คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #64 : Love Never Ends [5] -Last Chapter-
Love Never Ends -5-
BY: Crazy_Dragon
[ท่านรอง ณ กากกามใจบาปเกิร์ล อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัดมหาชน]
วันที่ 12 ของเหตุการณ์ซอมบี้ระบาด
วันที่ 6 ของการร่วมทางกันระหว่างอีจินกิและชเวมินโฮ
เพียงแค่เหยียบเท้าลงในพื้นที่ที่อยู่ต่อจากสะพาน
สภาพก่อนหน้าว่าเลวร้ายแล้ว ที่ตรงนี้กลับหนักยิ่งกว่านั้น
เพราะมันใกล้จุดเชื่อมไปยังเมืองที่มีประชากรนับล้านจึงมีคนที่พยายามหนีตายแล้วกลายเป็นซอมบี้อยู่ที่นี่
สีแดงเข้มทั้งใหม่และเก่ากระจัดกระจายไปทั่ว
กลิ่นเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียนคละคลุ้งจนกลั้นหายใจแล้วแต่กลิ่นมันยังคงติดอยู่ในหัว
ก่อนหน้านี้ที่ว่าแย่แล้วตอนนี้กลิ่นมันกลับหนักหนายิ่งกว่า
มีซากศพมากพอสมควรที่แน่นิ่งอยู่กับพื้นและเป็นตัวการของกลิ่นเหล่านั้น
เพราะความเงียบผิดปกติทำให้รู้สึกราวกับเป็นเหยื่อที่หลงทางมาในดงสัตว์ร้าย
อีจินกิขมวดคิ้วเมื่อพบว่าพื้นที่นี้ก่อนหน้ายังไม่เลวร้ายเท่าตอนนี้
มีแต่ความตายที่ปกคลุมล้อมรอบจนประสาทสัมผัสที่ถูกขัดเกลามาหลายปีต้องเปิดกว้างรับรู้การเคลื่อนไหวรอบตัว
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มเป็นสัญญาณว่าให้รีบหาที่หลบภัยก่อนมืด
พรุ่งนี้ก็จะถึงจุดหมายและหลุดพ้นไปจากขุมนรกตรงนี้แล้ว จริงอยู่ที่พวกมันเริ่มไปวนเวียนใกล้ทางออกไปยังเขตปลอดเชื้อ
แต่มันก็ไม่น่าจะไร้ซอมบี้สักตัวแบบนี้
“มันเงียบเกินไปรึเปล่า”เสียงยุนโฮกระซิบดังขึ้นแผ่วเบาเมื่อรู้สึกได้เช่นกันว่าทุกอย่างมันผิดปกติ
จินกิพยักหน้ารับแล้วค่อยๆเดินไปอย่างระมัดระวัง “มันไม่ควรจะเงียบขนาดนี้
แต่สองคนนั้นก็ไม่ได้แจ้งว่าพวกมันมีการดักซุ่มโจมตี
ยังคงคำรามและควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนเดิม”
ดวงตาเล็กหลุบลงพื้นก็เห็นร่องรอยการกัดกินรวมถึงทิศทางการเดินที่คาดเดาไม่ได้ว่าของคนเป็นหรือคนตาย
ดูเหมือนว่าการที่ไร้ซอมบี้เดินไปเดินมาคือพวกมันคงมีตัวจ่าฝูงที่คอยควบคุมและออกคำสั่ง
ซึ่งตรงกับตามที่ศูนย์กลางแจ้งว่าพวกมันตัดสินใจหยุดการพยายามข้ามไปฝั่งปลอดเชื้อ
แต่ไม่รู้ว่าพวกมันจะคิดอะไรไปได้มากถึงไหนกันแน่
“ที่ตรงนี้เหมือนเป็นรังของพวกมันไปแล้ว
รีบหาบ้านที่ไม่มีพวกมันแล้วหลบกันดีกว่าครับ เพราะกลางคืนเราสู้พวกมันไม่ได้แน่ๆ”เขากลัวว่าที่พวกมันยอมถอยจากตรงนั้นเพราะจะย้อนกลับมา
เดี๋ยวไว้ได้ที่ปลอดภัยเขาต้องถามสองคนนั้นแล้วว่าซอมบี้ไปกระจุกตัวกันตรงไหน
พวกเขาเดินกันอย่างเงียบเชียบแต่ก้าวด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติ
จินกิพยายามจะไปให้ใกล้จุดนัดพบที่จะมีทหารมาช่วยคุ้มครองมากที่สุด
แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้ายิ่งไปใกล้ซอมบี้ก็คงอยู่แถวนั้น
ในกลุ่มรวมถึงตัวจินกิเองก็ล้าเกินกว่าจะวิ่งหนีได้ไหวแล้ว
เกาหลีใต้ไม่ค่อยมีบ้านเดี่ยวเท่าไหร่นัก
ส่วนมากจะเป็นตึกสูงที่เสี่ยงยิ่งกว่าข้างนอกเพราะเป็นสถานที่ปิดและหลงกันได้ง่าย แต่เมื่อหลุดมาจากโซลได้ก็เหมือนจะมีตัวเลือกให้มากขึ้นพอสมควร
และขนาดบ้านก็ยังใหญ่ขึ้นอีกด้วย
เหมือนกับทุกครั้งที่จินกิตัดสินใจเลือกที่พักและเป็นฝ่ายเดินเข้าไปก่อน
อาศัยแสงสว่างจากแสงภายนอกที่ยังหลงเหลือในการช่วยนำทาง
รวมถึงไฟฉายที่มักเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินส่องไปรอบๆ
ขาเรียวขยับเดินไปเบื้องหน้าพร้อมตั้งรับเสมอ
ถ้าที่นี่มีเจ้าของบ้านต้อนรับด้วยการจับแขกกินเป็นอาหาร เขาก็คงต้องกำจัดทิ้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทั่วบริเวณชั้นหนึ่งปลอดภัยดีจึงให้คนที่เหลือตามเข้ามาได้และปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย
ยุนโฮเดินตามจินกิขึ้นไปชั้นสองด้วยเผื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรขึ้นมา
ภายใต้ความเงียบสงัดและฝุ่นที่ฟุ้งกระจายผ่านแสงที่ส่องเข้ามายามเหยียบย่าง ร่างเพรียวชะงักและยกมือขึ้นห้ามให้ร่างสูงด้านหลังหยุดตาม
เมื่อชองยุนโฮเงี่ยหูฟังดีๆ
พบว่านอกจากเสียงชั้นหนึ่งที่กำลังปิดม่านและเคลียร์ของเหมือนกับทุกครั้ง กลับได้ยินเสียงคำรามต่ำๆดังมาจากบานประตูหลังหนึ่งในบ้านนี้
ทั้งที่ความจริงหากพวกเขาเปิดประตูเข้ามามันน่าจะวิ่งลงมาโจมตีแล้ว
แต่นี่กลับมีเพียงเสียงหลุดรอดราวกับติดอยู่ข้างในและออกไปไหนไม่ได้
เพราะความเงียบทำให้เดินยังไงก็มีเสียงฝีเท้าและการเคลื่อนไหวอื่นๆ
กับคนปกติคงไม่ได้ยินแต่สำหรับพวกมันเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าอาหารกำลังมาจึงได้ยินเสียงขู่ผสมกับหายใจเข้าออกรุนแรง
จินกิขมวดคิ้วเมื่อพบว่าตัวเองมาถึงหน้าห้องสุดท้าย
ดูเหมือนว่าตัวที่อยู่ข้างในจะหาทางออกมาไม่ได้
จินกิหันมองหน้ายุนโฮเล็กน้อยเพื่อบอกว่าตนกำลังจะเปิดประตู
ชายร่างสูงพยักหน้ารับและเตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หลายวันที่ผ่านมาสร้างประสบการณ์จนชองยุนโฮเรียนรู้การรับมือต่างๆได้รวดเร็ว
ดั่งที่จินกิเคยพูดว่าหากยุนโฮตัดสินใจมาทำงานสายอาชีพเดียวกับตน
คงช่วยทำภารกิจต่างๆให้สำเร็จง่ายขึ้นเยอะ
บานประตูแง้มออกแต่กลับไม่มีซอมบี้พุ่งออกมา
ดวงตาเรียวมองเข้าไปข้างในก็พบเป็นห้องนอนห้องหนึ่งที่ตกแต่งไว้สวยงามราวกับห้องของเจ้าหญิงตัวน้อย
สภาพของห้องไม่ถึงกับเละเทะแต่ก็ไม่สะอาด
มีคราบเลือดเล็กน้อยและร่างบนเตียงก็ไม่ใช่เจ้าหญิงอีกแล้ว
ศพที่ไม่ยอมตายและยังโหยหาอาหารเพื่อให้อิ่มท้องนั้นน่าประหลาดใจผสมกับความสยดสยอง
ระบบร่างกายหยุดทำงานแต่จมูกกลับสูดกลิ่นได้ดีเยี่ยม
เหมือนการหายใจนั้นไม่ใช่รับอากาศแต่แค่รับกลิ่นเข้าไป เด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสองปีแยกเขี้ยวเปล่งเสียงคำราม
ดวงตาที่ขุ่นมัวกว่าปกติจับจ้องมายังผู้มาเยือนเขม็ง
เสียงคำรามนั้นแผ่วเบาคงเพราะเจ้าตัวไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว
แต่ที่น่าแปลกใจคือข้อมือของเด็กสาวกลับมีกุญแจมือล็อกเอาไว้
รวมไปถึงผ้าอีกหลายผืนมัดเอาไว้กันเด็กคนนี้หลุดออกมา ตรงแขนอีกข้างที่พยายามคว้าตัวพวกเขาไว้มีรอยข่วนเป็นทางยาว
คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กคนนี้กลายเป็นซอมบี้
แววตาที่ฉายแววเคร่งเครียดของหัวหน้าหน่วยพิเศษอ่อนลงและกลายเป็นความเวทนาแทน
หากเด็กคนนี้เป็นผู้ใหญ่ป่านนี้คงกระชากจนข้อมือขาดแล้วอาจจะออกจากห้องนี้ไปแล้วก็ได้
แต่ถึงจะมีแรงเพิ่มขึ้นเด็กก็ยังเป็นเด็ก
เนื้อตรงข้อมือขาดลุ่ยแต่กระดูกยังอยู่ในสภาพดี ทว่าเด็กคนนี้ไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว
ยุนโฮเองก็มีท่าทางอ่อนลงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
เขาไม่ได้ใจแข็งเท่าจินกิจึงเลือกเบนสายตาออกไปทางอื่นก่อนจะพบว่าใต้ฝ่าเท้าของตนมีกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่จึงก้มเก็บขึ้นมาดู
“กระดาษอะไรหรอครับ?”ยังไม่ทันตอบก็เสียงฝีเท้าดังขึ้นจนต้องหันไปมอง
พบเจ้าของเสียงที่มีสีหน้ากังวลใจ “พวกพี่หายไปนานผิดปกติเลยขึ้นมาดูน่ะครับ
ถึงจะไม่ได้ยินเสียงต่อสู้อะไรทำนองนั้นแต่.. เสียงนี่?”
เหมือนจำนวนคนมากขึ้นจะยิ่งปลุกความหิวกระหายในตัวผู้ติดเชื้อ
มินโฮชะโงกหน้าผ่านคนสองคนก็พบเด็กสาวที่พยายามกระชากแขนและส่งเสียงขู่ออกมาไม่หยุด
ดวงตาคนมองเบิกกว้างแล้วหันมายังจินกิทันทีเพื่อขอคำอธิบาย
“เขาถูกมัดไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ
มินโฮลงไปบอกข้างล่างให้หน่อยนะว่ามีซอมบี้หนึ่งตัวแต่พี่จัดการไปแล้ว
บ้านหลังนี้ปลอดภัยให้กินข้าวอาบน้ำพักผ่อนและอย่าเสียงดัง
แล้วก็ไม่ต้องขึ้นมาหาพี่อีก พี่ไม่อยากให้มินโฮเห็น”
ทั้งที่รู้ว่าเห็นภาพน่ากลัวมาก็เยอะ
จินกิก็ยังพยายามไม่ให้มินโฮเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น พวกเขาฆ่าซอมบี้ที่เป็นเด็กมาจำนวนไม่น้อยแต่ปกติคือเด็กพวกนั้นวิ่งเข้าใส่และพยายามที่จะกินพวกเขา
ผิดกับเด็กคนนี้ที่ถูกมัดไว้เฉยๆจนมีเวลายืนมองและรำลึกได้ว่า เจ้าตัวก็เคยมีชีวิตที่ร่าเริงสดใสตามวัยจนคนมองได้แต่สงสารที่ชีวิตเด็กคนนี้จบลงไปแล้ว
มินโฮไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าแล้วเดินลงไปอย่างว่าง่าย
จินกิและยุนโฮหันกลับมาสนใจกระดาษที่ถูกเขียนเอาไว้ด้วยข้อความจำนวนหนึ่ง
เป็นการเขียนที่สื่อความต้องการได้ชัดเจนทว่าไม่สามารถมีใครทำให้ได้
ผมตั้งใจจะออกไปหาอะไรให้น้องกิน ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้รึเปล่าจึงเขียนลงในกระดาษแผ่นนี้
เธอติดเชื้อจากแม่ของผมแต่เธอไม่ได้ฆ่าใคร
เธอยังเป็นเด็กที่บริสุทธิ์
ผมรู้ว่าเธออันตรายมาก แต่ผมฆ่าเธอไม่ได้และไม่อยากให้เธอไปฆ่าใคร
ถ้าคุณไม่ใช่คนของรัฐบาลช่วยทำเป็นไม่เห็นเธอ แต่ถ้าใช่ล่ะก็ได้โปรดอย่าฆ่าเธอ
และช่วยให้เธอกลับมาเป็นคนปกติด้วย ผมรู้ว่าพวกคุณทำได้
จินกิเงยหน้ามองร่างที่อยู่บนเตียงก่อนจะถอนหายใจออกมา
ไม่รู้ว่าแม่ของคนๆนี้หายไปไหน อาจจะถูกฆ่าโดยเจ้าของจดหมายไม่ก็หนีจนพาน้องสาวมาไว้ที่บ้านได้
พวกเขาไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำว่าคนที่ขอให้ช่วยเป็นใคร ทำไมถึงมีกุญแจข้อมือพกเอาไว้
แต่ความตั้งใจที่ส่งผ่านมามันรับรู้ได้จนทำใจลำบาก
“ดูท่าว่าเจ้าของบ้านหลังนี้คงไม่ได้กลับมาแล้วสินะครับ”ยุนโฮพูดขึ้นพลางมองไปรอบๆห้องอีกครั้งและพบรูปถ่ายหลากหลายรูปที่วางใส่กรอบเอาไว้
รูปที่ใกล้ที่สุดเป็นรูปผู้หญิงวัยทำงานกับเด็กผู้หญิงที่อยู่บนเตียงและเด็กผู้ชายอายุราวๆไม่เกินสิบห้าปี
ดูเหมือนว่าครอบครัวนี้จะสูญเสียคุณพ่อไปแล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง
แต่ทั้งสามคนก็มีรอยยิ้มของความสุขที่ได้อยู่กับครอบครัว
“คงจะเป็นแบบนั้นแหละครับ
เขาคงไม่ทิ้งน้องสาวหนีไปเขตปลอดเชื้อทั้งที่อยู่ไม่ไกลแน่ๆ เพราะถ้าไปแล้วเขาจะถูกกักตัวทันที
ต่อให้พาเด็กคนนี้ไปได้เด็กก็คงโดนยิงทิ้งแน่ๆ แต่ทางเลือกที่เขาเลือกนี่มัน..”
“เพราะมันคือคำว่าครอบครัวไงล่ะครับ
เหมือนคุณแดซองกับลูกสาวที่รู้ทั้งรู้ก็ยังทิ้งไม่ได้”
“ผมถึงเหนื่อยใจกับเรื่องแบบนี้
ความรักทำให้คนเราขาดเหตุผลไปเยอะเลย
ต่อให้รู้ว่าผลของการเลือกมันจะเป็นแบบไหนแต่ก็ยังเลือกทำแบบนั้น
มันเป็นสิ่งที่ทำให้ทำงานยากจริงๆ”ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบางเบาออกมา
มันเป็นรอยยิ้มที่มีความรู้สึกเศร้าโศกเข้ามาปะปนกับความระอาใจ ยุนโฮรู้ดีว่าคนที่อยู่ข้างๆได้มองเห็นคนที่กระทำอะไรบางอย่างด้วยความรักมามากเกินพอ
ความรักไม่มีวันสิ้นสุดตราบเท่าที่ใจยังปรารถนา
ต่อให้คนที่รักเปลี่ยนไปหรือตายจากก็ตาม
ไม่มีคำพูดใดๆอีกนอกจากการกระทำที่กำลังเกิดขึ้น
จินกิไม่ได้ให้ยุนโฮออกไปเพราะเจ้าตัวรู้ว่ายุนโฮเป็นผู้ใหญ่และแบกรับความรู้สึกด้านลบได้ดีกว่า
ผิดกับมินโฮที่เขายังกังวลและรู้สึกผิดที่ทำให้เห็นเรื่องแย่ที่สุดอย่างการฆ่าคนเป็น
ด้วยความรู้สึกนี้ทำให้ร่างเพรียวเผลอปกป้องเป็นห่วงมินโฮมากกว่าใคร
ดวงตาของยุนโฮหลุบลงเมื่ออีจินกิก้าวไปประชิดร่างบนเตียงพร้อมมีดสั้นในมือ
เสียงคำรามที่ดังขึ้นหยุดลงพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด
เมื่อมองอีกครั้งก็พบว่าจินกิได้วางมีดลงบนเตียงและพยายามจัดให้ร่างที่ไร้ชีวิตอยู่ในท่าที่สบายที่สุด
“จริงๆก็อยากจะให้นอนสบายกว่านี้
แต่ผมคงเอากุญแจมือไม่ออก”เสียงกุญแจมือที่ดังตลอดเวลาเงียบลงไปแล้ว ใต้คางของเด็กคนนั้นมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดเพราะเป็นจุดที่จินกิใช้มีดแทงขึ้นไป
พวกเขายืนนิ่งเพื่อภาวนาให้เจ้าหญิงตัวน้อยของบ้านหลังนี้ได้พักผ่อน
ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพร้อมกับปิดประตูให้สนิทป้องกันกลิ่นศพที่อีกสักพักคงเริ่มเน่าสลายมากขึ้น
ข้างนอกเริ่มมืดแล้วและทุกคนต่างรีบอาบน้ำให้คลายความเหนื่อยล้า
มีเสียงพูดคุยกันเล็กน้อยเพราะกลัวว่าพวกนั้นจะได้ยินและพังประตูหน้าต่างเข้ามาในนี้
มินโฮมองตามจินกิที่อาบน้ำเสร็จก็รีบเดินไปหามุมเงียบๆเพื่อติดต่อกับเพื่อนอีกครั้ง
อยากคุย
อยากถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า ทุกครั้งที่จะได้คุยก็ต้องรอจินกิว่างเท่านั้น
จู่ๆเข้าไปชวนคุยก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายมีเรื่องต้องคิดตลอด พอคิดก็ได้แต่ถอนหายใจเคี้ยวขนมปังแก้หงุดหงิดแต่รสชาติของมันก็พาลให้โมโหยิ่งกว่าเก่า
“หงุดหงิดอะไรไอ้น้อง”น้ำเสียงสบายๆทำให้มินโฮกลืนขนมปังที่เริ่มแห้งเพราะมันเก่าแล้วลงคอ
หันไปมองเจ้าของเสียงที่อารมณ์ดีและขยันปล่อยมุกตลก
“หงุดหงิดตัวเองครับพี่จองซู”
“หงุดหงิดอะไรในตัวเองล่ะ?”
“ผมรู้ว่าเขาอยากปกป้องผมนะ
แต่ผมก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ตัวเองให้พี่เขาวางใจไม่ได้ ทำผมเหมือนเป็นเด็กที่ยังไม่โต”จองซูส่ายหัวกับความเด็กของคนข้างๆ
เพราะนิสัยแบบนี้จินกิถึงได้ยังเป็นห่วงอยู่เสมอ
แม้จะทำตัวปากอย่างใจอย่างที่ใครๆก็ดูออก
“เด็กหนอเด็ก นายไม่ใช่ไม่น่าเชื่อถือแต่นายยังขาดประสบการณ์และความรอบคอบ
เวลานี้คุณจินกิเขาก็ต้องเลือกในสิ่งที่ช่วยให้งานเขาสำเร็จมากกว่า อย่าคิดเยอะเลย”
“แต่ผมอยากให้ตัวเองเป็นคนที่พี่เขาเลือกพึ่งพาด้วย
อยากจะให้ทุกความสนใจของพี่จินกิอยู่ที่ผมทั้งหมดเลย”
“ไว้ออกไปได้นายก็ทำให้คุณจินกิเขารู้สึกแบบนี้แล้วกัน
เจ้าเด็กโลภ”เด็กตัวสูงถูกคนแก่กว่ายีผมจนหัวยุ่งไปหมด
ในประสบการณ์ที่เฉียดตายและเจออะไรหนักหนามาก็เยอะ
แต่สิ่งที่ได้รับเพิ่มมาคือมิตรภาพของคนที่ชีวิตนี้คงไม่มีวันได้เจอ
และมีความเชื่อใจกันและกันราวกับรู้จักนานนับปี
แบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีในวันที่เลวร้ายได้เหมือนกัน
“ผมกลัวว่าพอออกไปแล้วพี่เขาจะหายไปน่ะสิครับ
จริงสิ
ผมไปหาพี่จินกิดีกว่า”พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวไปยังทิศทางที่เห็นจินกิเดินไป
ทิ้งให้จองซูหัวเราะกับการตัดสินใจหุนหันที่ทำเหมือนลืมเรื่องก่อนหน้าไปเสียอย่างนั้น
ชเวมินโฮเดินมาก็พบจินกิที่ยืนหันหลังให้ตรงหน้าต่างที่มีม่านปิดสนิท
นึกอยากจะทักไปแต่เสียงคลื่นวิทยุดังขึ้นจนได้ยินเสียงตอบรับจากอีกฝั่ง
แม้จะไม่เห็นหน้าแต่ท่าทางผ่อนคลายขึ้นของจินกิทำให้เดาได้ว่ากำลังติดต่อให้คนในทีมแน่ๆ
“จงฮยอน”
“ครับพี่
พี่เป็นยังไงบ้าง”
“ยังปลอดภัยดีนั่นแหละ
พี่ถามหน่อยสิ ตอนนายมาถึงใกล้ๆจุดรับผู้รอดชีวิตที่วอนจูน่ะ
ซอมบี้มันหายไปหมดเลยรึเปล่า”
“ใช่ครับพี่
แต่พอเดินไปอีกนิดหน่อยพวกมันจะดักรออยู่ตรงนั้น และมันอันตรายมากยังไงก็ต้องมีคนตาย
ที่สำคัญมันจะมีตัวหนึ่งที่จะชอบแหกปากเหมือนสั่งตัวอื่นว่าให้ถอยหรือสู้ด้วย”ร่างสูงที่ยืนอยู่เผลอกำมือแน่นด้วยความกังวล
คำพูดที่ได้ยินจากคนชื่อจงฮยอนไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงแน่
“ที่มันคิดได้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วสิ”จินกิพูดพลางขมวดคิ้วนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาก่อนหน้า
ว่าพวกมันไม่ค่อยปะทะกับทหารแล้วแต่ถอยไปอยู่ไกลจากเดิมนิดหน่อย
และจงฮยอนก็ช่วยยืนยันว่าพวกมันดักรอคนที่จะผ่านออกไปแทน
“ผมตั้งใจจะบอกแต่ดันโดนเรียกไปด่าก่อน
หัวหน้าก็โดนไปกับเขาด้วยอีกและพวกเราก็ไม่ติดต่อไปจนกว่าพี่จะติดต่อมาเผื่อเจอเรื่องอันตราย
ตอนดูพิกัดของพี่ผมลุ้นแทบตายว่าจะเดินไปถึงดงพวกมันรึเปล่า ขอบคุณที่ฟ้ามืดก่อน”
“ถือซะว่าดวงดีแล้วกัน
พวกนายรอดมาจากตรงนั้นได้ยังไง”
“พี่เชื่อมั้ยว่าจำนวนมันเยอะโคตร
แค่เหยียบเข้าถิ่นมันก็รุมอย่างกับหมาบ้า ถ้าอยากรอดก็ทิ้งอาหารไว้เหลือแต่อาวุธแล้ววิ่งอย่างเดียว
นี่ปาระเบิดไปสองลูกนะยังแทบไม่รอด จริงๆผมมีคนตั้งยี่สิบคนรวมกับของคีย์
แต่ฝ่าดงมาได้เหลือเก้า โดนข่วนไปหนึ่งเหลือแปด นรกของแท้”
“ไม่มีทางที่จะออกไปได้ครบเลยใช่มั้ย”
“ถ้าจากจำนวนมันต่อจำนวนคนผมว่าเป็นไปไม่ได้
ผมรู้ว่าพี่อยากจะช่วยให้ครบทุกคนแต่พี่อย่าฝืนมากเลยนะครับ
พวกเราก็ไม่อยากเสียพี่ไปเหมือนกัน”จงฮยอนรู้ดีว่าพวกเขาล้วนถูกฝึกฝนมาเพื่อทำงานเสี่ยงตาย
ที่ผ่านๆมาบาดเจ็บหนักบ้างเบาบ้างแต่ก็รอดกลับมาทุกครั้งเพราะคำสั่งคือทำภารกิจให้สำเร็จและห้ามตายเด็ดขาด
แต่คราวนี้มันต่างกัน
ความเสี่ยงที่มากกว่าเพราะแค่โดนข่วนเล็กน้อยก็ตายได้แล้ว
คำสั่งจึงถูกเปลี่ยนเป็นให้ทอดทิ้งผู้คนเมื่อสถานการณ์เลวร้ายจนรับมือไม่ได้ พวกเขาไม่เคยหันหลังหนีให้กับคนที่ช่วยได้แต่ภารกิจนี้กลับต้องฝืนทำมันลงไป
จินกิหลับลงภาพความฝันเดิมๆวนเวียนกลับมา
ทั้งอดีตที่เคยทอดทิ้งคนเหล่านั้นและสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้รอดชีวิตในปัจจุบันนี้
เพราะพวกเขาสำคัญกับภารกิจหลังจากเรื่องนี้อีกมากถึงตายไม่ได้..แต่คนเหล่านั้นก็มีความสำคัญกับครอบครัวเช่นกัน
“ไม่ต้องกังวลหรอก
พี่รู้ว่าควรทำแบบไหน”คนที่อยู่โซนปลอดเชื้อถอนหายใจกับคำตอบที่เบี่ยงออกไป
ปกติจินกิจะต้องตอบว่าตกลงไปแล้ว
คงจะดื้อเหมือนเคยแต่ก็ไม่รู้จะบ่นยังไงจึงได้แต่กำชับว่าให้กลับออกมาหากัน
“ยังไงพี่ก็ต้องออกมาให้ได้นะ
แทมินก็เพิ่งติดต่อมาคิดว่าน่าจะตามพี่ออกมาไม่ก็ออกมาพร้อมกัน
แทมินได้ที่ๆปลอดภัย พี่จะติดต่อไปก็ได้นะครับ”
“จริงหรอ?
ขอบคุณที่บอกนะจงฮยอน ไปนอนพักเถอะ เหนื่อยมาตั้งหลายวันแล้ว”
“ครับ
พรุ่งนี้เจอกัน พอจบงานแล้วไปหาอะไรอร่อยๆกินกันเถอะ”
จินกิรับคำก่อนจะตัดการสื่อสารไปหาแทมินแทน
มินโฮที่ยังคงยืนมองอยู่แม้จะคิดมากเรื่องที่ได้ยิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อคนตรงหน้าใช้เสียงนุ่มๆคล้ายจะอ้อนน้องชายตัวเองอยู่นิดหน่อย
ทั้งคู่คุยกันไม่นานเพราะนี่ก็มืดแล้วจึงไม่อยากรบกวนเวลาของกันและกันมากนัก
“พี่จินกิ”เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเมื่อในที่สุดวิทยุสื่อสารได้หยุดการใช้งาน
เขาปรับสีหน้าท่าทางเป็นปกติไม่ให้ผิดสังเกตว่าตัวเองมายืนฟังคนอื่นคุยกัน
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”คนโดยเรียกสะดุ้งเล็กน้อยและหันกลับมามองเสียงคุ้นหูที่ขยันเรียกตนตลอด
คิ้วเรียวขมวดลงเล็กน้อยเมื่อคิดว่าตนเองดันไม่ระวังรอบตัวจนไม่รู้ว่ามินโฮเดินมาและได้ยินอะไรบ้าง
โดยเฉพาะเรื่องที่มาจากจงฮยอน รวมไปถึงตอนเขาคุยกับน้องอีก..นั่นยิ่งไม่อยากให้ได้ยินเข้าไปใหญ่
“เพิ่งมาเองครับ”ดวงตาเล็กมองพิจารณาก็ไม่เห็นมินโฮแสดงท่าทีอะไรจึงพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปใกล้
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามถึงสาเหตุที่เรียกกัน“มีอะไรรึเปล่า”
ดวงตาคมโตที่มองมาทำให้จินกินึกถึงลูกหมาตัวโตๆเวลาถูกทิ้ง
เหมือนจะอ้อนวอนขออะไรสักอย่างแต่กลับไม่พูดออกมา พอริมฝีปากเริ่มขยับจะถามอีกครั้งกลับถูกอีกฝ่ายชิงพูดตัดหน้า
“ผมขอกอดพี่หน่อยได้มั้ย”
“อะไรของนาย?”
“...พอออกไปได้พี่ก็ต้องไปทำงานของพี่ต่ออีก
พี่ก็รู้ว่าผมชอบพี่ ให้โอกาสผมหน่อยสิครับ”ปกติมินโฮไม่เคยเรียกร้องทำให้ร่างเพรียวพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่อยากสานสัมพันธ์ให้ผูกพันมากกว่านี้แต่แววตาที่มองมาก็พาลให้ใจอ่อน
ริมฝีปากอิ่มเม้มลงเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น
“อย่าคิดว่าพี่สนใจนายล่ะ
เอ้า กอดก็กอด”พอสิ้นคำอนุญาตร่างสูงกว่าก็คว้าอีจินกิเข้าไปกอดกับตัวไว้แน่นจนใบหน้าหวานแนบลงกับช่วงไหล่
แขนเรียวยกขึ้นกอดตอบเอาไว้และตบหลังเบาๆเหมือนกล่อมเด็ก
เจ้าเด็กนี่คงกลัวว่าเขาจะหายไปหลังออกไปได้แล้วแน่ๆ
ซึ่งความจริงเขาไม่ใจร้ายกับมินโฮขนาดนั้นแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดออกไปให้ได้ใจ
แต่มินโฮกลับคิดมากกว่านั้นว่าเขาอาจจะไม่ได้ออกไป
แขนที่โอบรอบตัวจินกิขยับแน่นขึ้นช่วงขณะ
จินกิไม่พูดเรื่องที่ได้ยินมาแสดงชัดว่าไม่อยากให้กังวล
และต้องพยายามหาหนทางออกไปให้ได้จำนวนคนมากที่สุด
และนั่นยิ่งทำให้เขากลัวว่าอาจจะไม่ใช่ตัวเองที่ต้องมาตาย
แต่เป็นคนหัวแข็งคนนี้ต่างหาก
“ผมรักพี่จริงๆนะ”เสียงหัวใจที่เต้นถี่ช่วยยืนยันคำพูด
คนฟังที่เคยรำคาญในตอนแรกกลับพบว่าตัวเองกำลังยิ้มออกมา
จากที่เคยอึดอัดกลายเป็นรู้สึกดีที่มินโฮคอยอยู่ใกล้ๆ
แต่สำหรับเขาในตอนนี้มันเร็วเกินไปที่จะตอบรับด้วยความรู้สึกเดียวกัน
“รู้แล้ว
ปล่อยพี่เถอะ เราต้องรีบไปนอนพักกันนะ”จินกิดันมินโฮออกแล้วเอื้อมมือขยี้เส้นผมอีกฝ่ายให้ขึ้นฟู
มินโฮเองก็ยอมก้มหัวและหัวเราะออกมาก่อนจะพากันเดินไปยังที่นอนพัก
พอเดินออกมาก็เห็นหลายคนเริ่มนอนแล้วเพื่อไม่ให้เสียงในบ้านดังออกไปเรียกตัวข้างนอก
พอจะหันไปถามว่าจินกิจะนอนตรงไหน
ก็พบเจ้าตัวเลือกไปหาที่นั่งติดตรงกับหน้าต่างอีกครั้ง
ปกติเขามักจะนอนแยกออกมาเพราะไม่อยากรบกวนแต่คราวนี้มินโฮเลือกเดินมานั่งใกล้ๆโดยจินกิที่นั่งบนเก้าอี้ต้องก้มมอง
“ทำไมมานั่งตรงนี้
ไปนอนตรงนู้นสิ”
“ผมอยากอยู่ใกล้พี่”
“วุ่นวาย”แม้จะโดนดุแต่มินโฮยังคงฉีกยิ้มทำเป็นไม่รู้เรื่องเหมือนเคย
ทำให้เขาได้ยินเสียงบ่นพึมพำมาอีกคำว่าดื้อ เสียงคุยในบ้านเงียบลงไปเรื่อยๆจนตอนนี้แทบได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่อยู่ใกล้กัน
ดวงตาเรียวชำเลืองมองลงไปยังเด็กตัวสูงที่ตอนนี้ล้มตัวลงนอนไปแล้ว
โดยใช้กระเป๋าเป้ที่หยิบมาจากห้างหนุนแทนหมอน เพราะไร้แสงไฟจึงทำให้มองเห็นใบหน้าที่โดดเด่นและดึงดูดสายตาได้ไม่ถนัดนัก
ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มเอ็นดูพลางโน้มตัวลงไปปัดเส้นผมที่ปรกหน้าดูเกะกะตาออกให้
พรุ่งนี้ได้ออกไปข้างนอกด้วยกันก็คงดี
เขาจะได้เลิกคิดเรื่องงานและให้ความสนใจกับเรื่องของความรู้สึกบ้าง
เขาภาวนาให้เป็นเช่นนั้น
เส้นทางก่อนหน้าแม้จะเงียบงันชวนหดหู่แต่ก็ไร้ตัวอันตรายใดๆ
แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าและในพื้นที่นี้หากให้พูดก็คงเหมือนอย่างที่จงฮยอนบอก
ราวกับอยู่ในนรกที่มีสัตว์ร้ายบ้าคลั่งไม่สนสิ่งไหนทั้งสิ้น พวกมันหิว
พวกมันต้องการล่า โดยเหยื่ออาจจะเป็นคนที่เคยรู้จักหรือสนิทสนมกันได้ด้วยซ้ำ
แค่เพียงก้าวเดินออกไปอีกประมาณห้ากิโลเมตร
ก็เห็นพวกมันเดินวนเวียนอยู่แถวนั้น แม้จะเคยวิ่งเข้าหาซอมบี้เพื่อไปต่ออยู่บ่อยครั้ง
แต่ครั้งนี้จำนวนของมันมีมากยิ่งกว่าเพราะพวกมันได้ดักรอคนเป็นอยู่ตรงนี้
มันเป็นหน้าที่ของอีจินกิที่จะต้องเป็นฝ่ายเปิดทางให้กับทุกคน
ร่างสูงที่อยู่หลังสุดมองไปด้วยความกลัวว่าคนที่นำออกไปจะพลาดท่าได้แผลจากพวกมัน
ระเบิดสองลูกถูกขว้างออกไปพร้อมๆกันแต่ด้วยระยะที่ต่างกัน
เหมือนเป็นสัญญาณเสียงให้พวกทหารที่อยู่ถัดจากนี้อีกไม่ไกลมากได้รับรู้ว่าคนที่มีชีวิตรอดกำลังจะออกไปหา
ขอแค่หลุดออกไปยังจุดรับผู้รอดชีวิตได้
ทหารก็จะเข้ามาช่วยเหลือและพาพวกเขาออกไปจากที่นี่
เปลวไฟไม่สามารถสร้างความเจ็บปวดได้จึงทำให้พวกมันยังวิ่งเข้าหาพร้อมไฟลุกท่วม
แต่จินกิเองก็ไม่มีเวลารอให้ไฟเผาพวกมันจนมอดอีกแล้ว
ขาขยับก้าวไปเบื้องหน้าด้วยประสาทสัมผัสทั่วร่างที่ตื่นตัวรอรับสิ่งใดๆก็ตามที่เข้ามาในระยะประชิด
ไม่ต้องกังวลเรื่องกระสุนหรืออาวุธที่จะไม่พออีกแล้ว เสียงกระสุนดังขึ้นไม่หยุดท่ามกลางเสียงคำรามของพวกมัน
จินกินึกขอบคุณพวกฮวาซองที่พกอาวุธหนักมาไว้จำนวนมาก
ถ้าใช้ที่เขาพกมาเองมันคงหมดไปนานแล้ว ตอนนี้เขาใช้วิธีเดียวกับจงฮยอนและคีย์คือใช้ระเบิดก่อนแล้วเริ่มยิงให้พอมีช่องว่างเหลือ
หลังจากนั้นคือการวิ่งและฆ่าตัวที่พยายามเข้ามาคว้าตัวเอาไว้
ดวงตาเล็กเพ่งมองให้กระสุนทุกนัดไม่เสียเปล่าโดยการฝังเข้าช่วงหัวพวกมันทุกตัว
แม้ว่าบางตัวจะเคยเป็นผู้รอดชีวิตกลุ่มแรกที่เขาพาออกไปไม่สำเร็จก็ตาม
แขนเรียวยกขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนที่รออยู่ข้างหลังออกวิ่งไปเบื้องหน้า
ครั้งแรกที่ทุกคนพบว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้จำนวนมากก็พากันเสียขวัญ แต่มีประโยคเดียวที่พูดโดยหัวหน้าหน่วยพิเศษก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวออกไปเบื้องหน้า
“ไว้เราไปเจอกันอีกครั้งในเขตปลอดเชื้อนะครับ”
ด้วยแววตาที่มุ่งมั่นและเนื้อเสียงที่ช่วยให้ใจสงบให้พวกเขาตัดสินใจฮึดสู้อีกครั้งแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาอาจจะไม่รอดออกไป
แต่ความอยากมีชีวิตรอด
อยากกลับไปหาครอบครัวมันเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ทุกคนยังก้าวต่อไปได้
เหมือนกับทุกครั้งที่ชองยุนโฮจะไปพร้อมกับอีจินกิ
ใบหน้าหวานหันกลับไปมองชเวมินโฮที่ยังรั้งท้ายเพื่อคอยช่วยทุกคน
จินกิรู้ว่ามินโฮเป็นคนจิตใจดีและอยากจะช่วยเหลือเขาด้วยการช่วยผู้รอดชีวิตคนอื่น
แต่นั่นมันคือสิ่งที่ทำให้เขากังวลที่สุดถึงได้คอยย้ำทุกครั้งว่าให้ห่วงชีวิตตัวเองมากกว่า
ทั้งที่เขาบอกไปแล้วแท้ๆว่าวันนี้ไม่ต้องสนใจใครนอกจากตัวเอง
ทำไมถึงดื้อด้านแบบนี้?
แต่เวลานี้จินกิไม่สามารถพุ่งความสนใจไปยังชเวมินโฮได้มาก
ซอมบี้ที่พุ่งเข้าระยะใกล้ถูกปืนยิงจนล้มพับลงไปกับพื้น
อยากจะหาเส้นทางที่สะดวกสบายและปลอดภัยกว่านี้แต่ก็ไม่มีทางเลือกให้ ดวงตาเล็กเพ่งมองไปเบื้องหน้าก็พบว่าระเบิดสองลูกสุดท้ายที่มีใช้ได้ผล
พวกมันหลายตัวเริ่มล้มลงและนั่นทำให้ทางสะดวกมากขึ้น
เลยไปไม่ไกลก็จะถึงจุดที่ทหารประจำการรอผู้รอดชีวิตด้วย
ยังไม่ทันที่จะไปได้ไกลมากเสียงกรีดร้องดังขึ้นทำให้ทุกคนหันความสนใจไป
และเหมือนเสียงจะเป็นตัวกระตุ้นให้พวกมันดุร้ายมากขึ้นทั้งที่พวกเขาเคยเป็นมนุษย์ปกติมาก่อน
ร่างเพรียวตะโกนเสียงกร้าวให้คนที่ปลอดภัยวิ่งต่อไปไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น
ใบหน้าหวานหันกลับไปมองเพื่อดูว่ามินโฮจะทำตัวแบบเดิมหรือตัดสินใจวิ่งตามมา
และคนตัวสูงนั่นก็เลือกจะเมินหนีต่อคำร้องให้ช่วยและตามคนอื่นๆมาจนได้
ทำให้จินกิโล่งใจไปได้บ้าง
เพราะเขาเชื่อเรื่องการเอาตัวรอดของมินโฮว่าถ้าไม่ทำอะไรที่เกินตัว
จะต้องผ่านไปได้ปลอดภัยแน่ๆ
เพราะวันก่อนจงฮยอนกับคีย์ที่พยายามฝ่าออกมาทำให้จำนวนของพวกมันลดลงไปบ้าง
แต่ด้วยบริเวณติดเชื้อเป็นแหล่งที่คนจำนวนมากอาศัยรวมถึงนักท่องเที่ยวอีกจึงมีจำนวนไม่ต่ำกว่าล้าน
ทำลายไปมากเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่าจำนวนของมันมากเกินไปอยู่ดี
คนแล้วคนเล่าที่ไม่สามารถหลุดออกไปได้จากตรงนี้
มินโฮเบือนหน้าหนีเมื่อพวกเขาพยายามร้องขอให้ช่วยเหลือ เขาไม่สามารถตัดใจฆ่าคนที่ยังไม่ตายได้จึงได้แต่ปล่อยให้ทรมาน
แค่หันไปชำเลืองมองด้านหลังก็เห็นคนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมากำลังไล่ตามพร้อมเสียงคำราม
แม้จะระยะทางไม่ไกลมากแต่กลับใช้เวลานานกว่าปกติพอสมควร
จินกิถีบซอมบี้ตัวหนึ่งให้ถอยห่างพร้อมหวดไม้ซ้ำลงไปที่หัวอีกที กระสุนหมดไปนานแล้วและเขาไม่มีเวลาจะปืนอีก
ใบหน้าหวานที่ฉายแววกังวลมองไปยังยุนโฮที่ดูเหนื่อยล้าเหมือนกัน
เขารู้ดีว่าตนเองทำให้ประชาชนต้องลำบากแต่ยุนโฮก็เป็นคนดีมากพอที่จะใช้ความสามารถตัวเองเพื่อผู้อื่นในเวลานี้
“อีกไกลมั้ยครับ”
“หลุดหัวโค้งตรงนี้ไปนิดเดียวก็ปลอดภัยแล้ว
ทหารรอเราอยู่”เสียงปืนดังขึ้นบ่งบอกว่าทหารที่รออยู่กำลังต่อสู้กับซากศพที่เดินได้เช่นกัน
ใบหน้าหวานหันกลับไปด้านหลังก็พบว่าคนที่เหลือรอดหายไปราวสี่ห้าคน
และมันอาจจะลดลงอีกถ้าไม่รีบไปให้ถึง
เมื่อเข้าช่วงทางโค้งริมฝีปากอิ่มก็เยอยิ้มขึ้นเมื่อเขาเห็นสิ่งที่ต้องการ
ทหารราวแปดนายกำลังพยายามกำจัดพวกนั้นที่กรูเข้าไปหา
ด้วยปืนกลที่เป็นอาวุธหนักและความเชี่ยวชาญทำให้ผลการปฏิบัติงานเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ
“ทหาร!”เสียงนุ่มตะโกนไปทำให้ซอมบี้บางตัวชะงักแต่ความสนใจยังคงอยู่ที่ทหารมากกว่า
แม้จะเริ่มถอยเพราะในหัวเริ่มคิดได้ว่าพวกมันไม่สามารถทำอะไรคนกลุ่มนี้ได้ เหล่าทหารเมื่อเห็นจินกิก็ยิ้มด้วยความโล่งอก
แม้ว่าข้างหลังคนกลุ่มนี้จะมีซอมบี้เป็นฝูงก็ตาม
แต่ซอมบี้พวกนี้พอถึงจุดที่กองทหารประจำการพวกมันก็จะถอยกันไปเองเพราะรู้ว่าผ่านไปไม่ได้
ในช่วงหนึ่งการต้านพวกมันลำบากมากจนกลัวว่าจะทำไม่ได้
แต่เพราะความพยายามถึงทำให้พวกมันรู้ว่าบริเวณที่ถัดออกไปไม่ใช่ที่ของพวกมัน
แม้จะมีมนุษย์เป็นอาหารของพวกมันมากขนาดไหนก็ตาม
ตอนแรกพวกเขาตั้งใจจะกำจัดตัวจ่าฝูงทิ้งไปแต่ถ้าคิดตามหลักสัตว์ป่าแล้ว
ถ้าจ่าฝูงตายพวกมันอาจจะแตกกลุ่มกระจัดกระจายเท่ากับว่าย้อนไปสู่ช่วงแรก
คือพวกมันจะพยายามฝ่าเข้ามาให้ได้แบบไม่คิดอะไร
ปล่อยให้ตัวหัวหน้าที่คิดได้แค่สู้หรือถอยคุมไปก่อนยังดีซะกว่าในตอนนี้
ผู้รอดชีวิตที่ได้ยินเสียงของคนที่นำหน้ามาตลอดพลันรู้สึกเรี่ยวแรงที่ใกล้หมดได้หวนคืนมา
ราวกับเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดอีกครั้ง
ร่างเพรียวของจินกิชะลอฝีเท้าและดันให้ยุนโฮวิ่งออกไปคนแรก
หน้าที่ของเขากำลังจะเสร็จสมบูรณ์แล้วและจำนวนผู้รอดชีวิตราวสิบคนก็ทำให้เขาค่อนข้างพอใจ
เขาวิ่งกลับไปทางเดิมเพื่อช่วยคนอื่นๆให้ผ่านไปหาทหารได้โดยง่าย
เพราะทางข้างหน้าถือว่าปลอดภัยในระดับหนึ่งแล้ว
ชเวมินโฮที่อยู่ห่างออกไปทำให้เขายิ้มออกมาได้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีอยู่กับจองซู
เมื่อคนเริ่มลดลงพวกซอมบี้ก็ยิ่งแสดงความเกรี้ยวกราดที่อาหารกำลังจะหลุดมือไป
“ไปเร็ว!
ทหารมาแล้ว”จินกิตะโกนบอกย้ำอีกครั้งและเห็นว่าทั้งสองคนที่อยู่หลังสุดยังปลอดภัยดีจึงย้อนกลับไปทางเดิม
หวังช่วยให้ทุกคนผ่านไปสะดวกมากขึ้น
เขามีเวลาหยิบปืนออกมาและฆ่าพวกมันให้ลดจำนวนที่ขวางทางลง
ดวงตาที่ฉายแววมุ่งมั่นมองไปเมื่อเห็นยุนโฮและคนอีกสองสามคนเข้าไปหลบหลังทหารและกำลังถูกพาตัวออกไปตรงเขตปลอดเชื้อเมื่อพบว่าไร้รอยกัดและข่วน
การป้องกันคุ้มครองแน่นหนาและคงจะวนมารับทีละสองสามคนทำให้จินกิรู้สึกความเหนื่อยล้าที่สะสมหายไปหมด
“ไปเร็วๆครับ
พวกคุณได้กลับบ้านแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณ”
ร่างเพรียวของหัวหน้าหน่วยยืนตรงใกล้หัวโค้งคอยอำนวยความสะดวกให้เพราะตอนนี้ซอมบี้ที่พยายามฝ่าเข้าไปตายไปพอสมควร
เสียงคำรามดังลั่นจากจุดหนึ่งในฝูงซอมบี้ที่อยู่ไม่ไกลทำให้พวกมันบางตัวเริ่มถอยออกมาเอง
พยายามเพ่งมองก็พบว่าเป็นซอมบี้ที่ตัวค่อนข้างใหญ่พอสมควรแต่ไม่คุ้นหน้า
ทว่าสิ่งที่จินกิไม่คาดคิดคือพวกมันเลือกทิ้งเหยื่อที่จับไม่ได้และไปรุมคนสองคนที่รั้งท้ายเอาไว้แทน
จากที่ทางปลอดโปร่งกลายเป็นถูกปิดกั้นไว้ด้วยฝูงซอมบี้
ดวงตาเรียวเบิกกว้างและพยายามเหนี่ยวไกปืนให้โดนพวกมัน
“มินโฮ! คุณจองซู!”
ชายหนุ่มตัวสูงเริ่มกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
จู่ๆพวกมันก็วิ่งกลับมารุมเขากับพี่จองซูไว้ไม่ให้ออกไปได้
แต่ที่ร้ายกว่าคือทุกตัวพยายามที่จะดึงและกัดเขาให้ได้
อาวุธในมือถูกเหวี่ยงไปมาแม้ว่าแขนจะเริ่มล้าจนยกแทบไม่ขึ้นแล้วก็ตาม
“ไอ้บ้าเอ๊ย!”จองซูกัดฟันแน่นเพราะตัวเองก็ใกล้หมดแรงเข้าไปทุกที
แม้จะได้ยินเสียงปืนของคนข้างนอกที่พยายามช่วยแต่มันก็ทำอะไรแทบไม่ได้ จินกิคนเดียวไม่มีทางทำได้แน่นอกจากทหารกลุ่มนั้นจะละมือจากการพาคนอื่นออกไป
และฆ่าพวกที่เหลือตรงนั้นให้หมด
อีจินกิผ่านงานเสี่ยงตายมาก็มาก
แต่นี่เป็นงานที่ทำให้เขาเกิดความตื่นตระหนกคุมสติไม่อยู่ ปืนในมือถูกโยนทิ้งเมื่อมันไร้ประโยชน์และเขาพยายามจะฝืนเข้าไปช่วยให้ได้
ยิ่งปล่อยไว้นานพวกมันจะยิ่งตีกรอบกั้นจนยากจะฝ่าเข้าไป
แค่คิดว่าจะไม่ได้เห็นเด็กตัวสูงที่ชอบมาอยู่ใกล้ๆ..ลมหายใจก็ติดขัดและในอกก็ปวดหนึบไปหมด
“มาทางนี้!”เสียงตะโกนของจินกิทำให้บางตัวหันไปตามเสียงและเลือกไปหาต้นเสียงแทน
มินโฮมองไปยังทิศที่มีจินกิยืนอยู่ก็พบว่ามันมีช่องว่างเล็กน้อย พวกเขาไม่ทันสังเกตเลยว่าพวกมันเริ่มเคลื่อนตัวไปทางอื่น
เพราะเสียงกระสุนที่ดังตีกันมั่วจนไม่ทันคิดว่ามันมาจากเส้นทางที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา
ชายหนุ่มตัวสูงหลุดออกมาได้ก่อนแต่ยังไม่ขยับไปไหนเพื่อรอจองซูให้ไปพร้อมกัน
เขาพยายามช่วยและเอื้อมแขนไปหาคนที่ยื่นมือออกมา
แต่แล้วจู่ๆดวงตาของอีกฝ่ายเบิกกว้างด้วยความตกใจและเหมือนจะล้มลงกับพื้น
ทำให้มินโฮเห็นชัดว่าหนึ่งในพวกมันคว้าขาไว้ได้
“พี่จองซู!”ชายหนุ่มออกแรงทั้งหมดกระชากแขนอีกฝ่ายให้หลุดออกมาจนได้
เพราะแรงดึงทำให้มินโฮเป็นฝ่ายล้มเสียเองและนั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ซอมบี้เคลื่อนประชิดตัวได้ง่าย
ซอมบี้หลายตัวคว้าขามินโฮไว้และพยายามจะลากกลับไปในกลุ่ม
จองซูที่แค่เซไปข้างหน้าพยายามจะช่วยมินโฮกลับมา
ทุกอย่างเกิดขึ้นผ่านสายตาของจินกิทั้งหมด
แม้แขนจะล้ายกแทบไม่ขึ้นแต่เขาก็ต้องพาตัวเองไปหามินโฮให้ได้
หยาดเลือดกระเซ็นเปรอะเปื้อนจนต้องยกแขนเช็ดมันออกไป
ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งขาดสติด้วยความกลัว และจองซูอาจจะโดนดึงกลับไปอีกคน
“ปล่อยสิวะ! มินโฮ พี่จะช่วยเอง”
มินโฮรู้สึกถึงความกลัวที่กลับขึ้นมาอีกครั้งเหมือนครั้งแรกที่เจอจินกิ
ช่วงขาพยายามถีบออกแต่พวกมันกลับยิ่งคว้าไว้แน่นจนเจ็บ จองซูจัดการพวกมันไปเท่าไหร่ก็มีตัวใหม่มาแทนที่
“พี่ไปเถอะ!”
“ไม่ได้นะเว้ย! เรามาด้วยกันขนาดนี้แล้ว”ความกลัวเกาะกุมจนคนที่อารมณ์ดีตลอดน้ำตารื้น
กลัวว่าเด็กนิสัยดีคนนี้จะต้องมาตายแทนตนเอง
เสียงของหัวหน้าหน่วยกลับสั่งให้เขาถอยไป เขารู้ดีว่าอีจินกิกลัวว่าเขาจะถูกดึงไปอีกคน
แต่เขาไม่สามารถปล่อยมือจากมินโฮได้จริงๆ
จินกิที่จัดการตัวเกะกะออกได้รีบวิ่งมาหาแต่ภาพที่เขาไม่อยากเห็นที่สุดก็เกิดขึ้น
หนึ่งในพวกมันอ้าปากกัดลงช่วงขายาวจนได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
แม้จะมีเนื้อผ้าขวางกั้นแต่ก็ไม่ได้รับรองว่ามินโฮจะปลอดภัย
“มินโฮ!!”เสียงที่ดังออกมาเต็มไปด้วยความตกใจและสิ้นหวัง
จินกิยิ่งรุดเข้าไปและช่วยจองซูดึงมินโฮให้หลุดออกมา
คนโดนกัดรู้สึกตัวดีทุกอย่างและพยายามสะบัดให้ตัวนั้นอ้าปากออก
แต่ฟันของมันยังคงกัดลงมาแน่นจนความสิ้นหวังเริ่มเกาะกุมหัวใจ
ต่อให้อยากเหวี่ยงไม้ฟาดลงให้ปล่อยขนาดไหนแต่เพราะพวกมันยังหลุดรอดตั้งใจคว้าตัวพวกเขาด้วยจึงทำไม่ได้
แค่ละมือออกนิดเดียวมินโฮก็ถูกกึงกลับไปจนต้องรีบคว้าไว้
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้อาจจะเป็นทั้งสามคนที่ถูกกัด
มินโฮอยากจะบอกให้ทั้งสองคนปล่อยเขาไปซะแต่ความจริงเขายังอยากมีชีวิตรอด
อยากกลับไปหาที่บ้าน อยากเห็นอีจินกิ อยากทำอะไรอีกหลายอย่าง
คนที่บอกจะทิ้งเขาไปตลอดกำลังพยายามสุดความสามารถ
แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้โชคจะไม่เข้าข้างเขาอีกแล้ว
เพราะสถานการณ์ตรงหน้าจึงไม่ทันได้ยินเสียงรอบตัว
จู่ๆซอมบี้ที่พยายามรุมเข้ามาก็ล้มลงจนสังเกตได้ถึงเสียงปืน ใบหน้าหวานซีดเผือดมองไปเบื้องหน้าเมื่อจัดการซอมบี้ที่เข้าใกล้และคว้าแขนมินโฮไว้ได้อีกครั้ง
คนที่ดึงความสนใจด้วยเสียงที่ดังกว่าไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากน้องชายที่เขารอมาตลอด
“แทมิน!”เจ้าชองชื่อไม่ตอบรับเพราะยังวุ่นวายกับการซากศพเหล่านี้
เปิดทางให้ผู้รอดชีวิตสี่คนวิ่งออกมาได้
ดวงตากลมโตมองมายังพี่ชายและเห็นว่ากำลังช่วยคนๆหนึ่งอยู่
เขาจึงรีบก้าวเท้ามาหาและยิงใส่ช่วงหัวตัวที่กัดขาให้หลุดออก
ไม่มีเวลาถามอะไรแม้แทมินจะสงสัยกับสีหน้าและแววตาที่มองไปยังคนที่นอนให้ซอมบี้รุม
ได้แต่ปล่อยให้พี่ชายและอีกคนหนึ่งช่วยพาออกไป ส่วนตัวเองก็ป้องกันจากด้านหลังเนื่องจากพอเขาผ่านมาได้พวกมันก็หันมาทิศทางนี้อีก
จนกระทั่งมาถึงจุดที่ทหารรออยู่และตนเองกำลังเดินไปจ่อปืนตรงหัวชายหนุ่มตัวสูง
เพราะเห็นว่ากัดผ่านกางเกงจึงยอมให้ลากมาด้วย
ไม่อย่างนั้นเขาคงยิงทิ้งไปแล้ว...ที่สำคัญคือท่าทางของจินกิที่ทำให้ยั้งมือไม่กล้าทำอะไร
ร่างเพรียวที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ว่าอะไรที่แทมินทำแบบนั้น
แม้จะไม่เห็นเลือดแต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสียทีเดียว มือขาวเอื้อมไปจับปลายขากางเกงมินโฮและถกขึ้นทันที
ดวงตาเรียวมองไปก็พบกับรอยฟันที่กัดและรอยช้ำ มินโฮเองที่พูดอะไรไม่ออกมาตั้งแต่แรกได้แต่มองขาตนเองอย่างไม่เชื่อสายตา
ไม่มีแผล
ไม่มีเลือด ไม่มีทางที่จะกลายเป็นซอมบี้แบบนั้น
“ไอ้เด็กนี่ โอ๊ย
ขอบคุณนะเว้ย ขอบคุณ”จองซูคว้ามินโฮมากอดไว้แน่นก่อนจะร้องไห้ออกมา
ร่างสูงเองที่หัวเราะออกมากับการมีชีวิตของตนหลังเสี่ยงตายอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นกลับร้องไห้ออกมาด้วยความโล่งใจ
สองแขนกอดจองซูไว้แน่นเพื่อซึมซับว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
“เก่งมาก”เสียงนุ่มหูดังขึ้นก่อนที่สัมผัสอบอุ่นจะแตะลงช่วงหัว
สีหน้าและแววตาที่โล่งอกและยินดีทำให้เขายิ้มออกมา
ในช่วงวินาทีความเป็นความตายที่ดูเนิ่นนาน เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่จินกิส่งมาให้
คนที่ปากแข็งและบอกจะทิ้งเขาไปกลับเอาตัวเองมาเสี่ยง
“ขอบคุณนะครับที่ไม่ทิ้งผม”คนฟังเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มบาง
ร่างเพรียวลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดขึ้น “นายมันดื้อด้านไงล่ะ”
แม้อยากจะพูดอะไรต่อแต่มินโฮกับจองซูถูกพาตัวออกไปเพื่อตรวจร่างกายและพักผ่อน
ส่วนจินกิกับแทมินก็เดินตามไปเพื่อให้ทหารได้ถอยกลับจากจุดรับผู้รอดชีวิตเข้าเขตปลอดเชื้อเสียที
มือนุ่มที่ชื้นเหงื่อเอื้อมไปจับมือของน้องชายเอาไว้แน่น
อยากจะดึงมากอดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะกำลังเดินอยู่ แทมินเองก็เช่นกันจึงบีบมือจินกิกลับไป
บางครั้งคำพูดมันก็ไม่จำเป็นอะไร
แค่การกระทำมันก็แสดงออกชัดเจนถึงความรู้สึกต่างๆ
หลังจากเมื่อวานชเวมินโฮถูกพาออกไปโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลเพื่อตรวจร่างกายและนอนพักผ่อน
ร่างกายของเขาอ่อนเพลียมากและขาดสารอาหารเหมือนกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ
เมื่อตรวจเสร็จก็พาไปยังจุดที่มีอาหารแจกให้กับกองทัพ
เพราะบริเวณนี้ได้อพยพประชาชนออกไปเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
มินโฮไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารสชาติมันอร่อยจริงรึเปล่า
พอเห็นอาหารท้องก็ประท้วงดังลั่นหลังจากกินแต่ของแห้งและเก่ามาหลายวัน
ทางรัฐบาลติดต่อญาติให้เรียบร้อยแต่ไม่มีสิทธิ์เข้ามาหา
พรุ่งนี้เขาถึงจะออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับไปหาครอบครัวได้
อีกอย่างคือเหมือนดูให้แน่ใจว่าคนที่คลุกคลีอยู่กับซอมบี้มานานจะไม่ติดเชื้อ
เขาอยากเจออีจินกิแต่เหมือนว่าอีกฝ่ายต้องไปรายงานตัวและสรุปภารกิจ
นึกเป็นห่วงว่าจะได้พักผ่อนเต็มที่บ้างรึยัง ในตอนแรกที่เคยกลัวว่าจินกิจะหนีหายไปจากเขา
แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าคนใจดีคนนั้นไม่มีทางหายไปโดยไม่บอกก่อนแน่ๆ
เมื่อคืนพวกเขาที่เป็นผู้รอดชีวิตที่จินกิพาออกมาต่างนั่งพูดคุยกัน
เหมือนว่าได้รู้จักกันและกันมากขึ้นโดยไม่มีความกังวลอะไรเข้ามาอีก ทุกคนแลกข้อมูลไว้ติดต่อกันเผื่ออนาคตจะได้เจอกันอีกครั้ง
ถึงจะอยากคุยต่อแต่ด้วยความรู้สึกปลอดภัยของสถานที่ ทำให้ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปนอนตั้งแต่หัวค่ำ
กว่าชเวมินโฮจะตื่นก็สิบเอ็ดโมงเข้าไปแล้ว
ในขณะที่คิดจะไปหาอะไรกินเสียงเคาะประตูห้องกลับดังขึ้นก่อน ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีจินกิที่สีหน้าลดความเหนื่อยล้าลงไปแล้ว
เจ้าตัวในเสื้อผ้าสบายๆแหงนมองหน้าเขาก่อนจะพูดขึ้น “ขอเข้าไปหน่อยสิ”
“ครับ ได้สิครับ”จินกินึกหมั่นไส้เจ้าเด็กโย่งที่ยิ้มจนแก้มจะแตก
มินโฮมองตามคนที่ขึ้นไปนั่งไขว่ห้างบนเตียงเรียบร้อย
อยากมีสิ่งที่อยากจะพูดอีกมากมายแต่ตอนนี้กลับพูดอะไรไม่ออก
ทั้งดีใจที่อีกฝ่ายมาหาและอยากจะขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันตามที่ชอบขู่
อยากจะดึงเข้ามากอดแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำ
“พรุ่งนี้เช้าพี่ต้องไปทำภารกิจต่อ
ฆ่าล้างบางซอมบี้น่ะ”
“พี่ไม่เหนื่อยหรอครับ”
“เหนื่อยสิ
แต่พี่ต้องทำงานแบบนี้อยู่แล้ว เรื่องเล็กน้อย”มินโฮมองคนที่ยิ้มบางๆบนใบหน้า
เขาอยากจะให้อีกฝ่ายพักอีกสักหน่อยแต่คงเป็นไปไม่ได้
นึกห่วงว่าจะไม่ไหวแต่รู้ดีว่าอีจินกิทำงานด้านนี้ย่อมแข็งแรงอยู่แล้ว
“ผมเป็นห่วงพี่
ไปกันหลายคนใช่มั้ยครับ”
“อื้ม
ไปกันเยอะเลยและอาวุธหนักทั้งนั้น
ไม่ต้องห่วงเรื่องผู้รอดชีวิตแล้วก็..ขอโทษที่พูดตรงๆนะ
ไม่มีอะไรน่าห่วงมาขวางมือขวางเท้าแล้วน่ะ จะลุยยังไงก็ได้ เห็นพวกมันก็ยิงๆไป”มินโฮเหมือนจะเห็นดวงตาเล็กแข็งกร้าวขึ้นมาขณะหนึ่งแล้วเลือนหายไป
ดูเหมือนเจ้าตัวจะโกรธพวกนั้นน่าดูคงเพราะทำให้เสียความรู้สึกไปมากพอสมควร
“ผมไปส่งพี่ได้มั้ย”ร่างเพรียวหัวเราะกับคำขอแต่เลือกจะส่ายหน้าปฏิเสธ
จู่ๆมีใครไม่รู้ไปส่งคงโดนแซวแน่ๆ แค่เมื่อคืนก็โดนน้องไล่ซักไล่ถามจนต้องเดินหนี
“พี่ไปแต่เช้ามืด
มินโฮนอนพักนั่นแหละดีแล้ว แต่ที่มานี่คือมีเรื่องจะบอก”มินโฮไม่พูดอะไรเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาถึงนี่เพื่อปฏิเสธเขา..แม้จะเห็นว่าจินกิเป็นห่วงและเปิดใจให้ก็ตาม
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้
พอแหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วกันยุ่ง
จินกิหัวเราะเล็กน้อยด้วยความเอ็นดูแล้วพูดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดไปมากกว่านี้ “ถึงจะฆ่าพวกนั้นหมดแล้วแต่พี่ต้องทำรายงาน
พวกเอกสารยิบย่อย และอาจจะต้องไปแก้ปัญหาตรงอื่นอีก ใช้เวลาอีกประมาณเดือนนึง รอได้มั้ย”
“หะ ครับ?
รอได้สิครับ! ยังไงผมก็รอได้”ตั้งท่าจะคว้าอีจินกิมากอดแต่กลับถูกขาเรียวยกขึ้นเป็นเชิงกั้นไม่ให้เข้าใกล้
แต่มินโฮก็ชินกับท่าทางนิสัยแบบนี้จึงหัวเราะออกมา มองเห็นใบหน้าหวานแก้มซับสีแดงเรื่อก็ยิ่งอยากจะเข้าไปกอด
“พี่อ่ะ”
“ลามปาม
แค่เปิดโอกาสให้หรอกนะ
สถานการณ์ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วเลยว่าจะมองมินโฮใหม่อีกสักครั้ง มั่นใจนะว่าจะรอ”
“มั่นใจสุดๆเลยครับ”
“พี่อาจจะติดต่อไม่ได้เป็นเดือน
หรือไปทำงานกะทันหันก็โอเคหรอ?”ไม่ได้ตั้งใจจะยิ้มแต่อีจินกิก็ห้ามตัวเองไม่ได้แล้ว
ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาเมื่อพบว่าตัวเองก็รู้สึกดีกับสิ่งที่มินโฮบอก ปกติเขาสนใจแต่งานซึ่งพอลองให้ตัวเองสนใจเรื่องพวกนี้บ้าง
มันก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
“ขอแค่เป็นพี่
แบบไหนผมก็โอเค”
“ตามใจ
ถ้าพี่กลับมาแล้วไม่เจอมินโฮรออยู่ล่ะก็โดนดีแน่”พูดขู่ออกไปแต่มินโฮก็ยังยืนยันว่าจะรออยู่
สุดท้ายอีจินกิก็แพ้สายตาอ้อนวอนแบบลูกหมาตัวโตๆ
ยอมให้คนเด็กกว่าเข้ามากอดตัวเองเอาไว้จนได้ เป็นการกอดที่ทำให้รู้สึกดีจนนึกอยากจะกอดให้นานๆ
แต่ถ้าทำแบบนั้นก็เสียฟอร์มเลยขอในใจให้มินโฮกอดตัวเองให้นานกว่านี้อีกสักนิด
แขนแข็งแรงโอบกระชับคนตัวเล็กกว่าให้แน่นขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
ต่อให้จินกิหายไปนานกว่านี้เขาก็จะรอ
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขารักทุกสิ่งที่อีจินกิเป็น
แม้จะออกจากสถานการณ์เสี่ยงตายมาแล้วก็ใช่ว่าจะเลิกรักเสียหน่อย
ความรักของชเวมินโฮน่ะ
ถึงมันจะกะทันหันและเกิดขึ้นไม่ถูกสถานที่สักเท่าไหร่ แต่มันไม่มีวันสิ้นสุดลงแน่นอน
ชเวมินโฮโคตรรักอีจินกิเลย
THE END
จบแล้วค่ะ!!! ฮืออออออออ //โหยหวน ฟิคไม่กี่ตอนแต่ใช้เวลาเกือบปีจบแล้วค่ะ ฮือออออออ
ถึงจะอู้นานไปบ้างเพราะอบไปเขียนเรื่องอื่นแต่มันก็จบแล้ว แง
ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาจนจบนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ
แนวนี้นี่ยังถือว่ายากสำหรับเราค่ะ
พวกอารมณ์กลัวอารมณ์โกรธที่ไม่ได้เกี่ยวกับความรักของคนสองคน สถานการณ์แปลกๆใหม่ๆที่ต้องใช้อารมณ์ากขึ้น เคยคิดว่าตัวเองเขียนฟิคพอได้แล้ว แต่พอมาลองแนวใหม่ก็คิดว่า
อ่า..ต้องพัฒนาอีกเยอะเลยนะ เขียนติดๆขัดๆไปหมดเลย ฮึ่ย
สามารถติชมได้เต็มที่เลยนะคะ
เพื่อที่เราจะได้เอาไปพัฒนาให้คนอ่านได้อ่านงานที่ดีกว่าเดิม
อยากจะเขียนให้โทนเรื่องหลากหลายขึ้นและตัวละครมีบุคลิกนิสัยหลากหลายมากขึ้น
การแสดงอารมณ์ซับซ้อนมากขึ้นนอกเหนือจากความรู้สึกพื้นฐาน
ปรับให้ฟิคลดความเอื่อยลงมาบ้าง หลายอยากจังเลยค่ะ ฟฟฟฟฟ
ยังไงก็ขอบคุณมากจริงๆนะคะ รักคนอ่านทุกคนเลย
ความคิดเห็น