ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { changrick } 7 วันของยมทูต - END -

    ลำดับตอนที่ #2 : {rewrite} SEVEN DAYS | 1

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 59


    [1]

     

    เช้าวันใหม่ของฤดูร้อนอากาศกลับไม่สดใสเท่าที่ควรนัก เมฆดำครึ้มเคลื่อนตัวดูคล้ายกับยักษ์ใจร้ายที่กำลังออกอาละวาด หยาดน้ำกะปริบกะปรอยตกลงมากระทบกระจกเล่นเอาที่ปัดน้ำฝนทำงานกันวุ่นวาย ตามมาด้วยสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดอย่างรถติด ... มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกสงบและมีความสุขคือเสียงเพลงแจ้สที่ดังออกมาจากเครื่องเล่นเพลงภายในรถรุ่นใหม่ที่ดีไซน์ให้ดูเก่าแต่ยังคงความคลาสสิกเอาไว้

    จะว่าไปอากาศแบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเจอ ทุกครั้งที่ออกมาทำงานไม่มีครั้งไหนที่เจอท้องฟ้าสีฟ้าครามสดใสเหมือนคนอื่นๆเขาเลย ... แต่บรรยากาศแบบนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไรนักหรอกเพราะทุกครั้งที่ออกมาทำงานก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ  มีเพียงการจราจรติดขัดนี่แหละ ที่ดูเป็นปัญหามากที่สุด

    คราวนี้ผมได้รับบทเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอายุราวยี่สิบสามปีเพิ่งเรียนจบหมาดๆและกำลังทำงานเป็นพนักงานอยู่บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ผมแค่ทำตามที่ฝ่ายข้อมูลบอกคือขับรถไปแถวสี่แยก n รถจะติดมากหน่อยเพราะเป็นวันจันทร์ที่แสนวุ่นวายบวกกับเป็นช่วงเวลาหลังเลิกงานพอดี จากนั้นขับตรงไปทางหลวงหมายเลข 3 จะเจอเหยื่ออยู่แถวนั้น

    ผมขับรถมาเรื่อยตามที่ฝ่ายข้อมูลบอกมา ต่อไปนี้คือหน้าที่ของผมที่ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ง่ายๆก็คือทำความรู้จักกับเหยื่อ พิจารณา จากนั้นก็รายงานผลว่า 'รับไว้' หรือ 'ปล่อยไป' แค่นั้นเอง แต่ส่วนใหญ่ทุกคนก็มักจะรายงานว่า 'รับไว้' อยู่แล้ว

     

    เพราะยังไงซะคนเราก็ต้องตายอยู่ดี ... จริงมั้ย ?

     

     

     

    ไม่นานนักก็เจอเด็กผู้ชายดูท่าทางอิดโรย ตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ ดูเหมือนเพิ่งจะถูกทำร้ายมา ผมทำทีเป็นขับรถเข้าไปจอดใกล้ๆทางเท้าแถวหน้าร้านเสื้อผ้าทำทีเป็นคนที่จะมาหาซื้อของ

    ทันทีที่รถจอดเด็กนั่นก็เปิดประตูรถและเข้ามาด้านในทันที ตัวเปียกโชกเพราะฝนเริ่มตกหนักแล้ว เขาไม่พูดไม่จาแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ ตาปรือๆเหมือนคนกำลังจะหมดแรงแต่เสียงแหบพร่ายังพยายามจะพูดออกมา

    "รีบ..ออกรถ..ไป..ไหน...ก็ได้" แต่ละคำช่างรวยรินจนลุ้นว่าจะพูดจนจบประโยคได้หรือเปล่า แต่แน่นอน ยังไงซะเขาจะไม่มีวันที่จะตายในระหว่างที่ผมกำลังตรวจสอบอยู่แน่ วางใจได้

    ยกเว้นในกรณีที่เขาจงใจจะตายด้วยตัวเอง หรือ พูดง่ายๆก็คือ ฆ่าตัวตาย

    "แล้วจะให้ไปไหนล่ะ"

    "ไปก่อน"  เป็นคำตอบที่ดูจะง่ายซะเหลือเกิน ผมขับรถออกมาเรื่อยๆโดยไม่ปริปากถามให้มากความ เหตุผลคือ ผมรู้อยู่แล้วจึงคิดว่าถามไปก็ไม่จำเป็น

    ฝ่ายข้อมูลไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่าชื่อ รูปร่างหน้าตา อายุและที่ที่จะพบเจอเขาเท่านั้น ถึงจะอยากถามต่อแต่ก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไรมาก ยังไงหน้าที่ของผมก็แค่ตรวจสอบ

    "ถึงทางแยก ควรไปไหนดีล่ะ?" ผมหันไปถามแต่อีกคนกลับสลบไปแล้ว คงเพราะเหนื่อยมาก อยากรู้เหมือนกันว่าคนๆนี้ไปเจออะไรมาถึงได้หมดสภาพขนาดนี้ ทั้งๆที่เพิ่งจะเรียนอยู่มัธยมปลายเท่านั้น เรื่องนี้ฝ่ายข้อมูลไม่ได้บอกแต่ผมพอจะเดาเอาจากอายุ

    ผมจึงตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเพราะไม่ต้องรอรถติดที่แสนน่าเบื่ออีก ไม่นานนักผมก็เจอกับจุดพักรถ ภายในมีปั้มน้ำมันและร้านอาหาร ห้องน้ำ รวมถึงพวกร้านค้า 24ชม. ผมตัดสินใจจะจอดรอจนกว่าอีกคนจะตื่นขึ้นมา เพราะการขับรถไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายดูจะเป็นเรื่องไม่จำเป็นเท่าไหร่  ระหว่างนั้นผมก็ทำเพียงแค่เปิดแอร์เย็นฉ่ำและดื่มด่ำกับเสียงเพลงจากวิทยุที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเพลงร็อคดนตรีทรงพลังไปแล้ว

    จะเป็นยังไงนะ ถ้าเกิดเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้แค่เจ็ดวันหลังจากนั้นในวันที่แปดเขาก็จะตาย ... ด้วยอะไรสักอย่าง ถึงจะเป็นเด็กผู้ชายแต่ท่าทางดูอ่อนแอแบบนี้คงจะช็อคไม่น้อย แต่ว่าผมคงไม่บอกไปหรอกว่าผมเป็นยมทูต

    ดนตรีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้เกือบชั่วโมง เวลาล่วงไปจนเกือบหกโมงเย็นกว่าคนข้างกายจะลืมตาตื่นขึ้นมาได้ รอสักพักเพื่อให้เขามีสติขึ้นสักหน่อย

    "ตื่นแล้วเหรอ นายดูเพลียๆนะ"

    "อืม..นิดหน่อย"

    "แล้วจะให้ฉันขับรถไปไหนล่ะ"

    "ไม่รู้เหมือนกัน ขับๆไปก่อนเถอะ เดี๋ยวนึกได้แล้วจะบอก" ผมตั้งคำถามถึงสถานที่ที่เขาจะให้ผมพาไป แต่เจ้าตัวก็ยังคงยืนยันคำตอบแบบเดิม แล้วจะรู้ไหมล่ะว่าควรจะไปไหน ผมเป็นยมทูต ไม่ใช่ไกด์นำเที่ยวที่จะรู้เส้นทางดีเสียหน่อย ได้แต่ถอนใจออกมา

    ผมขับรถออกจากจุดพักรถมาเรื่อยๆ ตอนนี้ผมอยู่ในชุดของบริษัทดูเท่ห์ แถมหน้าตาก็ยังหล่ออีก เลยไม่ต้องกลัวว่าอีกคนจะรังเกียจ

    "ว่าแต่ นายชื่ออะไร?"

    "ไม่ต้องรู้หรอก" อีกคนบอกปัดก่อนมองออกไปนอกหน้าต่าง ... งั้นเหรอ? ถึงนายไม่บอกฉันก็รู้อยู่แล้วล่ะ แค่ถามไปตามมารยาทเท่านั้นแหละ

    "คุณนี่แปลกดีนะ" อีกคนพูดขึ้นมาแต่ฟังได้ไม่ถนัดนัก อาจเป็นเพราะเสียงเพลงเฮฟวี่เมทัลกรีดร้องดัง หรือเป็นเพราะผมกำลังให้ความสนใจกับมันมากกว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ถามย้ำอีกครั้งและหรี่เสียงเพลงลงให้เบากว่าเดิม

    "ว่าไงนะ"

    "ผมบอกว่า คุณนี่เป็นคนแปลกๆ" เด็กชายดูหงุดหงิดนิดหน่อยที่ผมถามซ้ำ แต่ก็ยังอุตส่าห์ตอบกลับมา

    "ยังไงล่ะ?" ถึงจะชินกับคำพูดแบบนี้ แปลกบ้าง เย็นชาบ้าง แต่ก็สงสัยในความหมายที่อีกคนต้องการสื่อเหมือนกัน

    "รับคนแปลกหน้าขึ้นรถมา ไม่กลัวหรือไง"

    "แล้วนายขึ้นรถคนแปลกหน้ามา ไม่กลัวบ้างหรือไง?"

    "เหอะ" เขาทำหน้าตาเบื่อโลก

    "แล้วทำไมจู่ๆถึงขึ้นรถฉัน”

    “รถคุณรุ่นใหม่นี่ อีกอย่างตอนนั้นคุณก็มาจอดใกล้ๆผมพอดี”

    “งั้นเหรอ” ผมตอบไปสั้นๆ อีกคนหันมองผมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจวิวนอกหน้าต่างที่เริ่มมืดลงไปเต็มที อย่างที่บอกว่าผมไม่จำเป็นต้องถามอะไรมาก เพราะทุกอย่างมันถูกจัดเตรียมมาไว้แบบนี้ตั้งแต่ทีแรกแล้วต่างหาก ที่ถามไปก็แค่ไม่อยากให้รถมันเงียบเกินไปเท่านั้น

    ความมืดเริ่มกลืนกินทุกพื้นที่ของท้องฟ้ากลายเป็นสีม่วงดำครึ้ม ไอความเย็นจากภายนอกส่งผ่านมาถึงด้านในจนบริเวณกรอบแอร์เริ่มมีหยดน้ำเกาะ บรรยากาศตอนกลางคืนไม่มีแสงอาทิตย์และฝนฟ้าที่ยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย แสงไฟหน้ารถสาดไปบนท้องถนนสะท้อนป้ายบอกทางมากมายด้านข้างให้เห็นชัดในความมืด จู่ๆชางฮยอนก็โพล่งขึ้นมาถึงสถานที่ที่เขาต้องการไป

    “ไปทะเล Y กันเถอะ” ผมหันมองอีกคนเพราะว่าเมื่อสักครู่นี้ผมไม่ทันได้สังเกตป้ายบอกทางด้านข้างและเหมือนอีกคนจะรู้สึกได้จึงตอบกลับมาอีกรอบ

    “เดี๋ยวถึงทางแยกข้างหน้าแล้วเลี้ยวขวา” ผมพยักหน้าตอบ

     

    ชื่อชางฮยอน .. คือชื่อของหมอนี่แหละ

     

     

    ยู ชางฮยอน น่ะ

     

     

    ถือเป็นโอกาสดีที่จะถามเรื่องที่ผมคิดไว้ตอนแรก เพราะจากตัวเลขที่แสดงอยู่บนสัญญาณไฟแดงเป็นร้อยวินาทีนั่นทำเอาแทบใจหาย

    "เคยคิดอยากตายบ้างมั้ย" ผมถามออกไป เจ้าตัวที่ดูเหมือนจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งสะดุ้งตัวเล็กน้อยคงเพราะตกใจกับคำถามที่จู่ๆก็ถามมาแบบไม่ทันตั้งตัวล่ะมั้ง

    "ถามเพี้ยนๆ"

    "แค่อยากรู้น่ะ .. ว่าไงล่ะ"

    "ก็เคยคิดนะ ตายตอนนี้ได้เลยยิ่งดี" รออยู่สักพักกว่าจะยอมตอบออกมา ถ้าเป็นแบบนี้ก็เข้าทางเลยสินะ แต่ขอโทษนะ นายคงต้องทรมานไปอีกเจ็ดวันกว่าจะตาย เพราะผมจะอยู่ให้ครบเจ็ดวันเลยล่ะ นานๆทีจะได้ฟังเพลงจากวิทยุให้สบายใจแบบนี้ก็อยากจะอยู่นานๆ แถมเพื่อนร่วมงานยังแอบกระซิบบอกก่อนผมจะมาที่นี่อีกว่าอัลบั้มของศิลปินวงโปรดเพิ่งจะออกวางแผงช่วงนี้พอดี

    "ก็ดีนะ"

     “หมายความว่าจะพาผมไปตายหรือไงก็คงประมาณนั้น แต่ไม่ใช่ตอนนี้ อยากจะพูดออกไปแบบนั้นแต่เก็บไว้ในใจน่าจะดีกว่า อย่าทำให้เขากลัวคงดีที่สุด

     “เปล่า ไม่ใช่ แค่จะบอกว่ายังไงซะคนเราก็ต้องตาย ถ้านายไม่คิดมากกับมันก็ดีแล้ว นายจะได้ไม่เสียใจถ้าเกิดนายตายขึ้นมาจริงๆ”

    คุณนี่แปลกจริงๆด้วย ใครเขาพูดเรื่องนี้กันล่ะ

    งั้นเหรอ มนุษย์ก็แปลกเหมือนกันนะ ไม่ชอบพูดความจริงกันเท่าไหร่

    พิลึกจริงๆครั้นจะชวนคุยต่อแต่สัญญาณไฟแดงหมดลงแล้ว จึงต้องหยุดการสนทนาเอาไว้แค่นั้น ผมเลี้ยวขวามาตามที่เด็กข้างๆบอก ท้องฟ้ามืดสนิท ตามทางเริ่มปรากฏให้เห็นเป็นป่าสลับกับบ้านคนเล็กน้อยเพราะเริ่มเข้าแถบชานเมือง ความเงียบในรถถูกแทนที่ด้วยเสียงเพลงอะแคปเปล่าจากศิลปินกลุ่มผู้โด่งดังแห่งเกาหลีใต้ที่ไม่มีใครไม่รู้จักแต่กระนั้นยังมีอีกเสียงที่ดังแข่งกันไม่หยุดหย่อนมาสักพักแล้ว

     

     คร่อก...

    ชางฮยอนเอามือกุมท้องตัวเองไว้ หน้าตาเริ่มเหยเกเพราะโดนความหิวเล่นงาน

    “หิวเหรอ” ผมถาม

     “อืม แวะร้านรามยอนข้างหน้าเถอะเด็กหนุ่มยังคงเอามือลูบท้องตัวเองไปมาส่วนอีกมือชี้ไปทางอาคารเล็กๆด้านหน้า ผมตอบรับ ก่อนเลี้ยวรถเข้าไป ทางเข้ามีป้ายบอกชื่อร้านอาหาร ถึงจะดูเป็นอาคารเล็กๆที่มาตั้งในป่าในเขาแบบนี้แต่การตกแต่งก็ดูเหมือนกับพวกร้านบะหมี่ในเมืองทั่วๆไป

    ชางฮยอนรีบลงจากรถและเรียกได้ว่ารีบวิ่งเข้าไปแทบจะทันทีเหมือนกลัวร้านตรงหน้าจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น

    คุณลุงท่าทางใจดีหน้ามันเยิ้มเพราะทำอาหารอยู่น่าเตาทั้งวันยิ้มต้อนรับอย่างเป็นมิตร วันนี้ร้านดูเงียบสงบ คงเพราะสภาพอากาศอันแสนเลวร้ายที่ไม่ได้เชิญชวนให้ออกมาเที่ยวชมวิวทิวทัศน์สักนิดเดียว

    แม้เขาจะยิ้มแบบนั้นแต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองเราสองคนแปลกๆ คงเพราะอีกคนมีแผลเต็มตัว สกปรกและดูมอมแมมกับผมที่อยู่ในชุดบริษัทดูดี

     “เอารามยอนพิเศษครับ แล้วก็จาจังมยอนพิเศษด้วยครับ เอาน้ำองุ่นแก้วนึงด้วยชางฮยอนจัดแจงสั่งอาหารและเครื่องดื่มสำหรับตัวเอง ผมได้แต่นั่งมองอีกคนแบบไม่อยากจะเชื่อ

     

    นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาดูอวบๆแบบนี้ก็ได้

     

     “แล้วพ่อหนุ่มล่ะ

     “ขอรามยอนธรรมดาก็พอครับ น้ำองุ่นด้วยก็น่าจะดีครับผมสั่งไปทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ผมอยู่ในรูปแบบของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่ยมทูต ถ้าวันทั้งวันไม่กินอะไรเลยหรือไม่หิวอาจจะทำให้คนอื่นๆสงสัย แต่สำหรับยมทูตถึงไม่ได้กินอะไรก็ไม่ตาย ถึงไม่ได้นอนก็ไม่ตายเหมือนกัน

     “อร่อยอ่ะเสียงสูดเส้นบะหมี่ซูดซาดดังไม่ขาดสาย ก้มหน้าก้มตากิน พรางพูดว่าอร่อย

     “ไม่กินเหรอ ชางฮยอนถามเพราะเห็นผมแทบจะไม่แตะเจ้ารามยอนในถ้วยซักนิด ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรมือป้อมๆก็ส่งช้อนมาตักน้ำซุปในชามผมเข้าปากไปเรียบร้อย

     “ยังไม่ค่อยหิวน่ะ

    “งั้นผมขอแล้วกันนะ” ว่าพรางเลื่อนถ้วนรามยอนของผมเข้าหาตัวเอง ถึงผมจะบอกว่าไม่ให้ก็คงไม่มีผล ขนาดว่ายังไม่ได้เอ่ยขอแท้ๆยังมาตักน้ำซุปไปซดได้หน้าตาเฉย

    ลุงครับ อร่อยสุดยอดเลย!!ตะโกนบอกลุงเจ้าของร้านที่กำลังง่วนกับน้ำซุปในหม้อพร้อมยกนิ้วไปไปให้ คุณลุงเองก็ยกนิ้วโป้งกลับมาให้เช่นกันฮะๆๆ งั้นต้องมากินบ่อยๆนะพ่อหนุ่ม

    ผมได้แต่มองคนตรงหน้าที่ดูท่าทางจะมีความสุขมากกว่าเมื่อครู่แล้วอดยิ้มไม่ได้ ถ้าผมรับรู้รสอาหารได้ก็คงจะดี จะได้รู้ว่าไอ้เจ้ารามยอนอะไรนี่อร่อยขนาดไหน

     

    พบศพชายและหญิงวัยกลางคนในอพาร์ทเม้นชื่อดังของถนน C ศพผู้ชายถูกแทงด้วยของมีคมส่วนผู้หญิงโดนฟาดอย่างแรงที่ศีรษะ ล่าสุดพบว่าบุตรชายทั้งสองคนหายตัวไป ทางตำรวจกำลังดำเนินการตามหาตัวมาสอบปากคำค่ะ

     

    ช่องรายการโทรทัศน์ถูกเปลี่ยนแทนที่ด้วยข่าวโดยฝีมือคุณลุงเจ้าของร้าน เด็กหนุ่มตรงหน้าถือตะเกียบค้างเอาไว้ สายตาดูลอกแลกก่อนจะวางตะเกียบลง มือทั้งสองข้างยกฮู้ดขึ้นมาสวมปิดบังใบหน้าก่อนจะผุดลุกขึ้นเดินออกไปนอกร้าน “ผมอิ่มแล้ว จะไปรอที่รถนะ”

    เสียงดังจากการลากเก้าอี้เมื่อครู่เรียกความสนใจจากเจ้าของร้านได้เป็นอย่างดี “อิ่มแล้วเหรอพ่อหนุ่ม” ชายวัยกลางคนเอ่ยถาม

    “ครับ เราจะไปกันแล้ว ช่วยคิดเงินด้วยครับ” ผมลุกขึ้นเดินไปหาคุณลุงเจ้าของร้านก่อนจะเอ่ยปากบอกให้เขาคิดเงินค่าอาหารทั้งหมดที่อีกคนทิ้งเป็นภาระเอาไว้ให้ หลังจากที่จัดการเรียบร้อยผมก็บอกลาเจ้าของร้านที่เอาแต่ถามว่ารามยอนของเขานั้นอร่อยจริงหรือไม่ และเอ่ยชวนให้กลับมาทานอีกถ้าผ่านมาแถวนี้

    “ถ้าอร่อยคราวหน้าก็อย่าลืมมาอีกนะ ลุงจะให้พิเศษเลย”

    “ขอบคุณนะครับ” ผมเอ่ยลาก่อนจะขอตัวออกมา

    “พ่อหนุ่ม น้องขายเขาน่ารักดีนะคงจะซนน่าดู กำลังโตสินะ วัยรุ่นก็แบบนี้แหละคุณ” คุณลุงพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะหันกลับไปสนใจหม้อต้มน้ำซุปตรงหน้า ผมไม่ได้พูดอะไรก่อนจะเดินออกมาเฉยๆ

     

    แต่คงน่าเสียดายที่เขาคงอยู่ได้อีกไม่นานนะครับ

     

     

    ผมคิดในใจ

     

     

    เสียงเพลงจากวิทยุยังคงดังเรื่อยๆ ไม่ขาดสายพอถึงข่าวหรือโฆษณาผมก็ฟังบ้าง กดเปลี่ยนสถานีบ้าง บางสถานีก็มีติดบางสถานีก็มีเพียงเสียงอะไรก็ไม่รู้ที่แสบแก้วหู ก่อนจะหยุดที่สถานีเพลงแนวคันทรี่ ผมรู้แค่ว่าเพลงนี้เป็นเพลงเก่ามากแล้วแต่จำรายละเอียดได้ไม่มากนัก

     

    เสียงเพลงดังเรื่อยๆจนจบลงและถูกแทรกด้วยข่าวอีกครั้ง

     

     

     “พบศพชายและหญิงวัยกลางคนในอพาร์......

     

    รายการข่าวขาดหายไปและถูกแทนด้วยรายการเพลงอีกครั้งด้วยฝีมือของคนข้างๆ ที่คิดว่าน่าจะหลับไปแล้วตั้งแต่เมื่อครู่

     “ตื่นแล้วหรือ?”

     “อืม

     “ดูเหมือนจะมีเลือดออกนะผมสังเกตจากรอยเลือดที่ติดอยู่บนกระจกรถ ชางฮยอนเอามือลูบหัวคิ้วตัวเอง เอามือเปื้อนเลือดเช็ดกับกางเกงอย่างไม่สนใจ

     “นายควรจะไปทำแผล

     “พูดมาก

     “หวังดีหรอก

     “ขอบคุณแล้วกัน

    ทั้งรถกลับไปสู่สภาพปกติคือมีเพียงเสียงเพลงจากกวิทยุที่ยังคงดังต่อเนื่องแบบไม่คิดจะเหนื่อย เวลลาล่วงเลยไปจนเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว นั่งรถมาเกือบๆจะหกชั่วโมงตั้งแต่ที่เจอกัน ความอ่อนล้าจากการเดินทางดูเหมือนจะยิ่งเล่นงานคนข้างๆที่ตั้งท่าจะหลับไปอีกรอบ

    โชคดีที่แถวนี้อยู่ในเขตท่องเที่ยวพอดี เลยมีที่พักอยู่มากพอสมควร ยมทูตอย่างผมไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยอยู่แล้ว จะให้ขับไปจนถึงเช้าอีกวันก็ยังได้ แต่อีกคนคงอยากพักผ่อนและก็คงต้องทำแผลสักหน่อยด้วย ไม่อย่างนั้นหากไปที่อื่นคงมีคนมองแปลกๆเหมือนคุณลุงร้านรามยอนอีกเป็นแน่

    ทันทีที่เห็นป้ายที่พักรายวันราคาถูกไม่เป็นภาระเงินในกระเป๋า ผมก็รีบเลี้ยวรถเข้าไปทันที ชางฮยอนที่ดูจะนั่งเหม่อๆเมื่อกี้หันมามองตาขวาง

     “เข้ามาทำไม

     “นี่ก็เย็นแล้วน่าจะหาที่พัก

     “ไม่เห็นต้องมาโรงแรมนี่

     “นายจะได้พักบนเตียงสบายๆไง

     “ไม่!!!แวบหนึ่งผมเห็นแววตาสั่นระริกของชางฮยอนแต่เพียงครู่มันก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาทันที

     “งั้นนอนในรถก็ได้ ร่างกายนายต้องพักผ่อนนะ” เพราะนายเป็นมนุษย์

    “ฉันบอกว่าไม่ไง” อีกคนยังคงปฎิเสธเสียงแข็ง

    ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันไม่ทำอะไรนาย

     “ไม่! ไม่ใช่แบบนั้นอีกคนดูอึดอัดไม่อยากจะพูด เขาเหมือนจะร้องไห้หลุบสายตาลงต่ำ สักพักเขาก็ยิ้มออกมา

     “หึ! คุณก็ได้ยินแล้วนี่ ข่าวนั่น

    ข่าว? คงเป็นข่าวที่ชางฮยอนรีบกดเปลี่ยนสถานีวิทยุเมื่อกี้นี้สินะ ถึงนายไม่บอกฉันก็รู้อยู่แล้ว แค่อยากดูปฏิกิริยาของเขาเท่านั้นเอง แล้วก็ได้ผลดีเกินคาด

    ผมรู้แค่ว่าเขาเพิ่งจะลงมือฆ่าแม่และพ่อเลี้ยงตัวเองมาหมาดๆ ก่อนจะมาเจอกันที่ทางหลวงหมายเลข3 และผมก็จอดรถที่ข้างทางตามมาด้วยเจ้าตัวกระโดดขึ้นรถผมมา จนตอนนี้ที่ผมจอดรถอยู่หน้าโรงแรม นอกจากนั้นผมก็ไม่รู้อะไรอีกเพราะฝ่ายข้อมูลชอบบอกข้อมูลนิดๆหน่อยๆไม่รู้จะหวงไว้ทำไม พอปริปากถามก็โดนตอกกลับมาว่าไม่จำเป็นต้องรู้ จริงๆแล้วพวกนั้นก็แค่ขี้เกียจ

     “ข่าวนั้น?” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

     “ศพชายหญิงวัยกลางคนนั่น แม่ฉันกับคนเลวนั่น

     “นายจะบอกว่านายเป็นคนทำมันเหรอ?”

     “ใช่!! คุณไม่กลัวผมจะฆ่าคุณหรือไง

     “แค่นายขึ้นรถฉันมา ฉันก็เลยจุดที่จะต้องกลัวมาแล้วผมดับเครื่องยนต์และเปิดประตูรถออก

     “อ่อ ส่วนมีดน่ะ ไม่ต้องเอาออกมานะ เดี๋ยวคนอื่นจะตกใจชางฮยอนทำหน้าหงุดหงิด ดึงมือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงด้านหลังอยู่อย่างหัวเสีย คงคิดจะเอามาแทงผมให้ตายสินะ

     

    แต่ผมไม่ตายหรอก

     

     “ยินดีต้อนรับจ้าคุณลุงคุณป้าท่าทางใจดียิ้มต้อนรับ คุณผู้ชายผมบางศีรษะเกือบจะล้านและคุณผู้หญิงที่ดูซีดเซียวมีรอยเหี่ยวย่นตามหน้าผากเอ่ยทัก

     “มาสองคนหรือจ้ะ?”

     “ครับ รบกวนด้วย

     “อ่า ตายจริงมีเหลืออยู่ห้องเดียวแล้วล่ะพ่อหนุ่มคุณป้าเอามือทาบอกยื่นกุญแจดอกหนึ่งมาให้ผมพรางกล่าวขอโทษ

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมตอบ

    “แต่มันเป็นเตียงเดี่ยวนะจ้ะ” คุณป้าบอก

     “ถ้าเป็นโฮโม อยู่ห้องเดียวกันคงไม่เป็นไรหรอกคุณลุงผมบางพูดท่าทางยิ้มแย้ม แต่คนข้างๆผมตอนนี้ที่เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงด้านหลังอยู่แทบจะพุ่งเข้าหาลุงคนนั้น ผมเลยเผลอเอามือคว้าแขนชางฮยอนไว้ เขาส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะสะบัดแขนออกจากมือผมอย่างแรงจนหลุด ก่อนจะหยิบกุญแจห้องจากเคาท์เตอร์แล้วเดินขึ้นไปชั้นบนทันที

    “ป้าต้องขอโทษแทนลุงด้วยนะ” คุณป้าส่งยิ้มที่ดูไม่มีเรี่ยวแรงมาให้ ก้มหัวให้ผมเล็กน้อย ผมบอกปัดไปอย่างไม่ถือสาหาความอะไรจากพวกเขา เพราะมันไม่จำเป็น และจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในการอยู่บนโลกมนุษย์ก็พอทำให้เข้าใจคำว่าโฮโมฯของคุณลุงอยู่พอสมควร แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ สิ่งที่ผมสนใจตอนนี้คือหลังจากที่ผมเผลอจับตัวของชางฮยอน เขายังคงมีท่าทางปกติแตกต่างจากคนอื่นๆ

    ปกติแล้วยมทูตมีสิ่งต้องห้ามหนึ่งอย่างที่ห้ามทำกับมนุษย์คือการแตะเนื้อต้องตัวโดยจำเป็นหรือไม่จำเป็นก็ตาม เพราะจะให้มนุษย์คนนั้นสลบไปเหมือนกับเป็นลมหน้ามืดและสิ่งที่ส่งผลตามมาคือ มนุษย์เหล่านั้นจะมีอายุไขที่สั้นลงหนึ่งปี แต่สำหรับมนุษย์ที่อยู่ในการตรวจสอบแบบชางฮยอนเขาจะมีอายุสั้นลงก็ต่อเมื่อผมรายงานว่า ปล่อยไปทั้งๆที่เขาน่าจะเป็นลมล้มลงไปแท้ๆ

     

     

    แต่เขากลับไม่เป็นอะไรเลย ?

     

     

    ทั้งๆที่ผมแตะตัวเขา เป็นสิ่งที่ยมทูตไม่ควรทำคือสัมผัสตัวมนุษย์โดยตรง มันจะทำให้คนๆนั้นหมดสติ

     

    แต่ชางฮยอนกลับไม่มีปฏิกิริยาที่ว่านั่นเลย

     

     

    ทำไม?




    - - - - - - - - - - -


    talk : ตอนนี้เดิมทีเป็นตอน 1 กับตอน 2 ผมเอามารวมกันเพราะคิดว่ามันไม่ควรแยก ไม่รู้จะแยกไปเพื่ออะไร 55555555555555 จริงๆแล้วเป็นตอนเก่า แต่ปรับเปลี่ยนสถานการณ์ใหม่พอสมควรเลยฮะ ตัดบางตอนออก บรรยายใหม่พอสมควรอยู่แหละ เรื่องคำผิดยังไม่ได้เช็คนะครับ ข้ามๆไปก่อน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×