ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { changrick } 7 วันของยมทูต - END -

    ลำดับตอนที่ #5 : SEVEN DAYS | 4

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 59


       

    { }




    http://doseofdavis.tumblr.com





     
      ? v i p ? theme
     
                     หนึ่งคืนผ่านล่วงเลยไปด้วยความเชื่องช้า เพราะเรื่องรูปถ่ายรูปนั้นทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเก่าๆเกี่ยวกับผู้คนที่ผมเคยตรวจสอบ ผมมักจะแฝงตัวไปเป็นคนรู้จักของเหยื่อโดยสร้างความทรงจำของคนๆนั้นเกี่ยวกับตัวผมขึ้นมาใหม่ ทำความรู้จักกับพวกเขา จากนั้นก็รับพวกเขาไว้ในโลกอีกใบ ไม่ว่าเหยื่อรายไหนก็มักจะเป็นแบบนี้ ซึ่งพอได้ทบทวนกับตัวเองทั้งคืนถึงได้รู้ว่ามันแตกต่างกับฆาตกรหนุ่มอายุน้อยที่ผมกำลังตรวจสอบอยู่ซะเหลือเกิน

                กับชางฮยอนผมไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่กลับเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ผมพบกับเขาโดยบังเอิญและเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ยังไม่นับรวมถึงเรื่องที่ผมสามารถแตะต้องตัวของเขาได้โดยที่เจ้าตัวไม่สลบไปในทันทีราวกับมีภูมิคุ้มกันนั่นอีกด้วย

     

                เช้าวันนี้ฝนไม่ได้ตกลงมาเหมือนที่เคยแต่บรรยากาศยังคงเย็นชื้น ผมเลือกเดินแทนการใช้รถออกมาจากบ้านเพราะรู้สึกว่าอากาศกำลังสดชื่นเหมาะสำหรับรับเข้าปอด เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง ปล่อยให้ชางฮยอนนอนหลับจมกับฝันของเขาอยู่ตรงโซฟาที่ห้องโถง เด็กคนนั้นยังคงละเมอเหมือนกับคืนก่อน ครั้นจะปลุกให้เขาลุกไปนอนในห้องนอนก็กลัวจึงได้แต่ปล่อยไปแบบนั้น

                อีกเหตุผลที่ผมออกมาเพราะว่าเมื่อวานอีกคนทานไปแค่ขนมจากร้านสะดวกซื้อ สำหรับมนุษย์เพียงแค่นั้นคงยังไม่เพียงพอ ผมจึงออกมาเดินหาร้านอาหารที่คิดว่าน่าจะมีบ้างแถวนี้และกะเอาไว้ว่าจะเข้าไปฟังเพลงที่ตู้เพลงในร้านสะดวกซื้อเสียหน่อย 

                ผมจำไม่ได้ว่าทำไมผมถึงชอบเสียงเพลงมากมายนัก อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำตอนที่ยังเป็นมนุษย์อยู่เลยทำให้ผมในตอนนี้ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมๆ แต่นั่นก็แค่การคาดเดาของผมเองเท่านั้น ซึ่งผมเองก็จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ถึงเรื่องราวของตัวเองตอนที่ยังเป็นมนุษย์เพราะมันก็คงนานหลายสิบปีมาแล้ว


                ผมเข้ามาในร้านสะดวกซื้อ ตรงไปส่วนของตู้เพลง หยิบหูฟังขึ้นมาสวมใส่ หลังจากมองรายชื่อเพลงอยู่ครู่หนึ่งผมก็กดเลือกฟังไปทีละเพลง เพราะเป็นแบบทดลองฟังจึงได้ฟังแค่เพลงละนิดหน่อยเท่านั้น ระหว่างที่ผมกำลังดื่มด่ำกับเพลง แรงสะกิดจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปมอง ชายชราส่งยิ้มให้ผมซึ่งผมจำได้ดีว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงาน...เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้มาเจอกันในเขตเดียวกันแบบนี้ ส่วนใหญ่งานของยมทูตจะไม่ค่อยได้เจอพวกพ้องสักเท่าไหร่นัก ผมถอดหูฟังออกก่อนจะยิ้มทักทายเขา

                “สวัสดีครับ”

                “บังเอิญจังนะคุณชเว”

                “ครับ มาฟังเพลงเหมือนกันเหรอ”

                “เปล่าครับ ผมแค่เดินผ่านมาแล้วบังเอิญเจอคุณเลยเข้ามาทัก ยังชอบฟังเพลงไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” ชายชราผู้นั้นยิ้มให้ ผมทำเพียงแค่ยิ้มตอบก่อนที่ผู้สนทนาจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

                “อากาศแบบนี้ เหมาะกับเป็นคุณชเวนะครับ”

                “นั่นสินะครับ ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าแสงแดดอุ่นขนาดไหน” ผมวางหูฟังไว้ในที่ของมันก่อนจะหันไปมองบรรยากาศด้านนอก เมฆดำเริ่มคล้ำกว่าเดิมเป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานผืนดินนี้คงชุ่มฉ่ำ

                “สักวันคุณต้องได้พบมันแน่นอนครับ”

                “ขอบคุณนะครับ”

                “ช่วงนี้ผมตรวจสอบหญิงชราคนหนึ่งอยู่ ผมยังลำบากใจเลยครับว่าจะตัดสินใจอย่างไหนดี”

                “ที่เจอกันเมื่อวานสินะครับ?”

                “ใช่ครับ แล้วของคุณล่ะ เด็กคนเมื่อวาน...เป็นไงบ้างครับ?”

                “ผมเอง...ก็คิดว่าลำบากใจเหมือนกันครับ” ลำบากใจว่าผมควรจะเลือกอะไรดีที่จะไม่ทำให้ใครเจ็บปวด.. และนั่นคือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจตัวเองเสียเหลือเกิน ผมเลือกบอกลาเพื่อนร่วมงานและเดินออกมาจากร้านเพราะกลัวว่าระหว่างทางกลับฝนจะตกหนัก ในสมองผมได้ยินแต่เสียงของชายชราดังก้อง “หากถึงเวลาที่คุณต้องเลือก อย่าให้ความรู้สึกบดบังหน้าที่ของคุณนะครับ คุณชเว”

               

     


                สายฝนกระหน่ำลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว ผมที่ยังกลับไม่ถึงที่พักเดินเข้าไปหลบฝนใต้หลังคาที่มีเด็กนักเรียนมัธยมปลายในชุดเครื่องแบบหลุดลุ่ยในปากคาบมวนบุหรี่ส่วนในมือข้างหนึ่งถือกระป๋องสีเอาไว้ ผมมองมือเปื้อนสีของเขาสลับกับงานศิลปะบนกำแพงฝั่งตรงข้ามถึงได้เข้าใจ

                “ฝีมือดีนะ” ผมเอ่ยชม เด็กข้างๆเพียงแค่ยิ้ม มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นมาคีบมวนบุหรี่ออกจากปาก ทำท่าจะยื่นมาให้ผม “สักหน่อยมั้ย?”

                “ตามสบาย” เด็กหนุ่มด้านข้างไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ เพียงแค่เชิญชวนตามมารยาทเท่านั้น

                “ซื้อข้าวไปกินเหรอ?”

    “นี่เหรอ?” ผมยกถุงพลาสติกในมือขึ้นดูเล็กน้อยเมื่ออีกคนถามถึงสิ่งที่อยู่ในนั้น “ซื้อไปให้คนที่บ้านน่ะ”

    “แฟนเหรอ?”

    “หึ” ผมส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่หรอก ก็แค่เด็กหลงทางที่ติดรถมาด้วย”

    “หลงทาง? หลงทางมาจากไหนล่ะ?” นักเรียนมัธยมปลายคนนั้นถาม หัวเราะหึๆในลำคอ ริ้มฝีปากเหยียดยิ้มน้อยๆ มวนบุหรี่ในมือถูกโยนลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้มันจนดับไป

    “อาจจะฟังดูตลกนะ แต่ฉันบังเอิญรับฆาตกรติดรถมาด้วยนี่สิ”

    “โว้ว! เรื่องใหญ่นะครับ”

    “ใช่ ค่อนข้างเป็นปัญหาเลยล่ะ เข้าใจยากแถมเอาแต่ใจอีกต่างหาก แต่ก็น่าสงสารในเวลาเดียวกัน”

    “น่ารักด้วยรึเปล่า?” ผมหันมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่เข้าใจที่จู่ๆก็ถามออกมาแบบนั้น เขายิ้มกว้างให้ผมและบอกคำตอบผ่านคำถามที่ผมเอ่ยถามผ่านดวงตา

    “ก็ดูคุณมีความสุขตอนพูดถึงเด็กหลงทางคนนั้นนี่......เอาล่ะ ผมขอตัวไปเรียนก่อนแล้วกัน ขืนโดนจับได้ว่าโดดเรียนอีกคงโดนไล่ออกแน่ โชคดีนะครับ

    เด็กหนุ่มมัธยมคนนั้นเดินจากไปด้วยรอยยิ้มในขณะที่เม็ดฝนอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ผมมองตามไปด้วยความงุนงง ในคำพูดของเด็กคนนั้นเหมือนแฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ และไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่เผลอยิ้มออกมากับตัวเองเมื่อนึกถึง

    เขาดูมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ?

     

     

     

     

    ผมเดินออกจากใต้หลังคาหลบฝนนั่นตรงกลับไปที่บ้านพัก ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในบ้านก็เห็นยู ชางฮยอนยืนจังก้าอยู่หลังประตู หน้าตาเรียบนิ่งแต่ดวงตาแข็งกร้าวจ้องผมเขม็ง แต่หากเมื่อสังเกตให้ดี ภายใต้แววตาคู่นั้นกลับมีคราบความเปียกชื้นหลงเหลืออยู่บริเวณขอบตาและแพขนตานั้น มองต่ำลงมาจึงเห็นว่าเจ้าตัวถือมีดทำครัวอยู่ด้วย

    ชางฮยอนยกมือที่ถือมีดขึ้นชี้มาทางผม จนผมต้องยกมือสองข้างขึ้นมาปรามอีกคนไว้

    “ใจเย็นๆสิ” ผมโบกมือห้ามอีกคน ชางฮยอนยังคงมองนิ่งและไม่ลดของมีคมในมือลง ผมเดินเข้าไปใกล้ ชูถุงพลาสติกในมือให้อีกคนดูก่อนจะบอกว่าที่หายไปนั้น หายไปทำอะไรมา

    “ฉันออกไปซื้อข้าวมาให้ เห็นว่านายยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน”

    “แล้วทำไมถึงไม่ปลุกผมไปด้วย รู้เหรอว่าผมอยากกินอะไร”

    “กลัวฉันซื้อของมาไม่ถูกใจถึงได้โกรธเหรอ?” ผมยิ้มอย่างนึกขัน ชางฮยอนยังคงจ้องเขม็ง เดาอารมณ์ง่ายๆซะที่ไหนกัน

    “เห็นนายกำลังนอนหลับสบาย ก็เลยไม่อยากกวน”

    “...”

    “วางมีดก่อนดีมั้ย?”

    “ผมกลัวคุณจะไปแจ้งตำรวจมากกว่า” เด็กหนุ่มเดินไปวางมีดลงบนโต๊ะกินข้าว

    “ฉันไม่ทำหรอก” เมื่อเห็นอีกคนเหมือนจะยอมอ่อนลงแล้วผมจึงเดินเข้าไปใกล้ มองหาถ้วยชามที่พอจะเอามาใส่ข้าวต้มได้

    “ก็ไม่แน่”

    “ไม่เชื่อใจเหรอ?” ผมถามก่อนจะเอาชามที่เพิ่งหาเจอออกมาล้างคราบฝุ่น

     “ใช่...”

     

                “คุณเป็นใครกันแน่?”

     

                ผมชะงักไปครู่หนึ่งในขณะที่กำลังแกะข้าวต้มใส่ในถ้วย ถอนหายใจออกมาเพราะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ภาพถ่ายที่ได้เห็นเมื่อวานปรากฏชัดขึ้นในความคิดอีกครั้ง ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นและยื่นชามข้าวต้มที่เริ่มเย็นชืดให้แทน

                “กินซะ”

     

     

     

     

     

                ผมเดินขึ้นมาชั้นบนตรงไปที่ห้องโถงก่อนจะหยุดลงที่หน้าชั้นเก็บแผ่นไวนิล ผมนั่งลงก่อนจะรื้อหาแผ่นเพลงที่ผมจำได้ว่าเมื่อวานผมหยิบมันขึ้นมาดู แผ่นเพลงที่ผมรู้สึกคุ้นเคยและคิดว่ามันคงจะมีความเกี่ยวข้องกันกับตัวผม

     

                เมื่อชางฮยอนทานมื้อเช้าเสร็จ เราทั้งคู่ก็ต้องบอกลาบ้านพักตากอากาศหลังนี้ เจ้าตัวบอกแค่ว่าอยากจะไปที่อื่นแล้ว เพราะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น เขาบอกเหมือนกับทุกทีเมื่อผมถามถึงจุดหมายปลายทางว่าให้ขับไปก่อน ยังไม่ได้คิด หลังจากนั้นผมกับเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก

                ผมเลือกจอดรถตรงที่จอดสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดียวกับเมื่อวานที่เราจอดพัก ชางฮยอนหันมามองผมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินตามผมลงมาจากรถเงียบๆ อากาศบริเวณทะเลสาบยังคงเย็นชื้นเหมือนเมื่อวานแต่ที่ต่างกันคือละอองฝนเม็ดเล็กๆที่กำลังโปรยปรายลงมาตอนนี้

                ผมหยุดยืนตรงขอบพื้นปูน น้ำในทะเลสาบเคลื่อนไหวนิ่งๆกระทบกับขอบพื้นปูน เม็ดฝนกระทบผิวน้ำกระจายตัวเป็นวงเล็กๆทั่ว ชางฮยอนหยุดยืนด้านข้าง ทอดสายตามองผืนน้ำที่แสนกว้างใหญ่จนไม่รู้ว่ามันจะไปหยุดที่ตรงไหน เมื่อได้มองผมกลับพบว่ามันช่างคุยเคย

    “พ่อผมตายตรงนี้” เสียงแหบเล็กของคนข้างๆเอ่ยขึ้น ทำให้ผมต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้

    “พ่อผมตายตรงนี้ต่อหน้าผม....” ชางฮยอนยังคงพูดโดยที่สายตายังไม่ละจากภาพผืนน้ำตรงหน้า

    “ตอนที่เจอคุณผมไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่สนว่าคุณเป็นใคร และเมื่อวานผมได้เห็นอะไรบางอย่างผมถึงต้องคิดใหม่....” เด็กหนุ่มทอดเสียงลง เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วถอนหายใจอย่างแรง ใบหน้าอ่อนเยาว์หันมามองและยิ้มอ่อนแรงส่งให้ผมที่มองอยู่ก่อนแล้ว เป็นรอยยิ้มอ่อนแรงแต่กลับไร้แววอารมณ์เย้ยหยันเหมือนทุกครั้งที่เขาชอบยิ้ม


    “ผมกำลังจะตายใช่มั้ย?... ชเว จงฮยอน”

               

     

     

     

     

     

     

    10 ปีก่อน

     

              ผมได้รับงานใหม่ คราวนี้ผมรับบทเป็นเพื่อนที่ทำงานของเหยื่อโดยเหยื่อจะมีความทรงจำเกี่ยวกับผมว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เราเจอกันเฉพาะที่ทำงานจนวันที่ผมไปปรากฏตัวเป็นช่วงปิดเทอมหน้าร้อนของโรงเรียนประถม หนุ่มวัยทำงานคนนั้นได้วางแผนจะไปพักร้อนกับครอบครัวในวันหยุดสุดสัปดาห์ของตัวเองพร้อมภรรยาและลูกชาย แต่แล้วภรรยาของเขาเกิดติดธุระกะทันหันเนื่องจากได้รับข่าวว่าแม่ของตนป่วยจึงต้องกลับไปดูแล ทำให้เหลือเพียงแค่เขาและลูกชายเพียงเท่านั้น ประจวบเหมาะกับวันนั้นผมทำทีเข้าไปถามหาที่พักตากอากาศกับเพื่อนตัวเองทำให้ถูกชวนไปร่วมทริปเล็กๆนี้ด้วย

              ยู ฮยอนซู พนักงานออฟฟิศหนุ่มอายุสั้น เขามีครอบครัวที่น่ารัก ฮยอนซูเป็นคนรักครอบครัวและลูกชายมาก เป็นที่รักของเพื่อนที่ทำงานทุกคน เป็นคนใจดีคอยช่วยเหลือคนอื่นในที่ทำงานเสมอ แต่กระนั้นในระหว่างที่ผมทำการตรวจสอบ ผมกลับพบสิ่งผิดปกติ ฮยอนซูมีบ้านเล็กบ้านน้อยอีกหลัง...แต่เรื่องนี้ถือเป็นความลับที่ไม่มีใครได้ล่วงรู้ และผมตัดสินใจรับเขาไว้เพียงเพราะเหตุผลนี้

              เมื่อถึงวันเดินทางแม้สภาพอากาศจะไม่เหมาะสมสำหรับการไปเที่ยวตากอากาศแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฮยอนซูลดความตั้งใจของเขาลง วันนั้นผมทำหน้าที่เป็นคนขับส่วนฮยอนซูนั่งด้านข้างและเบาะหลังเป็นที่ของลูกชายของฮยอนซู .. ยู ชางฮยอน

              เมื่อเดินทางไปถึงที่พัก เราช่วยกันเอาข้าวของไปเก็บในห้องและถ่ายรูปกับบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่ระลึก ผมเลือกยึดบริเวณห้องโถงเป็นพื้นที่ของตัวเอง

    “เลือกบ้านพักเก่งจังนะฮยอนซู มีครบเลยแฮะ แถมยังมีเครื่องเสียงด้วย” ผมพูดเมื่อเดินสำรวจโถงจนพอใจแล้ว

    “ไม่ขนาดนั้นหรอก”

    “เอ้อ! ฉันเอาแผ่นเพลงมาด้วย บังเอิญเจอที่บ้านแล้วคิดว่ามันเพราะดีเลยหยิบติดมาด้วยน่ะ อยากให้ลองฟังดู” ฮยอนซูพยักหน้ารับและยิ้มให้ เรานั่งฟังเพลงทั้งวันจนเด็กน้อยชางฮยอนเหมือนจะไม่พอใจเล็กๆเพราะไม่มีคนยอมไปเล่นกับตัวเอง

    “พ่อฮะ! ผมอยากออกไปข้างนอก” ชางฮยอนกระโดดขึ้นมานั่งบนโซฟาแทรกระหว่างผมกับฮยอนซูหลังจากพบว่าการนั่งระบายสีอยู่บนพื้นนั้นไม่มีความสุขเอาซะเลย

    “แต่ฝนใกล้ตกแล้วนะลูก ค่อยไปพรุ่งนี้นะครับ” ฮยอนซูว่าพรางโยกหัวลูกน้อยไปมาหวังให้อีกคนเข้าใจ แต่เด็กยังไงก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำ ชางฮยอนทำหน้าบูดไม่พอใจละจากบิดาตนมาหาคนที่นั่งข้างๆอย่างผมแทน สองมือเล็กจับแขนผมเขย่าไปมาพรางเอ่ยอย่างออดอ้อน

    “น้าจงฮยอนไปเล่นกับผมหน่อยนะๆ”

    “ฉันเหรอ?”

    “ผมอยากเล่นลูกบอลอ่ะ นะๆๆๆ ไปเล่นกันเถอะ” เด็กน้อยออกแรงลากดึงแขนเสื้อจนผมต้องยอมลุกจากเก้าอี้ ไม่วายหันไปสบตาคนที่เป็นเพื่อนปลอมๆอย่างขอความเห็น ฮยอนซูส่ายหน้าน้อยๆแต่ยังคงรอยยิ้มเอาไว้เหมือนบอกเป็นนัยว่าไปเถอะ ไม่เป็นไร ก่อนเจ้าตัวจะลุกเดินตามมา

    ชางฮยอนโยนเล่นลูกบอลกับพ่อของเขาไปเรื่อยๆ เราสามคนวิ่งไล่จับกันไปจนถึงบริเวณทะเลสาบที่ไม่ค่อยมีผู้คนมากมายนัก ที่ตรงนั้นมีเพียงพวกเขาสามคน เด็กน้อยยังคงโยนรับลูกบอลกับพ่อของตนอย่างมีความสุขโดยมีผมคอยยืนมองภาพเหล่านั้นอยู่ใกล้ๆ...อีกแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น

    ลูกบอลกลิ้งหลุดมือจนหล่นไปในทะเลสาบ

              “ตกลงไปจนได้” ฮยอนซูพูด

              “ผมจะลงไปเก็บฮะ!” ชางฮยอนพูดกับผู้เป็นพ่อก่อนจะวิ่งไปตรงขอบปูน ร่างเล็กเดินหาอะไรอยู่สักพักก่อนจะหยิบเศษไม้ยาวประมาณหนึ่งแขนของผู้ใหญ่ขึ้นมา พยายามเอาไม้เขี่ยลูกบอลให้เข้ามาใกล้แต่การกระทำนั้นกลับทำให้เจ้าลูกกลมๆลอยไปไกลยิ่งกว่าเดิม

              “ทำแบบนั้นมันจะยิ่งลอยออกไปนะ” ผมพูดเมื่อมองดูภาพนั้นแล้วนึกเวทนา เด็กน้อยเบะปากทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อจนผู้เป็นบิดาเกิดอยากจะแสดงความเป็นฮีโร่ด้วยการอาสาลงไปเก็บลูกบอลให้ หวังให้เจ้าตัวน้อยกลับมายิ้มอีกครั้ง

              “งั้นเดี๋ยวพ่อลงไปเก็บให้ ชางฮยอนห้ามร้องไห้นะ”

              “ครับ!! พ่อเก่งที่สุดเลย!!” เด็กชายเอ่ยชม

     

              นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของฮยอนซูก่อนเขาจะหายไปจากโลกนี้

    เหตุการณ์นั้นคืออุบัติเหตุที่มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง จัดฉากให้ชายผู้หนึ่งเสียชีวิตจากการจมน้ำเพื่อลงไปเก็บลูกบอลให้ลูกน้อยของเขา ในตอนนั้นที่ชางฮยอนทำท่าจะวิ่งเข้าไปช่วยพ่อตัวเองที่กำลังตะเกียกตะกายรอความช่วยเหลือ แต่ผมรั้งแขนของเขาไว้ด้วยมือเปล่า ดึงชางฮยอนให้หันหน้ามามองผมที่นั่งอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งฮยอนซูหมดแรงและปล่อยตัวเองจมดิ่งลงไปใต้ทะเลสาบลึก

              ชางฮยอนร้องไห้ยกใหญ่ เด็กน้อยโผเข้ากอดคอผม ร้องเรียกพ่อของตัวเองจนสลบไปในอ้อมแขนของผม ก่อนผมจะพาตัวเด็กชายส่งกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยพร้อมกับแจ้งข่าวให้ที่บ้านของเขาทราบ และให้การกับตำรวจเพียงแค่ว่า ผมว่ายน้ำไม่เป็นและแถวนั้นไม่มีใครเลยที่พอจะช่วยเหลือฮยอนซูได้ สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายไป

              และเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกันที่ชเว จงฮยอนอยู่ในความทรงจำของใครสักคนก่อนจะถูกลบออกไป

     

     

     

     

     

     

                สิ้นคำพูดของชางฮยอน ราวกับภาพเมื่อหลายปีก่อนถูกเล่นซ้ำในความคิดของผม ความทรงจำที่ผมเกือบลืมไปแล้วว่ามันเคยเกิดขึ้น ความทรงจำที่ฉายขึ้นมาเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมการพบเจอกันของผมและชางฮยอนถึงได้น่าแปลกประหลาด ราวกับเป็นการจัดฉากของใครสักคนหนึ่งเหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมา

                “ทำไมตอนนั้นคุณถึงไม่ช่วยเพื่อนตัวเอง? ทำไมตอนนั้นถึงห้ามผมไว้...ถ้าผมเข้าไปช่วยพ่อทัน ป่านนี้พ่อก็ยังอยู่กับผม ผมไม่ต้องเจอคนเลวนั่น ผมไม่ต้องโดนทำร้าย ชีวิตของผมคงไม่แย่เหมือนตอนนี้....”

                “.....” ผมเงียบ มีแค่ชางฮยอนที่ยังคงพูดต่อไป ระบายความอัดอั้นทั้งหมดที่มีออกมาให้ได้ฟัง มีแค่คำที่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีแม้น้ำตาหรือความสั่นเคลือแสดงออกมาให้เห็น

                “ทำไมไม่พูดล่ะครับ? เงียบทำไมล่ะ”

     



     

                “ใช่ ยู ชางฮยอน...”

     

     


                “...นายกำลังจะตาย”

     





     

                “และฉัน...เป็นยมทูต”









    - - - - -  -

            - 160619  ถ้าใครจำตู้เพลงตามร้านเพลงในสมัยก่อนได้นะ คือเราก็เดินไปยกหูฟังมาใส่ละกดเลือกเพลงอ่ะ ตามพวกร้านขายเพลงในห้างจะมีไว้ให้ฟังตัวอย่างเพลง ซึ่งก็นานมากแล้ว 555555

    เรื่องนี้แต่งยากมากเลย ต้องบิ้วท์อารมณ์นาน ตอนนึงเขียนอยู่หลายวัน ฮรือออออออ เขียนไปเครียดไป อะไรไม่รู้ กรั่กๆๆๆๆ ปั่นอีกเรื่องอยู่ด้วยครับ ภาษาปนๆกันจนงงงวยไปหมด เบลอๆครับ ผิดพลาดตรงไหนขอโทษจริงๆน้าาา

    ชางริคควรออกมาทำให้เรือแล่นบ้างนะครับ รู้สึกเหมือนเป็นเรือที่น้ำมันจะหมดอ่ะ ถถถถถถถ แห้งเหี่ยวเหลือเกิน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×