ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF SHINee Yaoi] .....X Onew and ETC.

    ลำดับตอนที่ #8 : Mr. Flower & Mr. Guitar [Hyunew]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 256
      2
      18 พ.ย. 60





    Fic : Mr. Flower & Mr. Guitar                      

    Couple : Jonghyun x Onew

    Style : กรุ๊งกริ๊งกริ๊วกร๊าว

    +++++++++++

    ....ดอกไม้นั่นมีอะไรดีนักหนานะ ถึงได้ยิ้มให้มันมองพวกมันอย่างอ่อนโยน บอกกันหน่อยสิเจ้าดอกไม้ว่าจะทำยังไงให้คนที่จับพวกนายมาแต่งตัวให้สวยงาม มายิ้มให้กันแบบที่ทำกับพวกนาย?...

                กริ๊ง

                เสียงกระดิ่งเล็กๆที่แขวนกับประตูกระจกใสส่งเสียงร้องเมื่อบานประตูนั้นขยับไหว เจ้าของร้านที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์ทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมามองแล้วก้มลงไปขีดเขียนอะไรบางอย่างตามเดิม ซึ่งคนที่ขยันมานั้นก็ทำได้แอบถอนหายใจแล้วเดินตรงไปยังส่วนของร้านที่เป็นร้านกาแฟ โดยมีคนที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ตรงแถวหน้าตู้เค้ก

                “มาทุกพุธเลยนะพี่ ยังไม่ยอมตัดใจอีกหรอ”

                “อากาศร้อนเนอะ”ตำตอบไม่ได้ตรงกับคำถามเลยซักนิด ดวงตาสุกใสอยู่เสมอของจงฮยอนมองไปยังอีจินกิที่ยิ้มแย้มออกมายามที่จับเจ้าดอกไม้สีสวยขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ปลายจมูกนั้นเกือบสัมผัสโดนดอกไม้สีแดงสวยกลิ่นหอมอ่อนๆก่อนที่จะเริ่มตัดก้านยาวที่ไม่ใช้ออกไป

                เขามาบ่อยเสียจนไม่มีกระทั่งคำต้อนรับลูกค้าแล้วด้วยซ้ำ

                “นี่แทมิน”

                “ครับพี่?”

                “นายว่าพี่ไปศัลยกรรมให้หน้าเหมือนดอกไม้ดีมั้ยนะ ฉีดสีเข้าผิวด้วยเลยก็น่าจะดี นายว่าไง”อีแทมินที่เป็นเจ้าของร้ายฝั่งกาแฟมองจ้องไปยังใบหน้าของคนที่รู้จักกันในผับแล้วยังสนิมสนมกันมาตลอด พยายามหาคำว่าล้อเล่นจากแววตาจริงจังนี่แต่ก็ไม่พบเลยสักนิด

                “พี่...ไปโรงพยาบาลบ้าเถอะ”

                “ตรงนั้นเงียบหน่อยได้มั้ย”เสียงที่แทบไม่เคยได้ยินดังขึ้นและทุกครั้งก็มักจะเป็นการดุเขาอยู่เสมอ พอหันไปมองก็พบกับเจ้าของร้านดอกไม้ที่ขมวดคิ้วใส่ ดวงตาเล็กใต้แว่นกรอบกลมใหญ่นั้นฉายแววไม่พอใจเสียจนคนพูดมากรู้สึกแย่ขึ้นมา

                “ขอโทษนะจินกิ”

                “ถ้าไม่ได้มาทำอะไรก็ออกไปได้แล้ว”พอพูดจบก็เดินไปหยิบดอกไม้สีสวยมาพิจารณาดูแล้วเริ่มตัดแต่งให้เป็นช่ออีกครั้ง คนโดนไล่จนจำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้วนั่งคอตกแต่ก็ยังไม่ยอมลุกไปตามที่โดนไล่ อีแทมินมองคนพยายามด้วยความเห็นใจ และแทมินเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่พี่ชายที่ยิ้มเก่งร่าเริงของเขาชอบโมโหหรือใจร้ายใส่จงฮยอนซะอย่างนั้น

                ตั้งแต่แรกเจอเลยล่ะมั้ง..?

                “สวัสดีครับ ร้านคาเฟ่ฟลาวเวอร์ครับ”เสียงนุ่มนั้นพูดคุยกับคนในโทรศัพท์ที่น่าจะเป็นลูกค้า ฝ่ามือก็ควานหาปากกาเตรียมจดรายละเอียดลงไปตามที่ลูกค้าต้องการ

                ถ้าให้จงฮยอนบอกว่าอีจินกิเปรียบเสมือนดอกไม้ชนิดไหน อีจินกิน่าจะเป็นดอกกุหลาบที่สวยงามมีหนามแหลมคม แต่เลือกปฏิบัติด้วยน่ะสิว่าจะให้หนามมาทิ่มมือใคร

                “สวัสดีครับพี่จินกิ”รอยยิ้มสดใสแทบจะทันทีเมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงเดินเข้ามาในร้าน กลิ่นไก่ทอดหอมลอดออกมาจากกล่องยิ่งทำให้คนตัวนุ่มทำตาโตกว่าเดิม

                “มินโฮซื้อมาให้พี่หรอ”

                “แถวนี้มีใครชอบกินไก่ทอดนอกจากพี่บ้างล่ะครับ?”

                “นี่แทมิน”จงฮยอนเรียกคนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ อีแทมินที่เป็นน้องชายสุดรักสุดหวงก็ก้มมองร่างหนาที่นั่งอยู่

                “ยืดกระดูกนี่มันแพงมั้ยวะ..”

                หมดไปกี่ล้านก็ไม่มีทางยืดกระดูกให้สูงเท่าไอ้หล่อนั่นหรอกนะคิมจงฮยอน..

    ...สีแดง สีขาว สีเหลือง สีม่วง หรือสีอื่นๆอีกหลากหลาย เพราะสีสันหลากหลายนี่รึเปล่านะ ที่ทำให้เจ้าดอกไม้ได้รับรอยยิ้มสวยงามนั่น...

                สายฝนโปรยปรายและเริ่มหนักขึ้นทุกทีทำให้จงฮยอนที่กำลังกลับบ้านต้องวิ่งหลบเข้าไปตรงป้ายรถเมล์ซึ่งพอจะช่วยกันฝนได้บ้าง ดวงตากวาดมองไปรอบๆเผื่อจะเจอร้านกาแฟหรือร้านอาหารที่พอจะให้เขาเข้าไปนั่งได้ซักระยะทั้งที่ในใจนึกไปถึงร้านดอกไม้ร้านนั้นซึ่งอยู่ห่างไปคนละทางกัน

                ทั้งที่ไม่ได้ไกลมากแท้ๆแต่ฝนตกหนักแบบนี้กว่าจะถึงคงโดนไล่ออกนอกร้านเพราะตัวเปียกแน่ๆ

                “พี่อยู่ป้ายรถเมล์แล้วล่ะ แทมินจะออกมาได้ตอนไหน”น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้จงฮยอนผละจากการมองไปรอบๆหันไปมองข้างตัวแทน เจ้าของร้านดอกไม้ที่ประครองกรงใส่แมวตัวน้อยอายุราวเดือนสองเดือนเอาไว้ เสียงแมวน้อยร้องเพราะหวาดกลัวเสียงฟ้าฝนทำให้คิ้วของจินกิเริ่มขมวดขึ้นมาด้วยความกังวล

                “ที่ร้านคนเยอะเลยหรอ ฝนตกหนักจนเดินไปไม่ได้เลย”

                “ช่วยถือมั้ย”จงฮยอนลองพูดไปเมื่อเห็นว่าอ้อมแขนที่พยายามประครองกรงใหญ่ไว้แขนเดียวน่าจะเริ่มล้า ใบหน้าหวานที่เปียกน้ำฝนเล็กน้อยหันมาและยังไม่ทันจะพูดอะไรดวงตาเล็กก็เบิกกว้าง

                “จงฮยอน..”

                “ใช่ครับผม ช่วยถือให้นะ”พอมือใหญ่เอื้อมจะไปคว้าคนข้างตัวกับเขยิบหนีออกไปทันที แขนขาวนั้นขยับกระชับกรงนั่นในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นแล้วคุยโทรศัพท์ต่อราวกับไม่เห็นจงฮยอนอยู่ด้านข้าง ซึ่งคนโดนเมินเองก็ขมวดคิ้วกับความดื้อดึงก่อนจะคว้าเอากรงใหญ่มาในช่วยถือไว้เอง

                “ถือเอียงแบบนั้นลูกแมวตายก่อนพอดี”จงฮยอนมองริมฝีปากอิ่มที่เตรียมต่อว่าเม้มลงก่อนจะสนใจปลายสายที่ยังสนทนาอยู่

                “เดี๋ยวพี่จะรีบกลับไปละกันนะ มินโฮอาจจะอยู่แถวนี้”

                คิมจงฮยอนนึกเจ็บใจที่วันนี้เขาไม่ขับรถออกมาเพราะจะประหยัดน้ำมัน

                จินกิที่วางสายจากน้องชายเริ่มกดโทรศัพท์หาศัตรูหัวใจของจงฮยอนที่เพิ่งเจอหน้าไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หางตาร่างหนาแอบชำเลืองมองไปยังโทรศัพท์เครื่องบางที่กำลังไล่เบอร์ในโทรศัพท์อย่างเร่งร้อน

                เผื่อเขาจะได้เอาเบอร์มาแล้วโทรไปก่อกวนได้สะดวก

                “มินโฮอยู่ตรงไหนหรอ? พี่ติดฝนน่ะกลับร้านไม่ได้เลย..อ่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ถึงร้านแล้วจะบอกละกัน ไม่ต้องห่วงพี่นะ”จงฮยอนเบ้ปากพลางทำปากขมุบขมิบบ่นไร้เสียงทั้งเรื่องที่จินกิโทรหากบเปรตนั่นรวมถึงเรื่องที่เขาไม่เคยได้คุยโทรศัพท์กับจินกิเพราะไม่กล้าโทรไป

                “ขอแมวคืนด้วย”

                “ช่วยถือให้ทั้งที ก็น่าจะขอบคุณกันบ้างนะ”จงฮยอนอมยิ้มเมื่อร่างเพรียวมีสีหน้าขุ่นเคือง ริมฝีปากอิ่มน่ารักนั้นขยับขึ้นลงพูดขอบคุณออกมาเบาๆก่อนที่มือขาวจะเอื้อมไปเปิดกระเป๋าสะพายขึ้นแล้วหยิบร่มออกมา โดยตัวจงฮยอนเองมีสีหน้างุนงงเมื่อคนมีร่มกลับมายืนตัวเปียกเล็กน้อยกับลูกแมวนี่

                “เมื่อกี้ลมมันแรงและฝนตกหนัก ตอนนี้ฝนซาแล้ว ขอลูกแมวคืนด้วย”จงฮยอนแหงนมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดครึ้มและมีเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ แต่ลมก็เริ่มสงบลงรวมถึงเม็ดฝนที่เล็กลงหลังจากตกหนักแบบไม่ทันตั้งตัว

                ร่างเพรียวรับกรงลูกแมวมากระชับในอ้อมแขนอีกครั้งเพื่อไม่ให้ฝนสาดเข้ามาโดน ขาเรียวเตรียมก้าวออกไปข้างนอกร่มเงาแล้วชะงักลง ใบหน้าหวานหันกลับมามองร่างหนาที่ยังคงหลบฝนและจับจ้องตัวเขาอยู่

                อีจินกิขยับถอยกลับเข้ามาแล้วยัดร่มใส่มือหนาโดยที่มือนุ่มล้วงเข้ากระเป๋าสะพายข้างอีกครั้งเพื่อหยิบร่มคันใหม่มากางแล้วเดินจ้ำออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ โดยที่จงฮยอนเองก็ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์นี้แล้วมองร่มในมือสลับแผ่นหลังเจ้าของร้านดอกไม้ที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ

                “เฮ้! รอด้วยสิจินกิ”

    ...บางทีก็แปลกเหมือนกับเหล่าดอกไม้แปลกๆบางชนิดที่บานตอนเช้า พอสายเข้าหน่อยก็หุบลงตามเดิม การอยู่กับดอกไม้มากๆนี่ทำให้แปลกตามดอกไม้รึเปล่านะ? ก็อีจินกิน่ะรักดอกไม้ยิ่งกว่าอะไรบนโลกซะอีก...

                อีแทมินผละออกจากเครื่องชงกาแฟแล้วแหงนมองตามเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้น พบกับพี่ชายของตนที่ตัวเปียกเล็กน้อยก้าวเข้ามาโดยมีคิมจงฮยอนตามมาทีหลัง และที่สำคัญคือร่มในมือของคิมจงฮยอนเป็นของพี่ชายเขาเอง

                แต่ไปถามตอนนี้ก็คงไม่ใช่เวลา..อีแทมินหัวหมุนอยู่ในร้านคนเดียวจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

                อีจินกิรีบเอาร่มกับลูกแมวตัวน้อยไปเก็บก่อนเดินเข้าไปส่วนของร้านกาแฟเพื่อช่วยน้องชายของตนจอมขี้ลืมที่มีกระดาษโน้ตเขียนรายการที่สั่งไว้เต็มไปหมด ยังโชคดีที่กาแฟจะทำให้เสร็จก่อนลูกค้าถึงไปนั่งไม่ใช่แบบเดินเสิร์ฟ ไม่อย่างนั้นอีแทมินคงได้ตายจริงๆแน่

                แต่ในเมื่อมีตัวช่วยแล้วการเดินไปเสิร์ฟก็ไม่ยากเกินไปนัก

                จงฮยอนตัดสินใจลงนั่งโต๊ะที่บังเอิญว่างพอดีก่อนจะจับจ้องไปยังร่างเพรียวที่เดินเข้าออกตรงเคาท์เตอร์ตลอดเวลา พยายามทำความเข้าใจความคิดของอีจินกิแต่ก็ไม่มีอะไรที่ผุดออกมาจากหัวสมองของเขาเลยสักนิดเดียว

                สำหรับจงฮยอน เขาคงเปรียบจินกิเป็นดอกไม้ที่มีหลายสีสันในต้นเดียว จู่ๆก็ใจดีกับเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่แล้วก็กลับมาทำเป็นไม่รู้จักกัน ไม่สนใจ ไม่พูดคุยเหมือนเดิม

                อีจินกิกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ?

    .

    .

    .

    .

    ...เสียงดนตรี เสียงกีตาร์ที่นุ่มสบายนั้นทำให้เผลอหลงใหลไปด้วยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกทีก็มักจะไปสถานที่นั้นเพื่อฟังเสียงดนตรีขับกล่อมนี่ตลอด และก็กลายมาเป็นหลงรักเจ้าของเสียงเพลงนี่จนได้...

                เสียงกริ่งประตูร้านดังขึ้นเมื่อประตูขยับไหว ดวงตาเล็กผละออกจากสมุดบันทึกรายการสินค้าที่ต้องทำก็พบกับคิมจงฮยอนนักดนตรีนักแต่งเพลงที่เดินเข้ามา อีจินกิหลุบตาลงทำทีเป็นขีดเขียนอะไรเรื่อยเปื่อยแต่หางตายังคงมองตามผู้มาใหม่ที่เดินไปยังส่วนร้านกาแฟ

                “มาทุกพุธเลยนะพี่ ยังไม่ยอมตัดใจอีกหรอ”เสียงน้องชายดังกระทบเข้าหูทำให้คิ้วได้รูปเริ่มขมวดมุ่น ดวงตาละออกจากสมุดอีกครั้งแล้วเลื่อนไปยังชายหนุ่มร่างบางคนหนึ่งที่มักจะมาที่นี่ทุกวันพุธเช่นกัน อีจินกิจำได้ดีเพราะเคยเห็นมาตั้งแต่ตอนไปเที่ยวผับกับแทมิน

                คิมจงฮยอนก็เป็นหมาหยอกไก่ เล่นดนตรีเสร็จก็ดื่มเหล้าแต่ก็เมาเสียอย่างนั้น เข้าไปจีบคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยรวมถึงเขาและชายหนุ่มหน้าสวยคนนั้นก็ด้วย

                นิสัยไม่ได้ดีเหมือนเสียงดนตรีนุ่มหูนั่นเลยสักนิดเดียว

                “อากาศร้อนเนอะ”คำตอบไม่ตรงคำถามคล้ายการหลีกเลี่ยงยิ่งทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา อีแทมินน้องชายตัวดีก็เคยบอกเขาว่านักดนตรีคนนี้ชอบเขา..เชื่อก็โง่แล้ว ปกติเคยมานั่งร้านนี้ที่ไหน พอมาเจอผู้ชายคนนั้นก็เลยขยันมาเรื่อยๆ

                มือขาวนุ่มหยิบเอาดอกไม้สีสวยช่วยให้ผ่อนคลายมามองดูแล้วเริ่มตัดแต่งให้สวยงามตามที่ลูกค้าอยากได้ กลิ่นหอมอ่อนๆทำให้ไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

                เสียงพูดคุยงึมงำของบาริสต้าว่างงานกับนักดนตรีไม่มีที่ไปทำให้คิ้วของจินกิขมวดอีกแล้ว และเขาเชื่อแน่นอนว่าประเด็นที่พูดถึงคงไม่พ้นชายหน้าสวยที่มานั่งตรงริมหน้าต่างนั่นทุกวันพุธเช่นเดียวกับจงฮยอน

                “ตรงนั้นเงียบหน่อยได้มั้ย”สุดท้ายจินกิอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงห้วนก่อนจะจ้องไปยังจุดที่ร่างหนานั่งอยู่ เขาเห็นแววตาสำนึกผิดราวกับลูกหมาตอนโดนดุ และชายหน้าสวยคนนั้นก็หันมามองยังทิศทางที่จงฮยอนนั่งอยู่ด้วย

                “ถ้าไม่ได้มาทำอะไรก็ออกไปได้แล้ว”อีจินกิไม่อยากเห็นเวลาจงฮยอนมองไปที่ใครหรอก เพราะแบบนี้ถึงไม่กล้ามองไปทางจงฮยอนเลยสักครั้ง มือก็หยิบนู่นนี่มาเพื่อทำให้ใจเย็นลงแล้วพยายามไม่สนใจจงฮยอน ที่เขายังไม่เห็นว่าจะขยับลุกออกไปแต่อย่างใด

                เสียงโทรศัพท์ร้านดังขึ้นทำให้เขาผละความคิดเรื่องจงฮยอนออกแล้วพูดคุยกับลูกค้าเพียงไม่โทรศัพท์ก็ถูกวางลง และเสียงประตูขยับไหวอีกครั้งเมื่อรุ่นน้องที่เคยเรียนคณะเดียวกันก้าวเข้ามาพร้อมไก่ทอดกลิ่นหอม

                และมินโฮมานี่ก็มีจุดประสงค์ที่เขารู้ดี คือให้เขาข่วยติดต่อกับเพื่อนชาวไทยที่ชื่อนิชคุณนั่นน่ะสิ

    ...เสียงดนตรีนั้นเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์แล้วแต่ตัวนักดนตรีจะกำหนด จงฮยอนทำให้เขาต้องจับจ้องอยู่ตลอดเวลา แล้วเขาจะต้องทำยังไงจงฮยอนถึงจะมาสนใจเขาบ้างนะ...

                อีจินกิขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อสายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาทั้งที่เขาอยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยงที่ห่างจากร้านเขาราวสี่ป้ายรถเมล์ และดูท่าจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆไม่ยอมหยุดลงเสียด้วย

                มือขาวรับเอากรงที่มีลูกแมวตัวน้อยสีส้มที่ร้องไม่หยุดเพราะเสียงฟ้าฝน ในขณะที่กำลังคิดว่าจะโทรให้แทมินทิ้งร้านมารับหรือไปรอให้ฝนซาตรงป้ายรถเมล์ก่อนดี คิมจงฮยอนที่วิ่งเข้าไปตรงป้ายรถเมล์ก็ทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยาก

                พอมาหยุดตรงป้ายรถเมล์ก็พบว่าจงฮยอนยังคงมองไปเรื่อยราวกับหาอะไรบางอย่าง ซึ่งนับว่าดีแล้วเพราะเขาเองก็คงไม่กล้าทักจงฮยอนไปเช่นกัน แต่มือถือที่สั่นอยู่ตรงงกระเป๋ากางเกงทำให้เขาต้องหยิบขึ้นมารับสาย และพยายามอุ้มประครองกรงไว้ด้วยแขนข้างเดียว

                //พี่อยู่ตรงไหน//

                “พี่อยู่ป้ายรถเมล์แล้วล่ะ แทมินจะออกมาได้ตอนไหน” เสียงแมวน้อยร้องเพราะหวาดกลัวเสียงฟ้าฝนยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมากนัก ถึงเขาจะอยากอยู่ใกล้จงฮยอนแต่ลูกแมวกลัวแบบนี้ก็ไม่น่าจะดีเลย จะให้กลับไปรอที่ร้านสัตว์เลี้ยงก็คงไม่ทันแล้ว

                ไม่น่าทำตามใจตัวเองเลยอีจินกิ

                //โอ้ยพี่ ผมออกไปไม่ได้แล้วล่ะ คนมาหลบฝนกันเต็มเลย พี่พอเดินมาได้มั้ย//

                “ที่ร้านคนเยอะเลยหรอ ฝนตกหนักจนเดินไปไม่ได้เลย”

                “ช่วยถือมั้ย”ดวงตาเล็กเบิกกว้างเมื่อคนข้าวตัวที่เขาทำเนียนมาใกล้ๆทักขึ้น พอหันกลับไปก็พบกับจงฮยอนที่ส่งยิ้มบางยื่นมือมาคล้ายจะช่วยถือกรงนี่ ประหลาดใจและเขินจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากริมฝีปากที่เผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว

                “จงฮยอน..”

                “ใช่ครับผม ช่วยถือให้”ร่างเพรียวรีบกระชับกรงในมือทั้งที่แขนเริ่มล้าแล้วขยับตัวออกห่าง เพราะกลัวจงฮยอนจะรู้ว่าเขาเข้ามาหลบฝนเพราะเห็นจงฮยอน ทำตัวเป็นเย็นชาไม่สนใจเหมือนเดิมแล้วคุยโทรศัพท์ต่อไป

                ทั้งที่หัวใจเต้นระรัวเพราะคำพูดการกระทำของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรเพราะจงฮยอนเองก็เข้ากับคนง่ายแบบนี้อยู่แล้ว แถมยังไม่เคยมาพูดกับเขาจริงจังจะให้คิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไงกัน

                “ถือเอียงแบบนั้นลูกแมวตายก่อนพอดี”ช่วงแขนรู้สึกถึงแรงดึงทำให้เขาหันกลับไปเตรียมทำเป็นดุเช่นทุกที แต่พอเจอแววตาจริงจังของอีกฝ่ายทำให้ไม่กล้าปั้นหน้าดุแล้วรีบตัดสายโทรศัพท์ เพราะเสียงคนอื้ออึงและเสียงสั่งกาแฟดังรอดเข้ามาทำให้รู้ว่าแทมินกำลังยุ่งจริงๆ

                “เดี๋ยวพี่จะรีบกลับไปละกันนะ มินโฮอาจจะอยู่แถวนี้”อีจินกิจะอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าจงฮยอนรู้ขึ้นมาว่าเขาชอบล่ะก็แย่แน่ๆ แต่เหมือนฟ้าฝนจะไม่เป็นใจหรือเป็นใจมากเกินไปเพราะรุ่นน้องตัวสูงได้ไปเดทกับนิชคุณเรียบร้อย ไม่สะดวกมารับเขาในตอนนี้แน่ๆแต่ก็ยังดีที่ไม่ลืมพี่ด้วยการบอกให้ติดต่อกลับเมื่อถึงร้าน

                ฝนเริ่มเบาลงแล้ว..รีบออกไปตอนนี้น่าจะดี

                “ขอแมวคืนด้วย”

                “ช่วยถือให้ทั้งที ก็น่าจะขอบคุณกันบ้างนะ”อีจินกิขมวดคิ้วใส่คนทวงบุญคุณด้วยความไม่พอใจ เขาอยากรีบออกไปจะแย่อยู่แล้วก็ยังมายียวนไม่เลิก รีบพูดขอบคุณให้จบๆไปก่อนควานหาร่มในกระเป๋าสะพายข้างออกมา พอเงยหน้าพบกับสีหน้างุนงงก็รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

                พอเริ่มขยับขาออกไปข้างนอกก็รู้สึกถึงสายตาที่ยังคงจับจ้องมายังตัวเขา อีจินกิกัดริมฝีปากล่างตนเองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปแล้วพบว่าจงฮยอนยังจ้องเขาอยู่จริงๆ หรือจงฮยอนจะรู้ว่าเขาตั้งใจมาหลบฝนพร้อมจงฮยอนแล้ว?

                แต่คิดไปคิดมาคงไม่น่าใช่ก่อนจะถอยกลับเข้ามาอีกครั้ง โชคดีที่เขาลืมว่าในกระเป๋ามีร่มอยู่แล้วถึงเอาของแทมินติดมือมาด้วย เพื่อไม่ให้จงฮยอนสงสัยจึงรีบเอาร่มของตนในมือยัดใส่มือหนานั้นแล้วรีบหยิบร่มในกระเป๋าออกมาอีกรอบแล้วกางเดินออกไปทันที

                ริมฝีปากอิ่มนั้นแอบเผยอยิ้มเมื่อได้เอาร่มให้จงฮยอนได้ใช้ และคิดว่าจงฮยอนคงไม่สงสัยอะไรเขาแล้ว โดยที่อีจินกิไม่รู้เลยสักนิดว่าพฤติกรรมใจดีแบบนี้นี่แหละที่เรียกว่าแปลก

                “เฮ้! รอด้วยสิจินกิ”

                ให้ตายสิ เขาไม่น่าเป็นห่วงจนย้อนกลับมาให้ร่มกับจงฮยอนเลย

    ...ถ้าให้เปรียบจงฮยอนเป็นชนิดของดนตรี เขาคงเลือกให้ไม่ได้แน่ๆล่ะ ก็จงฮยอนน่ะเหมือนดนตรีหลายแนวมารวมกันเลย...

                พอฝนหยุดตกแสงแดดก็เริ่มทำหน้าที่ทำให้แอ่งน้ำตามที่ต่างๆระเหยเป็นไอ คนในร้านเริ่มทยอยเดินออกไปทีละคนสองคนจนกระทั่งร้านกาแฟมีเพียงจงฮยอน แทมิน และจินกิเท่านั้น

                แทมินที่เอาถ้วยมาล้างคอยชำเลืองไปยังพี่ชายของตนด้วยความสงสัยที่วันนี้มากับจงฮยอนได้ยังไง แถมยังให้ยืมร่มทั้งที่ปกติทำท่าเหมือนจะเกลียดซะด้วยซ้ำ หรือเขาจะพลาดอะไรไป?

                “นี่ จินกิ”

                “ฝนหยุดแล้ว ออกไปซักที”

                “นายเกลียดฉันมากเลยหรอ”สุดท้ายจงฮยอนก็ตัดสินใจถามไปตรงๆ เพราะวันนี้พฤติกรรมของจินกินั้นแปลกประหลาดเสียจนจะให้คิดว่าเกลียดก็คงไม่น่าใช่ มือขาวที่ถือกรงลูกแมวออกมาจากใต้เคาท์เตอร์ตรงส่วนร้านดอกไม้ของตนชะงักลง ก่อนจะตัดสินใจทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น

                “จินกิ ฉันคุยกับนายอยู่นะ”แทมินเองก็ละมือจากสิ่งที่ล้างหันมาสนใจเช่นเดียวกัน มองไปยังพี่ชายหน้าหวานตัวนุ่มที่ยืนเม้มริมฝีปากแน่นและยังคงวุ่นวายกับการเอาลูกแมวสีส้มขนฟูมาไว้นอกกรง

                “ให้มันชื่ออะไรดีแทมิน”

                “พี่อย่าเอาผมมากันสิ ผมก็สงสัยมานานแล้วเหมือนกันนะ พี่บอกพี่จงฮยอนไปสิ”ร่างเพรียวที่หมดตัวช่วยเริ่มมีความเคร่งเครียดค่อยๆสบตากับจงฮยอนที่ยืนจ้องเขามาเช่นกัน และทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆด้วย

                “ว่ายังไงจินกิ”ร่างหนาหยุดลงหน้าเคาท์เตอร์ก่อนจะใช้แววตาจริงจังจับจ้องไปยังดวงหน้าหวาน อีจินกิหลบสายตาลงพลางพยายามหาข้อแก้ตัว เขาไม่เคยคิดว่าจงฮยอนจะเข้ามาถามอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง มือที่อุ้มลูกแมวอยู่นั้นค่อยๆวางลงพร้อมพยายามหายใจเข้าออกลึกๆ

                “ฉันเกลียดนาย”

                “โกหก”

                “ไม่ได้โกหกนะ!”เผลอพูดเสียงดังร้อนรนจนเจ้าตัวรีบหันหน้าหลบออกไป เขาไม่อยากให้จงฮยอนรู้แต่อีกฝ่ายก็ยังคงคาดคั้นจนไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว แทมินก็ไม่ช่วยอะไรนอกจากมองดุสถานการณ์นี้เงียบๆเช่นกัน

                คิมจงฮยอนใจร้าย ใจร้ายที่สุดในโลก

                “ฉันไม่รู้ว่าฉันทำอะไรให้จินกิหรอกนะ แต่ฉันก็โดนจินกิไล่อยู่เสมอ ไม่เคยพูดดีๆด้วยกันแต่มีวันนี้วันแรกที่นายใจดีกับฉัน ฉันเจอนายที่ผับพร้อมแทมินแต่นายก็เย็นชาใส่ฉันแล้ว”

                อีจินกิก็พอจะรู้อยู่ว่าจงฮยอนเมาขนาดนั้น จำตอนเดินเซมาจีบเขาไม่ได้หรอก และไปอีกครั้งกับแทมินก็เป็นจงฮยอนที่เดินตรงเข้ามาทางเขาคิดว่าจำกันได้ ความจริงคือไม่เลยแค่มาคุยกับแทมินแล้วก็ไปเท่านั้น พอผ่านไปเดือนสองเดือนจู่ๆก็โผล่มานั่งที่ร้านนี้ทุกวันพุธ หลังจากที่ชายหน้าสวยที่จงฮยอนมานั่งที่นี่ทุกพุธเช่นกัน

                เขาไม่รู้ว่าน้องชายตัวแสบไปสนิทกับจงฮยอนตอนไหนเพราระยะหังเขาไม่ไปผับนั้นแล้ว แต่คงสนิทกันน่าดูถึงบอกว่าชายหน้าสวยที่จงฮยอนคอยมองตลอดในผับนั้นมาที่ตลอดทุกวันพุธ

                “นายเคยจีบฉันตอนนายเมา แต่นายคงจำไม่ได้”จงฮยอนอ้าปากค้างเพราะตอนนี้ที่เห็นคือมากับแทมิน พอจะเข้าไปชวนคุยก็เห็นดูดุเย็นชาจนไม่กล้าทัก นี่เขาเคยไปจีบคนเดียวกันทั้งตอนเมาและตอนไม่เมาเลยรึไงกัน?

                “เอ่อ...แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้มาจีบนายแล้ว”จงฮยอนพูดขึ้นแต่ก็ไม่กล้าบอกว่าที่มาทุกนี่เพื่อรอจังหวะดีๆที่จะสานสัมพันธ์ แต่ก็โดนปิดทางไว้ตั้งแต่เข้าร้านมาด้วยซ้ำ ถ้าบอกชอบไปอาจจะโดนเกลียดเข้าจริงๆก็ได้

                “รู้แล้ว”ร่างเพรียวเม้มปากก้มหน้าลงต่ำเมื่อได้ยินจากปากอีกฝ่ายโดยตรง เขาหวังว่าจงฮยอนจะเดินถอยกลับไปเสียทีเพราะตอนนี้น้ำตามันจะไหลออกมาอยู่แล้ว อีแทมินมองสถานการณ์ที่ดูแปลกตรงหน้าก่อนจะพยายามใช้ความคิดให้ได้มากที่สุด และท่าทางพี่ชายตนที่ดูแปลกเหมือนจะร้องไห้เพราะอยู่กันมานานเลยรู้ว่าท่าทางนี้คืออะไร

                คิดไปคิดมาก็ได้คำตอบเดียว..ไม่งั้นพี่ชายเขาคงไม่ร้องไห้แน่ๆ แต่จะให้เขาบอกไปก็คงจะไม่ดีนัก

                “ผมไปซื้อของแปปนะ”ป้ายหน้าร้านถูกแขวนกลับเป็นคำว่า ‘Closed’ โดยบรรยากาศในร้านยังคงเงียบและดูอึดอัด อีจินกิหันหลังกลับก่อนจะทำทีเป็นเปิดตู้ใสที่มีดอกไม้ใส่เอาไว้เพื่อความสดและสวยงาม

                “ออกไปซะที ร้านปิดแล้วไม่เห็นรึไง”

                “ฉันยังไม่เข้าใจนาย”จงฮยอนพูดไปด้วยแต่ก็ขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าเสียงนุ่มนั้นค่อนข้างสั่นเครือ ร่างหนาขยับเข้าไปตรงเคาท์เตอร์ก่อนจะเอื้อมมือแตะลงลาดไหล่แผ่วเบา และผลที่ได้คือการสะดุ้งสุดตัวแล้วหันกลับมามองด้วยดวงตาที่รื้นน้ำตาจนเต็ม

                “จินกิ??”

                “ดอกไม้จิ้มตา!

                ใครเชื่อก็โง่แล้ว..

                “เดี๋ยวสิร้องไห้ทำไม นี่อยากให้ฉันออกไปจนร้องไห้เลยหรอ?”

                “เตี้ยแล้วยังโง่อีก จะเกลียดจริงๆแล้ว!”คิ้วของจงฮยอนเองก็ขมวดมุ่นก่อนจะคลายออกแล้วเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเริ่มจะเข้าใจอะไรได้ลางๆ คนชอบทำหน้าดุเริ่มหน้าแดงแล้วหันหลังหนีอีกรอบ

                “คนรักกันไม่เกลียดกันหรอก”

                “นายไม่ได้รักฉันซะหน่อย”

                “งั้นแสดงว่านายรักฉันสินะ”คนโดนยอกย้อนเบิกตาค้างอยากจะเอามือตีปากตัวเองสักทีที่เผลอไปต่อปากต่อคำ ใบหน้าหวานทั้งแดงทั้งน้ำตารื้นยิ่งทำให้จงฮยอนยิ้มออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

                “ไปหาคนนั้นของนายเลยไป”

                “คนไหน?”อีจินกินึกอยากจะเอาเหล่าดอกไม้แสนสวยที่เขาชอบเขวี้ยงใส่หัวคนช่างซักที่ยังทำหน้าไม่เข้าใจมึนงงอยู่อีก

                “คนหน้าสวยที่นายไปจีบในผับน่ะแหละ”

                “ฉันไม่เห็นจะจำได้เลย”

                “ก็คนที่มานั่งที่นี่ทุกวันพุธเหมือนนายยังไงเล่า”จงฮยอนพยายามนั่งนึกก่อนจะมีสีหน้าเข้าใจเมื่อเขาเริ่มจำได้ว่าคนหน้าสวยนั้นเหมือนเขาจะเคยไปคุยหยอดนิดหน่อยแต่ไม่จริงจังนัก ชื่อกับหน้าตาเขาก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนนั้นก็มานั่งร้านกาแฟนี้ด้วย

                “มันต้องมาทำงงเลยนะ นายมาที่ร้านนี้ก็ตามคนนี้มาไม่ใช่รึไงล่ะ แทมินก็ยังรู้เรื่องเลย”จงฮยอนหลุดขำออกมาก่อนจะเริ่มหัวเราะเสียงดังขึ้น ในขณะคนที่เข้าใจผิดมาตลอดยังคงมีสีหน้าขัดเคืองและดูจะโมโหขึ้นทุกทีที่เสียงหัวเราะนั้นดังไม่หยุด

                “เกลียดแล้ว!

                “พูดจาไม่น่ารักเลย ที่มานั่งทุกวันพุธเนี่ยเพราะว่างวันเดียว และก็อยากให้นายจำได้ คนนั้นน่ะจำไม่ได้แล้ว คนที่นายหึงน่ะ”ดวงตาเล็กกระพริบปริบกำคำอธิบายที่มาพร้อมรอยยิ้มขบขัน จงฮยอนพอเห็นว่าอีกฝ่ายฟังอยู่เลยพูดต่อ

                “ฉันจะมาจีบนาย แต่นายดุฉันเลยไม่กล้าเข้าหายังไงล่ะ แทมินไม่เคยบอกนายรึไงว่าฉันชอบนายน่ะ แล้วตกลงเรื่องนี้ใครผิดหือ?”

                “นาย ชอบฉันหรอ”ร่างเพรียวรู้สึกเหมือนสมองตื้อไปชั่วขณะกับคำอธิบายจากปากของคนที่เขาชอบมานาน ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี่เขาเข้าใจผิดไปเองคนเดียวมาตลอดเลยรึไงกัน?

                “ให้บอกตรงๆมันก็เขินอยู่ แต่ในเมื่อมีโอกาสแล้วก็อยากจะบอกว่าใช่ ฉันชอบจินกิ”

                อีจินกิรู้สึกตัวเองเหมือนคนโง่ขึ้นมาทันตาเห็น และอายเสียจนไม่กล้ามองหน้าจงฮยอนได้อีก

                “แล้ว ผู้ชายคนนั้น?”

                “ไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่เกี่ยวหรอกน่า มินโฮน่ะใคร? ฉันอธิบายส่วนของฉันแล้วนายก็ต้องพูดบ้าง”

                “ก็ รุ่นน้องที่เรียนคณะเดียวกัน เขาอยากให้ช่วยติดต่อเพื่อนให้”ดวงตาเล็กก้มหลบโดยไม่ได้รู้สึกถึงร่างหนาของใครบางคนที่ขยับเข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งพอเงยหน้าขึ้นมาอีกที คิมจงฮยอนก็ท้าวแขนกั้นเขากับกระจกใสนั่นแล้ว

                “จะ จงฮยอน?”ดวงตาสุกใสจ้องไปยังดวงหน้าหวานที่ขึ้นสีแดงระเรื่อชวนมองกว่าการทำหน้าดุใส่เขาเป็นไหนๆ เขาน่าจะเอะใจสักนิดว่าทำไมจินกิถึงชอบทำหน้าดุใส่เขาทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่นิสัยแบบนั้น

                “คบกันมั้ย? ไหนๆก็รอเก้อกันมานานแล้วนี่”ดวงตาเล็กเบิกกว้างกับการรวบรัดแบบที่วันนี้ไม่ได้ตั้งตัว จงฮยอนยังคงจ้องใบหน้าหวานที่ดูงุนงงและตามไม่ค่อยทัน

                “คบ คบกันหรอ?”พวงแก้มใสแดงจัดกับคำถามก่อนหน้า รู้สึกถึงผิวหน้าที่ร้อนจัดจนต้องเอามือมากุมช่วงแก้มไว้

                “ถ้านับหนึ่งถึงสามแล้วไม่ตกลง ฉันจะไปจีบคนนั้นจริงๆแล้วนะ นับหนึ่ง..”

                “คบสิ! ห้ามไปนะ”จงฮยอนหัวเราะในลำคอให้กับเจ้าของร้านดอกไม้ที่ชอบปั้นหน้าดุ ดวงหน้าหวานแดงและท่าทางนิสัยตามปกตินั้นน่าแกล้งเสียจนเสียดายเวลาที่ผ่านมาถ้าเขากล้ากว่านี้ คงได้แกล้งเล่นไปนานแล้ว

                “ไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ ก็ตัวจินกิน่ะหอมขนาดนี้”

                “หอมอะไรกัน..ออกไปซักทีเถอะ”ปลายจมูกของจงฮยอนกดลงข้างแก้มใสแล้วผละออกมาก่อนที่จะถอยตัวออกห่าง  ส่งรอยยิ้มชวนให้คนมองใจสั่นก่อนที่จะพูดประโยคเชิญชวนให้คนตัวบางได้เขินเล่นอีกครั้ง

                “คืนนี้ไปผับสิ จะร้องเพลงให้จินกิฟังคนเดียวเลย ต้องมานะ”มือหนาล้วงหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเบอร์โทรออกที่เขาไม่กล้าโทรมาตลอด รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นเมื่อได้ยินเสียงสั่นจากบนเคาท์เตอร์นั่น

                “จะรอนะ ดอกไม้ของผม”

                อีจินกิจะเขินตายอยู่แล้ว..พอซะทีเถอะคิมจงฮยอน

    ...เสียงกีตาร์กับกลิ่นหอมของดอกไม้น่ะ มันเข้ากันดีนะ พวกคุณว่าอย่างนั้นมั้ย?...

    THE END

                ฟิคพยายามละมุนให้ก๊าวหัวใจล่ะ (ให้เขินนั่นแหละ) ก็รู้สึกจะห่างจากสายนี้มานานเพราะไปอยู่แต่สายบาป (แค่ก!) เลยรู้สึกมันห้วนแปลกๆไปนิดนึง อ่า ขอบคุณที่อ่านจนจบละกันเนอะ ติชมได้เต็มที่เลย รักรีดเดอร์นะจุ๊บบบ

    Matcha
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×