ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF SHINee Yaoi&Yuri] HOOn Only!

    ลำดับตอนที่ #38 : {ใต้แสงจันทร์เดอะซีรี่ส์} Under the moonlight

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 312
      3
      30 ก.ค. 57

     
     

               
    หมายเหตุ เวินหลิว = อนยู , หมินหาว = มินโฮ , จีฟ่าน = คีย์ , จงเซวี่ยน = จงฮยอน

                แสงจันทราฉายชัดโดดเด่นท่ามกลางผืนนภาที่มืดมิด เสียงใบไม้นานาพรรรขยับไหวเสียดสีจากสายลมทีพัดผ่านอย่างอ่อนแรงและหยุดลง บนลานกว้างของสำนักเฟยหลงยังมีเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปีที่ยังขยับกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่วราวจิ้งจอกป่า ดาบใหญ่ในมือขยับหมุนฟาดฟันสายลมแล้วฟาดลงผืนดินดังกึ้ง ลมหายใจหอบกระชั้นบ่งบอกได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ฝึกตนมานานพอสมควร

                “หน้าร้อนนี่มันร้อนจริงๆ ให้ตายสิ”มือนุ่มนั้นขยับขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ไหลลงใบหน้าจนน่ารำคาญ ขาเรียวพาร่างกายไปเก็บดาบที่วางเรียงรายกับอาวุธชิ้นอื่นที่น่าเกรงขาม ทั้งหอก ทวน ดาบ กระบี่ มีดสั้น แส้ ซึ่งมีรูปร่างที่คล้ายกันบ้างแตกต่างกันบ้าง โดยอีกไม่นานนี้ท่านอาจารย์ของพวกเขาจะทำการมอบอาวุธประจำกายให้แก่ทุกคน

                และแน่นอนว่าชายชาตรีอกสามศอกอย่างเวินหลิวก็ต้องได้ดาบเล่มโตอยู่แล้ว!

                “เจ้าบ้าเอ๊ย..อย่าบังข้าสิ”

                “เจ้านั่นแหละ! ทำไมเวินหลิวถึงได้ขาวขนาดนี้นะ..”

                “อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวเวินหลิวก็มาฆ่าเราตายหรอก”คิ้วเรียวเริ่มกระตุกพร้อมฝ่ามือที่กำแน่นจนสั่นไปหมด เสียงผู้ชายราวสามถึงสี่คนดังออกมาจากข้างหลังช่องไม้ระบายอากาศ หากเป็นยามเช้าหรือกลางวันจะต้องไปอาบน้ำกันที่ทะเลสาบไม่ไกลจากสำนัก แต่เมื่ออาทิตย์ตกดินจะได้รับอนุญาตให้มาอาบในพื้นที่ของสำนักได้เพื่อความปลอดภัย

                “เจ้าพวกบ้า!!! อยากตายใช่มั้ยห๊า!”ผ้าผืนบางที่ใช้ยามซับเนื้อตัวถูกตวัดลอดช่องว่างออกไปฟาดหน้าหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการแอบดูหนุ่มน่ารักอาบน้ำ ซึ่งเวินหลิวไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมาชอบดูเขาอาบน้ำนักทั้งที่เป็นบุรุษเช่นเดียวกัน ตอบอาบน้ำรวมยามเช้ายามสายก็โดนจ้องเสียจนต้องไล่ตะเพิดไม่ก็หลบไปหลังโขดหิน แทบจะทำตัวเป็นสตรีบอบบางหวาดกลัวผู้ชายอยู่แล้ว

                “โอ๊ย!

                “ไปไกลๆมือเท้าข้าเลยนะถ้าไม่อยากตาย ไป!!

                ถึงหน้าตาจะหวานน่ารักแต่นิสัยกับการกระทำนั้นน่ากลัวเสียจนไม่มีใครกล้าเข้ามาผูกสัมพันธ์จริงจังเสียที

                “อ้าวๆ หงุดหงิดอะไรอีกแล้วล่ะแม่นางเวินหลิว”คนตัวบางที่เดินหน้ายุ่งหันขวับไปตามเสียงทุ้มต่ำโดยที่เจ้าของร่างสูงกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่อย่างสบายใจ ดวงตาคมโตนั้นยียวนเสียจนเขาอยากจะเอาผ้าในมือนั้นไปฟาดปากฟาดตาให้เลือดออกเสียที

                “หมินหาว เลิกเรียกข้าว่าแม่นางเสียที!

                “เจ้าอารมณ์แปรปรวนอย่างกับสตรี หุ่นเจ้าก็เหมือน ข้าเรียกว่าแม่นางก็ถูกแล้ว”หมินหาวหัวเราะร่าเมื่อเห็นดวงหน้าหวานน่ารักนั้นแดงกล่ำเพราะความโมโหและความอับอาย เมื่อมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ความซุ่มซ่ามของเวินหลิวทำให้ลื่นเกือบตกโขดหินแต่ก็ถูกหมินหาวคว้าตัวไปกอดทั้งที่ร่างเปลือยเปล่า ดวงตาคมโตพราวระยับนั้นมองดวงตาเล็กที่มีน้ำรื้นจากการโมโห พอมือหนาเริ่มทำทีเป็นส่วนเว้าส่วนโค้งร่างเพรียวก็กระทืบเท้าปึงปังหนีเข้าห้องนอนพร้อมคำสบถด่ามาอีกสองสามคำ

                หากจะบอกว่าชอบแกล้งคนที่รักก็คงไม่ผิดนักสำหรับหมินหาว..

    .

    .

    .

    .

                แสงแดดยามเช้านั้นยังอ่อนแรงเกินกว่าจะทำให้ร่างกายรู้สึกร้อนขึ้นมา ดวงตาเรียวเล็กนั้นฉาบไปด้วยความตื่นเต้นก้บอาวุธนานาชนิดที่ใหม่และวางอยู่ราวยี่สิบกว่าอัน ทั้งดาบเล่มเล็กบ้างใหญ่บ้าง หอกด้ามยาวหรือไม้พลองที่แข็งแรง กระบี่ที่เงาวาวสวยสะท้อนแสงแดดน่าจับต้อง และมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกความสนใจจากเหล่าเด็กหนุ่มในสำนักเฟยหลงได้เป็นอย่างดี

                ผ้าสีขาวที่ดูโปร่งเล็กน้อยและมีขนาดยาวนั้นถูกพับทบกันเรียบร้อยอยู่ท้ายสุด เหล่าศิษย์พี่เองที่มาดูการแจกอาวุธก็มาเดินดูด้วยความสนใจเช่นกัน

                “ปกติผ้านี่ผู้ชายไม่ค่อยใช้กันนี่ ของสำนักเฟยเฟิ่งรึเปล่าน่ะ”

                “จะบ้ารึไง เฟยเฟิ่งอยู่ห่างจากเราไปตั้งหลายหุบเขาเชียวนะ ไม่มีทางที่ร้านรับทำอาวุธจะทำมาส่งผิดแน่ๆ นายหญิงแห่งสำนักเฟยเฟิ่งโหดร้ายยิ่งกว่าเจ้ายุทธภพเสียอีกนะ ทางเฟยเฟิ่งจะได้ของก่อนเราและถ้ามีของขาดป่านนี้ร้านนั้นโดนพังไปแล้ว”

                “ไปประจำที่ได้แล้ว”น้ำเสียงเข้มดุดันของเจ้าสำนักคนปัจจุบันทำให้เหล่าลูกศิษย์ที่ศึกษาวิชาจนจบหลักสูตรพื้นฐานแล้วแยกย้ายไปในที่ของตน เหล่าศิษย์พี่เองก็ถอยกลับออกมายืนเบื้องหลังเจ้าสำนักด้วยท่าทางเข้มแข็งดุดัน ในวันแจกอาวุธจะมีศิษย์พี่ที่ได้ศึกษาเฉพาะไปในศาสตร์โดยเฉพาะมายืนรอรับศิษย์น้องของตน

                สำนักเฟยหลงกับเฟยเฟิ่งนั้นเปรียบดั่งพี่น้องเพราะตระกูลเฟยจะมีบุตรชายและบุตรีมาตลอดและแบ่งกันดูแลคนละสำนัก เหล่าพ่อแม่จะมาเด็กๆมาฝึกวิชาตั้งแต่เจ็ดขวบหลายสิบคน แต่เมื่อเวลาผ่านไปการฝึกที่หนักตั้งแต่เด็กทำให้เด็กหลายคนถอยออกไปหรือไม่เกินสามสิบคนในทุกปี และจะสั่งสอนวิชาจนกระทั่งอายุครบยี่สิบปี โดยบางส่วนที่ไม่มีครอบครัวก็จะอยู่เป็นอาจารย์ช่วยสั่งสอนลูกศิษย์รุ่นต่อๆไป

                และแน่นอนว่าเหล่าเด็กเล็กเองก็ตื่นเต้นกับการมอบอาวุธนี้เช่นกัน

                “หากพวกเจ้านำอาวุธของเจ้าไปใช้ในทางไม่ดี ข้าจะนำกลับคืนและตัดขาดความเป็นศิษย์อาจารย์เข้าใจหรือไม่?”

                “เข้าใจครับ!”เจ้าสำนักเฟยมองเหล่าลูกศิษย์รุ่นนี้ด้วยสายตาภาคภูมิใจ เพราะปกติแล้วลูกศิษย์มักจะเหลือไม่ถึงยี่สิบคน แต่คราวนี้กลับอยู่กันถึงยี่สิบห้าคนและแต่ละคนก็ไม่ใช่พวกเกกมะเหรกเกเรทำเรื่องชั่วช้า ดวงตาที่ดุแต่แฝงด้วยความอ่อนโยนนนั้นมองไล่ไปยังลูกศิษย์ทุกคนและหยุดที่คนสุดท้ายที่ก่อวีรกรรมไว้มากที่สุด

                “เอาล่ะ ข้าจะเรียกชื่อพวกเจ้าทีละคนให้มารับอาวุธไปซะ”

                เสียงเรียกชื่อคนแล้วคนเล่าผ่านไปโยยังไม่มีใครได้ผ้าแพรผืนนั้นไป เวินหลิวเหลือบมองคู่ปรับอย่างหมินหาวที่ถือดาบใหญ่ไว้ด้วยความขุ่นเคือง เพราะคาดหวังว่าตนเองจะเป็นคนได้ดาบที่ใหญ่และทรงพลังมา ตอนนี้เหลือเพียงกระบี่เล่มเรียวยาว ทวน และผ้าขาวเท่านั้น

                “เวินหลิว”ขาเรียวก้าวไปข้างหน้าพลางมองตรงไปยังกระบี่ด้วยแววตาความหวัง ริมฝีปากอิ่มสีสวยนั้นมุ่ยลงเมื่อฝ่ามือของเจ้าสำนักเอื้อมเลยไปอีกซึ่งเป็นทวน ระหว่างที่คิดไว้ว่าจะฝึกเจ้าทวนที่ท่าทางหนักขนาดนี้ยังไงดีมือนั้นยังเอื้อมเลยไปจนสัมผัสผ้าผืนนั้น

                “สำนักเราไม่ค่อยมีใครได้ผ้าซักเท่าไหร่ คนที่ได้ส่วนใหญ่ก็มักจะออกจากสำนักไปอยู่กินกับสามีแล้ว ข้าเองก็ไม่เคยฝึกวิชาของผ้าเลยสักนิด..สำนักเฟยเฟิ่งก็ไม่สามารถรับผู้ชายเข้าไปด้วย เจ้าคงต้องศึกษาด้วยตนเองแล้วล่ะเวินหลิว สำนักเฟยเฟิ่งในปีนี้เองก็ไม่มีใครได้ผ้าเลย”

                อยู่กินกับสามี? วิชาของเฟยเฟิ่ง? แต่คนในสำนักเฟยเฟิ่งก็น้อยคนที่จะได้?

                “ท่านอาจารย์..ข้าคิดว่ามันต้องมีข้อผิดพลาด”บรรยากาศเริ่มคุกรุ่นโดยชายหนุ่มน่ารักที่เริ่มมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ดวงตาเล็กที่ลุกโชนด้วยความโกรธและปล่อยจิตสังหารเสียจนไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมาแม้กระทั่งตัวหมินหาวเอง

                “ข้าคัดเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเจ้าแล้วเวินหลิว”

                “ดาบของหมินหาวเหมาะสมกับข้ามากกว่าอีก!

                “ก็ได้..ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้ามีความสารถด้านอื่นสูงกว่าล่ะก็ ไปต่อสู้แย่งมาเพื่อสลับกับผ้าของเจ้าซะ”

                หลังสิ้นสุดคำพูดของเจ้าสำนักทำให้เหล่าลูกศิษย์ต่างลำบากใจ ความเป็นจริงๆฝีมือของร่างเพรียวที่กระทืบเท้าปึงปังนั้นไม่ได้แย่เลย แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากเสียจนตอบโต้ไม่ได้ เวินหลิวมีดีที่ความเร็วและท่วงท่าที่งดงาม ศาสตร์การใช้อาวุธเองก็ไม่ได้เก่งกาจเกินคนทั่วไป การเอาชนะอาจจะยากบ้างแต่ใครจะไปกล้าทำแม่นางเวินหลิวลงกัน?

                และที่สำคัญคือการใช้ผ้าของเวินหลิวนั้นก็เก่งกาจและเหมาะสมดีอย่างที่เจ้าสำนักได้กล่าวไว้

                “แต่มีข้อแม้นะเวินหลิว”

                “ข้อแม้อะไรอีกครับ!

                “ข้าให้เวลาเจ้าแค่ครึ่งปีเท่านั้น ต้องใช้ผ้าผืนนั้นสู้ให้ชนะแล้วถึงจะเปลี่ยนอาวุธได้ ถ้าใช้วิธีอื่นข้าจะไม่ให้อาวุธแก่เจ้าอีกเลย เอาตำราไปศึกษาเสียสิ”

                “ข้าไม่มีวันมาฝึกวิชาของสตรีแบบนี้หรอก!”รอยยิ้มจุดขึ้นมุมปากของเจ้าสำนักเมื่อเห็นดวงหน้าหวานนั้นไม่สบอารมณ์ ทำตาขวางมองไปรอบๆไม่ให้ใครมาหัวเราะใส่และเก็บผ้าใส่สาบเสื้อทันทีโดยไม่เอามาพิจารณาเลยสักนิด

                “ไปหาศิษย์พี่ของพวกเจ้าซะ หน้าที่ของข้าต่อพวกเจ้าได้หมดลงแล้ว..หมินหาวมาพบข้าด้วย”ชายหนุ่มร่างสูงเดินตามเจ้าสำนักเข้าไปภายใน โดยเหลือบมองไปยังคนหน้าหวานที่ยังกระฟัดกระเฟียดจนเหล่าศิษย์ตัวน้อยไม่กล้าเข้ามาเล่นด้วยเหมือนเคย

                “อะ พี่จงเซวี่ยน!”ดวงตาเล็กนั้นเป็นประกายแล้ววิ่งเข้าไปหาศิษย์พี่ผู้จบหลักสูตรแล้วออกไปทำหน้าที่ปราบเหล่ากองโจรหรือรับจ้างคุ้มครองภายใต้ชื่อสำนัก จงเซวี่ยนเป็นจอมยุทธ์ที่รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่มาก อาวุธที่ใช้ก็เป็นดาบเล่มขนาดกลางที่มีจี้หยกห้อยเอาไว้สองอัน

                “นี่ข้ากลับมาไม่ทันหรือเนี่ย แล้วเจ้าได้อะไรมาละเวินหลิว ใช่ดาบเล่มโตที่เจ้าฝันไว้หรือเปล่า”จงเซวี่ยนหัวเราะออกมาเมื่อเห็นใบหน้าน่ารักนั้นง้ำงอและดูหงุดหงิดขึ้นทันที มือนุ่มหยิบเอาผ้าในสาบเสื้อส่งให้คนที่มีสีหน้าขบขัน

                “เหมาะสมกับเจ้าดีออกนะ จะได้ใช้ไล่พวกที่มาดูเจ้าอาบน้ำด้วย”

                “ศิษย์พี่!”ร่างหนาส่ายหัวให้กับท่าทางเด็กๆนั่นแล้วเริ่มคลี่ผ้าเนื้อดีนั้นออกมาดู ลวดลายดอกไม้งดงามถูกปักอย่างประนีตแสดงถึงความใส่ใจของคนทำอาวุธนี้ ถึงผ้าจะเป็นอาวุธที่ดูเหมือน่าโดนดาบก็ขาดแล้วแต่ถ้าผู้ใช้มีทักษะที่เก่งกาจก็สามารถปลดอาวุธของฝั่งตรงข้ามออกได้ง่ายดาย

                “อย่าดูถูกผ้านักเลยเวินหลิว จอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้สามารถใช้ผ้านี่ตัดขาดสิ่งของได้เลยนะ แถมยังปกป้องคนได้หลายคนด้วย”

                “แล้วจอมยุทธ์ที่ศิษย์พี่พูดถึงมีผู้ชายบ้างรึเปล่าล่ะ?”จงเซวี่ยนมองใบหน้าหวานที่ปลายจมูกแดงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ออกมาเสียแล้ว บ่งบอกว่าผิดหวังกับอาวุธที่ตนได้รับและด้วยความที่ผู้ชายเขาไม่ใช้ผ้ากันยิ่งทำให้รู้สึกแย่

                “เจ้าจะได้เป็นคนแรกไง เจ้าคงว่างสินะตอนนี้ ไปหาจีฟ่านกับข้านะ”เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องมองตามเวินหลิวและจงเซวี่ยนที่พากันเดินไปยังส่วนที่เป็นสถานที่เก็บโอสถและรักษาบาดแผล มีจงเซวี่ยนที่เวินหลิวเคารพเท่านั้นที่สามารถหัวเราะและพูดให้สงบลงได้โดยเร็ว

                นั่นเพราะจงเซวี่ยนอยากมีน้องและเวินหลิวเองก็อยากมีพี่ เลยทำพิธีเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันและคอยดูแลกันมาตลอด

                กลิ่นยาฉุนนั้นทำให้เวินหลิวย่นจมูกแล้วมองไปรอบๆก็เห็นบุตรชายหมอเทวดาที่ยืนเลือกตำราอยู่ จงเซวี่ยนยกนิ้วแตะริมฝีปากให้เงียบเสียงก่อนที่เจ้าตัวจะพุ่งเข้าไปกอดร่างบางของจีฟ่านจนเสียงโวยวายดังลั่น

                “อะไรเนี่ย! จงเซวี่ยน เล่นอะไรกัน!”เวินหลิวปล่อยให้คู่รักในสำนักเย้าแหย่แกล้งกันต่อไป ร่างเพรียวเดินไปรอบๆห้องโอสถที่มียาหลายขนานเสียจนน่าปวดหัวก่อนจะหันกลับไปหาจฟ่านที่ตัวแทบจมไปในอ้อมกอดจงเซวี่ยน

                “พี่จีฟ่าน ข้าเป็นแบบเดียวกับพี่จีฟ่านจริงๆหรอ? ทำไมคนถึงคิดแบบนั้นกันล่ะ เพราะข้าหน้าตาแบบนี้น่ะหรอ”จีฟ่านผละออกมาจากอ้อมกอดได้ก็มองสีหน้าจริงจังของน้องสะใภ้แล้วเริ่มมองไปตามลำตัวของอีกฝ่าย

                “เจ้าชอบผู้ชายรึเปล่าล่ะ”

                “ข้าไม่รู้หรอก ข้าแทบไม่ได้เจอสตรีที่ไหนเลยนี่นา แต่ถ้าข้าชอบข้าก็ชอบแบบพี่จีฟ่านนะ ข้าจะเป็นแบบศิษย์พี่จงเซวี่ยน”จีฟ่านหัวเราะเล็กน้อยกับคำตอบนั่นแล้วเดินมาหา ฝ่ามือขาวเนียนละเอียดจับไปตามตัวของเวินหลิว

                “ก็แล้วแต่เจ้าจะคิดนะเวินหลิว มันอยู่ที่ใจไม่ใช่ร่างกาย แต่เดี๋ยวเจ้าก็จะคิดได้เองแหละ”ร่างหนามองคนสองคนที่เหล่าคนในสำนักชอบมองชอบแอบดู หรือเรียกกันลับหลังว่าสองแม่หญิงแห่งเฟยหลง แล้วส่ายหัวเล็กน้อยกับความดื้อเอาแต่ใจของน้องชายร่วมสาบาน เขาหวงคนรักไม่พอยังต้องมาคอยหวงเจ้าตัวดีนี่อีก แต่ช่วงที่ออกไปทำภารกิจก็ได้มอบหมายให้หมินหาวคอยดูแลแทนเรียบร้อย

                ถึงจะได้ยินมาว่าชอบแกล้งมากกว่าก็ตามที ส่วนเรื่องการถูกแอบดูช่วงอาบน้ำก็ยากที่จะทำได้เพราะเวินหลิวชอบจะทำตามอำเภอใจ นึกอยากจะอาบก็อาบมันเสียตอนนั้นทำให้หมินหาวมาคอยตามไล่คนอื่นๆไม่ทัน

                “ศิษย์พี่เวินหลิว!”เสียงเด็กชายอายุราวสิบสามขวบดังขึ้นหน้าประตูทำให้ทั้งสามหันไปมอง ดวงตาของเด็กชายนั้นฉายแววตื่นเต้นแล้วรีบพูดขึ้นรัวเร็ว

                “ศิษย์พี่หมินหาวท้าท่านประลองดาบล่ะ!

                แสงแดดช่วงสายเริ่มร้อนขึ้นทุกทีโดยคนถกท้าประลองกอดอกมองชายร่างสูงที่ส่งยิ้มกวนประสาทกลับมาให้ เวินหลิวไม่เข้าใจว่าหมินหาวนึกสนุกอะไรถึงมาท้าเขาประลองทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยทำ แต่พอเห็นดาบใหญ่ในมือหนานั่นยิ่งหงุดหงิดพาลโทษว่าเพราะหมินหาวที่ทำให้ตนอดได้ดาบนั่น

                “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าข้าไม่คู่ควรกับดาบเล่มนี้ใช่หรือเปล่า”

                “ถ้าใช่แล้วจะทำไม? จะมาสู้กับข้าเพราะเรื่องนี้น่ะหรอ มาเลย ข้าอยากจะอัดเจ้ามานานแล้ว!”จงเซวี่ยนส่ายหัวระอากับท่าทางของเวินหลิวที่ราวกับสตรีช่วงมีรอบเดือน เหล่าคนในสำนักพากันมามุงดูการต่อสู้ของอันดับหนึ่งในรุ่นกับหนึ่งในแม่หญิงแห่งเฟยหลง

                “ใช้ดาบไม้กันก็พอ ถ้าข้าล้มเมื่อไหร่เจ้าชนะ ข้าจะให้ดาบเจ้าไปเลย แต่ถ้าเจ้าล้มเมื่อไหร่เจ้าแพ้ข้า”ดาบเล่มใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะที่วางกองอาวุธและมือใหญ่ก็คว้าดาบไม้มาควงเล่นกระชับให้เหมาะมือ โดยเวินหลิวเองก็หยิบดาบไม้ออกมาเช่นกัน

                “ข้าจะตีหัวเจ้าให้ปูดจนจำได้เลยว่าไม่ใช่แม่นาง”หมินหาวไหวไหล่แล้วเริ่มตั้งท่าเตรียมพร้อม พอสัญญาณเริ่มร่างสูงก็พุ่งเข้าประชิดลงดาบใส่ร่างเพรียวที่ยกดาบไม้มากันได้อย่างท่วงที รู้สึกถึงร่างกายที่ถอยไปเล็กน้อยจากแรงปะทะ

                หมินหาวแรงเยอะจนเขาเริ่มหวั่นใจ..

                ขาเรียวขยับขึ้นเตรียมยันใส่ร่างสูงแต่อีกฝ่ายกลับกระโดดถอยออกไปก่อน ดาบไม้ในมือของเวินหลิวขยับกวาดไปข้างหน้าหมายให้โดนช่วงลำตัวแต่หมินหาวกลับถอยหลบไปได้ เวินหลิวจิ๊ปากด้วยความขัดใจแล้วเริ่มเล็งไปยังช่วงขายาวนั่น เพราะถ้าเขาทำให้ล้มได้ก็จะชนะถึงแม้เจ้าสำนักจะสั่งไว้ว่าห้ามใช้วิธีอื่นก็ตามที แต่เมื่อหมินหาวท้ามาเองเขาก็ถือว่าเขาไม่ผิด

                ร่างเพรียวขยับถอยเมื่อดาบไม้นั่นเริ่มรุกหนักขึ้นและไล่ต้อนเขาทุกที เวินหลิวแทบจะหาทางเอาชนะอันดับหนึ่งของรุ่นไม่ได้เลยสักนิด จากตอนแรกที่เป็นฝ่ายไล่ตอนนี้กลับต้องตั้งดาบรับการโจมตีนั่นไม่ให้เข่าแตะลงพื้น

                ทางด้านหมินหาวเองก็ไม่ได้อยากทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายเลยโจมตีแบบหลีกเลี่ยงการฟาดฟันไป เรียกรอยยิ้มจากเจ้าสำนักที่กอดอกมองอยู่ได้ไม่ยาก ท่าทางการต่อสู้เก้ๆกังๆไม่สมเป็นหมินหาวเพราะฝั่งตรงข้ามเป็นเจ้าเด็กตัวแสบนั่นน่าหัวเราะเสียจริง

                ในขณะที่ดวงตาเล็กพยายามหาจุดอ่อนให้เจอร่างสูงกลับถอยกลับไปและทิ้งดาบไม้ลงกับพื้นแล้วยักคิ้วใส่

                “เจ้าจะดูถูกข้ามากไปแล้วนะ!”เสียงนุ่มหวานนั้นแข็งกร้าวโดยที่ดาบไม้ในมือโยนทิ้งไปเช่นกัน ร่างเพรียวพุ่งไปเบื้องหน้าหมายคว่ำคนทิ้งดาบหมายใช้มือเปล่าสู้กับเขา แต่ข้อมือเล็กถูกคว้าไว้โดยง่ายแล้วถูกรวบเข้ามาในอ้อมกอด จนแผ่นหลังแนบชิดไปกับลำตัวของอีกฝ่าย

                “ปล่อยนะ ปล่อย!”หมินหาวหัวเราะในลำคอเมื่อมองคนไม่ถนัดวิชาต่อสู้ตัวเปล่าเริ่มดิ้นหนีสุดแรง พยายามกระทืบเท้าเขาแต่ก็ไม่โดนเสียที

                “แม่นางเวินหลิวโมโหอีกแล้วหรอหืม”

                “หมินหาว! ปล่อยข้านะ เจ้าขี้โกง!”ร่างสูงกระตุกยิ้มปล่อยมือโดยคนที่เอาแต่ดิ้นไม่ทันตั้งตัวจึงเซถลา ท่อนขายาวขยับปัดตรงเท้าจนร่างเพรียวหงายหลังลงกับพื้น แต่แขนยาวก็ยังคว้าเอวไว้ทันไม่ให้ล้มเจ็บตัวแล้วจับอุ้มขึ้นในท่าอุ้มเจ้าสาว

                “สู้ข้าไม่ได้ก็ยอมแพ้ตอนนี้ยังทันนะ”

                “ไม่!”หมินหาวดวงหน้าหวานแดงเรื่อจากการใช้กำลังเยอะและความโมโห ร่างเพรียวเริ่มดิ้นอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถหลุดออกไปจากอ้อมแขนนี้ได้เลย เพราะไม่ถนัดวิชาหมัดมวยหรือการต่อสู้แบบนี้เลยทำได้แค่ดิ้นไปดิ้นมาเท่านั้น

                “ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”ใบหน้าหล่อคมโน้มลงมาก่อนจะกดจูบริมฝีปากอิ่มนั้นท่ามกลางสายตาเหล่าคนในสำนัก ดวงตาเล็กเบิกกว้างแล้วนิ่งค้างด้วยความตกใจรวมถึงจงเซวี่ยนเองก็ยังตกใจไม่แพ้กัน

                พอถอนจุมพิตผะแผ่วนั้นออกก็เห็นดวงหน้าขาวที่แดงก่ำ น้ำตารื้นขึ้นจากตาใสนั่นชวนน่ารังแกแต่เวินหลิวจะไม่ยอมให้รังแกอีกรอบจึงดิ้นสุดแรงและหมินหาวก็ปล่อยลงโดยง่าย

                “ข้าเกลียดเจ้าแล้ว!!”ขาเรียวเตะลงหน้าแข้งอีกฝ่ายเต็มแรงแล้ววิ่งหนีหายไป โดยมีจงเซวี่ยนกับจีฟ่านวิ่งตามไปดูอีกที

                สงสัยเขาคงจะแกล้งแรงไปหน่อย..

                พอตกดึกร่างเพรียวก็เตรียมตัวไปอาบน้ำหลังคนอื่นอาบเสร็จหมดแล้ว ปกติห้องพักจะนอนได้สี่คนแต่พอมียี่สิบห้าคนเขาก็ได้มานอนคนเดียวจากคำสั่งเจ้าสำนัก ฝ่ามือนุ่มถูกปากตนเองไปมาเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเมื่อช่วงสายยังอยู่

                วันนี้ไม่มีใครกล้ามาคุยหรือมาแอบดูเวินหลิวแน่นอน ยกเว้นตัวต้นเรื่องที่ดักรอหน้าประตูห้องน้ำ

                “จะไปอาบน้ำหรอ”

                “หลบ”

                “ข้าขอโทษนะเวินหลิว ข้าแค่แกล้งเจ้าเฉยๆ ไม่คิดว่าเจ้าจะโมโหขนาดนี้เลย”

                “อย่ามายุ่ง”

                “ถ้าเจ้าโกธเกลียดข้ามากนัก ข้าจะไม่มายุ่งกับเจ้าแล้วก็ได้ แต่หกเดือนถัดมาข้าจะรอเจ้ามาเอาชนะข้าด้วยผ้าผืนนั้น..ถ้าเกลียดข้ามากก็มาสู้กับข้าอีกรอบในตอนนั้นละกันนะ”

                ดวงตาเล็กมองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไป ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเมื่อรู้สึกเจ็บแปลกกับคำว่าแกล้งก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป..โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เดินกลับไปเมื่อครู่เดินกลับมานั่งพิงบานประตูไม้คอยเฝ้าให้เหมือนเช่นทุกวันที่เขาสามารถมาได้ทัน

    .

    .

    .

    .

                จงคิดเสียว่าผ้ามีชีวิต..เวินหลิวขมวดคิ้วแล้วมองไปยังผ้าผืนเดิมที่คลี่ออกเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจกับสิ่งที่ตำราบอกเลยสักนิด เขาต้องทำเหมือนกับผ้าผืนนี้เป็นคนหรืออย่างไรกัน? ดวงตาเรียวมองตัวอักษรอีกครั้งเพื่ออ่านคำอธิบายเพิ่มเติมนี่

                “ผ้าสามารถไปได้ทุกทิศทางถ้าคิดว่าสามารถบังคับมันได้ ผ้าเปรียบเสมือนเสือที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวร่างกายได้ดั่งใจมนุษย์ แต่ถ้าจับมาฝึกเสือนั้นก็จะสามารถทำตามที่เราสั่งได้อย่างดี”มือนุ่มพลิกกระดาษไปหน้าถัดไปเพื่อดูรูปวาดการฝึกบังคับผ้าพื้นฐาน ริมฝีปากอิ่มเริ่มเม้นแน่นเมื่อเห็นว่าการเหวี่ยงหรือบังคับผ้ายาวขนาดนี้ให้เป็นไปดังรูปไม่ใช่เรื่อง่ายเสียแล้ว

                คนทิฐิสูงปิดตำราแล้วหิ้วผ้านั้นออกไปยังลานฝึกสำหรับเด็กเพราะเขาไม่อยากให้ใครมาเห็นมากนัก หลังจากที่เขาบอกไปว่าจะไม่มีทางฝึกวิชานี้เด็ดขาด

                แต่เพื่อเอาชนะหมินหาวเขาจะยอมฝึกมัน

                ผ้าสีขาวพุ่งแหวกผ่านอากาศแต่ไปได้ไม่ถึงหุ่นไม้ก็ตกลงไปกองกับพื้น ร่างเพรียวที่เหงื่อท่วมตัวยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากออกแล้วลากผ้านั้นกลับมา ผ้าสีขาวนั้นเปื้อนฝุ่นจนดำขมุกขมัวแต่ยังดีที่เนื้อผ้าไม่ใช่แบบที่สวมใส่อยู่แต่โปร่งกว่าพอสมควรเลยทำให้ปัดเล็กน้อยก็เพียงพอ ดวงจันทราที่เริ่มเว้าแหว่งนั้นกำลังถูกเมฆบดบัง

                ร่างเพรียวยอมกลับไปนอนโดยไปอาบน้ำอีกรอบก่อนจะเข้านอน โดยทุกการกระทำนั้นอยู่ในสายตาของหมินหาวที่คอยเฝ้ามองอยู่ตลอด ริมฝีปากได้รูปเผยอยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินออกไปโดยเดินไปได้ซักพักหางตาเหลือบไปเห็นกลุ่มคนสามสี่คนที่ย่องไปทางห้องน้ำ

                จะแอบดูเวินหลิวของเขาไปถึงไหนกันคนพวกนี้? ร่างสูงหันหลังกลับไปแล้วรีบวิ่งไปขวางคนกลุ่มนั้นไว้ โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเวินหลิวออกจากห้องน้ำมาแล้วแอบยืนดูอยู่ไม่ไกล

                “พวกเจ้าแอบไปดูเวินหลิวอาบน้ำอีกแล้วรึไง”

                “โธ่หมินหาว พวกข้าแค่ดูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

                “ไม่! พวกเจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้เลย เวินหลิวเป็นของข้า รีบๆไปเลย”

                คงจะบังเอิญที่หมินหาวเดินผ่านมาพอดี..

                วันเวลาผ่านไปร่วมสามเดือนโดยการแอบฝึกยามค่ำคืนพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว เวินหลิวเองก็เริ่มจะยอมรับคำพูดของเจ้าสำนักว่าตนเองเหมาะสมกับการใช้ผ้าพวกนี้มากกว่าอาวุธชนิดอื่น แต่คำว่าต้องชนะหมินหาวยังอยู่ในใจไม่เคยลืม

                แต่ช่วงสามเดือนที่ผ่านมาไม่มีคนมากวนประสาทก็เหงาไม่น้อยเลย

                หลายต่อหลายครั้งที่เขาเหมือนเห็นว่าหมินหาวมาแอบเฝ้ามองเขา มาเฝ้าหน้าห้องน้ำไม่ให้ใครเข้ามา แต่ถ้าไปถามก็จะกลืนน้ำลายตัวเองที่บอกอย่ามายุ่ง แต่พอเห็นโครงร่างเงาคุ้นเคยนั้นหัวใจที่เคยสงบก็มักเต้นรัวจนน่าตกใจ หวนนึกถึงยามสัมผัสตรงริมฝีปากนั้นเสียทุกครั้ง

                นี่เขากำลังจะกลายเป็นแบบจีฟ่านรึไงกัน? เขาคงต้องไปถามให้รู้เรื่องเสียแล้ว

                สายลมร้อนแห่งฤดูร้อนได้พัดผ่านไปแล้ว ใบไม้สีแดงรวงหล่นเต็มไปหมดเสียจนยากเกินกว่าจะเก็บกวาดไปทิ้งเลยปลอยเลยตามเลย แต่ก็ทำให้สำนักดูสวยงามขึ้นมาได้น่าประหลาด ขาเรียวก้าวไปยังห้องโอสถแต่กลับประหลาดใจเมื่อเห็นบานประตูที่เปิดตลอดนั้นปิดลง

                “พี่จีฟ่านไปไหนนะ”บางคราวจีฟ่านก็มักจะหายไปเที่ยวกับจงเซวี่ยนหรือไปหาสมุนไพรป่ามาทำยา โดยหน้าห้องโอสถมีกระดาษกับหมึกวางไว้เพื่อให้เขียนสิ่งที่ต้องการโดยเฉพาะ

                ปลายพู่กัดเตรียมจรดลงกระดาษก็ชะงักและถือค้างจรหมึกหยดเปื้อนเป็นดวง ร่างเพรียวเคลื่อนกายอย่างเงียเชียบไปชิดประตูแล้วเงี่ยหูฟังกับเสียงที่ดังออกมาเล็กน้อย

                ใบหน้าหวานเริ่มแดงระเรื่อกับเสียงหอบหายใจและบางอย่างที่เสียดสีกัน รวมถึงเสียงครางแผ่วอย่างสุขสมของหมอคนเดียวที่นี่ เจ้าตัวรีบผละออกมาจากประตูแล้วรีบเขียนข้อความทิ้งไว้ว่าให้มาเจอกันคืนนี้ที่ห้องพักของเขา

                ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเสียงเหล่านี้มันยิ่งชัดเจน ไม่ได้ตั้งใจฟังยังได้ยินเลย..การถูกกกกอดแบบพี่จีฟ่านนี่มันมีความสุขมากเลยหรือไงกัน?

                และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เผลอคิดว่าหากเป็นตนเองกับชายร่างสูงอย่างหมินหาว เขาจะมีความสุขแบบนี้หรือเปล่า

                “เวินหลิว”เสียงทุ้มกระซิบออกมาทำให้คนเผลอคิดอะไรประหลาดสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าหวานหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างที่ไม่เคยเป็น หมินหาวเองก็ประหลาดใจที่ใบหน้านั้นไม่ได้แดงเพราะความโมโหเหมือนทุกที เหมือนจะเป็นอาการเขินอายมากกว่า

                “อะ..อะไร พี่จีฟ่านไม่อยู่นะ”คิ้วเข้มเริ่มขมวดมุ่นเมื่อร่างเพรียวตรงหน้าหน้าจะไล่ด่าเขาอย่างทุกทีหรือไม่เฉยชาใส่กลับก้มหน้าลงต่ำพูดเสียงเบาหวิว ร่างสูงจับจ้องไปยังบานประตูแล้วฟังเสียงเล็กน้อยก็พอจะเข้าใจว่าข้างในมีเหตุหารณ์อะไรเกิดขึ้น

                “เจ้าสำนักเรียกประชุมงานครบรอบวันสถาปนาสำนักในเดือนหน้านี่ แต่ไม่มีใครหาเจ้าเจอข้าเลยอาสามาหาแถวนี้”

                “อื้อ..ข้า ข้าจะไปแล้ว หลบข้าสิ”ดวงตาคมโตมองตามแล้วอมยิ้มเล็กน้อย ขายาวขยับเดินตามไปโดยไม่รีบร้อนมากเท่าไหร่นัก

                จะเขินอะไรขนาดนั้นกันนะ?

                เวินหลิวอยากจะเอามือทุบหัวตนเองให้สลบไปเสียที่เผลอคิดอะไรน่าเกลียด ยิ่งพอเหลือบไปเห็นร่างสูงที่อยู่ไม่ไกลกำลังตั้งใจฟังคำพูดเจ้าสำนักก็ยิ่งรู้สึกหน้าร้อนเห่อ

                “พวกอายุตั้งแต่สิบสามถึงสิบหกพวกเจ้ามีหน้าที่แค่ดูแลแขกที่มาเท่านั้น แล้วก็ดูแลศิษย์น้องของพวกเจ้าให้ไปนอนเสียอย่าให้มาเล่นซนที่งาน จากนั้นจะมาร่วมงานกันก็แล้วแต่พวกเจ้า ส่วนพวกอายุสิบเจ็ดขึ้นไปเตรียมงานแสดงให้ดีโดยใช้อาวุธของพวกเจ้า ข้ากับพวกที่อายุมากกว่ายี่สิบจะคอยดูเฉยๆ

                งานนี้จะเปิดโอกาสให้คนนอกต่างสำนักเข้ามาได้ช่วยทำตัวดีๆอย่าเป็นลิงทโมนให้มากนัก..และไม่มีผู้หญิงมาหรอก กฎยังไงก็ต้องเป็นกฎเข้าใจหรือไม่”

                “ครับ”เสียงหลายเสียงตอบโดยพร้อมเพรียงกัน สำนักใหญ่อันดับหนึ่งที่มีคนเยอะอย่างเฟยหลงการจัดงานย่อมตระการตาและอวดศักดาไปในตัว หากเรียกว่าเป็นการรวมตัวชาวยุทธ์ก็แทบจะไม่ผิดนัก เหล้าสุราจะได้ดื่มกันอย่างสนุกสนานรวมถึงของกิน เสียอย่างเดียวคือเหล่าสตรีที่เป็นจอมยุทธ์จะไม่ได้เข้ามา เพื่อป้องกันปัญหาการชู้สาวและหลงผู้หญิงจนไม่ยอมฝึกวิชา

                “เวินหลิว”

                “หือ”

                “เจ้าเองก็ต้องแสดงเช่นกัน ข้าคิดว่าในตำราคงจะเขียนวิธีการแสดงอยู่แล้วโดยเจ้าอยากเพิ่มเติมอะไรก็แล้วแต่เจ้า เจ้าต้องทำห้ามขัดขืนเข้าใจหรือเปล่า”ในขณะที่หลายคนเตรียมได้ยินเสียงโวยวายหรือคำสบถนั้น เวินหลิวกลับทำแค่พยักหน้ารับแล้วฟุบลงกับโต๊ะเช่นเดิม

                สร้างความประหลาดใจให้กับคนในสำนักจนพูดอะไรไม่ออก

                ทำตัวเรียบร้อยน่ารักก็ทำเป็นทำไมถึงไม่ทำแต่แรกกันนะ?

                พอตกดึกจีฟ่านก็มาที่ห้องพักของเวินหลิวตามที่บอก พอเข้ามาก็เห็นว่าร่างเพรียวกำลังพับผ้าที่ตนใช้ฝึกลงบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย

                “มีอะไรถึงเรียกข้ามาเสียดึกเลย”

                “พี่จีฟ่านอย่าไปบอกใครนะ ศิษย์พี่จงเซวี่ยนก็ห้ามบอก นะ”

                “ได้สิ ว่าแต่เจ้ามีปัญหาอะไร”ร่างของจีฟ่านถูกจับนั่งลงเก้าอี้ในขณะที่เจ้าของห้องกลับไปนั่งตรงเตียง พอจีฟ่านหมายจะขยับเก้าอี้ให้หันมาเห็นหน้ากันกลับถูกห้ามไว้

                “ข้า..ข้าไม่อยากให้เห็นท่าทางของข้า”

                “อืม..ก็ได้ พูดมาสิ”ฝ่ามือนุ่มขยุ้มเนื้อผ้าไว้แน่นพร้อมพยายามสูดลมหายใจลึกๆเรียกสติ พยายามเรียบเรียงคำพูดออกมาให้ชัดเจน

                “ตั้งแต่วันนั้นข้าก็รู้สึกเหงาที่หมินหาวไม่มาแกล้งข้าเลย แล้ว..แล้วข้ามักจะเห็นเขามาคอยดูข้าตอนฝึก หรือช่วยไล่คนที่มาแอบดูข้าอาบน้ำ แล้วพอนึกถึง หัวใจข้ามัน มันเหมือนจะหลุดออกมาเลย ข้าจะเป็นแบบพี่จีฟ่านแล้วหรือ? เป็นแบบชอบผู้ชายตัวใหญ่ๆแบบท่าน แล้ว..วันนี้ข้าได้ยิน เสียงพี่จีฟ่าน ข้า..ข้า”คนฟังในทีแรกก็อมยิ้มแต่พอได้ยินเรื่องตนเองก็หน้าแดงไม่แพ้กัน หมายหัวจงเซวี่ยนไว้ในใจเรียบร้อยจะได้กลับไปจัดการที่มาทำอะไรบ้าๆในห้องนั้น

                “ข้าอะไรเวินหลิว?”

                “ข้าเผลอ แค่เผลอนะ คิดไปว่าถ้าหมินหาวมะ มากอดข้าแบบนั้น ทำ..แบบพี่จงเซวี่ยน ทำกับท่าน ข้า..คือ การอยู่ใต้ร่างผู้อื่น ให้..ให้เขาทำ มันจะมีความสุขมากรึเปล่า และข้าก็นึกถึงหน้าของ หมิน..หมินหาว”ใบหน้าหวานซุกลงฝ่ามือแน่นโดยไม่เห็นจีฟ่านที่เบิกตากว้างหันกลับมามองด้วยความตกใจ แต่แล้วรอยยิ้มที่เวินหลิวไม่เคยเห็นก็ปรากฏขึ้นมา

                “เวินหลิว..เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังหลงรักหมินหาวงั้นหรือ”

                “แต่ แต่ข้าเกลียดเขานะ! แต่ข้าก็รู้สึกแบบนี้ ตั้งแต่ข้าเริ่มรู้ว่าเขาคอยคุ้มครองข้า พี่จีฟ่าน ข้าจะทำอย่างไรดี?”พูดเสียงอู้อี้ผ่านฝ่ามือโดยจีฟ่านขยับมานั่งข้างๆแล้วลูบเส้นผมนุ่มยาวนั้นอย่างเบามือ ดวงตาเรียวคมนั้นฉายแววสนุกสนานที่เวินหลิวเห็นแล้วจะรู้วึกว่าตนเองทำผิดพลาดครั้งใหญ่

                “เดือนหน้าเจ้าจะต้องแสดงสินะ เจ้าก็เริ่มฝึกเสียสิ..ทำให้เต็มที่ทุกครั้งให้หมินหาวดู ถ้าเขารักเจ้าในวันงานสถาปนาเจ้าก็จะรู้ทันที”

                “ให้ข้าแสดงแบบสตรี ใส่ชุดรุ่มร่ามแบบนั้นน่ะหรือ”

                “ใช่แล้ว เจ้าอย่าได้อายไปเลย เจ้าเป็นแบบเดียวกับข้านั่นแหละและเจ้าก็น่ารักมาก..พอแสดงเสร็จเจ้าก็พาหมินหาวมาที่ห้องนี้ซะ แล้วถามว่ารู้สึกยังไง หลังจากนั้นเจ้าก็จะรู้ตัวเองนั่นแหละว่าเจ้ารักเขาหรือเปล่า”

                “พี่จีฟ่านหมายความว่ายังไงกัน?”ดวงตาเรียวช้อนขึ้นมองชายหน้าสวยที่เปลี่ยนรอยยิ้มมาเป็นแบบใจดีได้ทันท่วงที ฝ่ามือนั้นยังคงลูบเส้นผมนุ่มสวยแผ่วเบา

                “ถ้าหมินหาจูบเจ้าแล้วเจ้าไม่ขัดขืนแสดงว่าเจ้ารักหมินหาวอย่างไรล่ะ แต่ถ้าเจ้าขัดขืนก็ไม่ได้รัก”

                “พี่จีฟ่าน!

                “วิธีนี้ดีที่สุดแล้ว เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือเวินหลิว? เดี๋ยววันนั้นข้าจะทำให้เจ้างดงามที่สุดในสำนักนี้เลยนะ”จีฟ่านมองใบหน้าหวานของคนอายุน้อยกว่าที่ดูประหม่าและลังเล ฝ่ามือขาวหยิกแก้มนุ่มนั้นด้วยความเอ็นดูกับท่าทางที่เขินอายและเรียบร้อยผิดหูผิดตานี่

                “แต่ว่า ถ้าหมินหาวไม่ได้ชอบข้าล่ะ”

                “ใครๆก็ดูออกทั้งนั้นว่าหมินหาวรักเจ้า มีเจ้านี่แหละเพิ่งงจะมารู้ตัว เจ้าคิดหรือว่าตอนนั้นที่เจ้าจะตกโขดหินแล้วหมินหาวมารับทันเป็นเรื่องบังเอิญ หมินหาวน่ะชอบเจ้ามานานแล้วเด็กโง่”ร่างเพรียวพยักหน้าหงึกหงักแล้วนั่งเขินเอามือปิดหน้าไว้เหมือนเดิม จีฟ่านกระตุกยิ้มราวแม่เสือร้ายแล้วคิดไว้ว่าต้องรีบไปบอกจงเซวี่ยนเสียแล้ว..

                ดวงตาคมโตมองไปยังคนตัวบางที่อยู่ตรงลานฝึกสำหรับจอมยุทธ์น้อยเหมือนเคย ผ้าสีขาวในมือขยับสะบัดไปตามแรงกระทำจากลำแขนเรียวนั่น ขาข้างหนึ่งของเวินหลิวคุกเข่าลงกับพื้นโดยที่ผ้าผืนยาวนั้นขยับผ่านช่วงไหล่แล้วถูกดึงให้ตึงด้วยมือทั้งสองข้าง ทุกท่วงท่าที่เขาเห็นยามอยู่ใต้แสงจันทร์นั้นช่างงดงามและน่าหลงใหลจนหยุดมองไม่ได้

                หลายต่อหลายคืนแล้วที่เขาเห็นร่างเพรียวมาฝึกการแสดงที่นี่โดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้เวินหลิวตัวแสบยอมทำตัวเรียบร้อยเช่นนี้ แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ได้มีท่าทีปั้นปึ่งใส่เขาเช่นเคยแต่ก็ยังไม่เข้ามาทักทายอยู่ดี แต่มันก็ทำให้รู้สึกดีกว่าการที่โดนมองค้อนหรือตวาดไล่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

                หมินหาวอยากจะเห็นวันสถาปนาเสียแล้วว่าการแสดงนี้จะงดงามมากขนาดไหน แต่การไร้เครื่องดนตรีมันก็ทำให้การแสดงดูไม่สมบูรณ์

                มือหนาหยิบเอาขลุ่ยยาวที่เขานำมาเล่นแก้เบื่อเมื่อช่วงฝึกซ้อมมาทดลองเป่าเล็กน้อย และผลที่ได้รับก็คือร่างเพรียวที่กำลังขยับกายราวนกน้อยนั้นชะงักตัวแล้วมองไปรอบๆด้วยท่าทีตกใจ หากแต่ไม่มีเสียงโวยวายหรือสบถด่าออกมาให้ได้ยินเหมือนทุกที

                เวินหลิวทำทีเป็นมองไปรอบๆทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้นเสียงมาจากตรงไหนและมาจากใคร ท่วงทำนองดังไปทั้วบริเวณเป็นทำนองที่แว่วหวานชวนรับฟัง ตอนนี้จีฟ่านยังไม่ได้คิดทำนองดนตรีให้เขาแต่ก็สัญญาว่าจะมาเล่นให้ในวันแสดง ให้เขาฝึกจำท่าทางไปเสียก่อนแล้วค่อยมาแก้ไข..หากแต่วันนี้กลับมีคนมาเล่นดนตรีให้เขาฟัง

                เสียงขลุ่ยที่ดังออกมาพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกายของคนที่อยู่ใต้แสงจันทร์ ลำตัวบางขยับหมุนพร้อมผ้าโปร่งขาวที่สะบัดตามแรงหมุนราวกับมีชีวิต กายบางเอนลงจนปลายผ้าที่อยู่ในมือเกือบระพื้นแต่ก็โบกสะบัดขึ้นมาทัน รอยยิ้มบางแต่งแต้มบนใบหน้าหวานให้คนที่แอบดูอยู่ในมุมมืดได้ใจเต้นแรงกับความงดงามที่ได้พบ

                ผ้าสีขาวขยับไล้ขึ้นมาตามลำตัวบอบบางแล้วลากผ่านไปหลังคอพร้อมกับดวงตาที่มองตามผ้าผืนนั้นยิ่งน่าหลงใหล มือหนาลดขลุ่ยในมือลงมองร่างเพรียวที่ดูมีความสุขกว่าปกติที่ยังคงขยับกายต่อไปราวกับนกน้อยใต้แสงจันทร์ เสียงผ้าที่ขยับแหวกอากาศไม่ได้ฟังดูดุดันเหมือนการฝึกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

                หมินหาวรู้สึกตนเองเหมือนคนพิเศษ..ที่ได้จับจ้องนางฟ้าใต้แสงจันทร์นี้เพียงผู้เดียว

                และหลังจากนั้นทุกค่ำคืน..เขาจะมาเล่นเพลงให้เวินหลิวได้ฝึกซ้อมจนกว่าจีฟ่านจะหิ้วเครื่องดนตรีมาหา แต่สำหรับหมินหาวนั้นการที่เขาได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขและสนุกกับการเคลื่อนไหวร่างกายก่อนใครในทุกค่ำคืนก็คุ้มค่ากับการมาเฝ้ามองคอยดูแลอยู่ตลอด

    .

    .

    .

    .

                “ข้าไม่กล้าออกไปเลย”ห้องพักของเวินหลิวที่ตอนนี้มีแขกเพิ่มมาอีกหนึ่งคือจีฟ่าน ซึ่งเป็นคนที่มาช่วยร่างเพรียวจอมแสบแปลงโฉมจากชายหนุ่มน่ารักจอมเหวี่ยงให้กลายเป็นสาวน้อยที่น่าเอ็นดู เส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่นุ่มสวยถูกปล่อยออกทอดลงกับแผ่นหลังบางโดยบดบังส่วนเนื้อผ้าที่โปร่งบางช่วงหลังครึ่งบนไว้ เสื้อสีเขียวอ่อนที่ถูกดัดแปลงต่อเติมจนกลายเป็นชุดที่ดูสวยงามและไม่เหมือนใคร

                ดวงหน้าหวานนั้นง้ำงอขยับปากบ่นพึมพำไม่ได้หยุดแต่ก็ไม่ทำให้คนเจ้าแผนการหยุดมือกับการจัดแต่งทรงผมด้วยปิ่นเงินให้เข้าที่

                “อย่าลืมนะว่าเจ้าต้องไปชวนหมินหาวมาน่ะ”

                “ข้าจะไปกล้าชวนได้อย่างไรกัน”พวงแก้มแดงขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแผนการที่วางไว้เมื่อเดือนที่แล้ว คืนจันทร์เพ็ญเวียนมาถึงอีกครั้งและมาพร้อมกับเสียงผู้คนจากสำนักอื่นที่มาร่วมงาน เสียงกลองอึกทึกที่ดังแว่วเข้ามาเป็นระยะและแสงจากคบเพลิงทีทำให้สำนักนั้นสว่างไสวกว่าวันไหน

                “ข้าเตรียมไว้ให้แล้วน่ะ”เวินหลิวมองตามจีฟ่านที่เอากระบอกไผ่จากการสะพายข้างตัวมาตลอดเปิดจุกออก มือเรียวขาวนั้นขยับไปหยิบจอกใบน้อยแล้วเริ่มรินเครื่องดื่มลงไป

                “เอ้า สุรานี้ฤทธิ์แรงอยู่พอสมควร แต่กับเจ้าคงไม่เป็นอะไรมากนอกจากทำให้ใจกล้าขึ้นน่ะนะ”จอกใบน้อยถูกใช้งานถึงสามรอบก่อนวางลงที่เดิม จีฟ่านมองแก้มใสของร่างเพรียวที่แดงเรื่อจากฤทธิ์เหล้าด้วยความพึงพอใจ

                “พวกเจ้าเสร็จรึยังน่ะ พิธีจะเริ่มแล้วนะ ข้าจะล่วงหน้าไปก่อนนะ”เสียงจงเซวี่ยนที่ดังรอดเข้ามาให้จีฟ่านดึงข้อมือเจ้าตัวแสบให้ลุกขึ้นเดิน แล้วคนที่โดนฤทธิ์สุราไปก็มีความมั่นใจมากขึ้น..หรือจะเรียกว่าไม่คิดอะไรแล้วน่าจะเหมาะสมกว่า

                ลานหน้าสำนักถูกจัดอย่างตระการตาด้วยโต๊ะหลายร้อยตัวและการตกแต่งด้วยสีสันสดใสชวนมอง ผู้คนที่มากันจำนวนมากเริ่มนั่งลงตามโต๊กที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้โดยเจ้าสำนักยืนมองด้วยความพึงพอใจที่ลูกศิษย์ทำได้ดี เจ้าสำนักหันกลับไปเบื้องหลังก็พบเหล่าเด็กหนุ่มที่พร้อมอวดศักดาด้วยท่าทางกระตือรือร้น พยายามมองไปเรื่อยๆเพื่อหาเจ้าตัวปัญหาที่ยังไม่พบเลย

                “เวินหลิวไปไหนจงเซวี่ยน”

                “กำลังเตรียมตัวอยู่ครับท่านอาจารย์ เวินหลิวจะมาดูการแสดงของทุกคนแต่คงแอบอยู่น่ะครับ”

                “แอบงั้นรึ? อืม..ไม่ป่วนงานข้าก็พอใจแล้วล่ะนะ ฮ่าๆๆๆ”

                พิธีบูชาฟ้าดินดำเนินขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน โดยเหล่าลูกศิษย์ที่ไม่ได้ทำการแสดงก็ออกมาร่วมด้วยเช่นกัน อาหารเลิศรสถูกจัดส่งมาจากโรงครัวด้วยความเร็วที่น่าชื่นชม เสียงกลองถูกตีดังลั่นเรียกความสนใจจากคนเข้าร่วมได้ง่ายดาย รวมถึงเวินหลิวที่หลบมุมอยู่หลังเสาเพื่อไม่ให้ใครเห็น

                ดวงตาเล็กจับจ้องไปยังคนที่อยู่ตรงกลางกำลังขยับดาบตวัดด้วยท่วงท่าที่ดุดันแต่สง่างาม เวินหลิวรู้สึกว่าสายตาของตนเองนั้นมีแต่ร่างสูงที่โดดเด่นยิ่งกว่าใคร ดาบเล่มใหญ่นั้นเหมาะสมกับหมินหาวมากกว่าเขามากนักตามความเป็นจริง จีฟ่านที่แอบอยู่ข้างๆกระตุกยิ้มกับสายตาที่จับจ้องไปยังหมินหาวไม่ละสายตา

                “เดี๋ยวข้าบอกจงเซวี่ยนให้ไปบอกหมินหาวว่า หลังเจ้าแสดงเสร็จไปเจอที่ห้องของเจ้าดีรึเปล่า เจ้าชวนเองคงเขินสินะ”

                “อื้อ..”

                หลงหมินหาวจนไม่ฟังเขาเลยให้ตายสิ...

                เสียงเครื่องสายที่ดังขึ้นแล้วเริ่มเล่นทำนองเพลงเรียกความสนใจได้อย่างดีเพราะการแสดงเหล่านี้มักจะไม่ใช้เครื่องดนตรีประเภทนี้มากนัก หมินหาวมองตรงไปยังลานที่มีบุคคลหนึ่งก้าวเท้าเปลือยเปล่าขึ้นมาจากด้านข้างพร้อมรอยยิ้มบาง ร่างสูงจับจ้องคงที่แปลงโฉมจนสวยงามขึ้นมาด้วยความตื่นตะลึงไม่แพ้กับเหล่าลูกศิษย์คนอื่นที่เป่าปากเปี๊ยวให้ร่างเพรียวนั้น แต่ดวงตาเล็กไม่ได้ตวัดมองเอาเรื่องเหมือนทุกทีนอกจากสายตาที่จับจ้องไปยังผู้คนรายรอบ

                ผ้าโปร่งในมือสะบัดออกเหนือคบเพลิงจนไฟสีส้มนั้นดับลงไป ยามที่ปลายเท้าขาวสัมผัสพื้นเพื่อพาร่างกายหมุนตัวปลายผ้าก็โบกสะบัดตามไปด้วยเช่นกันจนคบเพลิงบริเวณนั้นดับลงเหลือเพียงแสงจันทร์เต็มดวงที่สาดส่องลงมา

                นกน้อยใต้แสงจันทร์เริ่มขยับกายดั่งเช่นทุกคืนที่ฝึกฝนมาโดยที่หมินหาวได้ดูอยู่ตลอดโดยไม่รู้เบื่อ เสียงแหวกอากาศดังขึ้นไม่หยุดโดยร่างเพียวบางนั้นก็ขยับตัวโอนอ่อนราวกับต้นหญ้าที่ลู่ไปตามสายลม ท่วงท่างดงามและดูเย้ายวนยิ่งทำให้หมินหาวละสายตาไม่ได้รวมถึงชุดที่สวยงามเหมาะสมกับร่างเพรียวนั่นอีก

                “น้องข้านี่สวยเนอะ”หมินหาวสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงเสียงของจงเซวี่ยนที่ดังขึ้นข้างๆ ฝ่ามือแตะลงหลังกว้างคล้ายการทักทายแล้วมองตรงไปเบื้องหน้า

                “เวินหลิวฝากข้ามาบอกเจ้าว่าหลังการแสดงจบให้ไปหาที่ห้องพักของเวินหลิวด้วย”

                “ข้าน่ะหรือ? เวินหลิวเรียกข้าเนี่ยนะ?”

                “สงสัยอยากขอบคุณเสียงขลุ่ยจากสายลมนั่นล่ะมั้ง”หมินหาวรู้สึกตนเองหน้าร้อนเห่อขึ้นมาโดยห้ามไม่ได้ รู้สึกสัมผัสหนักๆจากการตบหลังเบาๆสองสามทีเป็นการให้กำลังใจ ดวงตาคมโตมองไปยังใบหน้าหวานที่เผยอยิ้มออกมาดูอ่อนโยนด้วยความไม่เชื่อ

                แต่ลองไปก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรมากนัก...

                ร่างสูงมองสำรวจไปรอบๆห้องที่เขาไม่เคยเข้ามาด้วยความสนใจระหว่างรอร่างเพรียวให้กลับเข้ามาตามที่นัดไว้ มือหนาหยิบตำราที่บอกวิธีการฝึกผ้ามาเปิดอ่านเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอ แต่พออ่านได้ไม่นานเสียงบานประตูเลื่อนออกทำให้เขาต้องรีบวางแล้วหันกลับไป

                “เวินหลิว มีธุระอะไรกับข้าหรือ”ดวงตาคมโตกวาดมองร่างเพรียวใต้ชุดงดงามนั้นราวกับมองทะลุลงไป มองใบหน้าหวานที่ชื้นเหงื่อและเส้นผมยาวสวยที่คลอเคลียลงมาตรงช่วงไหล่ลาด สาบเสื้อที่แยกออกจากกันเล็กน้อยหลังเคลื่อนไหวร่างกายก็เผยให้เห็นผิวขาวเล็กน้อยชวนมอง

                “ข้าอยากจะถามอะไรเจ้าหน่อย ไม่สิ พี่จีฟ่านให้ข้ามาถามต่างหาก”หมินหาวมองคนตัวบางที่หน้าแดงขึ้นมาเสียดื้อๆ มือเรียวลงกลอนประตูแล้วเดินมาใกล้ๆเขาโดยก้มหน้าลงต่ำเสียจนน่าเอ็นดู

                “ถ้าข้าตอบได้ข้าจะตอบให้”

                “ข้า..ข้าได้ยินมา ว่าเจ้า ชอบช้า”เสียงนุ่มช่วงท้ายแผ่วเบาแทบไม่ได้ยินแต่หมินหาวก็ยังได้ยินชัดเจน มือสากลูบท้ายทอยตนเองแก้อาการเขินจากคำถามตรงไปตรงมาสมเป็นเจ้าตัว ดวงตาคมโตมองไปยังร่างเพรียวที่ก้มหน้างุดอยู่ตามเดิม โดยแต่เดิมเขาคิดว่าถ้าเวินหลิวรู้อาจจะโดนด่าไม่ก็ทำร้ายร่างกาย

                “ก็ใช่ ทำไมหรือ”เวินหลิวสูดลมหายใจลึกแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาร่างสูงไว้ ริมฝีปากอิ่มขยับขึ้นเพื่อเอื้อนเอ่ยประโยคที่จีฟ่านสอนมา โดยที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ใดที่ตามมา

                “จูบข้าหน่อยได้รึเปล่า”

    ตัดฉากจ้ะ อยากอ่านกรุณาไปจิ้มตอนที่ 1 นะเจ้าคะ อาจจะยุ่งยากแค่แปปเดียว แต่ดีกว่าการเสียเวลาคอยเมล์จากไรท์หลายวันนะคะ

                สามเดือนผ่านไปโดยกำหนดการแย่งอาวุธจากหมินหาวโดยเวินหลิวกลับไม่พบตัวหนึ่งในสองแม่หญิงแห่งเฟยหลงทั้งที่เจ้าตัวหมายมั่นมาตลอด แม้ว่าความสัมพันธ์กับหมินหาวจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตามที ซึ่งเมื่อวานนั้นตัวหมินหาวเองก็ไม่ได้มายังลานประลองกลับนั่งเป่าขลุ่ยเล่นกับคำตอบว่า

                “ข้าเอาชนะเวินหลิวได้แล้ว ไม่ต้องมาสู้กันแล้วล่ะ”

                “พวกเจ้า!!”เสียงนุ่มที่ตะโกนลั่นเรียกให้ชายหนุ่มทั้งหลายตรงลานฝึกหันไปมอง ร่างเพรียวที่ดูเหมือนจะเอวคอดเว้ากว่าเดิมกำลังมีสีหน้าโกรธจัดจนไม่กล้าเอ่ยปากแซว ถึงยามไม่ได้โมโหอะไรมาก็ไม่กล้าเอ่ยปากเช่นกันเพราะจะโดนผ้าผืนยาวนั้นตวัดใส่หน้าจนแดงปื้น และไม่มีใครกล้าพูดถึงวันงานวันนั้นอีกเลยด้วยซ้ำ

                ทำได้แค่เก็บภาพนางฟ้าอ่อนหวานไว้ในความทรงจำแล้วมาพบเจอนางปีศาจที่แทบจะแยกเขี้ยวออกมาอยู่ตรงหน้า

                “หมินหาวอยู่ที่ไหน”

                “เอ่อ..พวกข้าก็ไม่รู้นะ อาจจะไปเล่นกับเหล่าเด็กๆตรงลานฝึกจอมยุทธ์น้อยก็ได้”

                “ขอบใจ!”เสียงวิ่งตึงตังดังขึ้นอีกครั้งแล้วห่างออกไปเรื่อยๆ เจ้าสำนักที่ได้ยินเสียงเอะอะเดินออกมาดูด้วยความเหนื่อยใจ

                “เรียบร้อยได้วันสองวันก็กลับมาเป็นตัวแสบเหมือนเดิม หมินหาวมันไปทำอะไรให้เวินหลิวโกรธอีกล่ะ”เหล่าลูกศิษย์พากันส่ายหน้าเพราะหลังจากผ่านช่วงเขินอายกันและกันก็กลายมาเป็นแบบเดิม อาจจะดีขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังมีเสียงโวยวายของเวินหลิวดังขึ้นมาแทบทุกวัน

                คนหนึ่งขี้แกล้งส่วนอีกคนก็ขี้โมโห ถ้าเป็นชายหญิงป่านนี้คงท้องลูกเต็มบ้าน

                “หมินหาว!! มานี่เลยนะ”

                “อะไรกันเวินหลิว แค่เมื่อคืนข้าไม่ไปนอนด้วยถึงกับใจร้อนมาตามหาข้าแต่เช้าเลยรึไงกัน”

                “อะ..ทำผิดแล้วยังมาพูดแบบนี้อีกหรอ? เมื่อคืนวันก่อนเพราะเจ้าเลย เจ้าตั้งใจจะไม่ให้ข้ามาสู้กับเจ้าใช่มั้ย!”เด็กน้อยเริ่มมองไปยังคู่รักที่มาฟัดกันเกือบทุกวันด้วยความสนใจ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มประดับมุมปากเล็กน้อยก่อนที่ร่างสูงจะยอมลุกออกจากที่นั่ง

                “ข้าก็ทำของข้าปกติ เจ้าเจ็บสะโพกเองนะ”

                “ปกติหรอ!? บอกให้หยุดแล้วก็ยังจะทำเนี่ยนะ? ข้าจะอัดเจ้า!!”ผ้าสีขาวพุ่งเข้าใส่แต่คนรู้ทันก็เอามือคว้าแล้วกระชากมาแทนจนร่างเพรียวเซถลาเข้ามาในอ้อมกอดอบอุ่น ใบหน้าหวานบูดบึ้งโดยร่างกายก็พยายามดิ้นหนีออกไป

                “เจ้าโวยวายแบบนี้เขาก็รู้กันหมดสิ ไม่เอาน่าๆ ว่าแต่หุ่นเจ้าดีขึ้นรึเปล่าน่ะ สะโพกนี่เต็มไม่เต็มมือข้าเลยนะ”

                “ปล๊อยยย!!”หมินหาวหัวเราะร่าให้กับใบหน้าหวานที่แดงก่ำราวกับจะระเบิด ร่างเพรียวโดนจับขึ้นอุ้มแล้วพาเดินไปอย่างง่ายดาย

                “เจ้าอยากได้แบบขืนใจหรอ? ก็น่าสนดีนะว่ามั้ย”

                “ปล่อยนะ ปล่อยข้า! ไอ้เจ้าบ้าหื่นกาม ปล่อย!

                สำนักเฟยหลงที่เคยสงบสุขก็คงจะไม่สงบลงจนกว่าหมินหาวจะปราบกระต่ายป่าจอมดื้อนี่ได้ลงในซักวัน..ถ้ามันมีวันนั้นก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว

               

    THE END

     

    จบแล้วล่ะ แปลกๆบอกไม่ถูก แอบห้วนตอนจบแหละ ถถถถถถถถถถถถ หวังว่าจะชอบและสนับสนุนกันต่อไปนะคะ ฮริ้ง ขอบคณที่เข้ามาอ่านค่า


    © Baanbaan
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×