คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : SEVEN DAYS | 5
5
กี่วันแล้วนะที่ผมอยู่กับชางฮยอน
วันนี้คงเป็นเที่ยงของวันที่สามแล้วที่ผมตรวจสอบเขา
เพียงเวลาแค่สามวันแต่ในความรู้สึกของผมราวกับเป็นเวลานานหลายสัปดาห์เหลือเกินที่อยู่ด้วยกัน
ยิ่งได้รับรู้เรื่องในอดีตนั้นมันยิ่งทำให้ผมเกิดลังเลที่จะตัดสินใจว่าตัวเองควรเลือกอะไร
หากผมเลือกที่จะปล่อยคนด้านข้างนี้ไป
ผมก็มั่นใจเหลือเกินว่าสักวันหนึ่งโชคชะตาคงเล่นตลกส่งผมกลับมาหาเด็กคนนี้อีกเป็นแน่
แล้วถ้าถึงตอนนั้นผมจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาอีกเป็นครั้งที่สาม
ชีวิตของเด็กคนนี้จะต้องพบเจอกับความตายตลอดทุกช่วงชีวิตของเขาเลยเชียวหรือ?
แต่ถ้าหากจะเลือกรับไว้มันก็ลำบากใจเหลือเกิน
ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้
ไม่สิ ทำไมตัวเองถึงมีความคิดแบบนี้กันนะ
ตั้งแต่ที่ผมบอกไปว่าตัวเองเป็นยมทูต
เด็กคนนั้นทำเพียงแค่เดินกลับเข้ามาในรถเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร
บรรยากาศตอนนี้ชวนอึดอัดเสียยิ่งกว่าวันแรกที่เราเจอกันหลายร้อยเท่านัก
ผมจึงทำได้แค่ก้มหน้าขับรถออกมาจากสถานที่แห่งนั้น
ที่ซึ่งมีความทรงจำแสนเจ็บปวดของชางฮยอนอยู่และมุ่งหน้ากลับเข้าไปในเมืองหลวง...ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆ
ออกมาราวสามชั่วโมง
ฝนเทลงมาอย่างหนักยิ่งทำให้วิสัยทัศน์ในการจราจรย่ำแย่กว่าเดิมหลายเท่า
ที่ปัดฝนทำหน้าที่ของมันได้ไม่ดีเท่าที่ควร ผมเลยตัดสินใจแวะเข้าปั้มน้ำมันข้างทางเพื่อรอฝนหยุดตก
ชางฮยอนหลับไปแล้ว ผมเหลือบมองตัวเลขบอกเวลาตรงเครื่องเล่นเพลง
ตัวเลขดิจิตอลสีแดงบอกเวลาบ่ายกว่าๆ ผมหยุดรถตรงหน้ามินิมาร์ทแบบที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เอี้ยวตัวไปหยิบร่มจากด้านหลังรถมากาง
บริเวณด้านหน้ามินิมาร์ทคนเยอะพอสมควร คงหาที่หลบฝนกัน ผมเดินเข้าไปตรงโซนนิตยสาร หยิบมันขึ้นมาอ่านเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยหลายต่อหลายเล่มจนเจอเล่มที่ถูกใจจึงหยิบไปจ่ายเงินและไม่ลืมหาของกินเล่นติดไม้ติดมือมาด้วย ผมเดินไปที่รถพร้อมถุงพลาสติกในมือแต่เมื่อประตูรถเปิดออก คนที่คิดว่าหลับอยู่ตรงที่นั่งอีกฝั่งกลับว่างเปล่า
หายไปไหนของเขา? หรือว่ากลัวจนหนีไปแล้ว
ผมโยนถุงพลาสติกไว้ในรถ
ยืนสอดส่องมองหาชางฮยอนสักพักแต่ก็ไม่เห็นคนที่กำลังตามหาอยู่ในบริเวณนั้น
ห้องน้ำหรือภายในมินิมาร์ทก็ไม่มี
“ทำอะไรน่ะ”
เสียงเล็กดังมาจากด้านหลังพอดีกับที่ผมหันกลับไป
ถึงไม่ใช่คนขวัญอ่อนแต่ก็ตกใจอยู่ไม่น้อย
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเหมือนเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียง
“คิดว่ากลัวจนหนีไปแล้วซะอีก”
“อย่าคิดว่าคนอื่นเขาเหมือนตัวเองหน่อยเลย”
ชางฮยอนว่าแล้วแย่งร่มในมือผมไปถือไว้เสียเอง ก่อนเจ้าตัวจะเดินกลับไปที่รถ ทิ้งผมให้ยืนงงกับคำพูดของเขาพักหนึ่งถึงนึกได้ว่าควรจะกลับไปที่รถบ้าง...เปียกหมดแล้วเจ้าเด็กบ้า
“ฉันซื้อขนมมาให้” เมื่อกลับมาถึงรถ
ผมก็ยื่นถุงพลาสติกให้คนข้างๆ ชางฮยอนรับไปเปิดดูก่อนจะหันมามองหน้าผม
“ขนมที่บ้านคุณเป็นแบบนี้เหรอ” แท่งไอศกรีมเย็นๆ
ถูกยื่นมาตรงหน้าผม
“ไม่ใช่หรอกเหรอ”
ก็เห็นเขียนโฆษณาว่าหวานชื่นใจดีเลยคิดว่าอีกคนน่าจะชอบ
“จริงๆ เลยนะ
ใครเขากินไอศกรีมตอนฝนตก”
“ฉันไง เดี๋ยวกินให้ดูก็ได้”
ผมเอื้อมมือไปแย่งสิ่งที่เรียกว่าไอศกรีมมาจากอีกคน
แต่ชางฮยอนกลับชักมือหนีแล้วดันผมให้กลับไปนั่งในที่ตัวเองดีๆ
“ไม่ต้อง จะไปไหนก็ไป” ชางฮยอนว่าแล้วลงมือแกะซองไอศกรีมเข้าปาก
“อยากไปไหนล่ะ”
“ทำไม? พาไปได้เหรอ”
“ก็ถ้าอยากไปน่ะนะ”
นิตยสารท่องเที่ยวในเมืองหลวงถูกยื่นไปตรงหน้า
ชางฮยอนรับไปกรีดดูแบบผ่านๆแล้วหัวเราะเหอะออกมาดังลั่น
“ผันตัวเองเป็นไกด์นำเที่ยวหรือไง
ไม่เป็นพนักงานบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วเหรอ? อ่อ ไม่สิ เป็นยมทูตนี่นา
งั้นช่วงนี้ก็พาไปทัวร์นรก-สวรรค์อะไรทำนองนั้นหน่อยสิ
ทำได้ไหมล่ะ?”
ผมมองหน้าชางฮยอนอึ้งๆ
ที่นั่งเงียบไม่พูดมาตลอดทางคงเพราะอัดอั้นตันใจมาก
ถึงได้มารัวใส่กันไม่ยั้งแบบนี้ ไม่รู้ว่าในหนึ่งวันเด็กคนนี้จะมีกี่อารมณ์
“ถ้าอยากไปจริงๆคงต้องใช้บริการทัวร์ของยมบาลนะ
ยมทูตทำไม่ได้หรอก”
“ประสาท”
ชางฮยอนหันกลับไปจัดการไอศกรีมในมือตัวเอง
เห็นแบบนี้แล้วผมดันนึกถึงวันแรกที่เจอเด็กคนนี้
พอได้ต่อล้อต่อเถียงเย้าหยอกชางฮยอนแล้วก็นึกขำ
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจบางอารมณ์ของเขาแต่ผมกลับอุ่นใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าชางฮยอนดูจะไม่ได้นึกโกรธเรื่องราวในอดีตแล้ว
หรืออาจจะยังโกรธกันอยู่ผมก็ไม่แน่ใจ แต่นั่นมันใช่เรื่องสำคัญที่ไหนกัน
“จะหลับไปก็ได้นะ อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึง”
เพราะกว่าฝนจะเบาบางลงก็กินเวลาไปมากโข
จึงทำให้มาถึงที่หมายปลายทางช้ากว่าที่คิด
“ชเว จงฮยอน...แน่ใจเหรอว่าที่นี่?” ชางฮยอนถามแต่สายตากลับจดจ้องอยู่กับสถานที่เบื้องหน้าไม่วางตา
ผมเดินมาหยุดข้างอีกคนแล้วพยักหน้าตอบ
สถานที่ที่ดูครึกครื้นเต็มไปด้วยแสงไฟในนิตยสารท่องเที่ยวปรากฏให้เห็นตรงหน้า
แต่ที่แตกต่างกันคือที่นี่ช่างมืดมิดเหลือเกิน ..หรือว่าจะมาผิดที่กันนะ
ผมยกนิยตสารในมือขึ้นมาเปิดดูสลับกับภาพสถานที่จริง
“ช่วยดูเวลาหน่อยได้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
ชางฮยอนหันมาถลึงตาใส่ผม
“ฉันไม่มีนาฬิกา
จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”
“แล้วใครเขามาสวนสนุกกันตอนดึกแบบนี้ล่ะ
ห้ะ!” ชางฮยอนตะโกนใส่หน้าผมอย่างหงุดหงิดแล้วเดินกระแทกเท้าไปนั่งบนเก้าอี้เหล็กดัดที่เลยจากหน้าสวนสนุกไปนิดหน่อย
ผมแค่เห็นว่าในนิตยสารเขียนบรรยายเสียดิบดีและคิดว่าเด็กวัยรุ่นแบบชางฮยอนน่าจะชอบสถานที่นี้ก็เลยตัดสินใจมา
แต่สุดท้ายมันก็ดูจะล้มเหลว ...มันล้มเหลวนั่นแหละ
เพราะเจ้าสวนสนุกแห่งนี้มันดันปิดทำการไปเสียแล้ว ต้องโทษชางฮยอนที่ไม่ยอมบอกว่าอยากจะไปที่ไหนทำให้ผมตัดสินใจผิดพลาด
..ใช่แล้ว มันเป็นแบบนั้นแหละ โชคดีที่แถวนี้อยู่ใกล้กับแม่น้ำเลยมีจุดให้นั่งพักชมวิวแม้มันจะชื้นแฉะไปบ้างเนื่องจากฝนตก
ผมเดินตามไปนั่งที่เก้าอี้ยาวอีกตัวถัดจากชางฮยอนที่นั่งเหยียดตัวจนสุด
เอาคอตั้งไว้บนพนักพิง หลับตาพักผ่อนโดยไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะเปียกหรือเปล่า
ผมนั่งมองน้ำในแม่น้ำตรงหน้าที่ยังคงผ่านไหลไปไม่หยุดหย่อน
นึกอิจฉาสายน้ำทุกสายที่เพียงแค่ผ่านมาแล้วผ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีวันไหลย้อนกลับ เหมือนการที่เราตัดสินใจอะไรไปแล้วจะกลับไปแก้ไขก็คงทำได้ยากหรือเป็นไม่ได้เลย
ไม่รู้ว่าชางฮยอนต้องทนเจ็บปวดมานานแค่ไหนกับความทรงจำในอดีต
รวมถึงสิ่งที่ตัวเขาต้องพบเจอหลังจากนั้นด้วย
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็ยังมั่นใจว่าตัวเองเลือกไม่ผิดและยังจะเลือกให้เป็นแบบนั้นแน่
แต่ความผิดพลาดของผมคือการเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับชางฮยอนเอง
ที่น่าแปลกใจคือชางฮยอนยังคงจดจำเขาได้ดี
หรือผมควรจะให้เขาได้อยู่ต่อไป
“หากถึงเวลาที่คุณต้องเลือก
อย่าให้ความรู้สึกบดบังหน้าที่ของคุณนะครับ คุณชเว”
คำพูดของชายชราดังขึ้นในความคิด
อย่าให้ความรู้สึกมาบดบังหน้าที่...งั้นเหรอ?
“จริงสิ!” จู่ๆคนที่ทำท่าเหมือนจะหลับไปก็โพล่งขึ้นมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง
ทำเอาผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ แน่ล่ะ
ในเวลาแบบนี้และความเงียบขนาดนี้มันก็ต้องได้ยินเสียงดังชัดเจนเป็นธรรมดา
ผมหันมองชางฮยอน
เจ้าตัวลุกขึ้นแล้วดึงข้อมือผมไปที่รถโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น ความรู้สึกเหมือนทั้งตัวชาวาบตอนที่โดนสัมผัสที่ข้อมือมันคืออะไร
ผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
ชางฮยอนยัดผมให้เข้าไปที่นั่งข้างคนขับส่วนตัวเองก็เดินวนไปที่นั่งคนขับด้วยความรวดเร็ว
“เดี๋ยวสิ นานจะรีบไปไหน แล้วขับรถเป็นหรือไง?”
“ไม่เป็น” ชางฮยอนว่าแล้วหันไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองและสตาร์ทรถ
เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ
“นายจะบ้าหรือไง เดี๋ยวก็ตายกันพอดี”
“คุณบอกว่าผมจะไม่ตายไม่ใช่เหรอ? นั่งเฉยๆไปเถอะ”
ผมมองชางฮยอนที่ดูลังเลกับการเปลี่ยนเกียร์เล็กน้อยแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออึกใหญ่...เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกลัวตายมากขนาดนี้ทั้งที่ความจริงผมไม่ได้มีลมหายใจอยู่เป็นมนุษย์โลกแล้วก็ตาม
เกิดบ้าบิ่นอะไรขึ้นมาล่ะนั่น
โชคดีที่กลางดึกแบบนี้ถนนค่อนข้างโล่งเลยไม่น่าเป็นกังวลเท่าไหร่นัก
ตลอดทางผมก็ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรทำนองนั้น ถึงแม้ว่าชางฮยอนจะยังไม่ตายแต่ชีวิตของคนอื่นบนท้องถนนมันก็ไม่แน่
หรือไม่ถ้าหากเกิดไปเฉี่ยวชนรถคนอื่นก็คงจะเลี่ยงไม่จ่ายค่าปรับไม่ได้
เผลอๆชางฮยอนเองนั่นแหละที่จะโดนตำรวจจับเพราะมีคดีติดตัวอยู่แถมไปสร้างเรื่องเพิ่มอีก
ชางฮยอนเหยียบเบรกกะทันหันจนศีรษะผมเกือบจะไปกระแทกเข้ากับคอนโซลรถ
แต่โชคดีว่าเข็มขัดนิรภัยช่วยชีวิตเอาไว้ก่อนเลยไม่ต้องบาดเจ็บทางกาย
“วินาทีเสี่ยงตายความรู้สึกเป็นแบบนี้สินะ”
“อย่ามาเว่อร์หน่า” เว่อร์ที่ไหนกัน ความจริงล้วนๆ
ชางฮยอนดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถไปผมจึงลงตาม
ด้านหน้าพวกเราตอนนี้เป็นชิงช้าสวรรค์ขนาดกลางกับผู้คนที่ต่อแถวรอขึ้นกันยาวเหยียด
ลองประมาณดูคาดว่าน่าจะเกิน 30 คน
แสงไฟที่ติดตกแต่งประดับอยู่ทั่วก็ดูสวยงามเหมือนเป็นเทศกาลอะไรสักอย่าง
“ชิงช้าสวรรค์? ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ” ผมถาม
ชางฮยอนมองไปรอบๆเหมือนเจ้าตัวจะคิดอะไรบางอย่างอยู่แล้วยิ้มออกมา
เป็นครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขขนาดนี้
ถึงจะเป็นแค่ยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อยก็เถอะ หน้าตาดูมีความสุขขึ้นมาจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีความสุขอะไรนัก
แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่หันมามองแล้วเดินนำหน้าไปเรื่อย
ที่นี่ดูเหมือนเป็นสวนสาธารณะมากกว่าแต่ดันเป็นสวนสาธารณะที่เปิดตอนกลางคืนนี่สิ
ฝั่งที่ตรงข้ามกับชิงช้าเป็นแม่น้ำและที่เนินด้านข้างก็มีผู้คนจับจองปูเสื่อกันเป็นหย่อมๆ
ชางฮยอนหยุดเดินแล้วหันไปมองในทิศทางเดียวกับสายตาอีกหลายคู่ ป้ายประกาศที่ปักอยู่ตามถนนทำให้ผมเข้าใจว่าที่แท้วันนี้ก็เป็นงานแสดงดอกไม้ไฟประจำปีนั่นเอง
“ยังไม่บอกเลยนะว่าทำไมถึงมาที่นี่”
“คุณบอกว่าผมอยากไปที่ไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอ เลิกถามมากได้แล้ว” ชางฮยอนทำเมินใส่ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับท้องฟ้าดำมืดที่ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวง
ผมส่ายหน้าเหนื่อยใจแล้วมองรูปชิงช้ากับพลุในป้ายประกาศสลับกับภาพแบล็คกราวที่เป็นชิงช้าสวรรค์ของจริง
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว
ตอนที่ผมเคยตรวจสอบหญิงสาวคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเธอก็ชวนผมมาดูพลุบนชิงชเสวรรค์
จำได้ว่าบรรยากาศตอนนั้นมันดีเกินคาดแต่ว่า.....นั่นแหละ ก็เป็นอย่างที่พวกคุณคิด
“มานี่สิ”
ผมดึงฮู้ดด้านหลังชางฮยอนให้เดินตามมา เด็กนั่นโวยวายใหญ่แต่ผมไม่สนใจหรอก
ตอนนี้ผมเดินมาต่อแถวชิงช้าสวรรค์ที่มันสั้นลงกว่าเดิมไปพอสมควรแล้ว
ผมปล่อยมือออกจากฮู้ดพอดีกับที่ชางฮยอนสะบัดตัวออกไป
“ทำอะไรของคุณ อยากตายเหรอ” ชางฮยอนเหลือบมองผมและทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างหนัก
ผมเลยพูดต่อ “ถ้าจะดูพลุก็ต้องดูบนที่สูงถึงจะสวย”
“ไม่เอาด้วยหรอก”
คนตัวเล็กว่าแล้วเดินออกจากแถวไปแต่ไม่ไวเท่ามือผมที่คว้าฮู้ดอีกคนเอาไว้ได้ทัน
“เดี๋ยว...กลัวเหรอ”
“ใครกลัว? ไม่อยากขึ้น
มีปัญหามากนักหรือไง” ชางฮยอนทำท่าจะเดินออกไปอีกพอดีกับช่วงที่แถวเริ่มขยับมาจวนจะถึงคิวของพวกเรา
“ถ้าไม่กลัวก็ขึ้นสิ
ถ้าไม่ขึ้นก็แสดงว่ากลัว ไม่มีเหตุผลอื่น” ผมยักคิ้วท้าทาย
ผมรู้ว่าชางฮยอนน่ะต้องกลัวที่แคบแน่ๆ ถึงได้ไม่ยอมขึ้นชิงช้าสวรรค์
แต่ว่าใครจะยอมให้เป็นแบบนั้นล่ะ โอกาสมันก็ไม่ได้มีมากเสียด้วย
หมายถึงโอกาสของผมที่จะได้มาทำอะไรแบบนี้ในวันที่ฝนไม่ตกน่ะนะ
แล้วคนแบบชางฮยอนแค่ยุให้ยั๊วะนิดหน่อยก็พอใช้ได้
“อ่า กลัวจริงด้วย”
“ใครกลัววะ”
เขาว่างั้นพอดีกับที่กระเช้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าและชางฮยอนก็ขึ้นไปนั่ง เห็นไหมแค่นี้เอง
เจ้าหน้าที่ปิดประตูกระเช้า
เครื่องจักรหมุนทำงานให้ตัวกระเช้าเคลื่อนที่ขึ้นไปเรื่อยๆ
ยิ่งสูงมากขึ้นพวกวัตถุด้านล่างก็เล็กลงตามไปด้วยและคนที่บอกว่าไม่กลัวแล้วเดินนำมาขึ้นชิงช้าก่อนนั้นตอนนี้นั่งนิ่งราวกับโดนฉาบไว้ด้วยปูนซีเมนต์
เอาแต่นั่งมองปลายเท้าตัวเองไม่ได้สนใจวิวทิวทัศน์แสนสวยด้านนอกนั่นเลย
ผมย้ายตัวมานั่งฝั่งเดียวกับคนที่กำลังนั่งสั่นเป็นเจ้าเข้า
ชางฮยอนละสายตาจากปลายเท้าตัวเองมามองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง
“จะมานั่งฝั่งนี้ทำไม
กลับไปนั่งฝั่งตัวเองสิ มันเอียงแล้วเห็นมั้ย รีบไปเลยนะ”
ว่าจบก็รีบหลับตาปี๋แล้วกลับไปมองปลายเท้าตัวเองอีกครั้ง
ตัวเองกลัวมากขนาดนี้ยังจะกล้ามาบ่นมาว่าคนอื่นอีก ตลกดี
“ไหนบอกไม่กลัวไง”
“ก็ไม่ได้กลัวไง”
“คนไม่กลัวที่ไหนเอาแต่มองปลายเท้าตัวเอง
..นี่ เขาจุดพลุกันแล้วนะ เงยหน้ามาดูสิ” เสียงหวีดดังพร้อมกับลำเส้นสีขาวพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้าก่อนจะกระจายตัวออกเป็นสีสันหลากสี
พลุถูกจุดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ชางฮยอนก็ยังคงไม่สนใจ เขายังคงก้มหน้าหลับตาอยู่แบบเดิม
“อย่ากลัวสิ
ฉันก็อยู่กับนายตรงนี้ ไม่เป็นอะไรสักหน่อย”
ผมว่าพรางจับไหล่ทั้งสองข้างของชางฮยอนให้หันออกไปด้านหลังของเขา
ภาพสะท้อนจากกระจกใสพอทำให้เห็นว่าเจ้าตัวยังคงปิดตาแน่นสนิท
“ลืมตาดูสิ นายอยากดูไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องคิดถึงว่าตอนนี้ตัวนายอยู่ที่ไหน แค่ลืมตาขึ้นมาดูสิ่งที่นายอยากเห็นก็พอแล้ว...มันสวยมากเลยนะ” ผมมองภาพสะท้อนในกระจกใส
ชางฮยอนเม้มปากแน่นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละนิดพอดีกับที่กระเช้าของพวกผมหยุดค้างอยู่บนจุดสูงสุดพอดี
“เป็นไง” ผมเอ่ยถาม
ชางฮยอนมองพลุหลากสีสันที่กำลังแต่งแต้มท้องฟ้าสีดำมืดให้มีแสงสว่างสวยงาม
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหน เป็นรอยยิ้มจริงๆที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งหรือเสแสร้งแกล้งทำเลยแม้แต่น้อย
แววตากลมโตดูซุกซนราวกับเด็กน้อย สองมือยกขึ้นวางทาบไปกับกระจกใสและเปล่งเสียงแผ่วเบาแต่กลับได้ยินชัดเจน
“สวยจัง”
ผมมองท่าทางเหล่านั้นผ่านทางภาพที่สะท้อนบนกระจกใส
ตั้งแต่ที่เจอกันชางฮยอนไม่เคยยิ้มแบบนี้เลยสักครั้ง ดวงตากลมโตนั้นหม่นหมองอยู่ตลอดเวลาผิดกับในเวลานี้นักจนผมเผลอยิ้มตามออกมา
ถ้าหากว่าในตอนนั้นตัวผมไม่ตัดสินใจไปแบบนั้น
ชีวิตของเด็กคนนี้คงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายเหมือนที่เจ้าตัวตัดพ้อผมเมื่อตอนสาย
ผมฉุกคิดได้ว่า.. ผมเองที่เป็นคนพรากสิ่งเหล่านั้นไปจากคนด้านข้างและมอบโลกที่โหดร้ายให้กับเขา
หลังจากชิงช้าสวรรค์หมุนครบรอบ
เจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูให้เราออกมา ผู้คนเริ่มทยอยกลับกันแล้วหลังจากพลุนัดสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์ของงานถูกจุดขึ้น
ผมอาสาไปซื้อเครื่องดื่มกับแฮมเบอร์เกอร์ให้ส่วนชางฮยอนเดินไปนั่งรอที่ม้านั่งเสร็จแล้วจึงตามมานั่งด้วย
“อ่ะ” ผมแนบกระป๋องน้ำผลไม้กับแก้มของชางฮยอนที่กำลังนั่งหลับตาพริ้มอยู่บนม้านั่ง
หมอนั่นยื่นคอหนีความเย็น ส่งเสียงจึปากแล้วคว้ากระป๋องน้ำผลไม้ไปวางไว้บนหน้าตักพร้อมรับแฮมเบอร์เกอร์ไปไว้อีกมือด้วย
เขาลงมือกินทันทีโดยไม่รอช้า ผมจึงหย่อนสะโพกนั่งลงบ้าง
“แล้วคุณไม่กินเหรอ อ่อ
ไม่จำเป็นสินะ” เด็กชายพูดเสร็จก็พยักหน้าให้กับตัวเองแล้วกินต่อ ผมส่ายหน้าน้อยๆกับความชอบพูดจากระแนะกระแหนของเขา
ท้องฟ้ากลางคืนมืดครึ้มจนไม่อาจเดาได้ว่าฝนจะตกลงมาอีกหรือไม่ แม้ลมที่พัดผ่านตัวไปจะพาเอาความชื้นและความหนาวเย็นมาด้วยก็ตาม
“ถามอะไรหน่อยสิ” ชางฮยอนถามทั้งที่ในปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ
“อืม ว่ามาสิ” ผมตอบ เขากัดเบอร์เกอร์เข้าปากอีกหนึ่งคำ
เคี้ยวสามสี่ครั้งแล้วกลืนลงคอ
“คุณจะตัดสินให้ผมตายรึเปล่า”
“ทำไมถึงถามล่ะ” ผมหันไปมองชางฮยอนที่ดูจะตั้งใจกับการกินเสียยิ่งกว่าจะสนใจคำถามที่ตัวเองถามหรือคำตอบที่จะได้รับไปเสียอีก
“ถามก็ตอบๆมาเถอะ” จะให้ตอบไปว่ายังไงดีล่ะ ตอนนี้ผมยังคิดไม่ได้ด้วยซ้ำว่าควรจะตัดสินใจยังไงดี
ให้เขาอยู่ต่อไปหรือมีจุดจบแบบเดียวกับคนอื่น ผมก็ไม่แน่ใจ
“ก็..ไม่แน่” ไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจแบบไหนดี
ตัดสินใจยังไงกูดูไม่เป็นทางดีเลยสักทางเดียว แต่ว่าที่ผมสงสัยน่ะ...“นายไม่โกรธฉันแล้วเหรอ”
“ถ้าหมายถึงเรื่องพ่อก็ไม่รู้จะโกรธไปทำไมยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ
คุณก็คงทำไปตามหน้าที่” ชางฮยอนส่งเบอร์เกอร์คำสุดท้ายเข้าปากแล้วเอากระป๋องน้ำขึ้นมาเปิด
ที่ทำตัวเงียบๆตลอดทางกลับก็คงเป็นเพราะคิดเรื่องนี้อยู่สินะ
“คิดได้ก็ดี”
“ชิ เงียบไปเลย ..งั้นขอถามอีก”
“ไหนบอกให้เงียบ..” ชางฮยอนหันขวับมามองผมเขม็งทำเอาผมจำเป็นต้องยกธงขาว
“..ก็ได้ๆ ถามมา”
“ทำไมถึงได้มาเป็นยมทูตเหรอ?” ผมหันมองหน้าชางฮยอนที่มองผมอยู่ก่อนแล้วกลายเป็นผมที่ต้องหลบสายตานั้นมาเสียเอง
จะว่ายังไงดีล่ะ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมาเป็นยมทูตได้ยังไงหรือว่าทำไมถึงกลายมาเป็นยมทูตแบบนี้
เรื่องราวก่อนหน้านั้นผมก็จำไม่ได้สักอย่างเหมือนกับว่ามันได้ถูกลบออกไปเสียจนหมดสิ้นแล้ว
“ไม่รู้สิ จำไม่ได้แล้วแหะ”
“แล้วแผ่นเพลงในรถนั่นล่ะ
ทำไมคุณถึงหยิบออกมาด้วย”
“แผ่นเพลง?”
ผมนึกไปตามที่ชางฮยอนบอก คงหมายถึงแผ่นเพลงแผ่นนั้นที่ผมหยิบออกมาจากบ้านของชางฮยอนด้วย
ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หยิบมันออกมาด้วยแต่ว่าผมรู้สึกคุ้นเคยกับแผ่นเพลงนั้นมาก
อาจจะเป็นเพราะบนซองของมันเขียนคำว่า ชเว เอาไว้ก็ได้
แต่จะว่าไปแล้วคนที่นามสกุลเชวก็มีอยู่เต็มไปหมด คงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอ้ะ! ยมทูตนี่รู้จักแค่เรื่องความตายอย่างเดียวเหรอ”
“ฉันก็รู้หลายเรื่องหน่า..ดึกแล้ว
ไปหาที่นอนเถอะ” ผมบอกปัดไป ไม่อย่างนั้นชางฮยอนคงได้ซักไซ้ไปมากกว่านี้แน่
แทนที่ผมจะเป็นคนตรวจสอบแต่ดูเหมือนกลายเป็นคนโดนตรวจสอบไปซะงั้น
“ไม่นอนในรถนะ”
“ยังไม่หายกลัวอีกหรือไง” ผมนึกถึงเรื่องตอนที่โรงแรมขึ้นมาแล้วก็นึกขำ
อีกคนกลัวใหญ่แต่ก็ยังคงปากแข็ง แถมยังเอาเรื่องอื่นมาขู่อีก
เหมือนกับตอนนี้ไม่มีผิด
“ก็บอกว่าไม่ได้กลัว”
“รู้แล้วๆ เห็นมั้ย
มีอีกเรื่องแล้วที่ฉันรู้”
“เหอะ คุยกับคุณนี่ปวดหัวจริงๆ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากที่นั่ง
กระดกน้ำหวานอึกสุดท้ายลงคอแล้วทิ้งกระป๋องลงในถังขยะ
“งั้นแวะร้านขายยาหน่อยดีมั้ย”
“รีบมา ไม่งั้นจะเอารถไปแหกโค้ง”
“ไปแล้วๆ”
ผมลุกขึ้นเดินตามไปก่อนที่อีกคนจะทำตามที่ว่าจริงๆ แน่ล่ะ รถก็มีอยู่คันเดียว
จะยอมเอาไปเสี่ยงแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่อง และคนแบบชางฮยอนพูดแล้วทำจริงด้วยแน่นอน
ผมปล่อยความคิดไปเรื่อย
คำถามของชางฮยอนทำให้ผมสงสัยอย่างจริงจังว่าทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นยมทูต
แล้วยมทูตคนอื่นที่เป็นเหมือนผมเขาจะยังจำเรื่องทุกอย่างได้อยู่ไหมนะ
- - - - - - -
พอเว้นแบบนี้แล้วอ่านง่ายขึ้นไหมนะ ใครเข้ามาอ่านแล้วก็อ่านใหม่นะ 55555555555
ความคิดเห็น