ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { changrick } 7 วันของยมทูต - END -

    ลำดับตอนที่ #6 : SEVEN DAYS | 5

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 59





    5

     

     

                    กี่วันแล้วนะที่ผมอยู่กับชางฮยอน วันนี้คงเป็นเที่ยงของวันที่สามแล้วที่ผมตรวจสอบเขา เพียงเวลาแค่สามวันแต่ในความรู้สึกของผมราวกับเป็นเวลานานหลายสัปดาห์เหลือเกินที่อยู่ด้วยกัน ยิ่งได้รับรู้เรื่องในอดีตนั้นมันยิ่งทำให้ผมเกิดลังเลที่จะตัดสินใจว่าตัวเองควรเลือกอะไร


                    หากผมเลือกที่จะปล่อยคนด้านข้างนี้ไป ผมก็มั่นใจเหลือเกินว่าสักวันหนึ่งโชคชะตาคงเล่นตลกส่งผมกลับมาหาเด็กคนนี้อีกเป็นแน่ แล้วถ้าถึงตอนนั้นผมจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาอีกเป็นครั้งที่สาม ชีวิตของเด็กคนนี้จะต้องพบเจอกับความตายตลอดทุกช่วงชีวิตของเขาเลยเชียวหรือ? แต่ถ้าหากจะเลือกรับไว้มันก็ลำบากใจเหลือเกิน


                    ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ไม่สิ ทำไมตัวเองถึงมีความคิดแบบนี้กันนะ


                    ตั้งแต่ที่ผมบอกไปว่าตัวเองเป็นยมทูต เด็กคนนั้นทำเพียงแค่เดินกลับเข้ามาในรถเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร บรรยากาศตอนนี้ชวนอึดอัดเสียยิ่งกว่าวันแรกที่เราเจอกันหลายร้อยเท่านัก ผมจึงทำได้แค่ก้มหน้าขับรถออกมาจากสถานที่แห่งนั้น ที่ซึ่งมีความทรงจำแสนเจ็บปวดของชางฮยอนอยู่และมุ่งหน้ากลับเข้าไปในเมืองหลวง...ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆ ออกมาราวสามชั่วโมง


                    ฝนเทลงมาอย่างหนักยิ่งทำให้วิสัยทัศน์ในการจราจรย่ำแย่กว่าเดิมหลายเท่า ที่ปัดฝนทำหน้าที่ของมันได้ไม่ดีเท่าที่ควร ผมเลยตัดสินใจแวะเข้าปั้มน้ำมันข้างทางเพื่อรอฝนหยุดตก ชางฮยอนหลับไปแล้ว ผมเหลือบมองตัวเลขบอกเวลาตรงเครื่องเล่นเพลง ตัวเลขดิจิตอลสีแดงบอกเวลาบ่ายกว่าๆ ผมหยุดรถตรงหน้ามินิมาร์ทแบบที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เอี้ยวตัวไปหยิบร่มจากด้านหลังรถมากาง


                    บริเวณด้านหน้ามินิมาร์ทคนเยอะพอสมควร คงหาที่หลบฝนกัน ผมเดินเข้าไปตรงโซนนิตยสาร หยิบมันขึ้นมาอ่านเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยหลายต่อหลายเล่มจนเจอเล่มที่ถูกใจจึงหยิบไปจ่ายเงินและไม่ลืมหาของกินเล่นติดไม้ติดมือมาด้วย ผมเดินไปที่รถพร้อมถุงพลาสติกในมือแต่เมื่อประตูรถเปิดออก คนที่คิดว่าหลับอยู่ตรงที่นั่งอีกฝั่งกลับว่างเปล่า


                    หายไปไหนของเขา? หรือว่ากลัวจนหนีไปแล้ว


                    ผมโยนถุงพลาสติกไว้ในรถ ยืนสอดส่องมองหาชางฮยอนสักพักแต่ก็ไม่เห็นคนที่กำลังตามหาอยู่ในบริเวณนั้น ห้องน้ำหรือภายในมินิมาร์ทก็ไม่มี


                    “ทำอะไรน่ะ” เสียงเล็กดังมาจากด้านหลังพอดีกับที่ผมหันกลับไป ถึงไม่ใช่คนขวัญอ่อนแต่ก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเหมือนเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียง


                    “คิดว่ากลัวจนหนีไปแล้วซะอีก”


                    “อย่าคิดว่าคนอื่นเขาเหมือนตัวเองหน่อยเลย” ชางฮยอนว่าแล้วแย่งร่มในมือผมไปถือไว้เสียเอง ก่อนเจ้าตัวจะเดินกลับไปที่รถ ทิ้งผมให้ยืนงงกับคำพูดของเขาพักหนึ่งถึงนึกได้ว่าควรจะกลับไปที่รถบ้าง...เปียกหมดแล้วเจ้าเด็กบ้า


                    “ฉันซื้อขนมมาให้” เมื่อกลับมาถึงรถ ผมก็ยื่นถุงพลาสติกให้คนข้างๆ ชางฮยอนรับไปเปิดดูก่อนจะหันมามองหน้าผม


                    “ขนมที่บ้านคุณเป็นแบบนี้เหรอ” แท่งไอศกรีมเย็นๆ ถูกยื่นมาตรงหน้าผม


                    “ไม่ใช่หรอกเหรอ” ก็เห็นเขียนโฆษณาว่าหวานชื่นใจดีเลยคิดว่าอีกคนน่าจะชอบ


                    “จริงๆ เลยนะ ใครเขากินไอศกรีมตอนฝนตก”


                    “ฉันไง เดี๋ยวกินให้ดูก็ได้” ผมเอื้อมมือไปแย่งสิ่งที่เรียกว่าไอศกรีมมาจากอีกคน แต่ชางฮยอนกลับชักมือหนีแล้วดันผมให้กลับไปนั่งในที่ตัวเองดีๆ


                    “ไม่ต้อง จะไปไหนก็ไป” ชางฮยอนว่าแล้วลงมือแกะซองไอศกรีมเข้าปาก


                    “อยากไปไหนล่ะ”


                    “ทำไม? พาไปได้เหรอ”


                    “ก็ถ้าอยากไปน่ะนะ” นิตยสารท่องเที่ยวในเมืองหลวงถูกยื่นไปตรงหน้า ชางฮยอนรับไปกรีดดูแบบผ่านๆแล้วหัวเราะเหอะออกมาดังลั่น


                    “ผันตัวเองเป็นไกด์นำเที่ยวหรือไง ไม่เป็นพนักงานบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วเหรอ? อ่อ ไม่สิ เป็นยมทูตนี่นา งั้นช่วงนี้ก็พาไปทัวร์นรก-สวรรค์อะไรทำนองนั้นหน่อยสิ ทำได้ไหมล่ะ?”


                    ผมมองหน้าชางฮยอนอึ้งๆ ที่นั่งเงียบไม่พูดมาตลอดทางคงเพราะอัดอั้นตันใจมาก ถึงได้มารัวใส่กันไม่ยั้งแบบนี้ ไม่รู้ว่าในหนึ่งวันเด็กคนนี้จะมีกี่อารมณ์


                    “ถ้าอยากไปจริงๆคงต้องใช้บริการทัวร์ของยมบาลนะ ยมทูตทำไม่ได้หรอก”


                    “ประสาท”


                    ชางฮยอนหันกลับไปจัดการไอศกรีมในมือตัวเอง เห็นแบบนี้แล้วผมดันนึกถึงวันแรกที่เจอเด็กคนนี้ พอได้ต่อล้อต่อเถียงเย้าหยอกชางฮยอนแล้วก็นึกขำ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจบางอารมณ์ของเขาแต่ผมกลับอุ่นใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าชางฮยอนดูจะไม่ได้นึกโกรธเรื่องราวในอดีตแล้ว หรืออาจจะยังโกรธกันอยู่ผมก็ไม่แน่ใจ แต่นั่นมันใช่เรื่องสำคัญที่ไหนกัน


                    “จะหลับไปก็ได้นะ อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึง”

     

     


                    เพราะกว่าฝนจะเบาบางลงก็กินเวลาไปมากโข จึงทำให้มาถึงที่หมายปลายทางช้ากว่าที่คิด


                    “ชเว จงฮยอน...แน่ใจเหรอว่าที่นี่?” ชางฮยอนถามแต่สายตากลับจดจ้องอยู่กับสถานที่เบื้องหน้าไม่วางตา ผมเดินมาหยุดข้างอีกคนแล้วพยักหน้าตอบ สถานที่ที่ดูครึกครื้นเต็มไปด้วยแสงไฟในนิตยสารท่องเที่ยวปรากฏให้เห็นตรงหน้า แต่ที่แตกต่างกันคือที่นี่ช่างมืดมิดเหลือเกิน ..หรือว่าจะมาผิดที่กันนะ ผมยกนิยตสารในมือขึ้นมาเปิดดูสลับกับภาพสถานที่จริง


                    “ช่วยดูเวลาหน่อยได้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” ชางฮยอนหันมาถลึงตาใส่ผม


                    “ฉันไม่มีนาฬิกา จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”


                    “แล้วใครเขามาสวนสนุกกันตอนดึกแบบนี้ล่ะ ห้ะ! ชางฮยอนตะโกนใส่หน้าผมอย่างหงุดหงิดแล้วเดินกระแทกเท้าไปนั่งบนเก้าอี้เหล็กดัดที่เลยจากหน้าสวนสนุกไปนิดหน่อย


    ผมแค่เห็นว่าในนิตยสารเขียนบรรยายเสียดิบดีและคิดว่าเด็กวัยรุ่นแบบชางฮยอนน่าจะชอบสถานที่นี้ก็เลยตัดสินใจมา แต่สุดท้ายมันก็ดูจะล้มเหลว ...มันล้มเหลวนั่นแหละ เพราะเจ้าสวนสนุกแห่งนี้มันดันปิดทำการไปเสียแล้ว ต้องโทษชางฮยอนที่ไม่ยอมบอกว่าอยากจะไปที่ไหนทำให้ผมตัดสินใจผิดพลาด ..ใช่แล้ว มันเป็นแบบนั้นแหละ โชคดีที่แถวนี้อยู่ใกล้กับแม่น้ำเลยมีจุดให้นั่งพักชมวิวแม้มันจะชื้นแฉะไปบ้างเนื่องจากฝนตก


                    ผมเดินตามไปนั่งที่เก้าอี้ยาวอีกตัวถัดจากชางฮยอนที่นั่งเหยียดตัวจนสุด เอาคอตั้งไว้บนพนักพิง หลับตาพักผ่อนโดยไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะเปียกหรือเปล่า ผมนั่งมองน้ำในแม่น้ำตรงหน้าที่ยังคงผ่านไหลไปไม่หยุดหย่อน นึกอิจฉาสายน้ำทุกสายที่เพียงแค่ผ่านมาแล้วผ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีวันไหลย้อนกลับ  เหมือนการที่เราตัดสินใจอะไรไปแล้วจะกลับไปแก้ไขก็คงทำได้ยากหรือเป็นไม่ได้เลย


                    ไม่รู้ว่าชางฮยอนต้องทนเจ็บปวดมานานแค่ไหนกับความทรงจำในอดีต รวมถึงสิ่งที่ตัวเขาต้องพบเจอหลังจากนั้นด้วย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็ยังมั่นใจว่าตัวเองเลือกไม่ผิดและยังจะเลือกให้เป็นแบบนั้นแน่ แต่ความผิดพลาดของผมคือการเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับชางฮยอนเอง ที่น่าแปลกใจคือชางฮยอนยังคงจดจำเขาได้ดี


                    หรือผมควรจะให้เขาได้อยู่ต่อไป


                    “หากถึงเวลาที่คุณต้องเลือก อย่าให้ความรู้สึกบดบังหน้าที่ของคุณนะครับ คุณชเว”

                    คำพูดของชายชราดังขึ้นในความคิด

     

    อย่าให้ความรู้สึกมาบดบังหน้าที่...งั้นเหรอ?

     

    “จริงสิ!” จู่ๆคนที่ทำท่าเหมือนจะหลับไปก็โพล่งขึ้นมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ทำเอาผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ แน่ล่ะ ในเวลาแบบนี้และความเงียบขนาดนี้มันก็ต้องได้ยินเสียงดังชัดเจนเป็นธรรมดา ผมหันมองชางฮยอน เจ้าตัวลุกขึ้นแล้วดึงข้อมือผมไปที่รถโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น ความรู้สึกเหมือนทั้งตัวชาวาบตอนที่โดนสัมผัสที่ข้อมือมันคืออะไร ผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่


    ชางฮยอนยัดผมให้เข้าไปที่นั่งข้างคนขับส่วนตัวเองก็เดินวนไปที่นั่งคนขับด้วยความรวดเร็ว


    “เดี๋ยวสิ นานจะรีบไปไหน แล้วขับรถเป็นหรือไง?”


    “ไม่เป็น” ชางฮยอนว่าแล้วหันไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองและสตาร์ทรถ เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ


    “นายจะบ้าหรือไง เดี๋ยวก็ตายกันพอดี”


    “คุณบอกว่าผมจะไม่ตายไม่ใช่เหรอ? นั่งเฉยๆไปเถอะ” ผมมองชางฮยอนที่ดูลังเลกับการเปลี่ยนเกียร์เล็กน้อยแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออึกใหญ่...เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกลัวตายมากขนาดนี้ทั้งที่ความจริงผมไม่ได้มีลมหายใจอยู่เป็นมนุษย์โลกแล้วก็ตาม เกิดบ้าบิ่นอะไรขึ้นมาล่ะนั่น


    โชคดีที่กลางดึกแบบนี้ถนนค่อนข้างโล่งเลยไม่น่าเป็นกังวลเท่าไหร่นัก ตลอดทางผมก็ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรทำนองนั้น ถึงแม้ว่าชางฮยอนจะยังไม่ตายแต่ชีวิตของคนอื่นบนท้องถนนมันก็ไม่แน่ หรือไม่ถ้าหากเกิดไปเฉี่ยวชนรถคนอื่นก็คงจะเลี่ยงไม่จ่ายค่าปรับไม่ได้ เผลอๆชางฮยอนเองนั่นแหละที่จะโดนตำรวจจับเพราะมีคดีติดตัวอยู่แถมไปสร้างเรื่องเพิ่มอีก


    ชางฮยอนเหยียบเบรกกะทันหันจนศีรษะผมเกือบจะไปกระแทกเข้ากับคอนโซลรถ แต่โชคดีว่าเข็มขัดนิรภัยช่วยชีวิตเอาไว้ก่อนเลยไม่ต้องบาดเจ็บทางกาย


    “วินาทีเสี่ยงตายความรู้สึกเป็นแบบนี้สินะ”


    “อย่ามาเว่อร์หน่า” เว่อร์ที่ไหนกัน ความจริงล้วนๆ


    ชางฮยอนดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถไปผมจึงลงตาม ด้านหน้าพวกเราตอนนี้เป็นชิงช้าสวรรค์ขนาดกลางกับผู้คนที่ต่อแถวรอขึ้นกันยาวเหยียด ลองประมาณดูคาดว่าน่าจะเกิน 30 คน แสงไฟที่ติดตกแต่งประดับอยู่ทั่วก็ดูสวยงามเหมือนเป็นเทศกาลอะไรสักอย่าง


    “ชิงช้าสวรรค์? ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ” ผมถาม


    ชางฮยอนมองไปรอบๆเหมือนเจ้าตัวจะคิดอะไรบางอย่างอยู่แล้วยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขขนาดนี้ ถึงจะเป็นแค่ยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อยก็เถอะ หน้าตาดูมีความสุขขึ้นมาจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีความสุขอะไรนัก แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่หันมามองแล้วเดินนำหน้าไปเรื่อย


    ที่นี่ดูเหมือนเป็นสวนสาธารณะมากกว่าแต่ดันเป็นสวนสาธารณะที่เปิดตอนกลางคืนนี่สิ ฝั่งที่ตรงข้ามกับชิงช้าเป็นแม่น้ำและที่เนินด้านข้างก็มีผู้คนจับจองปูเสื่อกันเป็นหย่อมๆ ชางฮยอนหยุดเดินแล้วหันไปมองในทิศทางเดียวกับสายตาอีกหลายคู่ ป้ายประกาศที่ปักอยู่ตามถนนทำให้ผมเข้าใจว่าที่แท้วันนี้ก็เป็นงานแสดงดอกไม้ไฟประจำปีนั่นเอง


    “ยังไม่บอกเลยนะว่าทำไมถึงมาที่นี่”


    “คุณบอกว่าผมอยากไปที่ไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอ เลิกถามมากได้แล้ว” ชางฮยอนทำเมินใส่ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับท้องฟ้าดำมืดที่ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวง ผมส่ายหน้าเหนื่อยใจแล้วมองรูปชิงช้ากับพลุในป้ายประกาศสลับกับภาพแบล็คกราวที่เป็นชิงช้าสวรรค์ของจริง


    ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว ตอนที่ผมเคยตรวจสอบหญิงสาวคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเธอก็ชวนผมมาดูพลุบนชิงชเสวรรค์ จำได้ว่าบรรยากาศตอนนั้นมันดีเกินคาดแต่ว่า.....นั่นแหละ ก็เป็นอย่างที่พวกคุณคิด


                    “มานี่สิ” ผมดึงฮู้ดด้านหลังชางฮยอนให้เดินตามมา เด็กนั่นโวยวายใหญ่แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมเดินมาต่อแถวชิงช้าสวรรค์ที่มันสั้นลงกว่าเดิมไปพอสมควรแล้ว ผมปล่อยมือออกจากฮู้ดพอดีกับที่ชางฮยอนสะบัดตัวออกไป


                    “ทำอะไรของคุณ อยากตายเหรอ” ชางฮยอนเหลือบมองผมและทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างหนัก ผมเลยพูดต่อ “ถ้าจะดูพลุก็ต้องดูบนที่สูงถึงจะสวย”


                    “ไม่เอาด้วยหรอก” คนตัวเล็กว่าแล้วเดินออกจากแถวไปแต่ไม่ไวเท่ามือผมที่คว้าฮู้ดอีกคนเอาไว้ได้ทัน


                    “เดี๋ยว...กลัวเหรอ”


                    “ใครกลัว? ไม่อยากขึ้น มีปัญหามากนักหรือไง” ชางฮยอนทำท่าจะเดินออกไปอีกพอดีกับช่วงที่แถวเริ่มขยับมาจวนจะถึงคิวของพวกเรา


                    “ถ้าไม่กลัวก็ขึ้นสิ ถ้าไม่ขึ้นก็แสดงว่ากลัว ไม่มีเหตุผลอื่น” ผมยักคิ้วท้าทาย ผมรู้ว่าชางฮยอนน่ะต้องกลัวที่แคบแน่ๆ ถึงได้ไม่ยอมขึ้นชิงช้าสวรรค์ แต่ว่าใครจะยอมให้เป็นแบบนั้นล่ะ โอกาสมันก็ไม่ได้มีมากเสียด้วย หมายถึงโอกาสของผมที่จะได้มาทำอะไรแบบนี้ในวันที่ฝนไม่ตกน่ะนะ แล้วคนแบบชางฮยอนแค่ยุให้ยั๊วะนิดหน่อยก็พอใช้ได้


                    “อ่า กลัวจริงด้วย”


                    “ใครกลัววะ” เขาว่างั้นพอดีกับที่กระเช้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าและชางฮยอนก็ขึ้นไปนั่ง เห็นไหมแค่นี้เอง


                    เจ้าหน้าที่ปิดประตูกระเช้า เครื่องจักรหมุนทำงานให้ตัวกระเช้าเคลื่อนที่ขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งสูงมากขึ้นพวกวัตถุด้านล่างก็เล็กลงตามไปด้วยและคนที่บอกว่าไม่กลัวแล้วเดินนำมาขึ้นชิงช้าก่อนนั้นตอนนี้นั่งนิ่งราวกับโดนฉาบไว้ด้วยปูนซีเมนต์ เอาแต่นั่งมองปลายเท้าตัวเองไม่ได้สนใจวิวทิวทัศน์แสนสวยด้านนอกนั่นเลย ผมย้ายตัวมานั่งฝั่งเดียวกับคนที่กำลังนั่งสั่นเป็นเจ้าเข้า ชางฮยอนละสายตาจากปลายเท้าตัวเองมามองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง


                    “จะมานั่งฝั่งนี้ทำไม กลับไปนั่งฝั่งตัวเองสิ มันเอียงแล้วเห็นมั้ย รีบไปเลยนะ” ว่าจบก็รีบหลับตาปี๋แล้วกลับไปมองปลายเท้าตัวเองอีกครั้ง ตัวเองกลัวมากขนาดนี้ยังจะกล้ามาบ่นมาว่าคนอื่นอีก ตลกดี


                    “ไหนบอกไม่กลัวไง”


                    “ก็ไม่ได้กลัวไง”


                    “คนไม่กลัวที่ไหนเอาแต่มองปลายเท้าตัวเอง ..นี่ เขาจุดพลุกันแล้วนะ เงยหน้ามาดูสิ” เสียงหวีดดังพร้อมกับลำเส้นสีขาวพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้าก่อนจะกระจายตัวออกเป็นสีสันหลากสี พลุถูกจุดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ชางฮยอนก็ยังคงไม่สนใจ เขายังคงก้มหน้าหลับตาอยู่แบบเดิม


                    “อย่ากลัวสิ ฉันก็อยู่กับนายตรงนี้ ไม่เป็นอะไรสักหน่อย” ผมว่าพรางจับไหล่ทั้งสองข้างของชางฮยอนให้หันออกไปด้านหลังของเขา ภาพสะท้อนจากกระจกใสพอทำให้เห็นว่าเจ้าตัวยังคงปิดตาแน่นสนิท


                    “ลืมตาดูสิ นายอยากดูไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องคิดถึงว่าตอนนี้ตัวนายอยู่ที่ไหน แค่ลืมตาขึ้นมาดูสิ่งที่นายอยากเห็นก็พอแล้ว...มันสวยมากเลยนะ” ผมมองภาพสะท้อนในกระจกใส ชางฮยอนเม้มปากแน่นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละนิดพอดีกับที่กระเช้าของพวกผมหยุดค้างอยู่บนจุดสูงสุดพอดี


                    “เป็นไง” ผมเอ่ยถาม ชางฮยอนมองพลุหลากสีสันที่กำลังแต่งแต้มท้องฟ้าสีดำมืดให้มีแสงสว่างสวยงาม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหน เป็นรอยยิ้มจริงๆที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งหรือเสแสร้งแกล้งทำเลยแม้แต่น้อย แววตากลมโตดูซุกซนราวกับเด็กน้อย สองมือยกขึ้นวางทาบไปกับกระจกใสและเปล่งเสียงแผ่วเบาแต่กลับได้ยินชัดเจน “สวยจัง”


                    ผมมองท่าทางเหล่านั้นผ่านทางภาพที่สะท้อนบนกระจกใส ตั้งแต่ที่เจอกันชางฮยอนไม่เคยยิ้มแบบนี้เลยสักครั้ง ดวงตากลมโตนั้นหม่นหมองอยู่ตลอดเวลาผิดกับในเวลานี้นักจนผมเผลอยิ้มตามออกมา ถ้าหากว่าในตอนนั้นตัวผมไม่ตัดสินใจไปแบบนั้น ชีวิตของเด็กคนนี้คงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายเหมือนที่เจ้าตัวตัดพ้อผมเมื่อตอนสาย ผมฉุกคิดได้ว่า.. ผมเองที่เป็นคนพรากสิ่งเหล่านั้นไปจากคนด้านข้างและมอบโลกที่โหดร้ายให้กับเขา


                    หลังจากชิงช้าสวรรค์หมุนครบรอบ เจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูให้เราออกมา ผู้คนเริ่มทยอยกลับกันแล้วหลังจากพลุนัดสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์ของงานถูกจุดขึ้น ผมอาสาไปซื้อเครื่องดื่มกับแฮมเบอร์เกอร์ให้ส่วนชางฮยอนเดินไปนั่งรอที่ม้านั่งเสร็จแล้วจึงตามมานั่งด้วย


                    “อ่ะ” ผมแนบกระป๋องน้ำผลไม้กับแก้มของชางฮยอนที่กำลังนั่งหลับตาพริ้มอยู่บนม้านั่ง หมอนั่นยื่นคอหนีความเย็น ส่งเสียงจึปากแล้วคว้ากระป๋องน้ำผลไม้ไปวางไว้บนหน้าตักพร้อมรับแฮมเบอร์เกอร์ไปไว้อีกมือด้วย เขาลงมือกินทันทีโดยไม่รอช้า ผมจึงหย่อนสะโพกนั่งลงบ้าง


                    “แล้วคุณไม่กินเหรอ อ่อ ไม่จำเป็นสินะ” เด็กชายพูดเสร็จก็พยักหน้าให้กับตัวเองแล้วกินต่อ ผมส่ายหน้าน้อยๆกับความชอบพูดจากระแนะกระแหนของเขา ท้องฟ้ากลางคืนมืดครึ้มจนไม่อาจเดาได้ว่าฝนจะตกลงมาอีกหรือไม่ แม้ลมที่พัดผ่านตัวไปจะพาเอาความชื้นและความหนาวเย็นมาด้วยก็ตาม


                    “ถามอะไรหน่อยสิ” ชางฮยอนถามทั้งที่ในปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ


                    “อืม ว่ามาสิ” ผมตอบ เขากัดเบอร์เกอร์เข้าปากอีกหนึ่งคำ เคี้ยวสามสี่ครั้งแล้วกลืนลงคอ


                    “คุณจะตัดสินให้ผมตายรึเปล่า”


                    “ทำไมถึงถามล่ะ” ผมหันไปมองชางฮยอนที่ดูจะตั้งใจกับการกินเสียยิ่งกว่าจะสนใจคำถามที่ตัวเองถามหรือคำตอบที่จะได้รับไปเสียอีก


                    “ถามก็ตอบๆมาเถอะ” จะให้ตอบไปว่ายังไงดีล่ะ ตอนนี้ผมยังคิดไม่ได้ด้วยซ้ำว่าควรจะตัดสินใจยังไงดี ให้เขาอยู่ต่อไปหรือมีจุดจบแบบเดียวกับคนอื่น ผมก็ไม่แน่ใจ


                    “ก็..ไม่แน่” ไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจแบบไหนดี ตัดสินใจยังไงกูดูไม่เป็นทางดีเลยสักทางเดียว แต่ว่าที่ผมสงสัยน่ะ...“นายไม่โกรธฉันแล้วเหรอ”


                    “ถ้าหมายถึงเรื่องพ่อก็ไม่รู้จะโกรธไปทำไมยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ คุณก็คงทำไปตามหน้าที่” ชางฮยอนส่งเบอร์เกอร์คำสุดท้ายเข้าปากแล้วเอากระป๋องน้ำขึ้นมาเปิด ที่ทำตัวเงียบๆตลอดทางกลับก็คงเป็นเพราะคิดเรื่องนี้อยู่สินะ


                    “คิดได้ก็ดี”


                    “ชิ เงียบไปเลย ..งั้นขอถามอีก”


                    “ไหนบอกให้เงียบ..” ชางฮยอนหันขวับมามองผมเขม็งทำเอาผมจำเป็นต้องยกธงขาว “..ก็ได้ๆ ถามมา”


                    “ทำไมถึงได้มาเป็นยมทูตเหรอ?” ผมหันมองหน้าชางฮยอนที่มองผมอยู่ก่อนแล้วกลายเป็นผมที่ต้องหลบสายตานั้นมาเสียเอง จะว่ายังไงดีล่ะ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมาเป็นยมทูตได้ยังไงหรือว่าทำไมถึงกลายมาเป็นยมทูตแบบนี้ เรื่องราวก่อนหน้านั้นผมก็จำไม่ได้สักอย่างเหมือนกับว่ามันได้ถูกลบออกไปเสียจนหมดสิ้นแล้ว


                    “ไม่รู้สิ จำไม่ได้แล้วแหะ”


                    “แล้วแผ่นเพลงในรถนั่นล่ะ ทำไมคุณถึงหยิบออกมาด้วย”


                    “แผ่นเพลง?” ผมนึกไปตามที่ชางฮยอนบอก คงหมายถึงแผ่นเพลงแผ่นนั้นที่ผมหยิบออกมาจากบ้านของชางฮยอนด้วย ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หยิบมันออกมาด้วยแต่ว่าผมรู้สึกคุ้นเคยกับแผ่นเพลงนั้นมาก อาจจะเป็นเพราะบนซองของมันเขียนคำว่า ชเว เอาไว้ก็ได้ แต่จะว่าไปแล้วคนที่นามสกุลเชวก็มีอยู่เต็มไปหมด คงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า


                    “ไม่รู้เหมือนกัน”


                    “เอ้ะ! ยมทูตนี่รู้จักแค่เรื่องความตายอย่างเดียวเหรอ”


                    “ฉันก็รู้หลายเรื่องหน่า..ดึกแล้ว ไปหาที่นอนเถอะ” ผมบอกปัดไป ไม่อย่างนั้นชางฮยอนคงได้ซักไซ้ไปมากกว่านี้แน่ แทนที่ผมจะเป็นคนตรวจสอบแต่ดูเหมือนกลายเป็นคนโดนตรวจสอบไปซะงั้น


                    “ไม่นอนในรถนะ”


                    “ยังไม่หายกลัวอีกหรือไง” ผมนึกถึงเรื่องตอนที่โรงแรมขึ้นมาแล้วก็นึกขำ อีกคนกลัวใหญ่แต่ก็ยังคงปากแข็ง แถมยังเอาเรื่องอื่นมาขู่อีก เหมือนกับตอนนี้ไม่มีผิด


                    “ก็บอกว่าไม่ได้กลัว”


                    “รู้แล้วๆ เห็นมั้ย มีอีกเรื่องแล้วที่ฉันรู้”


                    “เหอะ คุยกับคุณนี่ปวดหัวจริงๆ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากที่นั่ง กระดกน้ำหวานอึกสุดท้ายลงคอแล้วทิ้งกระป๋องลงในถังขยะ


                    “งั้นแวะร้านขายยาหน่อยดีมั้ย”


                    “รีบมา ไม่งั้นจะเอารถไปแหกโค้ง”


                    “ไปแล้วๆ” ผมลุกขึ้นเดินตามไปก่อนที่อีกคนจะทำตามที่ว่าจริงๆ แน่ล่ะ รถก็มีอยู่คันเดียว จะยอมเอาไปเสี่ยงแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่อง และคนแบบชางฮยอนพูดแล้วทำจริงด้วยแน่นอน


                    ผมปล่อยความคิดไปเรื่อย คำถามของชางฮยอนทำให้ผมสงสัยอย่างจริงจังว่าทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นยมทูต แล้วยมทูตคนอื่นที่เป็นเหมือนผมเขาจะยังจำเรื่องทุกอย่างได้อยู่ไหมนะ

     

     





    - - - - - - -

    พอเว้นแบบนี้แล้วอ่านง่ายขึ้นไหมนะ ใครเข้ามาอ่านแล้วก็อ่านใหม่นะ 55555555555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×