชามารินใส่แก้วใบเล็กให้ชางฮยอนเพียงที่เดียว ชางฮยอนดูอึกอัก คอยมองมาที่ผมเป็นระยะคงเพราะทำตัวไม่ถูก ผมเลยส่ายหน้าบอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไรเขาจึงกลับไปสนใจกับชายชราเจ้าของร้านเพลงเก่าแก่แห่งนี้ต่อ


    “ผมลองฟังเพลงแผ่นนี้ซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง เลยสงสัยว่าคุณปู่หมายถึงใครหรือเปล่าครับ” ชายชราก้มลงมองแผ่นเพลงในมือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นคลี่ยิ้มออกมาจนเห็นฟันปลอม


    “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”


    “ผมมีคนรู้จักอยู่คนนึง เขาคล้ายกับเนื้อเพลงในนี้มาก ผมก็เลย...”


    “พ่อหนุ่มได้เจอยมทูตแล้วใช่ไหม”


    “เอ๋?” ชายชราคนนั้นมองหน้าชางฮยอนด้วยรอยยิ้ม ไม่มีแววตระหนกตกใจเลยแม้แต่น้อย ชางฮยอนหันมามองหน้าผมสลับกับชายคนนั้น ผมพยักหน้าให้ชางฮยอนเพื่อให้เขาตอบความจริงออกไป “ครับ ผมเจอเขา”


    “เจอแล้วสินะ”


    “แต่ว่า มันเกี่ยวอะไรกันครับ”


    “พ่อหนุ่มอาจจะไม่เชื่อ แต่ฉันจะเล่าให้เธอฟังอีกสักครั้ง เธอไม่ใช่คนแรกหรอกนะ ที่มาถามเรื่องพวกนี้กับฉัน ตลอดเกือบครึ่งชีวิตของฉันคอยแต่เฝ้าตอบคำถามนี้มานับครั้งไม่ถ้วน คนที่เธอเจอ...ตอนนี้เขาก็อยู่ที่นี่ใช่ไหม?”


    “ค-ครับ” ชางฮยอนพยักหน้าตอบ


    “ฉันอยากจะมองเห็นเขานะ เขาคงจะได้ยินที่ฉันพูดแต่พอเขาก้าวออกจากที่นี่ไปเขาก็คงจะลืมเหมือนกับทุกทีนั่นแหละ เด็กคนนั้นน่ะ...” ชายชราหันไปมองด้านหลังของชางฮยอน ผมหันมองไปตามสายตาของเขาและหยุดอยู่ตรงที่กรอบรูปของเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่วางอยู่บนหลังตู้ และภาพถัดไปดูเหมือนจะเป็นภาพช่วงวัยรุ่นของเด็กคนนั้นที่หน้าตาคล้ายผม


    คล้ายมาก ..จนคิดว่าเป็นคนเดียวกับผมตอนนี้ไม่ผิด


    “เขาเป็นลูกชายคนโตของบ้านนี้ ฉันตื่นขึ้นมาในห้องตัวเองเพราะได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าลูกชายคนโตได้จากไปแล้วด้วยอุบัติเหตุ ฉันไม่เคยรู้หรอกว่าอุบัติเหตุอะไร รู้แค่เพียงเขาจากไปแล้วเท่านั้น ครอบครัวเราเป็นทุกข์กันมาก ทางเดียวที่ฉันจะระบายความเจ็บปวดเหล่านั้นก็คือเขียนเรื่องราวของเขาขึ้นมาเป็นบทเพลง หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็มีคนแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆพร้อมกับเพลงพวกนี้เหมือนกับเธอ....”


    ทั้งผมและชางฮยอนต่างก็นิ่งไปทั้งคู่ เหมือนความทรงจำทุกอย่างมันหลั่งไหลเข้ามาจนผมเจ็บที่ศีรษะ จึงลุกออกไปนอกร้านทันที ไม่เช่นนั้นหัวของผมคงได้ระเบิดเป็นเถ้าแน่


    - - - -

     

    “ผม...ขอโทษนะครับที่มารบกวน” ชางฮยอนลุกขึ้นโค้งลาชายชราทันทีเมื่อเห็นจงฮยอนลุกออกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตูออกไป ชายชราคนนั้นก็ได้ทิ้งคำพูดเอาหนึ่งเอาไว้


    “มันคงเป็นโชคชะตาของพวกเธอ พ่อหนุ่ม....เธอน่ะ ไม่เหมือนคนอื่น”


    เด็กหนุ่มโค้งลาอีกครั้งแล้วรีบเดินจากมาด้วยความร้อนรน ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายคนนั้นพูดก็ตาม เด็กชายเดินออกมาหน้าร้านก็พบชายร่างสูงยืนพิงกำแพงรออยู่ด้วยท่าทางหงุดหงิด


    “ทำไมเข้าไปนานจัง ฉันรอจนเมื่อยขาไปหมด” จงฮยอนแค่พูดไปแบบนั้น ยมทูตไม่มีทางรู้สึกปวดเมื่อยหรอกนะเรื่องนี้ชางฮยอนรู้ดี คนตัวเล็กลองคิดทบทวนคำพูดของคุณปู่คนเมื่อกี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ..จงฮยอนคงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นด้านในนั้นไปจนหมดแล้วจริงๆตามคำที่ชายชราคนนั้นบอก


    แล้วที่เขาทำไปนี่เพื่ออะไรกันนะ ตัวชางฮยอนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน


    “บ่นมากไปได้ รีบกลับเถอะ จะมืดแล้ว” ทั้งสองคนเดินไกลออกจากร้านไปเรื่อยๆโดยมีสายตาของคุณชเวคอยมองดูทั้งคู่อยู่จนลับสายตา...


    “ขอโทษนะ” ชางฮยอนก้มหน้าจนคางชิดอก คุณยมทูตจงฮยอนได้แต่มองภาพนั้นแล้วคิดไปต่างๆนาๆว่าคนแบบ ยู ชางฮยอน จะมาขอโทษตนเองเรื่องอะไร จงฮยอนอาจจะคิดว่าขอโทษเรื่องที่ทำตัววุ่นวายให้เขาพามาที่นี่ หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขายืนรออยู่นาน


    “ไปเป็นไร ฉันจะลืมๆมันไปแล้วกัน” ก็ลืมไปแล้วนี่ตาบ้า ชางฮยอนคิดในใจ

     

    “นี่คุณ... ถ้าถึงตอนนั้น ช่วยตัดสินให้ผมตายไปเลยได้ไหม?” ชางฮยอนนึกถึงภาพของชายชราคนนั้นที่ต้องอยู่คนเดียวมานานหลายปี ชางฮยอนไม่เห็นใครในบ้านเลยนอกจากชายผู้นั้นเพียงคนเดียว และถ้าหากจงฮยอนตัดสินใจให้เขาอยู่ต่อ เขาคงมีสภาพไม่ต่างจากคุณปู่คนนั้นนักหรอก


    “ทำไมล่ะ?”


    “ก็..ไม่อยากอยู่คนเดียวจนแก่ตาย แบบนั้นคงเหงาแย่เลย อีกอย่างผมจะโดนตำรวจจับได้ตอนไหนก็ไม่รู้ แย่กว่านั้นผมอาจจะไปตายอยู่ในคุกก็ได้ แบบนั้นก็คงน่าอนาถยิ่งกว่าแก่เหงาเดียวดายอยู่คนเดียวหลายเท่า”


    จงฮยอนหันมองคนด้านข้างแบบไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าชางฮยอนจะคิดแบบนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ต่างไปจากที่เขาเคยคิดเอาไว้เท่าไหร่นัก หากต้องใช้ชีวิตอยู่กับความผิดที่มีติดตัวไปตลอดคงยากจะมีความสุขและอนาคตที่ดี


    ในเมื่อเจ้าตัวเอ่ยออกมาด้วยตัวเองแบบนี้แล้ว... มีหรือที่จงฮยอนจะปฏิเสธเจตนารมณ์ของชางฮยอน


    คงต้องตัดสินใจไปตามความต้องการของเจ้าตัวเองเสียแล้วกระมัง

     





    - - - - - 

    จริงๆตอนนี้ไม่ได้ตั้งใจให้ความหลังน้องชางเป็นแบบนี้เลย แต่ไปๆมาๆก็เป็นแบบนี้ไปซะงั้น ;w;

    ตอนหน้าจบแน่ อิอิ จะจบแล้ว รู้สึกภาคภูมิใจเหลือเกิน 5555555 ติดตามกันด้วยนะค้าบบบ >w< อยากเอามาลงตอนวัน 6 ปี แต่จะปั่นทันไหม ถถถถ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×