คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : SEVEN DAYS | 4
{ ๔ }
กับชางฮยอนผมไม่ได้เป็นแบบนั้น
แต่กลับเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ผมพบกับเขาโดยบังเอิญและเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ยังไม่นับรวมถึงเรื่องที่ผมสามารถแตะต้องตัวของเขาได้โดยที่เจ้าตัวไม่สลบไปในทันทีราวกับมีภูมิคุ้มกันนั่นอีกด้วย
เช้าวันนี้ฝนไม่ได้ตกลงมาเหมือนที่เคยแต่บรรยากาศยังคงเย็นชื้น
ผมเลือกเดินแทนการใช้รถออกมาจากบ้านเพราะรู้สึกว่าอากาศกำลังสดชื่นเหมาะสำหรับรับเข้าปอด
เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง ปล่อยให้ชางฮยอนนอนหลับจมกับฝันของเขาอยู่ตรงโซฟาที่ห้องโถง
เด็กคนนั้นยังคงละเมอเหมือนกับคืนก่อน
ครั้นจะปลุกให้เขาลุกไปนอนในห้องนอนก็กลัวจึงได้แต่ปล่อยไปแบบนั้น
อีกเหตุผลที่ผมออกมาเพราะว่าเมื่อวานอีกคนทานไปแค่ขนมจากร้านสะดวกซื้อ สำหรับมนุษย์เพียงแค่นั้นคงยังไม่เพียงพอ ผมจึงออกมาเดินหาร้านอาหารที่คิดว่าน่าจะมีบ้างแถวนี้และกะเอาไว้ว่าจะเข้าไปฟังเพลงที่ตู้เพลงในร้านสะดวกซื้อเสียหน่อย
ผมจำไม่ได้ว่าทำไมผมถึงชอบเสียงเพลงมากมายนัก
อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำตอนที่ยังเป็นมนุษย์อยู่เลยทำให้ผมในตอนนี้ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมๆ
แต่นั่นก็แค่การคาดเดาของผมเองเท่านั้น ซึ่งผมเองก็จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ถึงเรื่องราวของตัวเองตอนที่ยังเป็นมนุษย์เพราะมันก็คงนานหลายสิบปีมาแล้ว
ผมเข้ามาในร้านสะดวกซื้อ
ตรงไปส่วนของตู้เพลง หยิบหูฟังขึ้นมาสวมใส่ หลังจากมองรายชื่อเพลงอยู่ครู่หนึ่งผมก็กดเลือกฟังไปทีละเพลง
เพราะเป็นแบบทดลองฟังจึงได้ฟังแค่เพลงละนิดหน่อยเท่านั้น
ระหว่างที่ผมกำลังดื่มด่ำกับเพลง แรงสะกิดจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปมอง
ชายชราส่งยิ้มให้ผมซึ่งผมจำได้ดีว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงาน...เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้มาเจอกันในเขตเดียวกันแบบนี้
ส่วนใหญ่งานของยมทูตจะไม่ค่อยได้เจอพวกพ้องสักเท่าไหร่นัก
ผมถอดหูฟังออกก่อนจะยิ้มทักทายเขา
“สวัสดีครับ”
“บังเอิญจังนะคุณชเว”
“ครับ
มาฟังเพลงเหมือนกันเหรอ”
“เปล่าครับ
ผมแค่เดินผ่านมาแล้วบังเอิญเจอคุณเลยเข้ามาทัก ยังชอบฟังเพลงไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”
ชายชราผู้นั้นยิ้มให้ ผมทำเพียงแค่ยิ้มตอบก่อนที่ผู้สนทนาจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“อากาศแบบนี้
เหมาะกับเป็นคุณชเวนะครับ”
“นั่นสินะครับ
ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าแสงแดดอุ่นขนาดไหน” ผมวางหูฟังไว้ในที่ของมันก่อนจะหันไปมองบรรยากาศด้านนอก
เมฆดำเริ่มคล้ำกว่าเดิมเป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานผืนดินนี้คงชุ่มฉ่ำ
“สักวันคุณต้องได้พบมันแน่นอนครับ”
“ขอบคุณนะครับ”
“ช่วงนี้ผมตรวจสอบหญิงชราคนหนึ่งอยู่
ผมยังลำบากใจเลยครับว่าจะตัดสินใจอย่างไหนดี”
“ที่เจอกันเมื่อวานสินะครับ?”
“ใช่ครับ
แล้วของคุณล่ะ เด็กคนเมื่อวาน...เป็นไงบ้างครับ?”
“ผมเอง...ก็คิดว่าลำบากใจเหมือนกันครับ”
ลำบากใจว่าผมควรจะเลือกอะไรดีที่จะไม่ทำให้ใครเจ็บปวด..
และนั่นคือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจตัวเองเสียเหลือเกิน ผมเลือกบอกลาเพื่อนร่วมงานและเดินออกมาจากร้านเพราะกลัวว่าระหว่างทางกลับฝนจะตกหนัก
ในสมองผมได้ยินแต่เสียงของชายชราดังก้อง “หากถึงเวลาที่คุณต้องเลือก อย่าให้ความรู้สึกบดบังหน้าที่ของคุณนะครับ
คุณชเว”
สายฝนกระหน่ำลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว
ผมที่ยังกลับไม่ถึงที่พักเดินเข้าไปหลบฝนใต้หลังคาที่มีเด็กนักเรียนมัธยมปลายในชุดเครื่องแบบหลุดลุ่ยในปากคาบมวนบุหรี่ส่วนในมือข้างหนึ่งถือกระป๋องสีเอาไว้
ผมมองมือเปื้อนสีของเขาสลับกับงานศิลปะบนกำแพงฝั่งตรงข้ามถึงได้เข้าใจ
“ฝีมือดีนะ”
ผมเอ่ยชม เด็กข้างๆเพียงแค่ยิ้ม มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นมาคีบมวนบุหรี่ออกจากปาก
ทำท่าจะยื่นมาให้ผม “สักหน่อยมั้ย?”
“ตามสบาย”
เด็กหนุ่มด้านข้างไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ เพียงแค่เชิญชวนตามมารยาทเท่านั้น
“ซื้อข้าวไปกินเหรอ?”
“นี่เหรอ?” ผมยกถุงพลาสติกในมือขึ้นดูเล็กน้อยเมื่ออีกคนถามถึงสิ่งที่อยู่ในนั้น
“ซื้อไปให้คนที่บ้านน่ะ”
“แฟนเหรอ?”
“หึ”
ผมส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่หรอก ก็แค่เด็กหลงทางที่ติดรถมาด้วย”
“หลงทาง?
หลงทางมาจากไหนล่ะ?” นักเรียนมัธยมปลายคนนั้นถาม หัวเราะหึๆในลำคอ
ริ้มฝีปากเหยียดยิ้มน้อยๆ มวนบุหรี่ในมือถูกโยนลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้มันจนดับไป
“อาจจะฟังดูตลกนะ
แต่ฉันบังเอิญรับฆาตกรติดรถมาด้วยนี่สิ”
“โว้ว! เรื่องใหญ่นะครับ”
“ใช่
ค่อนข้างเป็นปัญหาเลยล่ะ เข้าใจยากแถมเอาแต่ใจอีกต่างหาก
แต่ก็น่าสงสารในเวลาเดียวกัน”
“น่ารักด้วยรึเปล่า?”
ผมหันมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่เข้าใจที่จู่ๆก็ถามออกมาแบบนั้น
เขายิ้มกว้างให้ผมและบอกคำตอบผ่านคำถามที่ผมเอ่ยถามผ่านดวงตา
“ก็ดูคุณมีความสุขตอนพูดถึงเด็กหลงทางคนนั้นนี่......เอาล่ะ ผมขอตัวไปเรียนก่อนแล้วกัน ขืนโดนจับได้ว่าโดดเรียนอีกคงโดนไล่ออกแน่
โชคดีนะครับ”
เด็กหนุ่มมัธยมคนนั้นเดินจากไปด้วยรอยยิ้มในขณะที่เม็ดฝนอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
ผมมองตามไปด้วยความงุนงง ในคำพูดของเด็กคนนั้นเหมือนแฝงความหมายบางอย่างเอาไว้
และไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่เผลอยิ้มออกมากับตัวเองเมื่อนึกถึง
เขาดูมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ?
ผมเดินออกจากใต้หลังคาหลบฝนนั่นตรงกลับไปที่บ้านพัก
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในบ้านก็เห็นยู ชางฮยอนยืนจังก้าอยู่หลังประตู
หน้าตาเรียบนิ่งแต่ดวงตาแข็งกร้าวจ้องผมเขม็ง แต่หากเมื่อสังเกตให้ดี ภายใต้แววตาคู่นั้นกลับมีคราบความเปียกชื้นหลงเหลืออยู่บริเวณขอบตาและแพขนตานั้น
มองต่ำลงมาจึงเห็นว่าเจ้าตัวถือมีดทำครัวอยู่ด้วย
ชางฮยอนยกมือที่ถือมีดขึ้นชี้มาทางผม
จนผมต้องยกมือสองข้างขึ้นมาปรามอีกคนไว้
“ใจเย็นๆสิ” ผมโบกมือห้ามอีกคน
ชางฮยอนยังคงมองนิ่งและไม่ลดของมีคมในมือลง ผมเดินเข้าไปใกล้ ชูถุงพลาสติกในมือให้อีกคนดูก่อนจะบอกว่าที่หายไปนั้น
หายไปทำอะไรมา
“ฉันออกไปซื้อข้าวมาให้
เห็นว่านายยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน”
“แล้วทำไมถึงไม่ปลุกผมไปด้วย
รู้เหรอว่าผมอยากกินอะไร”
“กลัวฉันซื้อของมาไม่ถูกใจถึงได้โกรธเหรอ?”
ผมยิ้มอย่างนึกขัน ชางฮยอนยังคงจ้องเขม็ง เดาอารมณ์ง่ายๆซะที่ไหนกัน
“เห็นนายกำลังนอนหลับสบาย
ก็เลยไม่อยากกวน”
“...”
“วางมีดก่อนดีมั้ย?”
“ผมกลัวคุณจะไปแจ้งตำรวจมากกว่า”
เด็กหนุ่มเดินไปวางมีดลงบนโต๊ะกินข้าว
“ฉันไม่ทำหรอก” เมื่อเห็นอีกคนเหมือนจะยอมอ่อนลงแล้วผมจึงเดินเข้าไปใกล้
มองหาถ้วยชามที่พอจะเอามาใส่ข้าวต้มได้
“ก็ไม่แน่”
“ไม่เชื่อใจเหรอ?”
ผมถามก่อนจะเอาชามที่เพิ่งหาเจอออกมาล้างคราบฝุ่น
“ใช่...”
“คุณเป็นใครกันแน่?”
ผมชะงักไปครู่หนึ่งในขณะที่กำลังแกะข้าวต้มใส่ในถ้วย
ถอนหายใจออกมาเพราะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ภาพถ่ายที่ได้เห็นเมื่อวานปรากฏชัดขึ้นในความคิดอีกครั้ง
ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นและยื่นชามข้าวต้มที่เริ่มเย็นชืดให้แทน
“กินซะ”
ผมเดินขึ้นมาชั้นบนตรงไปที่ห้องโถงก่อนจะหยุดลงที่หน้าชั้นเก็บแผ่นไวนิล
ผมนั่งลงก่อนจะรื้อหาแผ่นเพลงที่ผมจำได้ว่าเมื่อวานผมหยิบมันขึ้นมาดู
แผ่นเพลงที่ผมรู้สึกคุ้นเคยและคิดว่ามันคงจะมีความเกี่ยวข้องกันกับตัวผม
เมื่อชางฮยอนทานมื้อเช้าเสร็จ
เราทั้งคู่ก็ต้องบอกลาบ้านพักตากอากาศหลังนี้ เจ้าตัวบอกแค่ว่าอยากจะไปที่อื่นแล้ว
เพราะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น เขาบอกเหมือนกับทุกทีเมื่อผมถามถึงจุดหมายปลายทางว่าให้ขับไปก่อน
ยังไม่ได้คิด หลังจากนั้นผมกับเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก
ผมเลือกจอดรถตรงที่จอดสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดียวกับเมื่อวานที่เราจอดพัก
ชางฮยอนหันมามองผมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินตามผมลงมาจากรถเงียบๆ อากาศบริเวณทะเลสาบยังคงเย็นชื้นเหมือนเมื่อวานแต่ที่ต่างกันคือละอองฝนเม็ดเล็กๆที่กำลังโปรยปรายลงมาตอนนี้
ผมหยุดยืนตรงขอบพื้นปูน
น้ำในทะเลสาบเคลื่อนไหวนิ่งๆกระทบกับขอบพื้นปูน เม็ดฝนกระทบผิวน้ำกระจายตัวเป็นวงเล็กๆทั่ว
ชางฮยอนหยุดยืนด้านข้าง ทอดสายตามองผืนน้ำที่แสนกว้างใหญ่จนไม่รู้ว่ามันจะไปหยุดที่ตรงไหน
เมื่อได้มองผมกลับพบว่ามันช่างคุยเคย
“พ่อผมตายตรงนี้”
เสียงแหบเล็กของคนข้างๆเอ่ยขึ้น ทำให้ผมต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้
“พ่อผมตายตรงนี้ต่อหน้าผม....”
ชางฮยอนยังคงพูดโดยที่สายตายังไม่ละจากภาพผืนน้ำตรงหน้า
“ตอนที่เจอคุณผมไม่ได้คิดอะไรเลย
ไม่สนว่าคุณเป็นใคร และเมื่อวานผมได้เห็นอะไรบางอย่างผมถึงต้องคิดใหม่....”
เด็กหนุ่มทอดเสียงลง เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วถอนหายใจอย่างแรง
ใบหน้าอ่อนเยาว์หันมามองและยิ้มอ่อนแรงส่งให้ผมที่มองอยู่ก่อนแล้ว
เป็นรอยยิ้มอ่อนแรงแต่กลับไร้แววอารมณ์เย้ยหยันเหมือนทุกครั้งที่เขาชอบยิ้ม
“ผมกำลังจะตายใช่มั้ย?...
ชเว จงฮยอน”
10 ปีก่อน
ผมได้รับงานใหม่
คราวนี้ผมรับบทเป็นเพื่อนที่ทำงานของเหยื่อโดยเหยื่อจะมีความทรงจำเกี่ยวกับผมว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก
เราเจอกันเฉพาะที่ทำงานจนวันที่ผมไปปรากฏตัวเป็นช่วงปิดเทอมหน้าร้อนของโรงเรียนประถม
หนุ่มวัยทำงานคนนั้นได้วางแผนจะไปพักร้อนกับครอบครัวในวันหยุดสุดสัปดาห์ของตัวเองพร้อมภรรยาและลูกชาย
แต่แล้วภรรยาของเขาเกิดติดธุระกะทันหันเนื่องจากได้รับข่าวว่าแม่ของตนป่วยจึงต้องกลับไปดูแล
ทำให้เหลือเพียงแค่เขาและลูกชายเพียงเท่านั้น
ประจวบเหมาะกับวันนั้นผมทำทีเข้าไปถามหาที่พักตากอากาศกับเพื่อนตัวเองทำให้ถูกชวนไปร่วมทริปเล็กๆนี้ด้วย
ยู ฮยอนซู
พนักงานออฟฟิศหนุ่มอายุสั้น เขามีครอบครัวที่น่ารัก
ฮยอนซูเป็นคนรักครอบครัวและลูกชายมาก เป็นที่รักของเพื่อนที่ทำงานทุกคน
เป็นคนใจดีคอยช่วยเหลือคนอื่นในที่ทำงานเสมอ แต่กระนั้นในระหว่างที่ผมทำการตรวจสอบ
ผมกลับพบสิ่งผิดปกติ
ฮยอนซูมีบ้านเล็กบ้านน้อยอีกหลัง...แต่เรื่องนี้ถือเป็นความลับที่ไม่มีใครได้ล่วงรู้
และผมตัดสินใจรับเขาไว้เพียงเพราะเหตุผลนี้
เมื่อถึงวันเดินทางแม้สภาพอากาศจะไม่เหมาะสมสำหรับการไปเที่ยวตากอากาศแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฮยอนซูลดความตั้งใจของเขาลง
วันนั้นผมทำหน้าที่เป็นคนขับส่วนฮยอนซูนั่งด้านข้างและเบาะหลังเป็นที่ของลูกชายของฮยอนซู
.. ยู ชางฮยอน
เมื่อเดินทางไปถึงที่พัก
เราช่วยกันเอาข้าวของไปเก็บในห้องและถ่ายรูปกับบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่ระลึก ผมเลือกยึดบริเวณห้องโถงเป็นพื้นที่ของตัวเอง
“เลือกบ้านพักเก่งจังนะฮยอนซู
มีครบเลยแฮะ แถมยังมีเครื่องเสียงด้วย” ผมพูดเมื่อเดินสำรวจโถงจนพอใจแล้ว
“ไม่ขนาดนั้นหรอก”
“เอ้อ! ฉันเอาแผ่นเพลงมาด้วย
บังเอิญเจอที่บ้านแล้วคิดว่ามันเพราะดีเลยหยิบติดมาด้วยน่ะ อยากให้ลองฟังดู”
ฮยอนซูพยักหน้ารับและยิ้มให้ เรานั่งฟังเพลงทั้งวันจนเด็กน้อยชางฮยอนเหมือนจะไม่พอใจเล็กๆเพราะไม่มีคนยอมไปเล่นกับตัวเอง
“พ่อฮะ! ผมอยากออกไปข้างนอก”
ชางฮยอนกระโดดขึ้นมานั่งบนโซฟาแทรกระหว่างผมกับฮยอนซูหลังจากพบว่าการนั่งระบายสีอยู่บนพื้นนั้นไม่มีความสุขเอาซะเลย
“แต่ฝนใกล้ตกแล้วนะลูก
ค่อยไปพรุ่งนี้นะครับ” ฮยอนซูว่าพรางโยกหัวลูกน้อยไปมาหวังให้อีกคนเข้าใจ แต่เด็กยังไงก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำ
ชางฮยอนทำหน้าบูดไม่พอใจละจากบิดาตนมาหาคนที่นั่งข้างๆอย่างผมแทน
สองมือเล็กจับแขนผมเขย่าไปมาพรางเอ่ยอย่างออดอ้อน
“น้าจงฮยอนไปเล่นกับผมหน่อยนะๆ”
“ฉันเหรอ?”
“ผมอยากเล่นลูกบอลอ่ะ
นะๆๆๆ ไปเล่นกันเถอะ” เด็กน้อยออกแรงลากดึงแขนเสื้อจนผมต้องยอมลุกจากเก้าอี้
ไม่วายหันไปสบตาคนที่เป็นเพื่อนปลอมๆอย่างขอความเห็น
ฮยอนซูส่ายหน้าน้อยๆแต่ยังคงรอยยิ้มเอาไว้เหมือนบอกเป็นนัยว่าไปเถอะ ไม่เป็นไร
ก่อนเจ้าตัวจะลุกเดินตามมา
ชางฮยอนโยนเล่นลูกบอลกับพ่อของเขาไปเรื่อยๆ
เราสามคนวิ่งไล่จับกันไปจนถึงบริเวณทะเลสาบที่ไม่ค่อยมีผู้คนมากมายนัก
ที่ตรงนั้นมีเพียงพวกเขาสามคน
เด็กน้อยยังคงโยนรับลูกบอลกับพ่อของตนอย่างมีความสุขโดยมีผมคอยยืนมองภาพเหล่านั้นอยู่ใกล้ๆ...อีกแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
ลูกบอลกลิ้งหลุดมือจนหล่นไปในทะเลสาบ
“ตกลงไปจนได้”
ฮยอนซูพูด
“ผมจะลงไปเก็บฮะ!” ชางฮยอนพูดกับผู้เป็นพ่อก่อนจะวิ่งไปตรงขอบปูน ร่างเล็กเดินหาอะไรอยู่สักพักก่อนจะหยิบเศษไม้ยาวประมาณหนึ่งแขนของผู้ใหญ่ขึ้นมา
พยายามเอาไม้เขี่ยลูกบอลให้เข้ามาใกล้แต่การกระทำนั้นกลับทำให้เจ้าลูกกลมๆลอยไปไกลยิ่งกว่าเดิม
“ทำแบบนั้นมันจะยิ่งลอยออกไปนะ”
ผมพูดเมื่อมองดูภาพนั้นแล้วนึกเวทนา
เด็กน้อยเบะปากทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อจนผู้เป็นบิดาเกิดอยากจะแสดงความเป็นฮีโร่ด้วยการอาสาลงไปเก็บลูกบอลให้
หวังให้เจ้าตัวน้อยกลับมายิ้มอีกครั้ง
“งั้นเดี๋ยวพ่อลงไปเก็บให้
ชางฮยอนห้ามร้องไห้นะ”
“ครับ!! พ่อเก่งที่สุดเลย!!” เด็กชายเอ่ยชม
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของฮยอนซูก่อนเขาจะหายไปจากโลกนี้
เหตุการณ์นั้นคืออุบัติเหตุที่มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง
จัดฉากให้ชายผู้หนึ่งเสียชีวิตจากการจมน้ำเพื่อลงไปเก็บลูกบอลให้ลูกน้อยของเขา
ในตอนนั้นที่ชางฮยอนทำท่าจะวิ่งเข้าไปช่วยพ่อตัวเองที่กำลังตะเกียกตะกายรอความช่วยเหลือ
แต่ผมรั้งแขนของเขาไว้ด้วยมือเปล่า ดึงชางฮยอนให้หันหน้ามามองผมที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
จนกระทั่งฮยอนซูหมดแรงและปล่อยตัวเองจมดิ่งลงไปใต้ทะเลสาบลึก
ชางฮยอนร้องไห้ยกใหญ่
เด็กน้อยโผเข้ากอดคอผม ร้องเรียกพ่อของตัวเองจนสลบไปในอ้อมแขนของผม
ก่อนผมจะพาตัวเด็กชายส่งกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยพร้อมกับแจ้งข่าวให้ที่บ้านของเขาทราบ
และให้การกับตำรวจเพียงแค่ว่า
ผมว่ายน้ำไม่เป็นและแถวนั้นไม่มีใครเลยที่พอจะช่วยเหลือฮยอนซูได้ สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายไป
และเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกันที่ชเว
จงฮยอนอยู่ในความทรงจำของใครสักคนก่อนจะถูกลบออกไป
สิ้นคำพูดของชางฮยอน
ราวกับภาพเมื่อหลายปีก่อนถูกเล่นซ้ำในความคิดของผม
ความทรงจำที่ผมเกือบลืมไปแล้วว่ามันเคยเกิดขึ้น
ความทรงจำที่ฉายขึ้นมาเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมการพบเจอกันของผมและชางฮยอนถึงได้น่าแปลกประหลาด
ราวกับเป็นการจัดฉากของใครสักคนหนึ่งเหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมา
“ทำไมตอนนั้นคุณถึงไม่ช่วยเพื่อนตัวเอง?
ทำไมตอนนั้นถึงห้ามผมไว้...ถ้าผมเข้าไปช่วยพ่อทัน ป่านนี้พ่อก็ยังอยู่กับผม
ผมไม่ต้องเจอคนเลวนั่น ผมไม่ต้องโดนทำร้าย ชีวิตของผมคงไม่แย่เหมือนตอนนี้....”
“.....” ผมเงียบ
มีแค่ชางฮยอนที่ยังคงพูดต่อไป ระบายความอัดอั้นทั้งหมดที่มีออกมาให้ได้ฟัง
มีแค่คำที่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ไม่มีแม้น้ำตาหรือความสั่นเคลือแสดงออกมาให้เห็น
“ทำไมไม่พูดล่ะครับ?
เงียบทำไมล่ะ”
“ใช่ ยู ชางฮยอน...”
“...นายกำลังจะตาย”
“และฉัน...เป็นยมทูต”
- - - - - -
- 160619 ถ้าใครจำตู้เพลงตามร้านเพลงในสมัยก่อนได้นะ คือเราก็เดินไปยกหูฟังมาใส่ละกดเลือกเพลงอ่ะ ตามพวกร้านขายเพลงในห้างจะมีไว้ให้ฟังตัวอย่างเพลง ซึ่งก็นานมากแล้ว 555555
เรื่องนี้แต่งยากมากเลย ต้องบิ้วท์อารมณ์นาน ตอนนึงเขียนอยู่หลายวัน ฮรือออออออ เขียนไปเครียดไป อะไรไม่รู้ กรั่กๆๆๆๆ ปั่นอีกเรื่องอยู่ด้วยครับ ภาษาปนๆกันจนงงงวยไปหมด เบลอๆครับ ผิดพลาดตรงไหนขอโทษจริงๆน้าาา
ชางริคควรออกมาทำให้เรือแล่นบ้างนะครับ รู้สึกเหมือนเป็นเรือที่น้ำมันจะหมดอ่ะ ถถถถถถถ แห้งเหี่ยวเหลือเกิน
ความคิดเห็น