ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF SHINee Yaoi&Yuri] HOOn Only!

    ลำดับตอนที่ #40 : {ใต้แสงจันทร์เดอะซีรี่ส์} Our Mission 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 165
      1
      30 ก.ค. 57





                เปลือกตาสีมุกขยับไหวเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดขึ้นช้าๆเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ภาพเลือนรางเริ่มชัดขึ้นจนเห็นเสื้อผ้าของคนที่นอนกอดเขาเอาไว้ สัมผัสอบอุ่นจากช่วงเอวทำให้รู้ว่าท่อนแขนยาวและแข็งแรงนั้นยังคงโอบรอบเอวเขาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

                ปลายนิ้วขาวแตะลงท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงกว่าสามปีก่อนแล้วไล่ขึ้นมายังลำคอร่างสูง ดวงตาเล็กมองพิจารณาคนรักที่คบกันมานานสามปีกว่าด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความรักอย่างปิดไม่มิด สัมผัสนุ่มนวลจากปลายนิ้วแตะไปยังจมูกโด่ง ริมฝีปากและไล้ไปตามโครงหน้า เวินหลิวอมยิ้มเล็กน้อยว่าคนรักของตนรูปหน้าเปลี่ยนมาคมเข้มและดุขึ้น ร่างกายก็แข็งแรงกำยำโดยที่หมินหาวให้เหตุผลว่าจะได้ปกป้องเขาได้

                ถึงตอนอายุสิบเจ็ดจะมีกล้ามเนื้อหรือโครงหน้าที่หล่อเหลาแล้วก็เถอะ แต่ยิ่งโตกล้ามเนื้อนั้นก็ยิ่งสวยน่าหลงใหล รวมถึงใบหน้าที่เขาชอบมองนี่ก็ด้วย

                “เจ้าจะยั่วข้าแต่เช้าเลยรึไง”เวินหลิวมองคนพูดที่ยังคงหลับตาไว้ดังเดิม ริมฝีปากอิ่มทาบลงริมฝีปากคนชอบแหย่แผ่วเบาแล้วผละออกมากระซิบข้างใบหู

                “เจ้าคนหื่นกาม ลุกได้แล้ว”เสียงวิหคน้อยดังลอดเข้ามาเป็นการยืนยันทำให้ร่างสูงยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมา พบกับดวงหน้าหวานของเวินหลิวที่กำลังจับจ้องมายังเขา รูปหน้าที่เรียวขึ้นรวมถึงร่างกายที่เข้ารูปกว่าเดิมยิ่งทำให้เขาหลงใหลจนไปไหนไม่รอด ผิวตัวก็ขาวนวลและนุ่มนิ่มเสียจนน่ากกกอดไม่ให้ออกไปให้ใครพบเห็น น่าปกป้องมากซะจนเขาแทบจะไม่ยอมให้ไปทำภารกิจคนเดียว ถึงจะรู้แก่ใจว่าร่างเพรียวตรงหน้าเป็นบุรุษเช่นเดียวกับเขา และความสามารถก็ไม่ได้แย่หรืออ่อนแอเลยสักนิด

                และที่เหมือนเดิมมาตลอดก็คือนิสัยขี้โวยวาย ถึงแม้กาลเวลาจะช่วยทำให้เวินหลิวโตขึ้นและลดความเอาแต่ใจและการโวยวายแบบเด็กๆลงไปได้บ้าง แต่ก็ไม่มีทางลดลงจนหมดไปเด็ดขาด

                “ไปอาบน้ำกันเถอะหมินหาว”โชคดีที่ห้องพักในสำนักยังคงเหลืออยู่และมีห้องน้ำอยู่ไม่ไกลทำให้สะดวกสบาย เพราะพวกเขาทั้งคู่ไม่มีบิดามารดาเหลือแล้วจึงอาศัยในสำนักนี่พวกทำงานเก็บเงิน แม้ว่ามรดกจะมีมากพอแต่พวกเขาก็ยังต้องการมีเงินทองเป็นของตนเอง

                “ไหนๆก็จะอาบน้ำทั้งที”ร่างสูงพูดขึ้นพร้อมแววตาสื่อความหมายทำให้เวินหลิวหน้าแดงแล้วทุบลงไหล่กว้างนั่นเบาๆ

                “เมื่อคืนไม่ได้ก็จะเอาแต่เช้าเลยรึไง เจ้านี่”ร่างเพรียวถูกกระชับเข้าในอ้อมกอดโดยร่างสูงใช้กำลังที่เหนือกว่าขึ้นทาบทับไว้ ปลายจมูกโด่งคลอเคลียตามพวงแก้มใสที่แดงระเรื่อเรียกเสียงหัวเราะเล็กน้อยจากเวินหลิวได้ไม่ยาก แต่ยังไม่ทันทีริมฝีปากจะได้สัมผัสกันเสียงทุบประตูก็ดังขึ้น

                “ศิษย์พี่หมินหาว ศิษย์พี่เวินหลิว ท่านเจ้าสำนักเรียกพบครับ!

                “ขอบใจเจ้ามากลู่หาน..อดไปนะ”คำพูดสุดท้ายกระซิบใส่ร่างสูงที่เริ่มทำหน้ายุ่งใส่เขา เวินหลิวกดจมูกลงหอมแก้มคนรักของตนแล้วลุกหนีไปเพื่ออาบน้ำให้เรียบร้อย โดยทิ้งท้ายด้วยการหันมาแลบลิ้นใส่เยอะเย้ยอีกทีแล้วรีบออกจากห้องไป

                “ข้าไปขัดจังหวะอะไรเจ้ารึเปล่า”เจ้าสำนักพูดพร้อมกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าร่างสูงที่บูดบึ้งผิดกับคนข้างตัวที่ยิ้มสดใสเหมือนก่อนไม่เคยเปลี่ยน ทั้งสองคนนั่งลงเบื้องหน้าชายวัยกลางคนที่โบกมือให้เหล่าเด็กรับใช้หรือก็คือลูกศิษย์ในสำนักเอาอาหารเข้ามาข้างใน

                “เรียกพวกข้ามาแต่เช้ามีอะไรรึเปล่า ภารกิจหรอ?”เวินหลิวถามขึ้นแต่ก็เริ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจจากท่านอาจารย์ที่พวกเขาเคารพรัก เสียงถอนหายใจจากเจ้าสำนักบ่งบอกถึงความเครียดได้อย่างดี

                “พวกเจ้ารู้ใช่รึเปล่าว่าสำนักเฟยหลงกับเฟยเฟิ่งเป็นพี่น้องกัน แล้วข้าไม่ได้แต่งงานส่วนน้องสาวข้าก็ให้กำเนิดบุรตธิดาอยู่สองคน ซึ่งนางเด็กกว่าข้ามากและกำลังเลี้ยงดูบุตรอยู่ที่เฟยเฟิ่ง และข้าเองก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กเลยสักคนเพราะตอนนางเกิดท่านแม่ข้าหรือเจ้าสำนักเฟยเฟิ่งคนก่อนก็ดูแลเอง

                แล้วเมื่อวันก่อนข้าได้รับการติดต่อจากสหายข้า ให้ช่วยเลี้ยงบุตรของเขาที่เกิดกับนางโลมน่ะ โดยตัวนางโลมนางนั้นได้ตายไปเมื่อเดือนก่อน แล้วเด็กคนนี้ก็ไม่มีใครดูแล ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะช่วยข้าเลี้ยงเด็กคนนี้สักสามสี่เดือนน่ะ”

                เวินหลิวกับหมินหาวหันมองหน้ากันแล้วกลับไปมองท่านอาจารย์ที่มีสีหน้าจริงจัง หมินหาวที่คลายจากสีหน้าหงุดหงิดมาเป็นประหลาดใจแล้วถามต่อ

                “ทำไมเพื่อนท่านไม่เลี้ยงเองล่ะครับ?”

                “ตอนนี้เขากำลังแก้ปัญหากับภรรยาอยู่น่ะสิ กำลังจะเลิกรากันโดยต้องตกลงเรื่องทรัพย์สินก่อน รวมถึงศัตรูที่ตามล่าเขาอีก ทำให้เขาไม่มีเวลามากพอจะมาดูแลเด็กคนนี้ จงเซวี่ยนกับจีฟ่านเองก็ไม่อยู่เลยเหลือแต่พวกเจ้านี่แหละ”

                หมินหาวรู้สึกถึงความวุ่นวายและเวลาที่คิดว่าจะใช้พักผ่อนกับเวินหลิวหลังจากกลับมาจากภารกิจหายไปหมดทันที เดินทางไปทำภารกิจตั้งเจ็ดวันหวังว่าจะกลับมาพักผ่อนให้หายเหนื่อยกลับต้องมาเลี้ยงเด็กอีก แล้วเขาจะเอาเวลาไหนไปอยู่กับเวินหลิวเพียงสองคนกัน

                “แล้วเด็กคนนั้นต้องกินนมอยู่รึเปล่าครับ”เวินหลิวถามต่อยิ่งเรียกสีหน้าเคร่งเครียดจากเจ้าสำนักมากไปกว่าเดิม และแน่นอนภารกิจเร่งด่วนของพวกเขาทั้งสองดูท่าจะยากลำบากมากไปกว่าเดิม

                “เด็กคนนี้สองขวบแล้วน่ะ ไม่ต้องกินหรอกแต่กำลังซนเลยทีเดียว ซึ่งถ้ายังเล็กกว่านี้ต้องกินนม ถึงต้องกินยังไงซะเจ้าก็ไม่มีให้กินใช่รึเปล่าเวินหลิว”

                “ข้าจะมีได้ยังไงกันเล่า!!!”เสียงนุ่มร้องโวยลั่นแล้วตวัดตามองชายร่างสูงข้างตนที่ทำทีส่งสายตาเหลือบมองลงมาช่วงแผ่นอกบางนั่น ริมฝีปากได้รูปขยับยิ้มเจ้าเล่ห์ในทีก่อนจะพูดขึ้น

                “ราวอาทิตย์ก่อนข้าออกไปทำภารกิจข้าว่ามันก็มีอยู่บ้าง คืนนี้จะให้ข้าพิสูจน์ก็ได้นะ”

                เจ้าสำนักมองไปยังคนสองคนตรงหน้าที่ตอนมายังดีๆกันอยู่ แต่ตอนนี้เวินหลิวหน้าแดงจัดพยายามเอาอาวุธของตนไล่ฟาดร่างสูงที่วิ่งหนีไปไกล โดยคนขี้แกล้งก็หัวเราะลั่นวิ่งหลบไปมาด้วยความคุ้นชิน เสียงตวาดแว้ดๆดังขึ้นลั่นไปทั่วยิ่งทำให้เหล่าลูกศิษย์ที่ฝึกยามเช้าตรงลานฝึกมองตาม เพราะมาคุยกันตรงตึกไม้ใกล้ลานฝึกแท้ๆ

                หากจงเซวี่ยนกับจีฟ่านอยู่เจ้าสำนักคงจะสบายใจกว่านี้..

    .

    .

    .

    .

                บรรยากาศภายในห้องโอสถที่จีฟ่านฝากเวินหลิวให้มาดูแลค่อนข้างเงียบสงบหลังจากจอมยุทธ์น้อยที่วิ่งซนจนหกล้มได้แผลร้องไห้ลั่นออกไปพร้อมกับศิษย์พี่คนอื่นที่พามา ดวงตาเล็กเหลือบมองไปยังหลังมือร่างสูงที่กำลังอ่านตำราสมุนไพรแล้วถอนหายใจเล็กน้อย เพราะหลังมือนั้นมีแต่รอยแดงจากการที่เขาเอามือตีและรอยข่วนของเขาเล็กน้อย

                “เจ็บรึเปล่า”ร่างสูงผละใบหน้าออกจากตำราแล้วอมยิ้มเมื่อมือนุ่มนั้นดึงมือที่เป็นแผลของเขามามองดู ปลายนิ้วเล็กแตะลงรอยข่วนนั้นเบาๆเพื่อไม่ให้เจ็บมากนัก

                “นิดหน่อยน่ะ แสบๆคันๆซะมากกว่า แรงเจ้าอย่างกับแมวแตะ”มือนุ่มตีซ้ำลงรอยแผลเล็กนั่นเบาๆ เรียกเสียงโอดโอยเกินจริงจากร่างสูงจนเวินหลิวทำท่าง้างมือขึ้นอีกที ทำให้หมินหาวเลิกหยอกเวินหลิว

                “เพราะเจ้านั่นแหละชอบเล่นอะไรยั่วโมโหข้า”

                “อ้าว ข้านึกว่าเจ้าเขินข้าเสียอีก”มือนุ่มฟาดลงหลังมืออีกฝ่ายดังเผียะจนร่างสูงร้องโอยออกมาเพราะเจ็บจริง แก้มใสแดงระเรื่อเสียจนหมินหาวอยากจะจับมาฟัดสักทีสองที

                “ศิษย์พี่หมินหาว ศิษย์พี่เวินหลิว ท่านเจ้าสำนักเรียกพบครับ”มือหนาที่กำลังจะไปยีแก้มใสนั่นต้องชะงักมือแล้วลดลงข้างลำตัว ดวงตาคมโตมองขุ่นไปยังศิษย์น้องลู่หานคนเดิมที่ทำหน้างุนงงเมื่อไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิด

                “ข้าแค่มาตามพวกท่านเฉยๆเองนะ ข้าทำอะไรผิดไปหรอ”ร่างสูงถอนหายใจออกมาพลางโบกมือเป็นการบอกว่าไม่มีอะไร ลู่หานพยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบวิ่งออกไปเพราะกลัวว่าเผื่อศิษย์พี่หมินหาวจะโมโหตนขึ้นมาอีก

                ทั้งสองคนเดินเข้าไปหาเจ้าสำนักในห้องพัก โดยเจ้าสำนักนั้นคุยอบู่กับเพื่อนอยู่โดยที่สหายคนนั้นได้วางเด็กทารกที่หลับใหลอยู่ข้างกาย สองคนที่มาใหม่รีบโค้งทักทายก่อนจะรีบเข้ามานั่งภายใน

                “ถ้าพวกเจ้าต้องเลี้ยงเด็กคนนี้เป็นลูก พวกเจ้าจะว่าอย่างไร”

                “ท่านอาจารย์พูดอะไรน่ะ ทำไมข้าถึงต้องเลี้ยงเด็กคนนั้นเป็นลูกของข้าด้วย?”เสียงนุ่มรีบร้องถามทันทีเมื่อภารกิจของพวกเขากำลังจะกลายเป็นการรับเด็กมาเลี้ยง คิ้วได้รูปเริ่มขมวดมุ่นก่อนจะหันมองพ่อของเด็กที่มีสีหน้าไม่สบายใจอยู่เหมือนกัน ส่วนหมินหาวเองก็เริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน

                “ตอนนี้เพื่อนของข้าอยู่ในสถานะลำบากมาก เขาไปมีเรื่องกับมือสังหารกลุ่มหนึ่งและแน่นอนว่าเรื่องนี้สำนักเราจะเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ เขาอาจจะไม่กลับมาอีกซึ่งข้าเองก็คงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน”มือสังหารก็มีสำนักของตนแต่ฝึกวิชาเพื่อฆ่าคนเท่านั้น ถึงจะมีน้อยแต่ส่วนใหญ่ก็มากไปด้วยความสามารถจนน่ากลัว และเหล่าชาวยุทธ์เองก็ไม่มีสิทธิ์ไปเล่นงานหรือทำอะไรทั้งสิ้นเพราะถือว่าเป็นอาชีพหนึ่งเหมือนกัน

                “และถ้าเขาดวงไม่แข็งพอ เจ้าก็คงต้องดูแลเด็กคนนี้ต่อไป แต่ข้ายังหวังว่าเขาจะรอดมาได้ ถึงนักฆ่าจะไม่สังหารเด็กแต่พวกเขาไม่เอากลับไปเลี้ยงหรือเข้าสำนักแน่ๆ อาจจะเอาไปวางทิ้งหน้าบ้านใครสักคน ซึ่งเพื่อนข้าไม่มีทางยอมเช่นนั้นเด็ดขาด”

                “ข้าคงต้องขอรบกวนพวกเจ้าทั้งสองคนจริงๆ ช่วยดูแลหย่งเจิ้งของข้าด้วย”หมินหาวพยักหน้ารับพลางมองไปยังเด็กน้อยที่ยังคงหลับอยู่เช่นเคย ผู้เป็นบิดายิ้มออกมาด้วยความดีใจก่อนจะส่งข้าวของของเด็กชายหย่งเจิ้งออกมาให้

                “ข้าจะกลับมาภายในสามเดือนแน่นอน ข้าต้องขอบคุณเจ้าทั้งสองมากจริงๆ”เวินหลิวเอื้อมมืออกไปรับสิ่งของในขณะที่หมินหาวเองก็รอรับเด็กที่กำลังส่งต่อมาให้เช่นกัน ร่างสูงก้มมองก็พบกับเด็กชายแก้มยุ้ยที่กำลังหลับสนิท คิ้วเข้มและตั้งทำให้บ่งบอกถึงความมั่นใจในตนเองไม่น้อย

                “ช่วงสามเดือนนี้ข้าจะจ่ายเงินให้พวกเจ้าทั้งสองคนเช่นกัน เหมือนกับการทำภารกิจนั่นแหละ เจ้าสองคนออกไปได้แล้ว”ทั้งสองคนขยับตัวลุกขึ้นออกมาด้านนอกตามคำสั่งเจ้าสำนักแต่โดยดี ในหัวร่างสูงได้แต่คิดว่าหากตนเองต้องรับเด็กคนนี้มาเป็นลูกชายของตนเองจริงๆจะเป็นอย่างไร

                ที่แน่นอนคืออย่างแรกเขาจะไม่ได้ออกไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ แบบที่ชาวยุทธ์ทั่วไปเขาทำกัน และอย่างที่สองคือ เขาจะต้องเริ่มออกทำภารกิจคนเดียวมากขึ้นเรื่อยๆ และเวินหลิวจะต้องไม่พอใจแน่ๆ เพราะเวินหลิวนั้นไม่ใช่พวกที่จะรอข่าวคราวอย่างเช่นคนอื่น แต่มักเป็นฝ่ายที่ออกมาด้วยทั้งที่เขาพยายามห้ามถ้าภารกิจนั้นอันตรายเกินไป

                เขาได้แต่ภาวนาว่าพ่อของเด็กจะมีชีวิตรอดปลอดภัยกลับมา

                “หมินหาวๆ ข้าขอดูหน้าหย่งเจิ้งชัดๆหน่อยสิ”ร่างเพรียวที่ยังไม่ได้เห็นใบหน้าเด็กชายตัวน้อยชัดเจนพูดขึ้นพลางยื่นมือออกมา ทำให้ร่างสูงที่คิดมากเกินไปหลุดออกจากห้วงความคิดก่อนส่งยิ้มกว้างไปให้ ร่างสูงขยับกายถอยออกมาเป็นการบอกว่าไม่ให้

                “เดี๋ยวเจ้าทำเด็กหล่น ข้าอุ้มไปเองแหละดีแล้ว”

                “หมินหาวเอามาเดี๋ยวนี้นะ!”เสียงหวานเริ่มดังขึ้นทำให้ศิษย์น้องในสำนักที่เดินไปมาช่วงกลางวันต้องหันมองตาม ก็พบกับคู่รักคู่เดิมที่เพิ่งตีกันไปเมื่อเช้าทำท่าจะตีกันอีกรอบในช่วงเที่ยงของวัน

                ถ้าวันไหนพวกเขาไม่ตีกัน พวกเขาจะเลิกรักกันรึไงนะ?

    .

    .

    .

    .

                ในอ้อมแขนร่างเพรียวมีเด็กชายตัวน้อยที่ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจยามโดนอุ้มแล้วแกว่งไปมาเล็กน้อย หมินหาวที่ถูกสั่งโดยเวินหลิวให้อ่านวิธีการเลี้ยงเด็กที่หยิบมาจากตู้หนังสือของจีฟ่านแอบมองเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ กำปั้นเล็กของเด็กน้อยคว้ากลุ่มผมนุ่มไว้แล้วดึงเบาๆด้วยความสนใจ

                “ตัวหนักจังเลยนะ หิวรึยังหืม”เด็กน้อยมองใบหน้าของคุณแม่จำเป็นที่ส่งยิ้นอ่อนโยนมาให้ เด็กวัยสองขวบนั้นเริ่มที่จะจำได้และพูดได้แล้วส่งเสียงตอบสนองกับคนที่อุ้มเขาอยู่ในตอนนี้

                “ท่านน้า”

                “ทำไมถึงน่ารักแบบนี้กันนะ”เสียงหวานนั้นลากยาวก่อนจะหอมแก้มยุ้ยๆของเด็กชายเสียหลายฟอดจนหย่งเจิ้นหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ ร่างสูงที่อ่านวิธีเลี้ยงเด็กเริ่มขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าเวินหลิวของเขากำลังเมินเขาและหลงเจ้าเด็กน้อยนี่หัวปักหัวปำ

                ทีให้เขาอุ้มล่ะมาทำร้องไห้โยเย พอได้เวินหลิวอุ้มเข้าหน่อยก็หัวเราะชอบใจ น่าจับตีเป็นที่สุด!

    ย้อนกลับไปราวชั่วโมงก่อน

                หลังจากอุ้มเด็กไปวิ่งหนีไปสุดท้ายก็มาหยุดตรงหน้าห้องของจีฟ่าน ร่างเพรียวที่ยอมแพ้แล้วหายใจฮึดฮัดด้วยความหงุดหงิดก่อนเปิดประตูเข้าไปแล้วเริ่มเดินไปตามตู้หนังสือ

                “เจ้าหาอะไรน่ะ”

                “วิธีเลี้ยงเด็กน่ะสิ เด็กยังเล็กและกินอาหารอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ รีบอ่านก่อนที่หย่งเจิ้นจะตื่นขึ้นมาเถอะ”หมินหาวพยักหน้าเห็นด้วยก่อนค่อยๆวางเด็กชายลงบนโต๊ะไม้อย่างแผ่วเบา เอาห่อผ้าที่มีข้าวของของตัวหย่งเจิ้งเองมาแทนหมอนหนุนให้นอนได้สบาย

                หมินหาวเองก็ชอบเด็กและอยากมีลูกเช่นคนทั่วไป หากแต่อายุเพิ่งจะยี่สิบการมีลูกมันอาจจะเร็วเกินไปเพราะตัวเขายังไม่ได้ทำอะไรอีกหลายอย่าง ถ้าอยากมีจริงๆตอนนั้นก็คงค่อยไปรับเด็กมาเลี้ยงก็ไม่มีปัญหาอะไร

                ถึงแม้ว่าลึกๆแล้วจะอยากได้ลูกจากคนที่เขารักก็ตามที

                เด็กน้อยที่หลับอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นงัวเงียลุกขึ้นนั่งพลางมองไปรอบๆ พบกับสถานที่ไม่คุ้นเคยและบิดาที่เขาคุ้นเคยก็ไม่มีอยู่เช่นกัน

                “แงงง โฮ!”เสียงร้องไห้จ้าทำให้ทั้งสองคนที่พยายามหาหนังสืออยู่สะดุ้งขึ้น เวินหลิวมองยังหมินหาวที่ท่าทางน่าจะรับมือกับเด็กได้มากกว่าเป็นเชิงบอกให้ไปดูหย่งเจิ้นเดี๋ยวนี้

                “ร้องไห้ทำไมหืม โอ๋ๆ”ถึงจะถูกอุ้มซบไหล่หรือพูดยังไง กล่อมยังไงเด็กน้อยก็ยังร้องไห้ไม่ตอบคำถามจนปวดหูไปหมด เวินหลิวที่ในที่สุดก็เจอตำราที่ต้องการรีบเดินออกมามองด้วยความประหลาดใจ

                “เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง เจ้าอ่านตำรานี่ไปก่อนเร็ว”ร่างสูงรีบส่งหย่งเจิ้นไปแล้วรัหนังสือมาเปิดด้วยความเร่งรีบ ร่างเพรียวที่รับเด็กชายเข้ามาในอ้อมแขนส่งเสียงปลอบแผ่วเบาแล้วเดินไปเดินมาเขย่าตัวเด็กเล็กน้อยให้สงบลง

                “คนเก่งเป็นอะไรหืม ชู่ว เงียบก่อนนะ เงียบนะ”เสียงร้องไห้เริ่มหยุดลงกลายเป็นเสียงสะอื้นฮึก ฝ่ามือป้อมนั้นกำเสื้อคนไม่รู้จักไว้แน่นแต่เด็กน้อยกลับรู้สึกสบายใจกับอ้อมกอดนี้ ฝ่ามือนุ่มตบลงก้นเด็กน้อยแผ่วเบาแล้วพูดปลอบออกมาไม่หยุด

                “ท่านพ่อไปไหน”

                “ท่านพ่อไปธุระนะครับ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วเนอะ”เด็กน้อยเริ่มขืนตัวทำให้ร่างเพรียวต้องวางลงให้นั่งบนโต๊ะไม้กลางห้อง หมินหาวไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าเวินหลิวสามารถทำให้เด็กร้องไห้โยเยยอมเงียบลงได้

                หรือคนเอาแต่ใจกับเด็กเอาแต่ใจนี่จะคุยกันรู้เรื่องนะ?

                “ข้าชื่อเวินหลิว คนนู้นชื่อหมินหาว”เด็กน้อยมองตามพลางพยักหน้าคล้ายกับว่าเข้าใจว่ากำลังพูดถึงอะไร ร่างเพรียวยิ้มให้ก่อนจะอธิบายต่ออย่างช้าๆ

                “หย่งเจิ้นต้องอยู่กับน้าก่อนนะ เดี๋ยวท่านพ่อจะมารับทีหลัง”พอรู้เหตุผลเด็กชายหย่งเจิ้นก็ยิ้มออกแล้วเริ่มมองไปรอบๆสถานที่ใหม่ด้วยแววตาซุกซนอยากรู้อยากเห็น ขาเล็กๆทั้งสองข้างขยับไปมาคล้ายจะพยายามลงจากโต๊ะจนเวินหลิวต้องช่วยเอาลงมาให้เด็กน้อยได้เดินเตาะแตะไปรอบๆ

                และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เด็กชายหย่งเจิ้นเกาะติดเวินหลิวซะขนาดนี้

                กลับมายังปัจจุบันที่คนโดนเมินยังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราต่อไป เด็กวัยสองขวบนั้นกำลังซนและอยู่ในช่วงเรียนรู้อยากลองทำอะไรเองหลายๆอย่าง มีการเลียนแบบผู้ใหญ่ และยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ อาหารก็สามารถกินได้แต่ต้องเคี้ยวง่าย หมินหาวถอนหายใจออกมาเมื่อเริ่มรู้สึกว่าการเลี้ยงเด็กมันยุ่งยากกว่าที่คิด

                ชาตินี้จะไม่ขอมีลูกเลยทั้งชีวิต หรือถ้ามีก็ขออายุซักเจ็ดแปดขวบทันทีเลยน่าจะดีกว่า

                “ข้าหิวแล้ว”เสียงอ้อแอ้ยังไม่ค่อยชัดเจนแต่มันกลับทำให้ดูน่าเอ็นดูเสียจนเวินหลิวหลงเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้ มือนุ่มคว้าตำราอาหารเด็กอ่อนที่จีฟ่านเป็นคนเขียนขึ้นมารวมถึงหนังสือที่หมินหาวกำลังอ่านอยู่ด้วยเช่นกัน

                สงสัยว่าคงจะอยากมีลูกกัน

                “ข้าจะไปทำข้าวมาให้หย่งเจิ้นกินนะ เจ้าหิวรึยัง”พอจบคำถามร่างเพรียวกลับได้รับสายตาขุ่นเคืองจากร่างสูงมาแทน คนที่ไม่เข้าใจว่าตนเองผิดอะไรเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย

                “สนใจข้าด้วยรึไง”

                “อะไรของเจ้ากัน? ดูแลหย่งเจิ้นให้ดีๆนะ เดี๋ยวข้าจะรีบมา”หมินหาวมองตามร่างเพรียวที่เดินออกไปพร้อมกับปิดประตูอย่างดี ทิ้งสามีกับลูกเลี้ยงให้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

                หย่งเจิ้นเริ่มทำท่าขยับตัวอีกครั้งแล้วคราวนี้ไปคว้าพู่กันที่เปื้อนหมึกมา ดวงตาของหมินหาวเบิกกว้างแล้วเริ่มขยับตัวไปขวางไว้ทันที

                “วางลง วางลงเดี๋ยวนี้”ดวงตาใสแจ๋วของเด็กน้อยจ้องมองคล้ายเข้าใจแต่มือป้อมนั้นยังคงกำพู่กันแน่น ร่างสูงดึงพู่กันออกจากมือและนั่นก็ทำให้หย่งเจิ้นร้องไห้โฮออกมาทันที

                แต่เขาไม่ได้หลงกลหน้าตาน่ารักของเด็กแบบเวินหลิวแน่

                ร่างสูงทำทีไม่สนใจแล้วพลิกหน้ากระดาษต่อไป หางตาคอยแอบมองเด็กน้อยที่คราวนี้ไม่ได้ร้องแผดเสียงด้วยความกลัวแบบตอนแรก มีเพียงความขัดใจล้วนๆที่ทำให้ร้องไห้ออกมา และเมื่อเวลาผ่านซักพักเสียงร้องไห้เริ่มเบาลงลจนกระทั่งหยุดไปเอง หมินหาวถอนหายใจออกมาเมื่อรู้สึกว่าวิธีนี้ได้ผลมากพอตัว

                “ข้าไม่ตามใจเจ้าหรอก ไม่ต้องมาร้องไห้ให้เหนื่อยเลย”แน่นอนว่าหย่งเจิ้นยังไม่เข้าใจการสื่อสารของหมินหาว แต่ก็รับรู้ได้ว่าคนคนนี้ไม่ตามใจเขาหรือโอ๋เขาแน่นอน

                “รอนานมั้ย”เสียงหวานนุ่มหูมาพร้อมกับกลิ่นกับข้าวหอมฉุยทำให้หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่รีบหันไปมองแทบพร้อมกัน หมินหาวมองกับข้าวน่ากินหลายอย่างที่ค่อยๆเอาออกจากถาดมาวางเบื้องหน้าเขา และมีชามใส่โจ๊กอีกหนึ่งชามที่น่าจะเป็นของหย่งเจิ้น

                “อย่าเพิ่งกินนะหมินหาว ป้อนข้าวหย่งเจิ้นก่อน”มือหนาที่เตรียมคว้าถ้วยใส่ข้าวต้องชะงักลงแล้วหยิบถ้วยโจ๊กขึ้นมาแทน เวินหลิวจับเด็กซนนั่งตักก่อนจะให้มาเผชิญหน้ากับหมินหาวที่กำลังคนให้หายร้อน

                “เจ้าทำโจ๊กนี่เองหรอ”

                “ใช่น่ะสิ หย่งเจิ้นอย่าดิ้นสิ”เด็กน้อยเริ่มดิ้นฮึดฮัดเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดจนทำให้ร่างสูงที่พยายามเอาช้อนไปแหย่ปากเล็กๆนั้นไม่สามารถทำได้เสียที

                “ข้าจะกินเอง”ดวงตาเล็กฉายแววลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังหมินหาวเพื่อขอความคิดเห็น ร่างสูงถือถ้วยในมือแล้วปล่อยให้เด็กแสบเริ่มใช้ช้อนตักข้าวเอง

                แน่นอนว่าผลของการให้กินเองก็ย่อมมีคนเลอะเทอะเป็นธรรมดา ทั้งตัวหย่งเจิ้น หมินหาว และเวินหลิว โดยเฉพาะหมินหาวที่เดินมือเล็กๆนั่นจ้วงโจ๊กปาใส่หน้าเขาเสียพอดิบพอดี เสียงหัวเราะของเวินหลิวกับหย่งเจิ้นดังลั่นไปทั่วห้องโอสถกับใบหน้าที่เลอะเทอะของร่างสูง

                หมินหาวรู้สึกเกลียดเด็กก็ในวันนี้..

    .

    .

    .

    .

                ตะกร้าสานวางลงกับพื้นดังตุ้บก่อนที่เสื้อผ้าเปียกโชกจะถูกสะบัดแล้วเริ่มคลี่ตากแดด ถ้ายังเป็นเด็กเล็กไม่เกินสิบขวบจะมีพวกศิษย์พี่ช่วยซักให้ แต่ถ้าโตแล้วจะต้องต่างคนต่างทำหาเวลาว่างมาจัดการกันเอง ร่างสูงที่มักจะมีภรรยาจอมดื้อคอยซักให้ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อตอนนี้หย่งเจิ้นเกาะเวินหลิวไม่ยอมห่าง หน้าที่ต่างๆก็เลยต้องมาเป็นของเขาเอง

                ความจริงการซักผ้าเองเขาก็ไม่บ่นอะไรเพราะถือว่าช่วยกัน แต่การต้องมาซักเสื้อผ้าของเด็กชายที่ไม่ชอบหน้าพาลให้โมโหขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แถมหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เวินหลิวก็เห่อเด็กนั่นชนิดที่ว่าห้ามดุห้ามตี ใครมาแกล้งก็โดนต่อว่าแม้กระทั่งตัวเขาเอง

                และที่สำคัญคือเขาไม่สามารถหาเวลาอยู่กับเวินหลิวได้ตามลำพังเลยสักนิด! หย่งเจิ้นพออยู่กับเวินหลิวก็เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายไม่ร้องไห้ แต่พออยู่กับเขาก็แผลงฤทธิ์เสียจนน่าตี

                เหล่าศิษย์น้องที่อยู่ใกล้ๆพากันมองหน้าอย่างหวาดๆเมื่อเห็นศิษย์พี่หมินหาวที่มักจะดูใจดีและยิ้มค่อนข้างบ่อยนั้นหน้าตาบูดบึ้ง นับวันท่าทางก็ดูโมโหมากขึ้นทุกทีจนศิษย์น้องที่อยากให้ช่วยสอนวิชาต่างๆไม่กล้าเข้าหาเหมือนเคย

                “ข้าช่วยนะ”เสียงนุ่มหวานที่ผิดกับนิสัยท่าทางดังขึ้นทำให้ร่างสูงคลายคิ้วที่ขมวดแล้วหันกลับไปมองเวินหลิวที่ยืนส่งยิ้มบางมาให้ และยิ่งในอ้อมแขนที่มักจะมีเจ้าตัวแสบอยู่เสมอนั้นว่างเปล่ายิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูดีใจยิ่งกว่าเดิม

                “เจ้าไม่คอยดูหย่งเจิ้นแล้วรึไง”รอยยิ้มขบขันกับแววตารู้ทันทำให้ร่างสูงรู้สึกว่าตนเองพลาดท่าเลยทำทีกระแอมไอแล้วหยิบผ้าขึ้นมาตากต่อ เวินหลิวยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้นจนกระทั่งใบหน้าหวานนั้นซุกลงแผ่นหลังกว้าง

                ศิษย์น้องที่เห็นคู่รักคู่นี้ที่มักโวยวายกันลั่นสำนัก ไม่ก็มาจีบกันต่อหน้าค่อนข้างบ่อยพากันมองดูภาพที่หาได้ยากในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้

                “ข้าเห็นว่าคนแถวนี้นับวันจะอารมณ์เสียมากขึ้นทุกทีเลยเอาไปคืนเจ้าสำนักสักพักน่ะ ก็ไม่รู้จะดูแลได้รึเปล่า แต่ขืนหย่งเจิ้นยังอยู่สามีข้าคงได้หงุดหงิดจนกระอักเลือดตาย”

                บทจะทะเลาะกันก็ไล่ฟัดเสียจนหมินหาวได้แผลทั้งรอยข่วนรอยตี แต่บทจะอ้อนเอาใจกันก็ทำให้เวินหลิวดูน่ารักขึ้นมากกว่าเดิมไม่ใช่น้อย

                “ข้านึกว่าเจ้าจะสนใจแต่หย่งเจิ้นซะอีก”ร่างเพรียวที่ใบหน้าซุกหลังกว้างนั้นหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสามีที่นึกน้อยใจตนขึ้นมาเพราะเด็กคนเดียว ดวงตาเล็กนั้นกวาดมองเหล่าศิษย์น้องที่ยืนดูด้วยความสนใจ และจากแววตาของภรรยาผู้เอาใจสามีก็แปรเปลี่ยนเป็นดุเฮี้ยบราวแม่เสือและสื่อออกมาให้เข้าใจได้ง่ายๆว่า

                ไปไกลๆถ้าไม่อยากโดนอัด

                และเหล่าศิษย์น้องทั้งหลายทิ้งตะกร้าผ้าแล้วหายออกไปโดยไม่ต้องโดนมองซ้ำสอง

                มือนุ่มดึงรั้งให้ร่างสูงหันกลับมามองยังตน ปลายเท้าเขย่งขึ้นจนกระทั่งริมฝีปากอิ่มสัมผัสลงริมฝีปากอีกฝ่ายแล้วผละออกมา รอยยิ้มออดอ้อนทำให้ร่างสูงใจอ่อนลงได้ลงแทบจะทันที

                “ข้าก็ไม่ได้โมโหอะไรมากมายนี่”

                “เหล่าเด็กๆมาบอกข้ากันให้วุ่นว่าเจ้าน่ากลัวจนไม่กล้าอยู่ใกล้”มือนุ่มคว้าผ้าในตะกร้ามาสะบัดก่อนจะเอาขึ้นตากอย่างคล่องแคล่ว เอวคอดถูกอ้อมแขนแข็งแรงโอบรัดโดยที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นซบลงไหล่ลาด

                “ก็ข้าได้กลับมาทั้งทีข้าก็อยากจะอยู่ใกล้เจ้า อยากจะพาเจ้าออกไปเที่ยวบ้าง แต่เจ้าก็สนใจแต่หย่งเจิ้นแถมยังว่าข้าเวลาข้าดุหย่งเจิ้นอีก เด็กน่ะตามใจมากจะเสียคนเจ้าก็น่าจะรู้”

                “ข้าก็ไม่ได้ตามใจไปทุกเรื่องเสียหน่อย และหย่งเจิ้นก็น่ารักจะไม่ให้ข้ารักได้ยังไงกัน”เวินหลิวอมยิ้มเมื่อรู้สึกถึงแรงโอบรัดรอบเอวที่แน่นขึ้น คนอะไรจะหึงได้แม้กระทั่งเด็กสองขวบ

                “เจ้ารักหย่งเจิ้นมากกว่าข้าอีกหรอ ข้าเป็นสามีเจ้านะ”นานๆทีที่สามีจะมางอแงทำตัวเด็กใส่ยิ่งทำให้เวินหลิวยิ้มออกมาไม่หยุด

                “ข้าจะไปรักคนอื่นมากกว่าเจ้าได้ยังไงกันล่ะ หมินหาวอย่าเพิ่งเกาะแกะข้าได้มั้ย”แก้มใสโดนร่างสูงหอมแก้มลงทั้งสองข้างจนพวงแก้มขาวนั้นแดงเรื่อ เหล่าศิษย์น้องที่แอบกลับมามองดูพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อศิษย์พี่ผู้เก่งกาจกับมาอารมณ์ดีดังเดิม

                แถมวันนี้ยังไม่มีเสียงตวาดของศิษย์พี่เวินหลิวอีกต่างหาก

    .

    .

    .

    .

                ร่างสูงมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเป๋ไปเป๋มาพลางอมยิ้ม โดยมีเวินหลิวที่คอยตามเผื่อเจ้าตัวเล็กนั้นจะล้มลงจะได้คว้าขึ้นมาทัน สองเดือนที่เขารับหย่งเจิ้นมาเลี้ยงชั่วคราวและเป็นเดือนแรกที่เขากับเด็กคนนี้สามัคคีกันได้ โดยมีเวินหลิวที่พยายามให้หย่งเจิ้นเลิกแผลงฤทธิ์ใส่ และลดอคติของเขากับเด็กชายคนนี้

                ร่างสูงหันความสนใจกลับมายังศิษย์น้องที่มาขอให้ช่วยสอนเพิ่มให้อีกครั้ง ดวงตาคมโตคอยกวาดมองเหล่าเด็กหนุ่มที่ขยับตัวเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและตั้งใจเหมือนตัวเขาในสมัยก่อน

                ร่างเพรียวอุ้มเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเล่นจนเหนื่อยมายังร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงลานฝึกเล็กที่ร่างสูงยืนอยู่ ดวงตาเล็กกวาดมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยังคงฝึกฝนกลางแสงแดดที่เริ่มแรงขึ้นทุกที

                “เจ้าว่าพ่อของหย่งเจิ้นจะกลับมารึเปล่า”หมินหาวเอาเด็กน้อยที่หลับไปแล้วในอ้อมแขนเวินหลิวมาช่วยอุ้มก่อนจะส่ายหัวเป็นเชิงบอกไม่รู้

                “อายุแค่นี้กำพร้าพ่อแม่เลยก็น่าสงสารเกินไป”เวินหลิวพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเกลี่ยแก้มยุ้ยของเด็กชายจอมซนแผ่วเบา มือขาวรีบควานเอาผ้าผืนเล็กมารองใต้หัวกลมๆนั่นเมื่อริมฝีปากเล็กอ้าจนน้ำลายจะไหลเลอะบ่าแกร่ง

                “ขนาดหลับยังก่อเรื่องเลยดูสิ”เสียงทุ้มที่พูดขึ้นแฝงไปด้วยความขบขันทำให้เวินหลิวยิ้มออกมาด้วย ดวงตาเล็กละออกจากหย่งเจิ้นก่อนจะมองไปยังใบหน้าของหมินหาว

                “ถ้าเราต้องเลี้ยงหย่งเจิ้นจริงๆ เจ้าจะว่ายังไง”

                “ก็ไม่ว่าอะไรหรอก ถ้ามันจำเป็น”

                “รักหย่งเจิ้นแล้วล่ะสิ”หมินหาวเหลือบมองร่างเพรียวที่ส่งยิ้มรู้ทันมาให้จนเขาต้องขำออกมาเล็กน้อย เด็กน้อยที่ซบไหล่บนตัวขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะนิ่งลงตามเดิม ร่างสูงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเพราะถ้าเจ้าตัวเล็กนี่ตื่นขึ้นมาโดยที่ยังนอนไม่พอก็จะร้องลั่นจนปวดหัวปวดหูกันไปหมด

                “ศิษย์พี่หมินหาว ศิษย์พี่เวินหลิว”คนโดนเรียกต่างหันไปยังทิศทางของเสียงก็คือลู่หานที่วิ่งเข้ามาหา เวินหลิวถามคำถามออกไปและได้รับคำตอบที่ทำให้ทั้งสองคนมีสีหน้าสงสัย

                “ท่านเจ้าสำนักให้ข้ามาบอกว่า ให้ท่านไปพบที่ตึกไม้ตรงลานฝึกด้วยน่ะครับ ทำไมข้าถึงโดนใช้ตลอดเลยนะ”เสียงสุดท้ายบ่นออกมางึมงำคนเดียวก่อนจะเดินกลับออกไป หมินหาวหันกลับไปสั่งเหล่าศิษย์น้องให้ไปพักผ่อนหรือฝึกกันตามสบาย

                “เป็นข่าวของพ่อหย่งเจิ้นรึเปล่านะ”

                “ถ้าเป็นข่าวดีก็คงดีไม่น้อยเลย”เสียงทุ้มตอบกลับก่อนจะก้าวเดินไปพร้อมกับเวินหลิว แต่เมื่อไปพบตรงตกไม้กลับมีเพียงเจ้าสำนักเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่

                “ท่านเรียกพวกเรามีอะไรรึเปล่า”เป็นหมินหาวที่ถามขึ้นก่อนจะค่อยๆวางเด็กน้อยลงแผ่วเบาให้หัวหนุนขาของเวินหลิวแทน

                “เลี้ยงหย่งเจิ้นกันสนุกมั้ยล่ะ”

                “ก็สนุกดีครับ หย่งเจิ้นน่ารักดี”ร่างเพรียวตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย เจ้าสำนักยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าลูกศิษย์ตัวแสบที่ดื้อมากกว่าใครนั้นดูโตขึ้นเพราะต้องรับผิดชอบชีวิตเด็กชายตัวน้อยเอาไว้ เขาได้แต่หวังว่าพอหย่งเจิ้นไม่อยู่แล้วเวินหลิวจะยังเรียบร้อยแบบนี้อยู่

                “วันนี้ก็สนุกกับหย่งเจิ้นให้เต็มที่ละกันนะ พรุ่งนี้เพื่อนข้าจะมารับตัวหย่งเจิ้นไปเลี้ยงเองแล้วล่ะ”เวินหลิวกับหมินหาวหันมองหน้ากันก่อนจะเผยอยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่หย่งเจิ้นจะไม่กำพร้าบิดาที่เหลืออยู่

                โดยเฉพาะหมินหาวที่รู้สึกได้ว่าเวลาที่จะได้อยู่กับเวินหลิวสองคนนั้นได้มาถึงเสียที

                “เรื่องเงินภารกิจพรุ่งนี้เจ้าค่อยมารับละกันนะ เพื่อนข้าเองจะจ่ายให้เจ้าด้วย ไปได้แล้ว”เจ้าสำนักกระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ตัวสูงดูดีใจกว่าใคร มองตามคนสองงคนที่พูดคุยหัวเราะกันโดยเวินหลิวเป็นคนอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้เอง

                ยามค่ำคืนจันทราเสี้ยวส่องแสงสว่างอ่อนแรง ภายในห้องพักเด็กชายตัวน้อยที่กำลังจะกลับไปหาบิดายังคงนั่งอยู่ไม่ยอมนอนบนเตียงเด็กที่เจ้าสำนักให้มา ร่างเพรียวที่เพิ่งกลับจากอาบน้ำคุกเข่าลงก่อนจะไล้นิ้วเกลี่ยแก้มยุ้ยนั่นแผ่วเบา

                “พรุ่งนี้จะไม่ได้เจอกันแล้วนะ คนเก่งจะลืมน้ารึเปล่า”

                “ท่านน้าจะไปไหน”เวินหลิวหัวเราะเล็กน้อยเพราะเขายังไม่ได้บอกว่าพ่อของเจ้าตัวจะกลับมาแล้ว ขืนบอกไปคงดีใจไม่ได้นอนกันพอดี

                “ท่านน้าอยู่ที่นี่แหละ”สีหน้างุนงงของหย่งเจิ้นทำให้เวินหลิวอดไม่ได้จะไปหยิกแก้มนุ่มๆนั้นซักที เด็กชายตัวแสบหัวเราะเสียงดังก่อนที่มือป้อมๆนั้นจะพยายามคว้าใบหน้าของผู้ใหญ่และเลียนแบบ

                “ทำไมวันนี้หย่งเจิ้นไม่ยอมนอนอีกล่ะ”ร่างสูงที่เฝ้าภรรยาอาบน้ำแล้วค่อยอาบทีหลังพูดขึ้นเมื่อเข้ามาแล้วยังเห็นเวินหลิวกับหย่งเจิ้นที่ยังเล่นด้วยกันอยู่ ร่างสูงเดินไปนั่งคุกเข่าข้างเวินหลิวจ้องหน้าเด็กน้อยที่มองกลับ

                “นอนกลางวันเยอะไปน่ะสิ หย่งเจิ้นนี่โตมาน่าจะหล่ออยู่นะ”

                “ข้าหล่อกว่าเยอะ”ร่างเพรียวหัวเราะออกมาก่อนจะเอาหย่งเจิ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน พยายามกล่อมให้นอนหลับเสียที หมินหาวมองตามเวินหลิวที่ตอนนี้อยู่ในเสื้อนอนเนื้อผ้าบาง เส้นผมยาวที่ปกติมักจะมัดไว้เป็นมวยเช่นชาวยุทธ์ทั่วไปก็ปล่อยลงทั้งหมด ถึงผมของเขาจะยาวเช่นกันแต่ก็ไม่ได้ตรงและดูนุ่มสวยแบบนี้

                เสียงฮัมเพลงแผ่วเบาเป็นตัวช่วยขับกล่อมให้หย่งเจิ้นง่วงนอนเร็วขึ้น กำปั้นเล็กๆที่ชอบกุมเส้นผมสวยนั้นเริ่มคลายออกก่อนที่ดวงตาจะปรือลงทีละน้อย หมินหาวมองแล้วอมยิ้มตามก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอวคอดจากด้านหลัง เมื่อหย่งเจิ้นหลับลงไปอย่างง่ายดายเมื่อโดนกล่อมแล้วถูกพานอนลงบนเตียงเด็ก

                “ข้าคงคิดถึงหย่งเจิ้นแย่เลย”

                “เดี๋ยวข้าจะให้เจ้าเลี้ยงลูกจนลืมหย่งเจิ้นไปเลย”เวินหลิวขำออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันใบหน้าแหงนมองร่างสูงที่มองกลับลงมาเช่นกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

                “เจ้าจะเอาเด็กมาจากไหนกันล่ะ”

                “ข้าจะเสกเด็กเข้าตัวเจ้าเป็นไง”ฝ่ามือหนานั้นเลื่อนมาตรงหน้าท้องแบนราบทำให้หน้าหวานแดงก่ำก่อนจะง้างมือตีลงมือหนานั้นแผ่วเบา ริมฝีปากอิ่มคล้ายจะโวยวายเพราะความเขินแต่ก็เม้มแน่นแทนเพราะกลัวหย่งเจิ้นตื่นขึ้นมาอีก

                “ไม่ต้องเลย นอนได้แล้ว”

                “ข้าอดมานานสองเดือนแล้วนะเวินหลิว”

                “แค่สองเดือนจะเป็นอะไรไป นอนเดี๋ยวนี้เลย”ร่างสูงยอมคลายอ้อมกอดออกด้วยสีหน้าบูดบึ้งก่อนจะยอมเดินไปนอนแต่โดยดี เวินหลิวอมยิ้มก่อนจะดับไฟแล้วไปนอนเช่นกัน ลำตัวบางถูกแขนยาวคว้าเข้ามากอดไว้แน่นก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะซบลงช่วงลำคอระหง

                “แล้วไม่ต้องมาเรียกร้องจากข้าเลยนะ”

                “ก็ไม่รู้สิ”ร่างเพรียวรู้สึกถึงอ้อมแขนแข็งแรงนั้นรัดเอวเขาแน่นขึ้นคล้ายกับบอกว่าแล้วจะคอยดู ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา

                มือเล็กป้อมอยู่ในอุ้งมืออบอุ่นของผู้ใหญ่คนละข้าง ขาเล็กก้าวเดินไปข้างหน้าสลับคล้ายวิ่งทำให้คนจับมือไว้ทั้งสองคนต้องคอยเปลี่ยนจังหวะการก้าวเดินแทบตลอด เด็กน้อยที่ติ่นมาด้วยความสดใสเช่นทุกวันกระโดดไปมาจนสุดท้ายร่างสูงก็ช้อนใต้รักแร้ขึ้นอุ้มสูงๆ หมุนไปมาแล้วโยนเล็กน้อยยิ่งทำให้หย่งเจิ้นหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ

                “หมินหาว! ข้าเคยบอกแล้วนี่ว่าอย่าโยนสูงแบบนี้ มานี่เลยนะข้าจะอุ้มเอง”

                “เจ้าอย่าขี้กังวลไปหน่อยเลย หย่งเจิ้นอยากเล่นอีกรึเปล่า อยากให้ใครอุ้มหืม?”

                “ท่านน้าหมินหาว ข้าจะให้ท่านน้าหมินหาวอุ้ม”ร่างสูงหันกลับไปยักคิ้วใส่ร่างเพรียวที่ขมวดคิ้วสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากขัดใจเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้โดนอุ้มขึ้นสูงอีกแล้ว

                “สูงไปแล้วนะหมินหาว”

                “สูงตรงไหนกัน หย่งเจิ้นอย่าไปสนใจน้าเวินหลิวเลย เดี๋ยวน้าหมินหาวจะพาไปหาของขวัญนะ”

                “ของขวัญ? ข้าชอบของขวัญ!”เด็กน้อยถูกจับขี่คอแล้วพาตรงไปยังตึกไม้ใกล้ลานฝึก โดยเวินหลิวที่ทำอะไรไม่ได้สบถและกระทืบเท้ากระฟัดกระเฟียดเล็กน้อยและรีบเดินตาม เหล่าศิษย์น้องเริ่มรู้สึกถึงศิษย์พี่เวินหลิวจอมโวยวายคนเดิมที่กำลังจะกลับมา

                พอบานประตูไม้เลื่อนเปิดเด็กชายหย่งเจิ้นที่เดินมาโดยถูกหมินหาวจูงมือมาองไปด้วยความสนใจเพื่อหาของขวัญ ดวงตาเด็กน้อยกวาดมองไปกอนจะหยุดลงตรงชายวัยกลางคนที่ส่งยิ้มกว้างดีใจมาให้

                “ท่านพ่อ!”มือใหญ่ปล่อยมือป้อมนั้นออกแล้วหย่งเจิ้นก็วิ่งไปในอ้อมกอดบิดาที่ไม่พบหน้ากันยาวนาน เสียงหัวเราะของเด็กน้อยทำให้ผู้ใหญ่ต่างพากันยิ้มด้วยความยินดี

                “ข้าขอบคุณพวกเจ้าสองคนมากที่ช่วยดูแลลูกชายข้าได้ดีขนาดนี้””ทั้งสองคนที่เข้ามานั่งทีหลังต่างยิ้มรับแล้วมองหย่งเจิ้นที่เหมือนจะลืมพวกเขาเสียแล้ว เสื้อผ้าของเด็กน้อยถูกใส่ห่อผ้าแล้วส่งกลับให้ผู้เป็นบิดา

                “และนี่เป็นค่าตอบแทนที่พวกเจ้าช่วยเลี้ยงหย่งเจิ้นได้ดีขนาดนี้ ข้าหวังว่ามันจะมากพอสำหรับพวกเจ้าสองคนนะ”มือหนาของหมินหาวเอื้อมไปรับถุงใส่เงินที่หนักเอาการก่อนจะเปิดดู เวินหลิวที่ชะโงกหน้ามามองด้วยรีบพูดปฏิเสธทันที

                “เงินเยอะแบบนี้ท่านจะมีพอใช้หรือ พวกข้าสองคนแค่ครึ่งถุงนี่ก็มากพอแล้ว”

                “ข้ามีเงินทองอีกมากมาย แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ ข้าคงต้องไปซักที ขอบคุณพวกเจ้ามากจริงๆ”แต่พอพ่อของหย่งเจิ้นลุกขึ้นนั้นเด็กชายตัวแสบก็วิ่งพุ่งเข้ามากอดยังท่านน้าเวินหลิวก่อนจะช้อนตาขึ้นมองอ้อน

                “ข้าจะเอาท่านน้าเวินหลิวไปด้วย”

                “ฮ่าๆๆ ข้าไปกับเจ้าไม่ได้หรอก พอโตแล้วก็อย่าลืมน้าซะล่ะ”

                “ท่านพ่อ! ข้าจะเอาท่านแม่”คนโดนบังคับให้เป็นท่านแม่หัวเราะออกมาก่อนจะหยิกแก้มนุ่มนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว โดยหมินหาวนั้นมีสีหน้าไม่พอใจจนทุกคนในห้องยกเว้นหย่งเจิ้นรู้สึกได้

                “มาได้แล้วหย่งเจิ้น ไว้พ่อจะพาเจ้ามาเที่ยวใหม่นะ”เด็กชายตัวน้อยมีท่าทางไม่พอใจแต่ก็ยอมวิ่งกลับไปสู่อ้อมแขนบิดาของตน โดยก่อนไปไม่ลืมจะไปกอดหมินหาวด้วยเช่นกัน พอสองพ่อลูกจากไปบรรยากาศก็เงียบลงทันที

                “ข้าไปได้แล้วใช่รึเปล่า”เจ้าสำนักมองดวงตาของเวินหลิวที่ดูเป็นประกายเหมือนก่อนจะเอาหย่งเจิ้นมาเลี้ยงแล้วลอบถอนหายใจ โบกมือเป็นสัญญาณว่าให้ไปได้ก่อนจะเอาชามาจิบเล็กน้อย

                “ไปเที่ยวกันเถอะหมินหาว! ข้าอยากได้ผ้าใหม่ๆอยู่พอดีเลย มาเร็ว”มือนุ่มดึงร่างสูงให้ยืนตามก่อนจะรีบวิ่งออกไปเหมือนเด็กก็ไม่ปาน เจ้าสำนักหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อพบว่าท่านน้าเวินหลิวของหย่งเจิ้นที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่มาสองเดือน กำลังจะสลัดคราบท่านน้าผู้เรียบร้อยออกและมาเป็นเวินหลิวตัวแสบเช่นเดิม

                “นี่ เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า”ร่างเพรียวที่ลากคนตัวสูงกว่ามาจนถึงหน้าห้องโอสถเอียงคอถามด้วยความสงสัยเมื่อหมินหาวไม่พูดคุยด้วยเช่นเคย

                “เจ้าดีใจมากเลยรึไงที่จะได้เป็นแม่หย่งเจิ้นน่ะ”

                “ก็หย่งเจิ้นน่ารักออก ทำไมล่ะ”

                “เจ้าเห็นว่าพ่อหย่งเจิ้นหน้าตาดีใช่มั้ยล่ะ”คนหน้าหวานกระพริบตาปริบดูงุนงงแต่เมื่อคิดทันก็เริ่มต้นยิ้มและหัวเราะออกมา แขนเรียวกอดต้นแขนคนขี้หึงไว้ก่อนจะเอียงใบหน้าซบลงไป

                “ข้าไม่เคยมองใครหน้าตาดีกว่าเจ้าเลยนะหมินหาว ทำไมถึงคิดมากแบบนี้กันนะ”ร่างสูงก้มมองดวงตาเล็กที่ใช้สายตาออดอ้อนจนเขาหายอารมณ์เสียไปกว่าครึ่ง

                “ข้ารักเจ้ามากนี่เวินหลิว”คนโดนบอกรักอมยิ้มขวยเขินก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตริมฝีปากของคนรักแผ่วเบา เมื่อจะผละออกกลับถูกอ้อมแขนแข็งแรงรั้งเอวและท้ายทอยไว้ก่อนเริ่มมอบสัมผัสหอมหวานให้แทน ดวงตาเล็กหลับลงปล่อยให้ร่างกายตอบสนองสัมผัสที่ห่างหายไปด้วยความเผลอไผล

                “ศิษย์...พี่ เอ่อ”ศิษย์น้องที่หมินหาวคาดโทษไว้ตั้งแต่สองเดือนที่แล้วหน้าซีดเมื่อพบว่าตนเองได้มาขัดจังหวะศิษย์พี่หมินหาวที่ผละริมฝีปากออกจากร่างเพรียว ลู่หานส่งยิ้มแหยให้ร่างสูงที่มองดุในขณะที่เวินหลิวหน้าแดงเดินเข้าห้องโอสถไปเงียบๆ

                “คือ ข้ามาเป็นตัวแทนจากเพื่อนๆข้าว่า วันนี้เจ้าสำนักอนุญาตให้ออกไปเที่ยวในเมืองได้ และศิษย์พี่หมินหาวไม่ต้องมาช่วยสอนในวันนี้กับพรุ่งนี้ ข้าไปล่ะนะ”พูดจบก็รีบวิ่งหายไปทิ้งให้ร่างสูงถอนหายใจแล้วเดินตามเข้าไปในห้องโอสถทีหลัง

                นี่เขาควรจะโทษเจ้าลู่หานหรือท่านเจ้าสำนักดี?

     

    ตัดฉากนะเจ้าฮะ อยากอ่านกรุณาไปจิ้มตอนที่ 1 นะเจ้าคะ อาจจะยุ่งยากแค่แปปเดียว แต่ดีกว่าการเสียเวลาคอยเมล์จากไรท์หลายวันนะคะ

    .

    .

    .

    .

                “เวินหลิว”เสียงทุ้มนั้นอ่อยและแผ่วเบาเมื่อวานได้กลั่นแกล้งร่างเพรียวที่ยืนหน้าบูดอยู่ตรงใกล้ๆลานฝึกยุทธ์ คนเจ็บสะโพกและโดนกระทำยาวนานตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงเลิกคิ้วมองเป็นคำถาม

                “ข้าแค่ทำต่อตอนค่ำอีกรอบเดียวเองนะ”

                “ข้าบอกเจ็บแล้วทำไมไม่ฟัง”เสียงที่มักจะนุ่มหูอยู่เสมอนั้นตอนนี้เรียบนิ่งและเย็นชา เขาไม่มีหน้าจะไปคุยกับใครโดยเฉพาะศิษย์น้องที่เมื่อวานไม่รู้ว่าเป็นใครที่เข้ามาเอายา เขานอนหลับไปพอตื่นมาช่วงเย็นก็โดนคนตัวโตเอาแต่ใจนี่จัดการอีกจนกระทั่งไม่มีเวลามาโกรธ

                “ก็ข้าคิดถึงเจ้า”คิ้วได้รูปขมวดมุ่นก่อนจะค่อยๆพาตนเองเดินไปตรงตึกไม้ โดยมีหมินหาวที่จะเข้ามาประครองแต่ก็โดนแกะมือทิ้งอย่างไม่ไยดี

                “วันนี้ไม่ต้องมานอนในห้องเลยนะ”หมินหาวอ้าปากจะต่อรองแต่เมื่อดวงตาเล็กดุนั้นทำให้เงียบลงและยอมเดินตามไปหาเจ้าสำนักแต่โดยดี และเมื่อมาถึงก็พบเจ้าสำนักที่จิบชาร้อนอยู่

                “ทะเลาะกันอีกแล้วรึไง มานั่งๆ ข้าจะบอกภารกิจให้เจ้าหมินหาว แต่เวินหลิวเจ้าเองคงอยากรู้ด้วยสินะ”

                “ของข้าคนเดียวหรือ?”เสียงทุ้มร้องถาม โดยร่างเพรียวที่นั่งลงอย่างยากลำบากมีแววตาสนใจเช่นกัน

                “เจ้าต้องไปคุ้มครองจอมยุทธ์ไท่หมินจากสำนักหลิ่งอี้ ให้เดินทางผ่านหุบเขาโจรไปเจรจาการค้าของตระกูลและ..คุ้มครองจากมือสังหารด้วย”ร่างสูงเหลือบมองคนข้างกายที่ยังทำหน้านิ่งทั้งที่ปกติจะโวยวายและบอกจะไปด้วย และยิ่งภารกิจอันตรายเวินหลิวจะยิ่งดื้อให้พาไปด้วย

                “ภารกิจเมื่อไหร่ครับ”เจ้าสำนักเองที่งุนงงกับความนิ่งผิดปกติที่คาดเดาได้ว่าคงทะเลาะกับหมินหาวมา มองใบหน้าคมของลูกศิษย์ที่ถามเมื่อครู่

                “อีกหนึ่งเดือนน่ะ พวกเขาต้องการตัวเจ้าเพราะได้ยินชื่อเจ้ามาบ้าง”

                หลังจากพูดคุยอีกเล็กน้อยทั้งสองคนจึงขอตัวและเดินออกมา โดยยังไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นจนน่าอึดอัด

                “อย่าโกรธข้าเลยนะ”ร่างสูงพูดทำลายความเงียบแต่ก็โดนดวงตาเล็กนั้นมองดุ ร่างเพรียวหันกายมากอดอกมองใบหน้าหล่อเหลาแล้วพูดขึ้น

                “เจ้าเอาแต่ใจแบบนี้จะไม่ให้ข้าโกรธได้ยังไง เวลามีเยอะแยะไปต้องทำให้ข้าเจ็บตัวรึไง แล้วในห้องโอสถนั่นมันใช่เรื่องมั้ย?”ร่างสูงทำทีเป็นสีหน้าประหลาดใจแล้วพูดเสียงดังให้เหล่าศิษย์น้องตรงลานฝึกได้ยิน

                “อะไรนะ เจ้าชอบให้ข้าทำในห้องโอสถหรอ”

                “หมินหาว!

                “ชอบให้ข้าทำเยอะๆด้วยนี่เอง โอ๊ย”ร่างสูงร้องโอดโอยเมื่อร่างเพรียวถลาเข้ามาทุบตีด้วยความรักพร้อมใบหน้าแดงจัด หมินหาวหัวเราะออกมาแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายทำร้ายจนพอใจก่อนจะรวบเอวคอดเข้ามากอดและกดจูบแก้มใสทั้งสองข้าง

                “ไม่พอใจก็มาทุบตีข้าสิ ดีขึ้นมั้ย?”เวินหลิวมองค้อนแต่ก็ได้ไม่นานแล้วหลุดยิ้มออกมาเมื่อร่างสูงที่รู้ใจไปเสียหมดทำให้เขายิ้มออกมาเมื่อได้ระบายอารมณ์ออก เสียงใสหัวเราะเมื่อถูกร่างสูงขึ้นอุ้มช่วยพาเดินออกไปท่ามกลางสายตาศิษย์น้องทั้งหลายที่ไม่รู้จะทำสีหน้าหรือรู้สึกยังไงกับคู่นี้ดี

                โดยที่หมินหาวกับเวินหลิวไม่รู้เลยสักนิด ว่าปัญหาครอบครัวกำลังจะเกิดขึ้นในหนึ่งเดือนหน้านี้

    THE END

    ฟิคยาวเหยียดอีกแล้ว หมินหาวกับเวินหลิวโตแล้วก็เลยบาป...แค่ก! ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมนิดหน่อยละกันนะ เอาเป็นว่าหย่งเจิ้นคือใครไม่มีต้นแบบมโนกับไปแล้วแต่ความชอบละกันนะคะ ฮ่าๆๆๆ มันเหมือนจะดีนะ เอาเข้าจริงเลี้ยงเด็กนิดหน่อยแปปๆก็ตีกันล้ะ (ก็เขียนเองแหละนะ..) เอ้อ ก็ไม่เคยเขียนฟิคเด็กอายุน้อยขนาดนี้ ฮ่าๆๆ หวังว่าจะชอบกันนะคะ

     

    ปล. บาปได้กากมากข่ะ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาใดๆทั้งสิ้น และมันก็ห้วนๆแปลกๆนะเจ้าฮะ จุ๊บ

    © Baanbaan
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×