คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : {rewrite} SEVEN DAYS | 2
ผมรีบพาชางฮยอนไปที่ห้องพักก่อนที่คนที่มาด้วยจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก
หลังจากเข้าห้องไปแล้วจู่ๆเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ล้มตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
หน้าตาเริ่มซีดเซียว หรืออาจจะเป็นผลจากที่เขาเผลอไปโดนตัวเมื่อสักครู่
ถ้าอย่างนั้นเด็กตรงหน้าก็คงจะไม่ได้แปลกเท่าที่ควร
แต่ก็ถือว่าแปลกที่ไม่ได้เป็นลมล้มพับไปในทันทีที่เขาสัมผัสเหมือนกับเหยื่อรายอื่นๆ
ผมมองร่างที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงด้วยแววตาหลากอารมณ์
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองหาวิทยุรอบๆห้องแทน จนเจอกับวิทยุเครื่องเก่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะถัดจากเตียงเดี่ยวขนาดกลาง
ผมรีบเดินไปหยิบมันและทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนอนถัดจากเพื่อนร่วมห้องก่อนจะเปิดและเลื่อนสถานีไปเรื่อยๆ
จากเสียงสัญญาณรำคาญหูกลายเป็นเพลงบัลลาดทำนองเนิบนาบน่าหลงใหลก่อนจะหลับตาลงซึมซับกับบทเพลงที่โปรดปราน
“ช่วยด้วย ... ช่วยผม ..ได้โปรด”
เสียงเพ้อแหบแห้งดังมาจากคนข้างๆ
ตอนนี้ร่างตรงหน้านอนขดตัวกอดตัวเองยิ่งกว่าเก่า
ตัวสั่นระริกเหมือนกำลังกลัวบางสิ่งบางอย่างจับหัวใจ
“ช่วยด้วยครับ ..”
ถึงจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชางฮยอนและไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
แต่พอเห็นภาพที่เขาดูหดหู่และหวาดกลัวอย่างจับใจนั้นแล้วก็อดที่จะสงสัยไม่ได้
แต่ผมก็ล้มเลิกความคิดก่อนจะกลับมาสนใจกับเพลงบัลลาดจากวิทยุเครื่องเก่าดังเดิม
มือป้อมๆที่ยังมีคราบเลือดสีน้ำตาลเปรอะอยู่เอื้อมมาคว้าเอวผม
กำชายเสื้อเอาไว้แน่น เขาเลื่อนตัวสั่นเทาจนผมรู้สึกได้เข้ามาใกล้มากขึ้นจนกลายเป็นซบ
ปากก็ยังคงเอ่ยร้องให้ช่วยอยู่ไม่ขาด ความรู้สึกสงสารวูบไหวในความคิดเพียงชั่วครู่ก่อนผมจะสลัดมันออกไป
วิทยุถูกนำกลับไปวางไว้ที่เดิม
ยมทูตไม่ควรแตะต้องตัวมนุษย์ด้วยมือเปล่าๆ
ผมไม่ควรจะแตะต้องตัวเขาเลย
แต่ไม่รู้เป็นเพราะความรู้สึกอะไรที่เกิดขึ้นมา
มือของผมก็วางอยู่บนศีรษะอีกคนเสียแล้ว
ผมจำได้ว่ามนุษย์จะทำแบบนี้เพื่อปลอบโยนคนอื่น
มนุษย์ที่ผมตรวจสอบเมื่อหลายสิบปีก่อนบอกกับผมตอนเธอกอดลูกชายของเธอ
เป็นเวลาตีห้ากว่าๆแล้ว
ท้องฟ้ายังคงมืดสลัวบวกกับอากาศหนาวเย็นหลังฝนตกและไอน้ำที่มีมากมายนั้นไม่ได้ส่งผลต่อผิวกายของผมเลยแม้แต่นิด
ผมเดินลงมาชั้นล่างและขอยากับอุปกรณ์ทำแผลจากผู้ดูแลก่อนจะเดินกลับขึ้นไป
เจ้าของร่างอวบที่ทั้งตัวเปรอะเปื้อนและมีคราบเลือดเล็กน้อยขยับตัวและยันตัวลุกจากเตียง
“ตื่นแล้วเหรอ”
“ยังไม่ตื่นล่ะมั้ง”
“งั้นเหรอ” จงฮยอนยักไหล่อย่างไม่หยีระก่อนจะวางกล่องยาไว้ข้างตัวอีกคน
“อย่างน้อยก็ควรจะทำแผลสักหน่อย”
“รู้แล้วหน่า” ชางฮยอนสะบัดผ้าห่มออกให้พ้นตัวก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำจัดการตนเองให้เรียบร้อย
ผมจึงเลือกหยิบหนังสือนิตยสารเล่มเก่าที่ตีพิมพ์เมื่อหลายเดือนก่อนขึ้นมาเปิดอ่านผ่านๆ
จนกระทั่งชางฮยอนอาบน้ำเสร็จแล้วเดินมานั่งลงบนเตียง
แรงยวบจากการกระทำนั้นบวกกับคำถามที่ถูกส่งมาจากอีกคนทำให้ผมต้องละสายตาจากนิตยสารในมือ
“แล้วนายไม่อาบน้ำหน่อยเหรอ”
“ไม่จำเป็น”
“สกปรก”
“เหรอ” ผมมองอีกคนแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก “จริงๆฉันอาบแล้วล่ะ”เด็กชายพยักหน้าหงึกๆอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะทำแผลให้ตัวเองต่อ
ผมหยิบกล่องยาที่อีกคนใช้เสร็จแล้วก่อนจะลุกเดินออกไปแล้วเรียกให้ชางฮยอนตามลงไปข้างล่าง
หลังจากจัดแจงจ่ายเงินค่าที่พักเรียบร้อยแล้ว
ก็โดนชวนให้ทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้ให้แขกรับประทานตอนเช้า
ชางฮยอนยังคงทานเสียงดังและดูมีความสุขกับการกินดังเช่นเมื่อวานนี้
ส่วนเขาก็ดื่มแค่น้ำเปล่าหนึ่งแก้ว เพราะไม่รู้ว่าจะกินเยอะๆไปทำไม
ในเมื่อไม่ได้รับรู้รสชาติอะไร เมื่อทานเสร็จคุณป้าคนเดิมกับเมื่อวานก็เดินออกมาส่งพวกเขาด้วยหน้าตายิ้มแย้มอย่างใจดี
“จะไปที่ไหนกันหรือจ้ะ?”
“ทะเล Y ครับ” ชางฮยอนตอบส่งๆ
ก่อนจะเดินขึ้นรถไป
“เหรอจ้ะ ถ้าอากาศดีกว่านี้ก็คงจะดีนะ”
“นั่นสิครับ” เพราะผมก็อยากจะมีวันที่สดใสเหมือนคนอื่นเขาบ้างเหมือนกัน
หลังจากที่ฟังเพื่อนร่วมงานเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ฟังว่าชีวิตของพวกเขาดีแค่ไหนตอนออกไปทำงานพร้อมอากาศแจ่มใส
“เดินทางปลอดภัยจ้ะ”
การเดินทางในวันที่สองได้เริ่มต้นขึ้นด้วยบรรยากาศอึมครึมเช่นเคยเหมือนทุกครั้ง
ระหว่างทางไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก มีเพียงแค่เสียงเพลงจากวิทยุเท่านั้นที่ยังคงแผดเสียงไม่หยุดหย่อน
“ถามหน่อยนะ” ผมตัดสินใจถาม
“อะไรอีก”
“ทำไมต้องไปที่ทะเล Y” หลังจากถามคำถามออกไปก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอีก
จนครู่ต่อมาเจ้าของร่างอวบที่นั่งข้างๆผมถึงยอมปริปาก
“ผมเป็นฆาตกร”
“นั่นก็รู้อยู่แล้ว”
“รู้ไหมว่าผมฆ่าใคร”
“ง่ายๆ ก็แม่ของนายไง แล้วยังไง?” ก็แน่ล่ะ
เมื่อวานเจ้าตัวก็บอกออกมาเองแท้ๆ เขาต้องการจะบอกอะไรกันนะ
“รู้ไหมทำไมถึงฆ่า” ชางฮยอนหันมามองผม ผมส่ายหน้าเล็กน้อยพรางส่งเสียงหึออกมาเป็นเชิงว่า
ไม่รู้สิ อีกคนหัวเราะในลำคอเบาๆและหันกลับไปมองถนนด้านหน้าก่อนจะพูดต่อ
“เพราะน่ารำคาญ”
“แค่นี้?”
“ไม่หรอก ยังมีอีก จะเล่าให้ฟังแล้วกัน” คราวนี้เปลี่ยนเป็นหันไปมองวิวนอกหน้าต่างในฝั่งที่ตัวเองนั่ง
กอดอกและพิงไปกับเบาะรถอย่างผ่อนคลาย
“เธอแต่งงานกับคนเลวนั่นทันทีที่พ่อตายได้ไม่ถึงเดือน ผู้ชายคนนั้นอารมณ์รุนแรงและโหดร้าย
ชอบทำลายข้าวของ ผมเกลียดเขามากที่เขาทุบตีแม่ ผมพยายามจะเข้าไปช่วยแม่อยู่หลายครั้งเพราะทนไม่ได้
มันจับผมยัดไว้ในตู้เสื้อผ้า ผมช่วยอะไรแม่ไม่ได้เลย” หน้าหวานสลดลงเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงและเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อไป
“หลังจากที่โดนจับขังในตู้ครั้งแรก ก็โดนจับขังอีกเรื่อยๆและพอเริ่มโตขึ้นคนเลวนั่นก็เลิกทำร้ายแม่และหันมาทำร้ายผมแทนโดยมีแม่คอยหนุนหลังและช่วยเขาให้ทำร้ายผมมากขึ้น
ผมเคยโดนจับยัดในกระเป๋าเดินทางใบเล็กสามวันเต็ม เกือบตายอยู่รอมร่อ สติเริ่มเลือนรางแต่พอจะมองเห็นได้ว่าคนที่มาช่วยคือแม่”
“แล้วฆ่าเธอทำไม”
“ก็กำลังจะเล่าอยู่นี่”
“อ่อ งั้นเล่าเลย”
“ไอคนเลวคนนั้นมันถือมีดเข้ามาในห้อง แกว่งมีดไปมาและขู่ให้กลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าไม่งั้นจะฆ่าทั้งให้หมดทั้งผมทั้งแม่
แม่ดูหน้าสลดลงแต่รู้ไหมเธอทำยังไง”
“ยังไง?”
“เข้าข้างคนชั่วคนนั้นยังไงล่ะ”
“...”
“มันทุบตีผมโดยมีแม่ยืนดูอยู่เฉยๆและยิ้มออกมา
เห็นแล้วมันหงุดหงิดเป็นบ้าเลยล่ะ”
“...”
“แต่เพราะไอชายชั่วนั่นมันโง่
ผมเลยแย่งมีดมาได้และแทงมัน
หน้าตาแม่ดูตกใจมากและเข้าไปกอดร่างไอชายชั่วนั่นไว้และร้องเรียกชื่อมัน
ยิ่งเห็นแล้วมันก็ยิ่งรำคาญลูกตาก็เลยแทงแม่ไปด้วย”
“ฉันต้องรู้สึกยังไง”
ผมไม่รู้จริงๆว่าควรจะรู้สึกสงสารชางฮยอนหรือเปล่า
หรือควรเศร้าสลดใจที่บุพการีของเขาโดนฆ่าหรือไม่
“ไม่รู้สิ แค่ไม่ทำอะไรขัดหูขัดตาและทำให้ผมรำคาญ”
“อ่อ อย่างงั้นเหรอ
แล้วทำยังไงถึงจะไม่ขัดหูขัดตานาย”
“แบบที่ทำอยู่ตอนนี้”
ชางฮยอนพูดจบก็หันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งไม่ได้หันมามองผม
ถึงผมจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คือการขัดหูขัดตาเขาชัดๆ
แต่ผมก็เลือกที่จะบอกว่า “ขับรถอ่ะนะ”
“ใช่! ขับรถชนเสาไฟตายไปเลยไป”
“เสาไหน”
“นี่ขี้สงสัยหรือโง่กันแน่”
ชางฮยอนจิ๊ปากอย่างขัดใจ ผมเริ่มสังเกตได้ว่าอีกคนคงเริ่มโกรธขึ้นมาเล็กน้อย
“อย่างฉันน่ะเหรอ”
“ให้ตายเถอะ”
“นายไม่ตายเร็วๆนี้หรอก”
เพราะฉันยังไม่ได้รายงานว่า ‘รับไว้’ เลยนะ
นายจะไม่ตายหรอก
ผมคิด
คุยกับหมอนี่ก็สนุกดี
คงเพราะไม่ได้คุยกับมนุษย์มานานหลายปีล่ะมั้งถึงได้รู้สึกแบบนั้น
แต่คนตรงหน้าผมนี่ดูเป็นเด็กที่น่ากลัวเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
แต่เมื่อคืนก็ดูเป็นเด็กที่อ่อนแอมากขนาดนั้นแท้ๆ ไม่รู้ว่าต้องเก็บอะไรไว้ในใจเยอะขนาดไหน
จะบอกว่าเป็นเด็กที่น่าสงสารแต่ก็คงดูขัดกับการกระทำของเขาอยู่ดี
และทั้งรถต่อจากนี้ก็มีเพียงเสียงเพลงที่ดังเรื่อยๆต่อไปโดยไม่หยุดหย่อน
ตอนนี้เราเดินทางมาถึงทะเล Y ตามที่เจ้าตัวอยากมา
แต่กลับไม่ได้มีหาดทรายหรืออะไรตามคำเรียกทะเลที่ผมเคยได้ยินมาเลยแต่น้อย
“ที่นี่คือทะเลจริงๆเหรอ?”
ผมถามอีกคนเมื่อจอดรถตรงที่จอดสำหรับนักท่องเที่ยว
พลางมองดูภาพด้านหน้าตนเองที่มีเพียงผืนน้ำกว้างไกลออกไป
และป่าห้อมล้อมแต่ก็ไม่ได้ดูทึบไปเสียหมด ยังคงมีจุดชมวิวและร้านรวงต่างๆไม่มากนัก
จัดว่าค่อนข้างโล่งเลยหล่ะนะถ้าเทียบกับพวกเมืองใหญ่ๆแล้ว
“นี่แหละทะเล”
“แล้วตรงไหนคือชายหาดล่ะ”
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้
จากที่ฟังเพื่อนร่วมงานเล่าให้ฟังและภาพถ่ายของพวกเขาแล้ว
ที่นี่ก็ไม่ได้เข้าข่ายคำว่าทะเลเลยสักนิด เหมือนหนองน้ำเสียมากกว่า
“โง่จริงๆใช่มั้ยเนี่ย”
“...”
“เขาเรียกว่าทะเลสาบ”
“อ่อ..เหรอ” ผมไม่ได้ว่าอะไรต่อก่อนจะเดินออกมาพิงกับกระโปรงหน้ารถ สูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติเข้าเต็มปอด
เพราะผมหยุดตกไปได้สักพักเลยทำให้อากาศเย็นและสดชื่นมาก
“อย่าบอกนะว่าไม่เคยมา”
ชางฮยอนเดินตามเขาหันมามองผมอึ้งๆ “ให้ตายเถอะ คุณมันประหลาดจริงๆ”
ผมไม่ได้สนใจอะไร ชางฮยอนเองก็เหมือนกัน เขาเดินมาพิงกระโปรงรถข้างๆผม
เหม่อมองออกไกลสุดสายตา
“ที่นี่เงียบสงบดีนะ”
ผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
ถ้าสายตาผมยังคงทำงานได้ปกติดีคงเห็นผิดว่าชางฮยอนยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ไม่ใช่รอยยิ้มเหยียดแบบทุกครั้ง เด็กชายดันตัวออกจากกระโปรงรถเดินนำไปใกล้บริเวณทะเลสาบมากขึ้น
“เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจอะไร
คนเราก็ยังอยากมีใครสักคนที่คอยรับฟังปัญหาหรือความผิดของเรานะ”
ชางฮยอนพูด รอยยิ้มเมื่อครู่นี้หายไปและถูกแทนที่ด้วยความเรียบเฉย
ผมมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ
“พอได้มองไปที่ทะเลสาบ
ผมรู้สึกราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ และมันกำลังปลอบปะโลมเราอยู่”
.
.
.
“ความเชื่อหน่ะ” ชางฮยอนพูดออกมาก่อนจะเดินนำไปตามลำธารเล็กๆที่เชื่อมต่อระหว่างภูเขากับทะเลสาบแห่งนี้
ผมไม่ได้พูดอะไรและเดินตามเจ้าตัวไปเงียบๆ ชางฮยอนถอดรองเท้าผ้าใบที่เปรอะคราบโคลนและคราบเลือดที่แห้งกรังมาถือไว้
ก่อนจะเดินลงไปในลำธารน้ำเย็นเฉียบนั่น
“อ่า...เย็นดีจัง” ตอนนี้ท้องฟ้าอึมครึมมืดครึ้ม อากาศหนาวเย็นที่กระทบผิวกายทำเอาขนลุกซู่
แต่ก็สดชื่นไม่น้อย วันนี้ฝนไม่ตกหนักเหมือนเช่นทุกวัน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท้องฟ้าปรอดโปร่งและมีแสงอาทิตย์เจิดจ้า
ส่วนผมเลือกที่จะเดินไปตามกรวดหินเล็กๆด้านข้างมากกว่าจะลงไปเดินในน้ำแบบนั้น
“จริงๆผมแค่เคยอ่านเจอในนิตยสารท่องเที่ยวแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้
ถ้าเดินขึ้นไปสวนกับลำธารนี้จนถึงด้านบน จะมีศาลเจ้าอยู่ และไม่ว่าจะขออะไร
มันก็จะเป็นจริง” จู่ๆคนด้านข้างก็พูดขึ้นมา
“แล้วจะขออะไร”
“ไม่รู้สิ” สีหน้าเขาดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ระหว่างนั้นพวกเราก็เดินต่อไปโดยไม่พูดอะไรกันอีก
ปล่อยให้เสียงน้ำไหลนำพาไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
“พ่อหนุ่ม” เสียงหญิงชราเรียกในขณะที่เธอกำลังเดินลงจากเขาพร้อมด้วยชายชราข้างกาย
“ครับ” ชางฮยอนเป็นฝ่ายตอบ
“จะขึ้นไปด้านบนหรือ”
“ครับ”
“ด้านบนน่ะ
มันถูกปิดไปแล้วล่ะ ตอนนี้มีแค่ที่ร้างๆ ฉันกับตาเพิ่งไปมาเมื่อกี้นี้เอง
กลับลงไปเถอะพ่อหนุ่ม จะได้ไม่เสียเวลา”
“อ่า .. ขอบคุณนะครับ”
หมดคำพูด หญิงชราก็ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้พรางกอดแขนชายผู้เป็นที่รักเดินลงจากเขาไป
“นายว่าไง” ชางฮยอนถาม
“แล้วแต่” จะขึ้นไปหรือไม่ ผมก็ไม่ได้สูญเสียพลังงานหรือรู้สึกเหนื่อยอยู่แล้ว
“ไหนๆก็อุตส่าห์มาแล้วนะ”
“อยากไปก็ไปสิ”
“ไม่อ่ะ”
“อะไรของนาย”
“แต่ก็ขี้เกียจลงไป
นั่งนี่ละกัน” ชางฮยอนว่าก่อนจะเดินไปนั่งบนโขดหินเตี้ยๆริมลำธาร
พึลึกคนเสียจริง อยากจะให้พามาแต่สุดท้ายกลับมานั่งเอาเสียกลางทางแบบนี้
บ่นในใจแต่ก็เดินไปนั่งข้างๆอย่างช่วยไม่ได้
“ขอถามอะไรอีกหน่อยสิ”
จู่ๆก็นึกถึงเรื่องที่ต้องตรวจสอบขึ้นมาได้
จริงๆจะให้กลับไปรายงานผลว่า ‘รับไว้’ ตอนนี้เลยก็เห็นจะได้ แต่อย่างที่ผมเคยบอกไป
ผมไม่ยอมให้โอกาสดีๆที่จะได้ใช้ชีวิตดื่มด่ำเสียงเพลงนี้จบลงง่ายๆแน่นอน
ที่สำคัญคือ
อยากรู้จิตใจของเด็กคนนี้อีกสักหน่อย
“ว่ามา”
“ถ้ารู้ว่าตัวเองจะตายในอีกไม่กี่วัน
อยากจะทำอะไร”
“ไม่มี”
“จริง?”
“อือ
ก็ทำในสิ่งที่อยากทำก่อนตายไปแล้ว”
“ฆ่าคนน่ะเหรอ”
“คนที่อยากให้ตายก็ตายไปแล้ว
เพราะงั้นถ้าตายซะตอนนี้ก็ไม่เสียใจ”
“แสดงว่าอยากตายตอนนี้”
ผมเลิกคิ้ว อีกคนจ้องหน้าผมเขม็ง ก่อนจะก้มมองสายคล้องคอ
เอื้อมมือมาดึงป้ายประจำตัวพนักงานบริษัทของผมไปดู ก่อนจะพูดขึ้นอีกรอบ
“ทำงานบริษัทไฟฟ้านี่”
“อืม ทำไม”
“คิดว่าทำมูลนิธิ
เห็นชอบถามเรื่องเป็นๆตายๆ”
“ก็แค่เข้าใจสัจธรรม”
“พอดีเลย ไปบวชซะ
แล้วมาประจำที่ศาลเจ้าข้างบนแล้วกัน” ว่าก่อนจะรีบลุกออกไปทันที
แต่คงเพราะไม่ได้ตั้งใจหรือเพราะหินลื่นทำให้เด็กคนนั้นล้มลงก้นจุ่มน้ำไปเต็มๆ
ผมมองภาพนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ภายนอกเข้มแข็งโหดเหี้ยมถึงขนาดฆ่าคนได้
แต่จริงๆแล้วในใจก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น
“ยิ้มทำไม”
“เปล่า รีบลุกขึ้นมาสิ”
ผมมองดูชางฮยอนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาดุๆมาทางผม เท่าที่สั่งสมประสบการณ์ตอนนี้บนโลกมนุษย์มา
เขาคงต้องการความช่วยเหลือ ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
แต่ถ้าไม่พูดออกมา
ผมก็ไม่ยอมช่วยหรอกนะ
แน่นอน ผมมันยมทูตจอมเย็นชาอยู่แล้ว
รีบกลับไปฟังเพลงเฮฟวี่เมนทัลต่อคงดีกว่า
“คนอะไรไร้น้ำใจชะมัด”
“ถ้าอยากให้ช่วยก็ลองพูดดีๆสิ”
ที่จริง
ตอนนี้ผมไม่ได้ใส่ถุงมือและกลัวว่าถ้าไปสัมผัสกันจะทำให้อีกคนหมดสติอีก
ถึงแม้คราวก่อนเขาจะไม่เป็นอะไรด้วยความบังเอิญ หรือเปล่าไม่แน่ใจ
แต่คราวนี้ก็ไม่อยากเสี่ยง เพราะผมก็คงไม่ได้แข็งแรงพอที่จะแบกหมอนี่ลงไปด้านล่างแน่ๆถ้าเขาเป็นลม
“ที่บริษัทเขาจ้างนายได้ยังไง ไร้น้ำใจขนาดนี้”
“งั้นเจอกันที่รถแล้วกัน” ผมหมุนตัวกลับ
“เดี๋ยวสิ..ช่วยผมหน่อย”
“...”
“เร็วๆสิ ยืนเฉยอยู่ได้”
“อ่า เอาล่ะๆ ช่วยก็ได้” เพราะดูท่าทางคงไม่มีทางได้พูดดีๆกันเป็นแน่
ถ้าเกิดโดนตัวแล้วเป็นอะไรขึ้นมา ก็คงไม่ต้องนั่งเถียงกันอีก
ผมเลือกจะจับบริเวณที่มีเสื้อแขนยาวปิดทับอยู่เพื่อพยุงอีกคนให้ลุกขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง
แต่มืออีกข้างของเขาเอื้อมมาจับมือผมเพื่อช่วยพยุงตัวเองเสียอย่างนั้น
และผลที่ได้คือ เขาไม่เป็นอะไรเลยเหมือนเช่นเคย
อีกเรื่องแปลกที่ผมเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไร
เราเดินกลับลงมาได้สักระยะ
เด็กที่ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรเดินช้าลงเรื่อยๆก่อนจะส่งมือมาดึงชายเสื้อผมไว้ “คุณ”
เขาเรียกผมก่อนจะเดินมาด้านหลังและเอาแขนทั้งสองข้างมาคล้องคอผม
เล่นเอางงไม่น้อย
“ผมรู้สึกเหมือนจะ ... ห .. หล ..หลับ” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี
ก็ขาพับลงไปแล้วพร้อมกับทิ้งน้ำหนักตัวไว้บนหลังของผม
มาเหมือนเมื่อคืนเลยสินะ
ไม่ได้สลบไปในทันที
แต่รอสักพักก็จะหลับไปเอง
สุดท้ายคนซวยก็คือผม
ต้องแบกเจ้านี่กลับไปจนได้สินะ
- - - - - - - - - -
- 160515 มาแย้ววว ตอนนี้ค่อนข้างจะเหมือนเดิมครับ เพิ่มอะไรไปนิดหน่อย แล้วก็ตัดตอนล้างบาปนั่นออก รู้สึกเป็นมุขที่สิ้นคิดเลยเปลี่ยนเหตุผลของเรื่องนี้ใหม่ 55555555555 ยังมีคนรออยู่มั้ยนะ เริ่มไม่ค่อยมั่นใจ ถถถถถถถถถถถถ
- 160530 แก้ผิดตอนครับ ไม่มีอะไร 5555
ความคิดเห็น