ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { changrick } 7 วันของยมทูต - END -

    ลำดับตอนที่ #4 : SEVEN DAYS | 3 (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 59


    { }

     

    หลังจากแบกฆาตกรหนุ่มอายุน้อยลงจากเขามาถึงรถ ผมก็แทบจะโยนเขาเข้าไปในรถทันที ถึงจะมารับบทเป็นหนุ่มวัยรุ่นแบบนี้แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เหนื่อย ที่ว่ายมทูตไม่เหนื่อยไม่ล้ามันเป็นความจริง แต่ลองมาแบกเด็กน้ำหนักขนาดนี้ลงจากเขา ถึงจะเป็นยมทูตก็อดปวดหลังและเอวไม่ได้อยู่ดี

    บรรยากาศอึมครึมยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม แต่เพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้วอากาศจึงอุ่นขึ้นมาคลายหนาวได้เพียงเล็กน้อย ผมทิ้งอีกคนไว้ในรถก่อนจะเดินหาร้านสะดวกซื้อใกล้บริเวณนั้น โชคดีที่มันอยู่ไม่ไกลมากเลยไม่ต้องเดินหาให้เสียเวลา

    ผมเดินดูของที่พอจะซื้อไปให้อีกคนกินได้ก่อนจะหยิบโอนิกิริ(ข้าวปั้นสามเหลี่ยม)ไส้บ๊วยกับแซลมอนย่างขึ้นมาใส่ตะกร้า นมจืด กาแฟกระป๋อง น้ำผลไม้และน้ำเปล่าผมก็หยิบใส่ตามในตะกร้าด้วยเช่นกัน

    “ไม่กินกาแฟนะ” เสียงดังขึ้นด้านหลังทำผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันไปเห็นอีกคนยืนอยู่ข้างๆ

    “เดินมาตอนไหน”

    “ตั้งแต่โดนโยนทิ้งไว้ในรถนั่นแหละ”

    “คิดว่าหลับไปแล้วเลยไม่อยากปลุก”

    “เหรอ” ผมไม่ตอบอะไรก่อนจะหันเอากาแฟกระป๋องไปวางคืนที่เดิม

    “ลองทิ้งผมไว้จริงๆสิ คุณเตรียมตามไปอยู่กับแม่ผมได้เลย”

    “กลัวไปหมดแล้ว” ชางฮยอนมองผมเคืองๆ มือก็เตรียมล้วงออกจากกระเป๋ากางเกง

    “บอกแล้วไงว่าอย่าเอามีดออกมา” ผมจ้องอีกคนเขม็งไม่แพ้กันจนเจ้าตัวเอามือออกจากกระเป๋ามาโบกไปมาตรงหน้า

    “ทิ้งไปตั้งแต่ที่โรงแรมแล้ว”

    “ก็ดี” เพราะถ้านายแทงมาแล้วฉันไม่ตาย นายก็คงช็อคเป็นอย่างมาก ผมเดินออกมาเตรียมไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์โดยไม่ลืมหยิบเอาถุงมือที่บังเอิญไปเห็นติดมือมาจ่ายเงินด้วย ชางฮยอนไม่พูดอะไรแล้วเดินตามมาเฉยๆ

     

    “ข่าวด่วน ตำรวจสันนิษฐาน บุตรชายที่หายไปอาจมีส่วนในเหตุการณ์ฆาตรกรรมเมื่อวานนี้....”

     

    จอโทรทัศน์ปรากฏภาพข่าวที่ได้ฟังในวิทยุไปเมื่อวาน แต่ต่างกันที่บนหน้าจอขึ้นภาพบุตรชายคนที่ว่าเด่นหรา และยังบอกอีกว่าใครพบเจอให้รีบแจ้งตำรวจ ชางฮยอนดูท่าทางลอกแลก เขายกฮู้ดขึ้นมาสวมก่อนจะเดินมายืนหลบด้านหลังผมจนชิด ขณะเดียวกันที่เจ้าของร้านคิดเงินเสร็จเรียบร้อย ผมพาชางฮยอนเดินออกมาสักพักก็เห็นอีกคนยังไม่หายกังวลสักทีเลยพูดขัดขึ้นมาตอนกำลังเดินกลับไปที่รถ

    “ไม่ต้องกลัวหรอก นายหน้าไม่เหมือนในรูปนั้น”

    “จริงเหรอ” เด็กชายเอ่ยขึ้นทั้งๆที่ยังก้มหน้ามองพื้นไม่เลิก พอเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็อดที่จะเอ่ยวาจาเย้าหยอกออกไปไม่ได้

    “อือ ตอนนี้นายดูอ้วนกว่าในรูปตั้งเยอะ”

    “เอ้ะ! นี่!” อีกคนมองค้อนผมวงใหญ่ ผมยื่นมือไปดึงฮู้ดของเขาให้ลงมาปิดหน้ามากพอที่จะทำให้อีกคนเซไปเล็กน้อย “หึ แค่นี้ก็ไม่เห็นหน้าแล้ว”

    เด็กหนุ่มจิ๊ปากสบถงึมงำอยู่คนเดียวแต่ก็พอได้ยินว่าเจ้าตัวกำลังด่าผมอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เขาเดินกระแทกเท้าแรงๆนำไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งและปิดเสียงดังจนผมกลัวเหลือเกินว่าประตูมันจะพัง

    ผมเดินตามมานั่งฝั่งคนขับ ยื่นถุงขนมที่เพิ่งซื้อจากร้านเมื่อครู่ส่งให้ อีกคนรับไปแต่ก็ไม่ได้หันมามองหน้าก่อนจะสนใจแกะห่อโอนิกิริออกมายัดเข้าปาก

    “แล้วนี่จะเอายังไงต่อ” ผมถามพรางเอื้อมไปหยิบถุงมือที่อยู่ในถุงพลาสติกออกมาสวมที่มือ ถึงจะเป็นแค่ถุงมือไหมพรมถักแต่คงพอจะช่วยได้บางเวลาที่เผลอไปโดนตัวเด็กข้างๆเข้า แต่ที่ขัดใจนิดหน่อยคงจะเป็นสีชมพูพาสเทลของมัน เรียกเสียงหัวเราะหึๆจากคนข้างๆได้ดีเลยทีเดียว

    “ขำอะไรนัก”

    “เปล่า แค่คิดว่ามันเข้ากับคุณดี ใส่ไว้ก็ดีแล้วเพราะมือคุณมันเย็นมากๆ” ชางฮยอนตอบแต่ก็ยังคงหัวเราะอยู่ในลำคอไม่เลิก

    “ก็ใส่เพราะแบบนั้นแหละ” ผมตอบพร้อมกับสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนจะหันไปถามย้ำกับอีกคนว่าจะเอายังไงต่อไปดี เด็กข้างๆกัดข้าวปั้นไปหนึ่งคำ ทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักครู่ในขณะที่ปากก็เคี้ยวไม่หยุดก่อนจะบอกจุดหมายปลายทางออกมา

     

    ไม่ห่างจากทะเลสาบออกไปมากนักจะเป็นย่านที่พักอาศัย ทั้งพวกรีสอร์ท โฮมสเตย์ รวมไปถึงบ้านพักทั้งของนักท่องเที่ยวและบ้านพักส่วนตัว ผมจอดรถหน้าบ้านพักหลังหนึ่ง เป็นบ้านที่ตั้งอยู่บนตีนเขาห่างจากบ้านหลังอื่นพอสมควรแต่หากมองออกไปก็ยังคงเห็นทะเลสาบอยู่ ภายนอกดูเก่าเพราะสีของผนังที่เปลี่ยนไปและหลุดลอกไปบ้าง กับประตูรัวสนิมเขรอะ ด้านหน้ามีป้ายเขียนด้วยมือเอาไว้ว่าขายด่วนพร้อมกับเบอร์ติดต่อ ตัวหนังสือสีซีดพอจะบอกได้ว่ามันคงประกาศขายไปเมื่อนานมาแล้ว

    ผมสำรวจภายนอกด้วยสายตาสักพักก่อนจะหันกลับมามองอีกคนที่เปิดประตูรถออกไปแล้ว ผมจึงออกตามไป

    ชางฮยอนเดินเข้าไปใกล้ประตูรั้วและเอื้อมมือไปจับมัน เขามองอยู่สักพักก่อนจะกระโดดปีนข้ามรั้วสนิมเขรอะเข้าไปด้านใน

    “ทำอะไรน่ะ” ผมถามแต่ชางฮยอนก็ไม่ได้สนใจจะตอบ แต่กลับเดินเข้าไปหมุนลูกบิดประตูซะดื้อๆ เห็นแบบนั้นผมก็เลยปีนรั้วเข้าไปตามก่อนจะเดินไปยืนข้างๆชางฮยอนที่ใช้มือหมุนลูกบิดอย่างเอาเป็นเอาตายแต่มันก็เปิดไม่ออก

    “บ้านมันมีเจ้าของ จะเปิดออกได้ไงล่ะ” ชางฮยอนหันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะผละออกไปเดินดูรอบๆบ้านแทน เขากลับมาพร้อมท่อนไม้ในมือที่หากใครโดนทุบด้วยไม้อันนี้ก็คงสลบไปทันที เด็กหนุ่มเดินมาเบียดตัวผมให้หลบไปห่างๆก่อนจะยกไม้นั่นทุบไปที่ลูกบิดประตูอย่างหนักสองสามทีจนมันหลุดออกจากกรอบ คงเป็นเพราะไม้ที่ทำประตูมันเก่ามากแล้วถึงได้แตกออกง่ายๆแบบนี้

    เด็กหนุ่มเปิดประตูออกก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน ความมืดในตอนแรกค่อยๆสว่างขึ้นเมื่อชางฮยอนเดินไปเปิดไฟรอบบ้านอย่างชำนาญราวกับว่าเคยอยู่ในบ้านหลังนี้มาก่อน

    ผมเดินไปสำรวจรอบๆบ้าน บ้านหลังนี้ถึงภายนอกจะดูเก่าโทรมๆแต่ด้านในยังคงเหมือนใหม่ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างยังคงอยู่ครบและทั้งหมดถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว มีฝุ่นและใยแมงมุมนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้สกปรกมาก ผมเดินผ่านห้องครัวและลองเปิดน้ำจากก๊อกดูก็พบว่ามันยังคงใช้ได้ดีจึงเลิกสนใจ

    ชางฮยอนยืนนิ่งๆอยู่หน้าชั้นวางของข้างๆกับโทรทัศน์ ผมเดินไปยืนซ้อนหลังอีกคนก่อนจะถามออกไป “ดูอะไรอยู่เหรอ”

    “เปล่า” เด็กชายตอบกลับมาก่อนจะวางกรอบรูปถ่ายคว่ำไว้แบบเดิม

    “ผมจะขึ้นไปด้านบนนะ” บอกแค่นั้นก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไป ผมหันกลับไปมองกรอบรูปอันเดิมที่วางคว่ำอยู่อย่างคิดไม่ตก เพราะแสงไฟที่ส่องกระทบกับกระจกของกรอบรูปจึงทำให้ผมเห็นภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่มันกลับคุ้นเคยเหมือนกับเคยเห็นภาพนั้นมาก่อนแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ผมละสายตาจากกรอบรูปนั่นก่อนจะเดินขึ้นไปสำรวจชั้นบนบ้าง

     

    “คงคิดมากไปเองล่ะมั้ง”

     

     - 50% -



     

     

     

    ผมเดินขึ้นบันไดมาช้าๆ บนผนังถูกตกแต่งด้วยกรอบรูปจำนวนไม่น้อย ถึงจะมีฝุ่นเขรอะอยู่หน่อยแต่ก็มองออกว่าเป็นรูปทิวทัศน์ ผมหยุดมองรูปภาพทะเลสาบรูปหนึ่งในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสพรางคิดว่าถ้าหากผมมีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้สักครั้งก็คงดี ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจที่ผมเริ่มทำงานเป็นผู้ตรวจสอบเต็มตัว อากาศมันไม่เคยดีเลยสักครั้ง แสงอาทิตย์จะอุ่นเท่าฮีตเตอร์หรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องที่ผมยังไม่ค่อยแน่ใจนัก

     

                ครืดดด ครืด

              เสียงสิ่งของขนาดใหญ่เสียดสีกับพื้นไม้ดังขึ้นเรียกให้ผมละความสนใจจากรูปภาพตรงหน้าไปสนใจเสียงนั้นแทน ผมเดินขึ้นไปจนสุดทางก็พบว่าเสียงนั้นมาจากห้องทางซ้ายที่คิดว่าคงจะเป็นห้องนอน ชางฮยอนกำลังเลื่อนตู้เสื้อผ้าขนาดกลางมาทางประตู แต่ดูท่าว่ามันจะไม่ค่อยขยับเท่าไหร่นัก

                “ทำอะไร” ผมถามก่อนจะเดินเข้าไปใกล้วัตถุทรงสี่เหลี่ยมขนาดกลางนั่น ชางฮยอนชะโงกหน้าออกมาจากหลังตู้ก่อนจะเอ่ยตอบคำถาม

                “มาพอดีเลย ช่วยเลื่อนตู้หน่อยสิ”

                “จะเลื่อนไปไหน”

                “เถอะหน่า แค่เลื่อนมันไปไว้ด้านนอก” ชางฮยอนไม่ได้บอกอะไรมาก เขาดันหลังผมให้เดินไปใกล้ตู้ “เร็วเข้า”

    ผมไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก เพราะดูเหมือนถามไปก็จะไม่ได้คำตอบเลยช่วยชางฮยอนดันเจ้าวัตถุสี่เหลี่ยมนี้ไปไว้ด้านนอกห้อง แต่ถ้าลองนึกถึงสิ่งที่เด็กคนนี้เคยพูดไว้ว่าเจ้าตัวเคยโดนจับยัดในตู้เสื้อผ้าก็คงจะไม่แปลกหากเขาจะตั้งใจให้สิ่งนี้ออกไปจากสายตา ซึ่งหนักเอาเรื่องอยู่ไม่ใช่น้อย

    หลังจากจัดการเจ้าตู้เสื้อผ้าเจ้าปัญหาเรียบร้อย ชางฮยอนถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้าออกดู ด้านในยังพอมีเสื้อผ้าอยู่หลายชุด คงเป็นของเจ้าของบ้านที่ปล่อยขาย

    “ยังมีเสื้อผ้าอยู่บ้าง เปลี่ยนชุดหน่อยมั้ย” เด็กชายคุ้ยหาอะไรอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยถาม

    “นอกจากจะงัดบ้านเขาเข้ามา เลื่อนตู้เสื้อผ้าเขา ยังจะขโมยชุดเขาอีก เชื่อเลย” ผมบ่น

    “อย่าพูดมาก..เอาไป” ผมรับชุดที่ชางฮยอนส่งมาให้ จะว่าส่งก็ไม่ถูกนัก คงต้องเรียกว่ายัดใส่มือมากกว่าถึงจะถูก ชางฮยอนยังคงรื้อหาชุดที่ตัวเองอยากใส่แต่ก็ยังไม่วายบ่นว่าไม่ชอบชุดสูทพนักงานบริษัทที่ผมใส่อยู่เท่าไหร่ มันเหมือนกับว่าเขาเดินอยู่กับลุงแก่ๆซึ่งผมมั่นใจว่ามันไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นเสียหน่อย

     

    ที่นี่มีห้องนอนแค่ห้องเดียวแต่เป็นห้องใหญ่ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นโถงและชานกว้าง บนกำแพงมีกระถางต้นไม้เล็กๆวางอยู่ บางส่วนก็แตกหักไปบ้าง มีเศษดินกระจัดกระจายเต็มไปหมด โต๊ะและเก้าอี้เหล็กดัดสีขาวมีรอยขึ้นสนิมอยู่ทั่วเพราะตั้งไว้นอกชานจนน้ำฝนทำปฏิกิริยากับออกซิเจน หยดน้ำเกาะอยู่เต็มจนไม่สามารถนั่งกินลมชมวิวด้านนอกได้ ถึงอย่างนั้นตัวโถงด้านในก็สามารถเห็นวิวทะเลสาบได้ชัดเจนไม่ต่างกัน

    ผมเดินสำรวจรอบโถงที่มีเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ ตู้ต่างๆถูกคลุมด้วยผ้าขาว ผมเอาผ้าขาวที่คลุมโต๊ะอยู่ออกพบว่ามันเป็นเครื่องเล่นแผ่นไวนิลแบบเก่า ข้างๆกันเป็นตู้เก็บแผ่นไวนิลหลายแผ่น นั่นเป็นที่พอใจสำหรับคอเพลงแบบผมมาก

    “ชอบฟังเพลงมากเลยเหรอ” เสียงใสดังขึ้นด้านหลัง ชางฮยอนย่อตัวลงมานั่งข้างๆกัน ผมพนักหน้าแทนการตอบคำถามนั้น

    “ฟังอันนี้สิ” มือเล็กเอื้อมไปหยิบซองกระดาษสีฟ้าขึ้นมา ด้านหน้ามีตัวหนังสือสีดำเขียนว่า Nirvana ผมรับมาก่อนจะเอาแผ่นไปใส่ในเครื่องเล่นซึ่งมันยังคงทำงานได้ดีเหมือนใหม่ ทำนองเพลงดูหนักแน่นและเสียงแหบพร่าของนักร้องนำกลับนุ่มหูน่าฟังเหลือเกิน

    “โอ้ รสนิยมนายก็ดีเหมือนกันนี่”     ฟังแมะะะ เผื่ออยากฟัง #######

     

    ผมเดินไปนั่งที่โซฟากลางห้องที่มียูชางฮยอนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ผ้าสีขาวที่ใช้คลุมถูกโยนไปกองไว้ข้างๆ เราทั้งคู่ปล่อยให้บทสนทนาจบลงแค่นั้น ให้เสียงเพลงจาก Nirvana บรรเลงไปแทนคำพูด ความเงียบ และอากาศชื้นๆจากละอองฝนยามบ่ายแก่ เนิ่นนานพอจนกระทั่งบทเพลงสุดท้ายจบลงแทนที่ด้วยเสียงหยาดฝนที่กระหน่ำตกลงมากระทบพื้นและหลังคาด้านนอก กลบแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ

     

    ถึงแม้ว่าวันของผมจะไม่เคยสดใสแต่ผมมั่นใจว่านี่เป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด มากกว่าการได้พบเจอกับอากาศดีเสียอีก

     

     

    ยู ชางฮยอน เด็กมัธยมปลายผู้มีโชคชะตาที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ หลังจากที่พ่อของตัวเองตายด้วยฝีมือยมทูตตนไหนก็ไม่รู้พรากไป แม่ของเขามีคนรักใหม่และโชคร้ายที่คนๆนั้นไม่ใช่คนดี เด็กตัวแค่นี้ต้องรับเคราะห์จากอารมณ์รุนแรงของคนๆนั้นหลายปีตั้งแต่เด็กจนโตและเป็นเรื่องน่าตลกที่แม่ของตัวเองก็ดันไม่เข้าข้างซะด้วยสิ

     

    จิตใจเขาคงบอบช้ำเกินกว่าจะใช้สติพิจารณาว่าควรทำอย่างไร และคงมืดมัวพอที่จิตใต้สำนึกจะสั่งให้ลงมือฆ่าคน

     

     

    ยู ชางฮยอนเป็นเด็กที่น่าสงสาร

     

     

    น่าสงสารเกินกว่าที่จะแบกทุกอย่างเอาไว้ น่าสงสารเกินกว่าที่จะมีชีวิตอยู่และเจ็บปวดต่อไปเพราะมีประวัติอาชกรติดตัว ยากต่อการใช้ชีวิตในอนาคต น่าสงสารเกินกว่าจะ ปล่อยไป

     

     

     

     

     

              “เฮ้ออออออออ”

                เสียงถอนหายใจยาวดึงผมออกจากความคิดของตัวเอง เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจไปมาคลายความเมื่อยจากการนั่งท่าเดิมนานๆ

                “ไง” ผมหันไปถามคนข้างๆที่ยังคงนั่งหลับตาถอนหายใจทิ้งขว้างอยู่อย่างนั้น

                “เปล่า กี่โมงแล้วเนี่ย มีนาฬิกาไหม” ชางฮยอนว่าพรางไปหันซ้ายทีขวาที

                “ไม่มีหรอก” ผมว่าก่อนจะลุกเดินไปเลือกแผ่นเพลงแผ่นใหม่มาเปลี่ยนแทนแผ่นเก่าที่เพลงจบไปแล้ว

                “พอฝนตกแล้วดูเวลาไม่ออกตลอด...ว่าแต่คุณทำอาหารเป็นหรือเปล่า?” ประโยคแรกดูเหมือนจะบ่นกับตัวเอง ส่วนประโยคที่สองดูเป็นประโยคคำถามที่เจ้าตัวเอ่ยถามผม ผมเองมีโอกาสไปใช้ชีวิตในครัวหลายครั้งเนื่องจากงานที่ผมต้องทำเลยพอเคยเห็นการทำอาหารจากพวกเหยื่อที่เป็นพ่อครัวอยู่บ้าง

                “ก็พอได้นะ”

                “...”

                “พวกอาหารกึ่งสำเร็จรูปน่ะ” ถึงแบบนั้นทักษะการทำอาหารของผมก็ไม่ได้พัฒนาไปเลย เด็กชายส่งเสียงเหอะออกมาให้กับคำตอบของผมก่อนจะพูดขึ้น

    “แบบนั้นผมก็ทำได้ เหอะ..ชีวิตชายโสดงี้สินะ”

                ผมไหวไหล่อย่างไม่สนใจคำพูดของชางฮยอนเพราะมันคือเรื่องจริงที่ผมไม่จำเป็นต้องทำอาหารอะไรอยู่แล้ว แค่น้ำแก้วเดียวก็มากเพียงพอสำหรับผมแล้ว ส่วนพวกอาหารสำเร็จรูปมันก็ทำง่ายจริงๆเหมือนที่เจ้าตัวว่านั่นแหละ

                “หิวจะแย่อยู่แล้ว”

                “ให้ไปซื้อให้ไหม?”

                “ไม่ล่ะ ขนมเมื่อตอนบ่ายยังมีเหลืออยู่”

                “แล้วแต่นะ” ผมหยิบซองเพลงสีน้ำตาลเก่าๆขึ้นมามอง บนนั้นไม่ได้เขียนอะไรเอาไว้นอกจากตัวตัวอักษรเล็กๆสีดำตรงกลางว่าชเว จัดการเปลี่ยนแผ่นเสร็จแล้วจึงหันกลับมานั่งที่พอๆกับเสียงบ่นตัดพ้อของอีกคนดังขึ้นเบาๆ “เมื่อก่อนมันเคยดีกว่านี้แท้ๆ....”

    ชางฮยอนทอดสายตาไปมองทะเลสาบตรงหน้าเลื่อนลอยจนไม่สามารถบอกได้ว่าสายตาของเด็กคนนี้โฟกัสอยู่ตรงจุดไหน ดวงตาใสหม่นแสงลงพอๆกับเสียงพูดของเขา

                “ตอนที่พ่อยังอยู่...”

             

               

                “พ่อน่ะ ทำอาหารเก่งมากแล้วก็ใจดีมากๆด้วยนะ” ชางฮยอนพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่ใช่ยิ้มที่ดูมีความสุขแต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ดูเย้ยหยั่นอยู่ในที ผมไม่ได้พูดอะไรปล่อยให้อีกคนพูดต่อและคอยฟังอย่างตั้งใจ

                “เราเคยมาเที่ยวที่นี่ด้วยกัน ผม พ่อ แล้วก็เพื่อนของพ่อ ตอนนั้นแม่ต้องดูแลคุณยายก็เลยไม่ได้มาด้วยกัน บ้านหลังนี้น่ะ เป็นบ้านพักตากอากาศที่พ่อซื้อเอาไว้ ......พ่อสัญญาว่าสักวันเราจะมาด้วยกันอีก...” เขาทอดเสียงลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ทะเลสาบเบื้องหน้า

    “แต่สุดท้ายพ่อก็ตาย หึ..ตลกดี”

                “คงรักพ่อมากสินะ”

                “งั้นเหรอ” ชางฮยอนเหยียดยิ้มออกมาอีกครั้ง

                “ถึงว่าล่ะ นายถึงดูรู้ทุกอย่างในบ้านนี้ดีนัก”

                “คุณบอกว่าสักวันเราก็ต้องตาย”

    “อืม” เด็กชายไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมกำลังตื่นเต้นที่รู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นของเจ้าตัวเองเลยสักนิด เขายังคงพูดต่อไปในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด ถึงจะรู้สึกเสียหน้าอยู่นิดๆแต่ก็ตั้งใจฟังต่อไป

    “พ่อผมก็เคยพูด ตั้งแต่เพื่อนคนนั้นของพ่อโผล่มา พ่อก็เอาแต่พูดประโยคนี้ซ้ำๆน่ารำคาญ พ่อเองก็น่ารำคาญ”

    “ก็มันเรื่องจริง”

    “แบบนั้นถึงน่ารำคาญไง”

                “ตายแล้วจะได้เจอพ่อ ไม่ดีเหรอ?”

                “ไม่อยากเจอหรอก คนผิดสัญญาแบบนั้น”

                “ปากแข็งนักนะ”

                “ช่างเถอะ ยังไงวันนึงก็ต้องตาย”

                “ช่วงนี้อยากทำอะไรก็ทำ นายอาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก”

                “ผมรู้..”

                    ชางฮยอนยกขาขึ้นมาบนโซฟา กอดเข่าตัวเองเอาไว้พร้อมกับประโยคสุดท้ายนั้น ท่าทางอ่อนแรงฉายชัดมากขึ้นกว่าเดิมอีกทั้งอากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อเพราะผมไม่รู้จะตอบอย่างไรต่อดี แต่ประโยคนั้นของอีกคนก็ไม่ใช่ประโยคที่ต้องการคำตอบเสียเท่าไหร่นัก

                “จะไปเอาขนมในรถมาให้แล้วกัน”

                “อื้อ”

                ผมเลือกเดินออกมาแทนที่จะนั่งอยู่เฉยๆ บรรยากาศตรงนั้นน่าอึดอัดยิ่งกว่าอะไรและไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกอึดอัดทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นด้วยซ้ำ หลังจากหยิบถุงขนมในรถเสร็จเรียบร้อยเตรียมเอาไปให้คนที่รออยู่เพราะคิดว่าเขาอาจจะหิวมากจนเพ้อเจ้อเลยพูดอะไรออกมา

    กรอบรูปที่ถูกวางคว่ำไว้โดยฝีมือชางฮยอนเรียกความสนใจให้ผมต้องหยุดมอง รูปภาพที่มองเห็นไม่ชัดในตอนนั้นกลับคุ้นตามากเสียจนอดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาดู ในภาพมีผู้ชายวัยกลางคนกับเด็กชายตัวเล็กขี่หลังเขาอยู่ แต่สิ่งที่เรียกความสนใจของผมยิ่งกว่าสองคนนั้นคงเป็นผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังนั่นมากกว่า

     

     

                ผู้ชายคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีคนนั้น....




    - 100% -


    - - - - -


    - 160528 เฮลโล่ววว หายไปหลายวันเลย เพิ่งกลับจากเข้าค่ายครับผม เอามาแค่นี้ก่อนนะ ยังขี้เกียจอยู่เลย -3-

    - 160530 ทำไมมันแลดูมุ้งมิ้งขึ้น(รึเปล่า) บรรยากาศไม่ได้อึมครึมเหมือนตอนแรกแล้วนะ(แต่ก็ยังพอมีอยู่บ้าง) เอ้ะะะะ?? ดูเหมือนจงฮยอนจะรับไว้ด้วยสิ ตกลงจะรับไว้หรือปล่อยไปกันแน่นะ?  เพลงของ nirvana ที่ใส่ไปนี่ก็ไม่มีความหมายแฝงอะไรใส่ไปเฉยๆเพราะเราชอบเพลงเขา 5555555 ลองไปหาฟังกันได้น้า ส่วนตัวชอบ come as you are แหละ

    ยังมีคนอ่านอีกไหมไม่รู้ แต่ก็แต่ง แต่งๆไปจะแป้กมั้ยก็ไม่รู้แต่ก็อยากแต่ง อยากให้มันจบ ;w; แต่ช่วงนี้ทีนท็อปเงียบจริงๆเนอะ ชางริคก็เงี้ยบบบเงียบบบ น้องชางก็ไปนั่งเหงาๆแต่งเพลงอยู่บริษัท ริคกี้ก็ไปช่วยออมม่าขายของ ถถถถ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×