คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #57 : Love Never Ends [1]
Love Never Ends -1-
BY: Crazy_Dragon
[ท่านรอง ณ กากกามใจบาปเกิร์ล
อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัดมหาชน]
ว่ากันว่าความรักมักมาแบบกะทันหันไม่ทันตั้งตัว
แต่มาในสถานการณ์แบบนี้..ชเวมินโฮจะโทษหัวใจตัวเอง
หรือคนคนนั้นที่ทำให้เขาตกหลุมรักดี?
วันที่ 7 ของเหตุการณ์ซอมบี้ระบาด
วันที่ 1 ของการร่วมทางกันระหว่างอีจินกิและชเวมินโฮ
หัวใจเต้นแรงทั้งจากความเหนื่อยและการเห็นใครคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขา
แม้จะเห็นใบหน้าเพียงไม่กี่วินาทีแต่กลับติดตาและทำให้ทุกอย่างรอบตัวเหมือนหยุดชะงักลง
คนตรงหน้าเขายังคงไม่หันหลังกลับมาแต่ยังคงยืนหยัดอยู่แบบนั้น
มือข้างหนึ่งล้วงหยิบกระบอกปืนออกมาจากที่เก็บและยกขึ้นเล็งไปด้วยท่วงท่าที่รู้ว่าน่าดึงดูด
ปืนเก็บเสียงนับว่าใช้งานได้ดีในสถานการณ์นี้เพราะมันจะไม่ดึงดูด ‘พวกนั้น’ มาเพิ่มในตอนนี้
ยังไม่ทันจะหายเหนื่อยดีและมีสติดึงตัวเองให้หลุดจากคนตรงหน้า
จู่ๆคนตรงหน้าก็หันกลับมาจนเห็นใบหน้าหวานน่ารักที่ฉายแววกังวลใจ
มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับมือของเขาไว้แล้วพาวิ่งเข้าไปยังอีกร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
ตอนนี้ชเวมินโฮก็เหมือนคนที่ขยับไปตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดเท่านั้นแหละ
เพราะสติตอนนี้มันไปอยู่กับคนแปลกหน้าที่มาช่วยชีวิตเขาเรียบร้อยแล้ว
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาบอกตรงๆเลยว่ามีเสน่ห์โคตร!
แม้จะดูเคร่งขรึมไปหน่อยแต่ความน่ารักก็ยังแผ่กระจายออกมาให้เห็นชัดเจน หน้าหวาน
ตาเรียว และทุกๆอย่างบนร่างกายทำให้ล้วนน่าสนใจ
แม้จะมีอาวุธหนักอยู่ตามตัวแต่ก็ไม่ได้ลดความน่ารักลงไปเลย
เจ้าตัวในชุดสีเข้มพอดีตัวเพื่อง่ายต่อการเคลื่อนไหว อีกฝ่ายลงกลอนประตูแน่นหนาแล้วเดินตรงเข้ามาหาเขาที่นั่งกองอยู่กับพื้น
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า
ไม่ได้โดนกัดหรือข่วนใช่มั้ย”
เสียงนุ่มหูชวนเคลิ้มสุดๆจนไม่ชวนดึงสติมินโฮกลับมาเลย
เจ้าตัวยังคงพิจารณาคนที่มาช่วยชีวิตเอาไว้โดยที่ไม่ละสายตา จนกระทั่งคนถูกจ้องเองก็เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาพร้อมกับความคิดหนึ่งที่เกิดขึ้น
มือเลื่อนลงไปจับมีดพกแล้วจ้องมายังชายหนุ่มตัวสูงที่ดูไม่มีสติกับตัว
“คุณ
ได้ยินผมรึเปล่า”
“ครับ..”
“คุณโดนกัดหรือข่วนรึเปล่า
บอกมาตามตรง”พูดพลางมองคนที่นั่งอยู่ด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่เห็นว่ามีบาดแผลที่เป็นรอยข่วนหรือกัดเลย
เมื่อมองไปยังบริเวณใบหน้าก็พบว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าที่บอกตามตรงว่าสมบูรณ์แบบ
และดวงตาคมโตมองมาที่เขาด้วยความสนใจอย่างปิดไม่มิด
“คุณคงตกใจสินะ
เกือบโดนกัดแล้วนี่นา”ประโยคท้ายคล้ายจะบ่นกับตัวเองและอีจินกิเลือกที่จะเก็บมีดลงไปดังเดิม
มือนุ่มเอื้อมไปแตะช่วงไหล่กว้างทำให้มินโฮสะดุ้งตัวขึ้นมาและพบว่าผู้ที่ช่วยชีวิตกำลังส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้
“ไม่เป็นไรแล้วนะ
ผมเป็นคนจากทางรัฐบาลที่มาช่วยผู้รอดชีวิต คุณปลอดภัยแล้วครับ”
“ขอโทษครับ คือ
ตกใจนิดหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ
ว่าแต่คุณชื่ออะไรและมีญาติพี่น้องหรือคนรักอยู่มั้ย อยู่ที่โซนติดเชื้อรึเปล่า ผมต้องรายงานไปยังศูนย์ประกาศรายชื่อผู้รอดชีวิต
เขาจะได้ติดต่อไปหาครอบครัวคุณได้”
“มินโฮครับ
ชเวมินโฮ พ่อแม่กับพี่ชายผมไปเกาะเชจูและไม่มีญาติหรือแฟนที่นี่เลย”
“ค่อยยังชั่วหน่อย”มินโฮสงสัยกับคำพูดของคนตรงหน้าที่ดูโล่งอกและกำลังยกวิทยุสื่อสารขึ้นเพื่อติดต่อไปยังศูนย์ประกาศรายชื่อผู้รอดชีวิตตามที่บอก
ใช้เวลาไม่นานก็หันกลับมาส่งยิ้มให้และพูดขึ้น
“ผมชื่ออีจินกินะ
เป็นคนจากหน่วยงานพิเศษของรัฐบาลมีหน้าที่มาช่วยผู้รอดชีวิตแบบคุณให้ออกไปจากที่นี่
ส่วนเรื่องราวภายนอกคุณไม่ต้องกังวลนะครับ ตอนนี้จำกัดพื้นที่ติดเชื้อไว้ที่สี่จุดหลักตามที่ออกข่าวไปเลย
ตรงเชจูปลอดภัยดีไม่ต้องห่วงนะ”
พอได้ยินประโยคแบบนี้พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนก็ทำให้มินโฮเผลอถอนหายใจออกมาเสียงดังด้วยความโล่งอก
ทั้งดีใจที่ครอบครัวปลอดภัย และเขากำลังจะรอดออกไปจากที่นี่ได้ด้วย
แต่ว่าคนของรัฐบาลนี่มันสุดยอดจริงๆ
ทั้งเก่งทั้งสวยจนเผลอตกหลุมรักไปซะแล้ว..
“หิวมั้ยครับ
หรือมีแผลอะไรตรงไหนมั้ย และคุณควรไปล้างคราบเลือดออกด้วยนะ”
“มีแค่แผลถลอกนิดหน่อยน่ะครับ
และผมก็เพิ่งกินอะไรไปบ้างแล้ว”จินกิมองไปยังคนตัวสูงกว่าด้วยชื่นชมอยู่นิดหน่อย
คนธรรมดาที่รอดมาได้ถึงวันที่เจ็ดหลังการแพร่กระจายของเชื้อนี่ถือว่าเก่งมากแล้ว
และยังมีแค่ถลอกตรงแขนตามที่ปากว่าอีกด้วย
“งั้นผมขอดูแผลหน่อยนะ
แล้วทำไมคุณถึงไปนอนให้ซอมบี้พยายามกัดได้ล่ะนั่น ทั้งที่ดูเอาตัวรอดเก่งแท้ๆ”
“คือ
ผมประมาทไปนิดหน่อย..”มินโฮหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ตัวเองเกือบถูกกัดหัวไปแล้วจริงๆ
แค่คิดก็ขนลุกขึ้นมาแล้วและนึกดีใจที่คนชื่อจินกิมาช่วยชีวิตเขาได้ทันพอดี
เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อเจ็ดวันก่อน...
กรุงโซลที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนและแสงสีเสียงกลับกลายเป็นสถานที่ที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดและเหม็นเน่าคละคลุ้งจะอยากจะคายของเก่าออกมา
ผู้คนแปรเปลี่ยนไปจากที่เดินด้วยความเร่งรีบกลับกลายเป็นเชื่องช้าพร้อมกับเสียงในลำคอที่จับใจความไม่ได้
มนุษย์ถูกกัดกินและกลายเป็นซอมบี้ที่เดินไปอย่างไร้จุดหมาย
แต่จะวิ่งเร็วขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหรือเห็นการเคลื่อนไหวที่บ่งบอกว่านั่นคืออาหารของพวกมัน
ชายหนุ่มร่างสูงหายใจหอบถี่หลังวิ่งเข้ามาหลบในร้านกาแฟแห่งหนึ่งได้สำเร็จ
ดวงตาคมโตมองไปรอบๆเผื่อว่าที่นี่มันจะมีซากศพเดินได้หลงเหลืออยู่
ท่อนเหล็กในมือกระชับแน่นแม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกไร้แรงในการถือมันเอาไว้แล้วก็ตาม
ขายาวก้าวอย่างเงียบกริบสำรวจทุกมุมในร้านอย่างระมัดระวัง เมื่อสำรวจครบทุกส่วนและพบว่าปลอดภัยดีจึงถอนหายใจออกมาแล้วโยนท่อนเหล็กในมือทิ้งไป
เรื่องราวในตอนนี้มันเหมือนในหนังซอมบี้ที่เขาเคยดูเกินไปแล้ว
เพียงแต่ว่าในหนังพระเอกจะเป็นคนดีรวบรวมผู้รอดชีวิตและสู้ไปด้วยกัน
พยายามตามหาคนรักและครอบครัวให้เจอ แต่ขอโทษเถอะ
ชีวิตชเวมินโฮก็แค่นักศึกษาธรรมดาที่พอมีทักษะกีฬาดีกว่าคนทั่วไปเลยวิ่งหนีได้เร็วก็เท่านั้น
อย่างเขามันก็เหมือนตัวประกอบฉากที่ไม่รู้จะเอาตัวรอดไปได้ถึงไหน แต่ผ่านมาเจ็ดวันแล้วยังรอดมาได้ก็นับว่าเป็นเรื่องราวที่ดีอีกหนึ่งเรื่องในตอนนี้
ร่างสูงเดินตรงไปยังเคาท์เตอร์เพื่อดูว่าร้านกาแฟจะเหลืออะไรที่ยังไม่เน่าเสียบ้าง
และเรื่องที่ดีอย่างที่สองคือเขาได้ของกินตกถึงท้องก่อนจะหิวตาย
พวกขนมปังแผ่นยังไม่มีราแม้จะแห้งไปหน่อยแต่ก็ยังดี ถ้าหมดแรงวิ่งขึ้นมาคงโดนรุมกินแล้วกลายเป็นตัวชวนแหยะพวกนั้นแน่ๆ
มินโฮคว้าของกินมาก่อนจะนั่งหลบอยู่หลังเคาท์เตอร์เพื่อให้สถานที่ช่วยกำบังตัวเองจากพวกตะกละนั่น
ตอนนี้ไฟฟ้าถูกตัดไปแล้วเหลือเพียงน้ำประปาเท่านั้น โดยที่หลังเกิดการติดเชื้อแพร่กระจายทางโทรทัศน์ก็ออกข่าวว่าเหตุการณ์ตอนนี้คือซอมบี้แพร่กระจายในกรุงโซล
อินชอน ซูวอน และวอนจูเท่านั้น ไม่ได้ทั่วโลกทั่วประเทศแบบชวนหดหู่ยิ่งกว่าเดิม รวมถึงมีคำแนะนำสำหรับผู้รอดชีวิตในสถานที่ติดเชื้อ
หลักๆคืออย่าออกนอกบ้าน
รอการติดต่อจากทางรัฐบาล
น้ำประปาและไฟฟ้ายังมีให้ใช้เพื่อไม่ให้ผู้รอดชีวิตต้องลำบาก
และทางรัฐบาลจะส่งคนไปรับมายังสถานที่ปลอดเชื้อ แต่หลังจากนั้นแค่สองวันไฟฟ้าก็ถูกระงับเมื่อแสงสว่างมันเป็นตัวดึงดูดพวกซอมบี้อย่างดี
มันน่าหงุดหงิดที่เขาไม่รู้เรื่องราวภายนอกเลยถึงแม้จะรู้ว่าครอบครัวไปที่เชจูและไม่อยู่ในสถานที่ติดเชื้อ
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไอ้เชื้อบ้าๆนี่แพร่กระจายไปถึงไหนแล้วบ้าง
แต่ถ้ายังมีไฟฟ้าและอดใจไม่ได้ที่จะเปิดไฟเปิดโทรทัศน์
เขาก็อาจจะกลายเป็นซอมบี้ชวนแหยะเดินไปเดินมาในถนนก็ได้
ร่างสูงพ่นลมหายใจออกนอกจมูกพลางนึกด่ารัฐบาลในใจว่าพูดมาเหมือนกับมันเป็นเรื่องง่าย
อยู่ในบ้านวันสองวันแรกมันก็พอได้แต่อาหารการกินมันไม่พอ ถ้าไม่หิวตายก็ต้องถูกกัดตายและมนุษย์มักมีความรักตัวกลัวตายอยู่แล้ว
จึงเสนอหน้าไปตามถนนและถูกซอมบี้รุมทึ้งอย่างกับเป็นบุฟเฟต์มื้อใหญ่
ที่สำคัญคือไอ้คนของรัฐบาลที่จะมาช่วยเหลือก็ไม่รู้จะเข้ามาถึงโซลรึเปล่าหรือถูกกินไปแล้ว
และการติดเชื้อนี่มันจำกัดพื้นที่ได้หรือยังแพร่กระจายไปอีก
วันเกิดเหตุเขากำลังนอนอยู่ในคอนโดและพบว่ามีรายงานข่าวด่วนเรื่องนี้
แม้ไม่อยากจะเชื่อแต่พอเห็นคลิปที่อัพโหลดรวมถึงเข้าไปในสื่อออนไลน์ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องนี้
มินโฮคิดว่าทุกอย่างมันจะคลี่คลายโดยเร็วแต่กลายเป็นว่าสถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ
มือที่ไม่เคยจับอาวุธเพื่อทำร้ายใครก็ต้องหยิบอาวุธเพื่อเอาตัวรอดไปให้ได้
ที่น่ากลัวที่สุดคือพวกซากศพมันมีวิวัฒนาการ..ไม่ได้รอเวลาเน่าเปื่อยไปตามที่รัฐบาลคาดการณ์เอาไว้เลย
นี่ถ้าวันไหนมันหมุนลูกบิดประตูเปิดเข้าไปในบ้านคนได้เขาก็ไม่แปลกใจนักหรอก
ก่อนที่สัญญาณจะตัดขาดไปรัฐบาลได้ประกาศจุดรับผู้รอดชีวิตและวิธีกำจัดมันให้แล้ว
คือให้ทำลายสมองของซากพวกนี้ซะ และซอมบี้พวกนี้จะสนใจแสงไฟกับเสียงเป็นพิเศษแต่ใช่ว่ามันจะปล่อยให้คนเดินไปเดินมาได้ง่ายๆ
พวกมันก็เหมือนกับสัตว์ที่หิวโหยอะไรที่เคลื่อนไหวได้ก็คือกินได้
นี่คือทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากมีชีวิตรอดด้วยตัวเองและไม่อยากจะรอความช่วยเหลือที่จะมาตอนไหน
มินโฮค่อยๆโผล่หน้าพ้นจากเคาท์เตอร์มองไปข้างนอกก็พบว่ายังมีซอมบี้เดินไปเดินมาอยู่บ้าง
คนธรรมดาจะทำอะไรได้นอกจากไปเพิ่มจำนวนให้กลุ่มมันใหญ่ขึ้น
อย่างเขาเองระหว่างทางที่หนีมาก็ฆ่าตายไปไม่กี่ตัวเท่านั้น
อาศัยความยาวขาและความเร็วในการวิ่งมาถึงตรงนี้ก็เท่านั้น
ในขณะที่คิดว่าจะเอายังไงต่อดีก็พบว่าจู่ซอมบี้มีท่าทางแปลกไป
หันไปทางทิศเดียวกันและเริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้นไปยังทิศทางหนึ่ง
ดวงตาเบิกกว้างแล้วรีบลุกไปเอาหน้าแนบกระจกมองไปข้างนอก
เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังวิ่งหนีด้วยสีหน้าตื่นกลัวถึงขีดสุด
ถึงจะสถานการณ์เลวร้ายแต่ชเวมินโฮก็จะยังเป็นสุภาพบุรุษนั่นแหละ
“คุณ!”มือใหญ่ปลดล็อคบานประตูแล้วตะโกนเรียกผู้หญิงคนนั้น
เมื่อเธอเห็นเขาเธอก็พยายามพาตัวเองวิ่งมาให้ถึงร้านกาแฟนี้ให้ได้ แน่นอนว่าพวกซอมบี้ก็วิ่งตามกันมานับสิบตัว
ยิ่งใกล้มากขึ้นเท่าไหร่มินโฮยิ่งเห็นความผิดปกติมากขึ้นเท่านั้น
ผู้หญิงคนนั้นมีแผลเหวอะหวะตรงหัวไหล่..
ชิบหาย
นี่เขากำลังจะตายฟรีเพราะเรียกคนที่กำลังจะกลายเป็นซอมบี้มาเนี่ยนะ!
พอเห็นแบบนั้นมินโฮรีบเลื่อนประตูปิดทันที
แต่มือกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่สิ้นหวังนั่น ความรู้สึกตีกันทันทีเพราะยังไงซะผู้หญิงคนนั้นยังเป็นมนุษย์อยู่
“คุณโดนกัดรึเปล่า!
“ไม่!! นี่ไม่ใช่แผลโดนกัด!”
เอาวะ
ลองเชื่อดูสักหน่อยละกัน..
ร่างสูงขยับตัวออกไปยืนด้านนอกร้านและเตรียมที่จะคว้ามือผู้หญิงคนนั้นให้เข้ามาในร้านกาแฟนี้ด้วยกัน
เอาเข้าจริงแม้จะสงสัยในแผลนั่นแต่ตอนนี้การช่วยคนเป็นไว้ได้คงสำคัญกว่า และเหมือนว่าเสียงของเขากับผู้รอดชีวิตอีกหนึ่งจะดึงดูดพวกซอมบี้มากขึ้น
มินโฮมองไปรอบๆและพบว่าหญิงสาวอยู่ไม่ไกลมากแล้ว โดยฝั่งด้านหลังเขาซอมบี้กำลังออกวิ่งมาหาเขาเช่นกัน
เท่ากับว่าฝั่งซ้ายมือคือซอมบี้ที่ตามผู้หญิงคนนั้นมา
ส่วนขวามือคือซอมบี้ที่ตามเสียงของมินโฮ
ถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นมาไม่ทัน
เขาคงต้องใจร้ายเอาตัวรอดจากซอมบี้ที่ใกล้มามากขึ้นทุกทีแล้ว
ในขณะที่อีกไม่กี่ก้าวผู้หญิงคนนั้นจะมาถึงหน้าร้านเจ้าหล่อนก็ล้มลงไปกับพื้น
มินโฮหรี่ตาลงทันทีเพราะคิดว่าภาพต่อมามันต้องสยดสยองชวนอ้วกมากแน่ๆ
แต่แล้วซอมบี้พวกนั้นกลับหยุดนิ่งแล้วเปลี่ยนความสนใจไปทันที โดยฝั่งขวามือที่ยังพุ่งตรงมาเรื่อยๆ
และซอมบี้ฝั่งซ้ายเมื่อเห็นแบบนั้นก็กลับมาสนใจเขาทันทีและนั่นทำให้มินโฮกลายเป็นเหยื่อรายใหม่
ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อจู่ๆผู้หญิงคนนั้นก็มีอาการที่จะบอกว่าชักก็คงได้
ร่างกายบิดโค้งและกรีดร้องราวกับทรมานจนถึงที่สุดและแน่นิ่งไป
ชเวมินโฮเคยเห็นอาการแบบนี้..และคนที่ล้มลงไปโดยซอมบี้ไม่สนใจคือผู้ที่ติดเชื้อแล้ว
“เวรเอ๊ย!”
ไม่น่าทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเลย
และพอหันกลับไปอีกทีซอมบี้ชวนแหยะก็อยู่ใกล้มากเกินไป
ร่างสูงถอยหลังกลับแล้วกระชากประตูปิดทันที แต่ดูเหมือนว่าจะช้าเกินไปเพราะพวกนั้นมันคว้าประตูเปิดมาได้เช่นกัน
และกำลังพุ่งตรงมาที่เขาที่เริ่มออกวิ่งอีกครั้งไปทางหลังร้าน
พวกมันเรียนรู้ที่จะเปิดประตูและมินโฮคิดว่าชีวิตของเขาคงจะมาได้เท่านี้จริงๆ
ชายหนุ่มยกเก้าอี้มาเขวี้ยงใส่กระจกใสของร้านจนเป็นเสียงแตกลั่น
แม้มันจะดึงดูดให้ซอมบี้มาเยอะกว่าเดิมแต่ถ้าต้องมาถูกรุมกินในร้านกาแฟมันก็จะสิ้นหวังเกินไป
ถ้าออกวิ่งอย่างน้อยก็อาจจะรอดไปก็ได้แม้ว่าความรู้สึกลึกๆคือเขาจะไม่มีทางรอดไปจากที่นี่แน่
พอกระโดดออกมาก็มองซ้ายมองขวาหาทิศทางที่จะไปและออกวิ่งทันที
อาวุธที่เคยมีก็ถูกทิ้งเอาไว้แล้ว
พฤติกรรมใหม่ของซอมบี้ในวันนี้คือการส่งเสียงคำรามออกมาดังลั่นราวกับเรียกพวก
มินโฮสบถออกมาด้วยความหัวเสียเพราะแค่ตัวเดียวก็มากพอแล้ว
นี่มากันเป็นฝูงและยังเรียกพวกเพิ่มมาอีก
ยังไม่ทันจะไปไหนได้ก็สะดุดล้มเพราะเหมือนมีอะไรบางอย่างจับตรงข้อเท้าแต่มินโฮเองก็ไวพอที่จะไม่ให้หน้าไถลกับพื้นได้สำเร็จ
เมื่อมองไปก็พบซอมบี้ที่ตัวขาดครึ่งตัวจับขาเขาเอาไว้ไม่ปล่อย
ขายาวออกแรงถีบให้ตัวที่จับอยู่หลุดออกไปและเมื่อมองไปก็พบฝูงใหญ่กำลังพุ่งตรงมาที่เขา
จบกัน..ยังไม่ทันหาลูกสะใภ้ให้ที่บ้านเลย
มินโฮได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างหลังและคิดว่าตัวเองจะต้องตายแน่แล้ว
แต่มันกลับไม่เหมือนซอมบี้เวลาวิ่งเท่าไหร่
พวกนั้นถึงวิ่งได้แต่ก็ช้าบ้างเร็วบ้างตามสภาพร่างกายก่อนตาย
ในขณะที่กำลังหาทางให้ไอ้ตัวที่จับขาพยายามกัดเขาให้ได้ก็พบคนคนหนึ่งวิ่งมาและใช้ขาเตะหัวมันหลุดกระเด็นไปไกลจนกระแทกกับต้นไม้ที่อยู่ตรงฟุตบาท
แม้จะเห็นใบหน้าไม่ครบทุกส่วนแต่แค่เสี้ยววินาทีที่หันข้างมาก็มาเกินพอ
และแล้วชเวมินโฮก็ตกหลุมรักผู้มาช่วยชีวิตไว้โดยไม่ทันตั้งตัว..
“เอาล่ะเสร็จแล้ว
ร้านขายเสื้อผ้าคงไม่น่าจะมีห้องน้ำหรอกมั้ง”มินโฮก้มมองคนที่พันผ้าพันแผลให้อย่างเบามือแม้ว่าแผลมันจะถลอกเล็กน้อย
ระหว่างนั่งมองหน้าไปก็ฟังเสียงนุ่มหูพูดถึงเรื่องการติดเชื้อไปด้วย
โดยจับใจความได้ประมาณว่าการติดเชื้อจะเกิดขึ้นเมื่อถูกกัดหรือข่วนโดยตรง
ตัวเชื้อนั้นจะตายเมื่อออกจากร่างกายคนไปแล้วเพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นโอกาสที่จะติดเชื้อเพราะแผลจึงมีต่ำมากนอกจากจะซวยจริงๆหรือเลือดพวกมันกระเด็นเข้าปากเข้าตา
แค่คิดก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาแล้ว
“ผมว่าคุณเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยก็ดีนะครับ
ในร้านนี่มีเสื้อให้เลือกเยอะเลย”
“จริงๆไม่ต้องเรียกกันแบบห่างเหินก็ได้นะครับ
ผมว่าเราดูอายุพอๆกัน”จินกิส่งยิ้มให้แล้วลุกขึ้นยืน
เสียงนุ่มที่ดังออกมานั้นเจือไปด้วยความขบขัน
เขาดูออกว่าอีกฝ่ายอายุคงไม่มากนักจึงคิดว่าเขาอายุเท่ากัน
เพราะใครๆก็มักเข้าใจผิดกันทั้งนั้น “งั้นมินโฮเรียกว่าพี่จินกิละกันนะ
ปีนี้ก็อายุยี่สิบห้าแล้วล่ะ”
พระเจ้า
รัฐบาลเลี้ยงดีหรือยังไงทำไมคนน่ารักถึงได้หน้าเด็กขนาดนี้!
“ครับ พี่จินกิ”
“อื้ม
เดี๋ยวเราพักกันสักหน่อยแล้วเดินทางกันต่อเถอะ
จุดรับผู้รอดชีวิตในโซลน่ะไม่เหลือแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่จะพาไปตรงวอนจูแทนนะ
อยู่ติดกับโซนปลอดเชื้อที่สุดแล้ว”
“ไม่เหลือคือ?”
“อ่า
มีผู้ติดเชื้อปะปนเข้าไปน่ะ เราพาออกไปไม่ทันพวกเขาก็เลยกลายเป็นซอมบี้หมดแล้ว ดังนั้นเราจึงมีมาตรการใหม่ในการเข้ามาช่วยผู้รอดชีวิต”จากท่าทางสบายๆก็เปลี่ยนมาเป็นจริงจังจนน่าตกใจ
ดวงตาเรียวที่มองมานั้นทำให้มินโฮไม่สามารถละสายตาไปได้
“เราเข้ามาเพื่อช่วยผู้รอดชีวิตดังนั้นถ้าโดนกัดหรือข่วนก็จะปล่อยทิ้งทันที
ไม่งั้นจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกหรือแบบที่มินโฮเจอเพราะจะช่วยคนติดเชื้อนั่นแหละ เพราะคำสั่งที่พี่ได้รับมาคือ
ช่วยผู้รอดชีวิตให้ได้มากที่สุด ห้ามโดนกัดหรือข่วน และห้ามตาย
ถ้าในสถานการณ์ฉุกเฉินที่พวกเราตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต พี่ขอโทษไว้ก่อนเลยว่าพี่ต้องทิ้งนายไปโดยไม่มีการลังเล”
ปากบอกไม่ลังเลแต่ชายหนุ่มร่างสูงก็เห็นแววตาที่วูบไหวของอีกฝ่ายได้
มันบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงทำแบบนี้มาแล้วและไม่ได้รู้สึกดีที่รอดมาได้เลยด้วยซ้ำ
“ผมเข้าใจครับ
พี่จินกิเป็นหน่วยพิเศษก็เท่ากับเป็นกำลังหลักในตอนนี้
การสูญเสียหนึ่งคนก็มีผลต่อการทำงานแล้ว”
“อื้ม เพราะพี่เป็นหัวหน้ากลุ่มด้วยนั่นแหละ”
หน้าตาน่ารัก
ยิ้มสวยๆ เสียงนุ่มหูนี่เหมือนเป็นตัวหลอกยังไงไม่รู้
คนตรงหน้าเขาจะเก่งเกินไปแล้ว
เดิมทีที่คิดว่ามาจากรัฐบาลจะต้องตัวใหญ่กล้ามแน่นเสียงดัง แต่ตรงข้ามกันหมดจากในหนังเลยและน่าจีบสุดๆ
ถ้าเจอกันปกติเขาไม่มีทางเชื่อแน่ๆว่าจะมาสายบู๊ขนาดนี้
“พี่นี่ทำให้ผมประหลาดใจหลายรอบแล้วนะครับ”
“คนเรามันวัดจากภายนอกไม่ได้หรอกจริงมั้ย
เอ้า เปลี่ยนเสื้อสิ เลือดพวกมันแค่นิดหน่อยก็เหม็นจนไม่อยากอยู่ใกล้แล้ว”
ชเวมินโฮตกหลุมรักหัวหน้ากลุ่มคนสวยแบบถอนตัวไม่ได้แล้ว..
Love Never Ends
ร่างสูงกำลังเดินตามหัวหน้ากลุ่มคนสวยของเขาไปเรื่อยๆเมื่อพบว่าบนถนนนั้นไม่มีตัวชวนแหยะเดินเพ่นพ่านไปมา
ดวงตาคมโตเหลือบมองไปยังร่างกายเพรียวบางในชุดพอดีตัวพลางนึกว่าเป็นถึงหน่วยพิเศษแต่กลับไม่ได้ดูแข็งแรงกว่าคนทั่วไปเลย
“จะมองกันอีกนานมั้ย”
“ขอโทษครับ”จินกิหันมาหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นมินโฮดูตกใจ
ทำไมเขาจะไม่รู้ทันความคิดของเด็กนี่
รู้หมดนั่นแหละและก็สนุกด้วยที่จะแกล้งให้มินโฮต้องตกใจหรือทำอะไรไม่ถูก
“พี่น่ะถูกฝึกมาเพื่อความคล่องตัวและปฏิบัติงานได้รวดเร็ว
เน้นซุ่มโจมตีวางแผนมากกว่าไปแบบไม่คิดซึ่งมันเสี่ยงตายเกินไป และกล้ามถ้ามีมากไปก็เกะกะนะ”
“พี่นี่รู้ความคิดผมตลอด”
“ก็เห็นมองพี่อยู่
ชอบแบบนี้หรอ”คำถามตรงไปตรงมาแต่ไม่หันกลับมามองทำให้มินโฮหน้าแดงและเผลอมองสำรวจอีกครั้ง
ไม่รู้จะชมยังไงดีเพราะอีกฝ่ายหุ่นค่อนข้างไปทางบางและมีส่วนโค้งนิดๆหน่อยๆดูเต็มไม้เต็มมือ
“ก็
เห็นแล้วนึกถึงนาตาชา”
“นั่นมันผู้หญิง”
“พี่ให้ความรู้สึกแบบนั้นน่ะครับ”
“เราเพิ่งรู้จักกันเองนะ”ใบหน้าหวานที่ติดจะหงุดหงิดทำให้มินโฮหัวเราะออกมาได้และขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น
“ปกติพี่ทำงานที่ไหนหรอครับ”
“แล้วแต่เจ้านายจะสั่ง
ถ้าไม่มีงานก็มาเดินเล่นในเมือง
มินโฮควรจะสนใจว่าจะรอดไปได้ยังไงมากกว่าชีวิตพี่นะ”
“ผมเหงานี่นา
อยู่คนเดียวมาตั้งหลายวัน”ร่างเพรียวถอนหายใจออกมาทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเงียบๆแท้ๆ
แต่นี่มันพูดมาก พูดไม่หยุด หาเรื่องมาคุยอยู่ตลอดเวลา
ปกติจินกิมักจะทำงานคนเดียวไม่ค่อยได้คุยกับใครหรือการช่วยผู้รอดชีวิตก่อนหน้าก็ยังไม่คุยขนาดนี้เลย
จริงๆคือเขาไม่อยากสนิทหรือผูกพันกับผู้รอดชีวิตมากนัก
เพื่อที่เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ทิ้งไปได้ง่ายหน่อย และพวกผู้รอดชีวิตที่มีครอบครัวในนี้จะยุ่งยากมากเพราะพวกเขาต้องการจะไปหาครอบครัวแม้ความหวังริบหรี่
ถึงจะน่าสงสารแต่จินกิรู้ว่านั่นคือเรื่องเสียเวลาสำหรับการย้อนไปย้อนมา
แล้วคนพวกนี้ก็มักจะตายไปโดยที่เขาพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถแล้ว
แม้จะรู้ว่าซากตรงหน้าไม่ใช่คนที่รักแต่พวกเขาก็ดึงดันที่จะเข้าไปหาและจบชีวิตลงไปต่อหน้าต่อตาเขาหลายคน
ถึงจะช่วยมาได้เยอะแต่ก็เห็นการสูญเสียจำนวนมากเหมือนกัน
เพราะแบบนี้ถึงรู้สึกว่าความรักมันวุ่นวาย
“นี่รู้สึกบ้างมั้ยว่าสถานการณ์มันอันตรายน่ะ”
“รู้สิครับ แต่ผมเครียดมาหลายวันแล้ว”
“พี่รู้ว่ากว่าจะผ่านในที่บ้าๆแบบนี้ในแต่ละวันมันไม่ง่าย
แต่พี่บอกตรงๆนะว่าพี่ไม่อยากสนิทกับใครมากนักหรอก
จำที่พี่บอกได้มั้ย”ร่างสูงพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อนึกถึงประโยคแสนแล้งน้ำใจว่าจะทิ้งเขาทันทีถ้าสถานการณ์อันตรายเกินไป
แต่เขาเลือกที่จะเชื่อแววตาของจินกิที่มันฟ้องมาว่าไม่มีทางที่จะทิ้งใครไปง่ายๆ
“ผมสนิทกับพี่คนเดียวก็ได้
แล้วนี่พี่มาคนเดียวหรอครับ ไม่เห็นติดต่อใครเลย”
“มีสมาชิกอีกสามคนน่ะ
ถ้าไม่จำเป็นจริงๆจะไม่ติดต่อกันหรอกเพราะเราไม่รู้อีกฝ่ายอยู่สถานการณ์ไหน”มินโฮพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ตอนนี้ถนนโล่งไม่มีซอมบี้มาขวางทางเลยสักนิด อาจเป็นเพราะคนกลุ่มนี้ที่มาลงพื้นที่เก็บกวาดไปพอสมควร
เหลือกองเลือดหรืออวัยวะเป็นจุดๆส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมา
กรุงโซลที่เคยสวยงามตอนนี้กลับหม่นหมองและเละเทะไปหมด
“ทำไมพี่ไม่ขับรถไปล่ะครับ
ถ้าเจอคนก็เรียกขึ้นรถแล้วไปต่อเลย”
“กลุ่มพี่มาทางเฮลิคอปเตอร์น่ะและมันสะดวกกว่าเยอะด้วย
จริงๆพี่ก็อยากหารถสักคันแล้วขับไปเลยนะแต่มินโฮก็คงเห็นแล้วใช่มั้ยว่าพวกนั้นกำลังเรียนรู้และวิวัฒนาการ
อาจจะช้าหน่อยแต่พี่ไม่เสี่ยงให้โดนรุมกินบนรถแน่ๆ”
“พี่ว่าไงผมก็ว่างั้น”ร่างเพรียวเหลือบมองคนข้างตัวและเผลอหลุดยิ้มออกมา
เป็นคนที่ว่าง่ายให้ทำอะไรก็ทำไม่ต้องปวดหัวดี ความจริงการปฏิบัติงานครั้งนี้มีระยะเวลากำหนดไว้ที่หนึ่งสัปดาห์และไปรวมกลุ่มกันที่วอนจู
แต่ความจริงคือน้อยมากที่จะไปได้ทันตามนั้นและจุดนั้นจะมีกำลังทหารแน่นหนาคอยพาผู้รอดชีวิตเดินต่อไปเล็กน้อยเพื่อพาออกไป
รอบแรกพวกเขาใช้เฮลิคอปเตอร์และพบว่านั่นทำให้ซอมบี้วิ่งกรูกันเข้ามาเพราะได้ยินเสียง
กลายเป็นว่าเวลามีเฮลิคอปเตอร์พวกนั้นก็จะจำไว้ว่านี่คือการขนส่งอาหาร สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าการเดินเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อลดการเรียกฝูงซอมบี้มารวมกัน
และพยายามกำจัดซอมบี้ที่อยู่รอบนอกให้ได้ก่อนในรอบแรกพร้อมช่วยคนไปด้วย จนได้คำสั่งใหม่ให้เข้ามาที่ศูนย์กลางโดยไม่เน้นกำจัดแต่เน้นช่วยเหลือพลเรือนที่ยังมีชีวิตรอด
เดินกันมาเรื่อยๆก็ยังไม่พบความผิดปกติอะไรและมินโฮเองก็ไม่ได้ชวนคุยเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
จินกินึกถึงของที่เตรียมมาแม้จะหนักเพราะมีทั้งอาหารแห้งและอาวุธ
แต่ในพื้นที่นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพวกซอมบี้อย่างรวดเร็ว
จึงกะระยะเวลาค่อนข้างยากว่าจะไปถึงจุดหมายตอนไหน ถ้าเจอสถานที่ที่มีอาหารอยู่ก็อยากให้กินจากที่นั่นมากกว่าของที่แบกมาด้วย
“ผมถามได้มั้ยครับ”
“ถามมาสิ”
“ตอนพี่เตะหัวซอมบี้หลุด
คือแรงพี่เยอะขนาดเตะหัวคนหลุดได้เลยหรอ”
ไอ้เด็กนี่มันเห็นเขาเป็นสัตว์ประหลาดรึไงกัน?
“คือ พี่เป็นคนนะ
และที่ทำได้เพราะรองเท้ามันจะหนากว่าปกติ มันทำให้คนเป็นแผลได้แล้วนับประสาอะไรกับพวกเนื้อหยุ่นๆ
พี่ไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่จะเตะหัวใครหลุดก็ได้สักหน่อย”
“อ๋อ”จินกิหันไปมองค้อนใส่คนที่ยิ้มหน้าระรื่นอยู่ข้างๆซึ่งเดาได้ว่ามันต้องคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ
ชักรู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะปล่อยมันให้ถูกซอมบี้กินกลางถนน
แต่ในถนนตอนนี้กลับไม่มีซอมบี้เลยจนน่าแปลกใจ
ถ้าอยู่รอบนอกใกล้โซนปลอดเชื้อยังพอเข้าใจ
แต่กรุงโซลที่มีคนจำนวนมากแบบนี้มันน่าประหลาดเกินไป
“ฟ้าเริ่มมืดแล้ว
หาบ้านคนสักหลังแล้วเข้าไปพักกันดีกว่า”มินโฮเร่งฝีเท้าตามคนที่จู่ๆเร่งความเร็วแม้ว่าของในกระเป๋าจะดูหนักขนาดไหน
ถ้านับๆดูอาวุธในตัวของจินกินี่จัดอยู่ในพวกพร้อมก่ออาชญากรรมได้เลยด้วยซ้ำ
ทั้งปืนสามกระบอก มีดพกอีกสอง รองเท้าที่เจ้าตัวบอกอีก
นี่ยังไม่นับของในกระเป๋าว่ามีอะไรอีก
มินโฮเลยยิ่งอยากจะรู้เข้าไปใหญ่ว่าทำไมคนน่ารักแบบนี้ถึงได้มาทำอาชีพเสี่ยงตาย
พอหาบ้านที่ปลอดภัยได้พวกเขาก็เลือกที่จะเข้าไปอยู่ในนั้นและจินกิก็เลือกที่จะเดินแยกไปยังห้องน้ำก่อน
ร่างสูงมองตามไปก็เห็นใบหน้าหวานนั้นมีแววกังวลและเคร่งเครียดอีกแล้ว
ตั้งแต่เดินมาด้วยกันก็มีท่าทางแบบนี้ทุกครั้งที่ไม่มีอะไรจะคุยกับเขา
“มินโฮหาของในบ้านดูนะว่ามีอะไรกินได้บ้าง
พี่ขออาบน้ำแปปนึง”ในขณะที่จินกิกำลังจะเปิดประตูห้องน้ำ
ร่างสูงกลับก้าวมาประชิดก่อนเอาตัวเข้ามาขวางไม่ให้อีกฝ่ายเข้าห้องน้ำได้
“มินโฮ?”
“พี่มีเรื่องอะไรกังวลอยู่ครับ
ตั้งแต่มาด้วยกันถ้าผมไม่ชวนคุยหน้าพี่จะดูกังวลตลอด”
“สถานการณ์แบบนี้ใครจะพูดมากแบบนายได้ล่ะ
หลบสิ”
“พี่ห่วงสมาชิกพี่หรอครับ”
“มินโฮ
เราเป็นแค่คนรู้จักกันและเรื่องที่บอกได้พี่บอกไปหมดแล้ว อย่าสนิทกับพี่เลย”ชายหนุ่มร่างสูงก้มมองใบหน้าหวานที่แหงนหน้ามองกลับมาเช่นกัน
ดวงตาเรียวนั้นแสดงออกว่ากำลังขอร้องให้ถอยออกไปจากขอบเขตที่ตั้งเอาไว้เสียที
มินโฮถอนหายใจเล็กน้อยและคิดว่าถึงเขาจะชอบจินกิตั้งแต่ครั้งแรก
เรียกง่ายๆคือรักแรกพบ แต่มันก็เหมือนจะเป็นไปได้ยากเพราะอีกฝ่ายพยายามสร้างกำแพงกั้นขวางเขาเอาไว้
เขาจะต้องเสี่ยงว่าจะยอมถอยหรือทุ่มเทไปให้สุดตัว
แต่ตอนนี้คงต้องถอยก่อนเพื่อไม่ให้จินกิถอยห่างจากเขามากไปกว่านี้
“งั้นผมจะไปดูห้องครัวให้นะ
พี่อาบน้ำก่อนเถอะ”เมื่อมินโฮยอมถอยออกไปจินกิก็เข้าไปในห้องน้ำและปิดประตูลงแม้ว่าจะทำให้ข้างในมันมืดจนแทบมองไม่เห็นก็ตาม
มือเลื่อนลงค่อยๆปลดอาวุธออกจากร่างกายจนเหลือเพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เท่านั้น
ร่างเพรียวถอนหายใจอีกรอบแล้วตัดสินใจรีบอาบน้ำให้เสร็จๆไป
เพราะซอมบี้พวกนี้มันไวต่อกลิ่นของคนแม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเท่าจมูกของสัตว์ แต่อะไรที่ช่วยลดกลิ่นลงไปได้ก็ควรทำซะ
พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นมินโฮกำลังรื้อนู่นรื้อนี่ในบ้านอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน
แต่พอคิดได้ว่าป่านนี้เจ้าของบ้านอาจจะเดินอยู่ข้างนอกไม่ก็ตายไปแล้วเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไร
“ไปอาบน้ำสิ
พี่ลืมบอกไปว่าซอมบี้มันไวกับพวกกลิ่นของคนน่ะ
ก็เพิ่งรู้กันเมื่อไปนานนี้แหละเลยไม่ทันประกาศก่อนตัดสัญญาณไฟ”
“สรุปคือมันจมูกดี
หูไว ตาไวใช่มั้ยครับ”
“อื้ม
แต่ก็ยังไม่ดีมากพอกับพวกสัตว์หรอก เอางี้
เดี๋ยวพี่กินข้าวกันเสร็จพี่จะมาอธิบายเพิ่มละกันนะ
เผื่อเจอผู้รอดชีวิตคนอื่นมินโฮจะได้ช่วยพี่อีกแรง พูดบ่อยๆมันน่าเบื่อ”มินโฮมองคนที่ยิ้มออกมาจึงพยักหน้าและส่งยิ้มกลับไป
เขาไม่รู้ว่าจะเจอผู้รอดชีวิตเพิ่มมั้ยหรือจะรอดไปจนเจอผู้รอดชีวิตรึเปล่า
แต่ถ้ารู้ข้อมูลอะไรเพิ่มบ้างก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย
กว่าพวกเขาสองคนจะจัดการธุระตัวเองเสร็จเรียบร้อยฟ้าก็มืดลงแล้วพอดี
พอกรุงโซลที่เต็มไปด้วยแสงสีตลอดทั้งวันทั้งคืนตอนนี้ไร้ซึ่งแสงไฟโดยสิ้นเชิง จึงทำให้เห็นว่าแสงจันทร์นั้นสว่างเพียงใดเมื่อยามสาดส่องเข้ามาจนต่างฝ่ายต่างมองเห็นใบหน้าของกันและกันได้
พอมินโฮอ้าปากจะพูดก็ถูกจินกิยกมือขึ้นเป็นสัญญาณห้าม
“ถามอะไรก็ได้ ยกเว้นเรื่องส่วนตัวของพี่”
“สักคำถามก็ไม่ได้หรอครับ”
“ไม่ได้”
“งั้น
ทำไมถึงมีซอมบี้เกิดขึ้นได้ล่ะครับ
จู่ๆพวกเขาก็บอกแค่ให้ระวังตัวแนะนำวิธีต่างๆนาๆโดยไม่บอกสาเหตุอะไรเลย”แค่คำถามแรกจินกิก็รู้สึกว่าคืนนี้มันคงอีกยาวแน่ๆทั้งที่ใจจริงอยากจะนอนพักมากกว่าแต่การให้รู้เรื่องราวต่างๆมากที่สุดมันน่าจะช่วยในการรอดชีวิตมากกว่า
“มัน..จริงๆเป็นความลับของทางรัฐบาลแต่ทั่วโลกเขากำลังกดดันประเทศเราอยู่ถึงเรื่องนี้น่ะคงปิดได้ไม่นาน
นายเคยดูพวกหนังซุปเปอร์ฮีโร่ใช่มั้ยล่ะ
นั่นล่ะคือสิ่งที่รัฐบาลกำลังพยายามสร้างขึ้นมา”
“บ้าไปแล้ว”
“อ่า
มันก็บ้านั่นแหละแต่ถ้าทำได้ก็คงดีกับคนเกาหลีด้วยกัน
พวกเขาผลิตพวกสารต่างๆและใช้ทดลองกับหนูขาวแต่มันก็ล้มเหลวจนเมื่อหลายวันก่อนจะเกิดเรื่องมันมีสารตัวหนึ่งที่มีแนวโน้มว่าเป็นไปได้
คือเพิ่มพละกำลัง เพิ่มความเร็ว ประสาทสัมผัสทุกอย่างดีขึ้นหมด ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ดุร้ายบ้าคลั่งแต่มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี
พวกเขาจึงขนสารตัวนี้มาที่กรุงโซลเพื่อประชุมลับ”จินกิเว้นช่วงพลางเงี่ยหูฟังว่ามีเสียงอะไรจากข้างนอกบ้างหรือไม่
แต่เมื่อปลอดภัยดีจึงพูดต่อ
“สารนั่นอยู่ในกระบอกฉีดยาเพื่อเตรียมไปใช้กับมนุษย์ที่ถูกเลือกเอาไว้
แต่มันมีคนคิดจะขโมยเลยทำให้รถที่กำลังขนสารนั่นคว่ำ
มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่นั่งรถคันนั้นมาด้วยไม่อยากให้คนนอกได้สารไปเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใครและอาจเป็นพวกเกาหลีเหนือ
เขาเลยเลือกจะฉีดสารนั่นใส่ตัวเองซะ”
มินโฮพอจะเดาเรื่องราวหลังจากนั้นออกเมื่อฉีดสารนั่นไปแล้วคงทำปฏิกิริยากับร่างกายมนุษย์รุนแรงกว่าที่คิดเอาไว้
มันดูเป็นการแก้ปัญหาที่ดีเพื่อไม่ให้ใครไม่รู้เอาสารไปพัฒนาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า
แต่มันกลับสร้างผลร้ายอย่างคาดไม่ถึง
“ตอนแรกพวกเขาคิดว่านักวิทยาศาสตร์คนนั้นกำลังจะตายเพราะเขากรีดร้องและล้มลงไปแน่นิ่งกับพื้น
แต่ตอนพาขึ้นรถพยาบาลจู่ๆเขาก็ลุกขึ้นไล่กัดคนไปทั่ว
พอคนหนึ่งถูกกัดก็ตายและฟื้นไปกัดคนอื่นต่อเป็นวัฎจักร
และที่นายรู้ว่ามันสร้างขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพมันถึงอันตราย
สารนี่มันกระตุ้นสัญชาตญาณดิบและรีเซทสมองใหม่หมด พวกมันเรียนรู้และเริ่มออกล่าเป็นฝูงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ซากศพเดินได้
พวกพี่ถึงต้องรีบพาผู้รอดชีวิตออกให้เร็วที่สุดเพราะประสาทสัมผัสมันอาจจะพัฒนาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ”
จินกิหยุดพักลงชั่วครู่ก่อนจะเล่าที่เหลือให้ฟังต่อ
“มันแพร่กระจายเร็วมาก
เพราะทุกคนไม่รู้ข่าวคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นบ้างจนไม่มีใครระวังและแพร่กระจายไปรอบๆนี้เป็นวงกว้าง
แต่เพราะกว่ามันจะไปถึงแต่ละพื้นที่เลยกักขอบเขตไว้ได้ทัน แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะให้เหลือพื้นที่แค่โซลอย่างที่เห็นว่าพวกนี้มันวิ่งเร็วจนน่าตกใจเลยล่ะ
พอวันที่สองของการแพร่กระจายก็กักกันพื้นที่ได้หมดและพี่ก็เริ่มลงหาผู้รอดชีวิตเป็นเวลาสามวัน
แถวเขตรอบนอกก่อนและกลับเข้ามาอีกทีวันนี้ในกรุงโซล”
“พวกมันพัฒนาได้เร็วขนาดไหนหรอครับ”
“ไม่รู้สิ
แต่เท่าที่เห็นจะยังไม่ได้มากเท่าไหร่นะ
พวกวางแผนหลอกนี่ยังไม่มีก็ถือว่ารับมือได้อยู่
แต่ถ้าจู่ๆมีเสียงเคาะประตูก็คงต้องคิดใหม่แล้วล่ะ”พูดจบก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย
มินโฮถอนหายใจออกมาแม้ว่าเขาจะพูดมากและไว้วางใจกับสถานการณ์มากขึ้นเพราะมีจินกิอยู่ด้วย
แต่พอฟังแล้วก็เริ่มรู้สึกหนักใจขึ้นมาอีกรอบ
“แล้วเราล่ะ
ทำไงถึงรอดมาได้ถึงขนาดนี้ทั้งที่ออกมานอกบ้านล่ะ”
“พี่ไม่ให้ผมถามเรื่องพี่
แต่พี่กลับมาถามเรื่องผมเนี่ยนะ”
“โอเค
พี่จะนอนโซฟานะ นายไปนอนไหนก็ไป”
“เฮ้ย
พี่ฟังผมเล่าก่อน ฟังหน่อยเถอะ”ร่างเพรียวหัวเราะออกมาด้วยความขบขันกับท่าทางของคนเด็กกว่า
เขาตั้งใจว่าจะไม่สนิทกับมินโฮเด็ดขาด
แต่ตอนนี้ถ้ามีเพื่อนคุยด้วยสักคนมันก็คงจะดีกว่าการคิดอะไรคนเดียว
“ก็เล่ามาสิ”
“คือผมก็อยู่คอนโดนี่แหละพี่
มันก็มีข่าวออกว่ามีคนไล่กัดกันมีคลิปด้วยผมก็ไม่เชื่อหรอก แต่สุดท้ายก็เรื่องจริง
แล้วตอนแรกรัฐบาลบอกมันคงเน่าไปเองที่ไหนได้มันเน่าแต่ยังเดินไปเดินมาอยู่เลย
ผมก็ไม่มีอะไรจะกินตั้งแต่วันที่สองที่สามเลยออกมจากห้อง โดนซอมบี้วิ่งไล่เลยกลับห้องไม่ได้
เจออะไรฟาดหัวมันได้ก็คว้าหมดแหละ แต่ส่วนใหญ่เน้นวิ่งหนีมากกว่า”
พอพูดจบก็เห็นคนตรงหน้าดูประหลาดใจกับเรื่องที่เขาเล่า
เอาจริงมันก็ดูเหลือเชื่อที่คนธรรมดาเอาตัวรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้และเกือบตายไปแล้วรอบนึง
แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะยังไม่อยากรับเขาไปอยู่ด้วยเท่าไหร่จึงส่งนางฟ้าสายโหดมาเตะหัวซอมบี้ให้กระเด็นออกไป
“นายเป็นผู้รอดชีวิตที่มีประโยชน์นะเนี่ย
แล้วตอนวิ่งมาเจอใครอีกมั้ย”
“ส่วนใหญ่เขาอยู่แต่ในบ้านนะ
ผมก็เคยแวะไปขอความช่วยเหลือบ้าง เจอพวกขังญาติตัวเองที่ติดเชื้อไว้บ้าง แต่ไม่ค่อยมีใครออกมาเดินแบบผมหรอก
เขาบอกอดตายดีกว่าโดนกัดตาย”
“ก็ดีกว่ากลายมาเป็นพวกมันนี่นา”
“แต่ผมว่าอดตายมันดูสิ้นหวังไปหน่อย
ถึงจะตายแต่ถ้าอย่างน้อยได้พยายามที่จะมีชีวิตรอดด้วยตัวเองมันก็ดีกว่าการรอไปโดยไม่รู้ว่าความช่วยเหลือจากรัฐบาลจะมาจริงมั้ย
ผมเลือกทางที่จะตายเองดีกว่า”เป็นอีกครั้งที่มินโฮเห็นใบหน้าหวานแย้มรอยยิ้มและมองมาที่เขาด้วยสายตาชื่นชม
และนั่นทำให้คนพูดมากรู้สึกเขินและเงียบลงไปอีกครั้ง
“ขอโทษนะ
เพราะสถานการณ์มันเร่งด่วนและไม่เคยเจอมาก่อน ทหารตำรวจเขาต้องรับมือกับกลุ่มคนที่อยากหาญาติตัวเอง
ส่วนพวกหน่วยงานพิเศษแบบพี่มีจำนวนคนน้อยและมีตายไปบ้างอีก
ถ้าเข้ามาเร็วกว่านี้ได้คงช่วยได้อีกเยอะ”
“พี่อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ
ใครไม่เข้าใจก็ช่าง แต่ผมเข้าใจนะ
ผมจะไม่เป็นตัวถ่วงพี่แน่นอน”จินกิมองคนตรงหน้าที่พูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางจริงจังก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจได้อย่างประหลาด
มือนุ่มเอื้อมไปสัมผัสช่วงศีรษะแล้วลูบไปมา
“ขอบใจ
แต่ถ้านายถ่วงพี่ก็จะทิ้งนายนั่นแหละ ไม่ต้องกังวลไปนะ”
“ทำให้ผมชอบแล้วก็มาบอกว่าจะทิ้งกันเนี่ย
ใจร้ายนะครับ”
“ช่วยไม่ได้นะ~”มินโฮถอนหายใจและยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าหวานนั่นดูผ่อนคลายกว่าเดิม
เขาเห็นว่าจินกิคอยจับวิทยุสื่อสารตลอดก็พอรู้ว่ากังวลเรื่องสมาชิกที่เหลือ
ทุกคนคงอยากติดต่อกันแต่ไม่กล้าทำเพราะไม่รู้สถานการณ์
แล้วแบบนี้เขาจะกล้าโวยวายเรียกร้องหาความยุติธรรมจากคนที่เสี่ยงตายทั้งที่ต้นเหตุมากจากรัฐบาลงี่เง่าไปเพื่ออะไร
พอพูดคุยกันอีกเล็กน้อยพวกเขาก็แยกย้ายกันนอนโดยจินกิยึดโซฟาตัวยาวที่ห้องนั่งเล่นตามที่บอก
เพราะไม่อยากจะขึ้นไปบนชั้นสองเผื่อมีเหตุฉุกเฉิน
ส่วนมินโฮก็ไปหาผ้าปูกับที่นอนมานอนอยู่ข้างโซฟาแทน
ความจริงถ้าแบบในหนังคนจากรัฐต้องเสียสละแท้ๆ แต่นี่เล่นยึดที่สบายๆไปซะได้
มินโฮพลิกตัวมองไปยังปืนกระบอกหนึ่งที่จินกิเอามาให้จากที่เก็บไว้ตรงช่วงเอว
เจ้าตัวบ่นนิดหน่อยว่าอย่างเขาน่าจะใช้ปืนกลมากกว่าเพราะไม่เคยยิงปืนและคงไม่แม่น
แต่สถานการณ์แบบนี้จะหาจากไหนได้เลยสอนเขานิดหน่อยให้พอใช้เป็นและนอนทันที
ต้องมั่นใจว่าตัวเองเก่งขนาดไหนถึงเข้ามาพร้อมกับปืนสั้น
คงกะว่ายิงทุกนัดเข้ากะโหลกพวกนั้นทุกนัดแน่ๆล่ะ
ในขณะที่ทุกอย่างเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของทั้งสองคนและต่างฝ่ายต่างใกล้เข้าสู่นิทรา
เสียงที่ไม่น่าจะมีในช่วงเวลานี้กลับเกิดขึ้น
‘แกร๊ก แกร๊ก’
ร่างสูงลืมตาขึ้นทันทีและมองไปยังบานประตูก่อนจะมองกลับไปยังจินกิที่ลุกขึ้นนั่งแล้วก้มมองเขาเช่นกัน
มนุษย์หรือซากศพพวกนั้นกันแน่?
TBC.
สวัสดีค่ะทุกคน
ไม่เจอกันในหน้าบทความนี้นานเลย
เรื่องของเรื่องคือวันก่อนไปดูทีเซอร์หนังซอมบี้เกาหลีค่ะ
และไปเจอฟิคอันนึงเรื่องซอมบี้อีก ไหนๆก็เคยอยากเขียนมานานแล้วเลยเขียนซะหน่อย
ส่วนตัวเราไม่ชอบอะไรที่ต้องสู้มาด้วยกันและตัดคนทิ้งไปนี่
เราทำใจฆ่าผู้ชายหล่อๆไม่ลงค่ะ.. เลยได้พล็อตแบบเน้นไปที่คนสองคนมากกว่ากลุ่มค่ะ
เราไม่เคยเขียนแนวนี้ยังไงก็ติชมได้นะคะ ขอบคุณทุกคนมากค่ะท่เข้ามาอ่าน ไว้เจอกันตอนต่อไปค่ะ
จุ๊บ
ปล. สถานที่และพิกัดล้วนมั่วทั้งสิ้นค่ะ
ปล2. เป็นความผิดพลาดของเราเองค่ะที่ดูแผนที่ผิดอัน
และไม่รู้เรื่องภูมิประเทศเกาหลีเลย ฮือ เลยขอแก้ไขนะคะ เพราะมันไม่ใช่จังหวัด ฮือ
แปะแผนที่แนบไว้แล้วค่ะ แต่ขอบเขตที่เรากำหนดไว้มันยังเหมือนเดิมค่ะ
ถ้าเป็นจังหวัดเลยก็จะเยอะไปหน่อยในความคิดเรา ขอโทษจริงๆค่ะ
ความคิดเห็น