คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Case 1 : Magic is Magic [Part 3]
Case 1 : Magic is Magic
บทที่ 3
ทั้งที่คิดว่ามาถูกเส้นทาง แต่สุดท้ายกลับกำลังวิ่งสู่เหวลึกที่ไม่มีทางไปต่อ
เหมือนกำลังไขว่คว้าหมอกควันที่ลางเลือน โดยคิดไปว่าหมอกควันนั้นเป็นสิ่งที่จับต้องและกักขังได้ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย
การสันนิฐานทุกอย่างมันผิดตั้งแต่ต้น คดีนี้ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นแล้วสรุปได้ง่าย
เพราะมันคือมายากล..ที่มีตัวล่อหลายต่อหลายตัวมาทำให้หลงไปตามที่นักมายากลนั้นกำหนดไว้
.
.
.
.
เสียงไซเรนตำรวจดังไปทั่วสวนสาธารณะนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นยามค่ำคืนที่ไม่ค่อยมีคนแล้วก็ตาม หุ่นยนต์ตัวเดิมถูกนำมากั้นเป็นอาณาเขตของสถานที่เกิดอาชญากรรมอีกครั้ง ศพที่ห้าภายในวันเดียวกันตามที่คาดนั้นเริ่มส่งกลิ่นออกมา ร่างกายเย็นชืดและจงฮยอนไม่สามารถดมกลิ่นใดๆได้เช่นเคย
อีจินกิขยับมือดูนาฬิกาหลายต่อหลายครั้งสลับกับการมองไปรอบๆเผื่อว่าสองคนที่เดินทางไปยังเผ่าดาร์คเอลฟ์จะกลับมา ถึงจะส่งสัญญาณติดต่อไปหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่มีสักคนที่จะตอบรับหรือติดต่อกลับ
“จินกิเป็นอะไรรึเปล่า”จงฮยอนเดินออกมาหาร่างเพรียวที่ขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด ไม่มีสติพอที่จะเข้าไปร่วมการหาเบาะแสหรือตรวจสอบศพ
“เรามาผิดทางจงฮยอน มินโฮกับแทมินยังไม่กลับมาเลย”จงฮยอนถอนหายใจพลางมองกลับไปยังศพนั้นอีกครั้ง คีย์กำลังพยายามหาเบาะแสอื่นแต่กลับไม่ได้อะไรออกมาเลย เพราะเบาะแสเดียวคือเลือดนั่น แต่ถ้าไม่มีมินโฮพวกเขาก็ไม่สามารถอ่านสาส์นที่ส่งโดยเลือดนั่นได้
เสียงสัญญาณติดต่อดังขึ้นจากนาฬิกาข้อมือที่อยู่กับหัวหน้าหน่วย นาฬิกาที่ถูกดัดแปลงโดยศาสนจักรจนกลายเป็นทางเลือกสำหรับติดต่อกับคนในหน่วยงานเดียวกัน ไม่มีใครสามารถเจาะระบบเข้ามาแอบสืบข้อมูลได้เด็ดขาด และการติดต่อทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในคลังข้อมูลของศาสนจักร
แสงที่ออกมาเป็นใบหน้าของหัวหน้าหน่วยเอ็กโซซิสท์ผู้แก่ชรา ไม่ใช่สมาชิกในทีมที่พวกเขารอคอย คีย์เดินออกมาพลางมองหัวหน้าทีมของนเองที่ดูเคร่งเครียดกว่าเดิม ปลายนิ้วขาวของจินกิแตะลงคำว่ายอมรับและก็มีเสียงแหบของบุรุษที่เขาเกลียดนักหนาดังขึ้น
//มาที่ศาสนจักรเดี๋ยวนี้//
“ผมจะไม่ไปไหนจนกว่าสมาชิกของผมจะกลับมา อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง”
//อีจินกิ..นี่คือคำสั่ง หน่วยของเธอทำงานผิดพลาดร้ายแรง พวกเราต้องการคำอธิบายเดี๋ยวนี้//จงฮยอนมองคนที่กำลังจะต้องเข้าไปในสถานที่น่ารังเกียจนั่นด้วยความเป็นห่วง ถ้าไม่ไปอาจจะมีผลร้ายแรงตามมาสำหรับปีศาจที่อยู่ในการควบคุมของศาสนจักรแบบพวกเขา
“ได้”สายถูกตัดไปทันทีหลังคำตอบรับของจินกิ ดวงตาเรียวเล็กนั้นหันมองยังสมาชิกที่เหลืออีกสองคนแล้วส่งยิ้มให้เป็นการบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร
“ถ้าแทมินกับมินโฮกลับมาเมื่อไหร่ติดต่อมาด้วยนะ”หัวหน้าทีมขยับถอยออกไปเป็นการบอกว่าเขาต้องรีบแล้ว ปีกค้างคาวสีดำสนิทขนาดใหญ่กว้างประมาณสองเมตรกางสะบัดออกจากแผ่นหลังจนเนื้อผ้าฉีกขาด แค่ขยับเพียงนิดเดียวร่างของอีจินกิก็ขึ้นสู่ผืนฟ้ายามราตรีแล้วหายออกไปจากสายตาของคีย์และจงฮยอน
“รู้สึกไม่ดีเลย”เสียงพึมพำของคีย์เรียกความสนใจจากจงฮยอนให้ละสายตาจากความมืดมิดบนท้องฟ้าลงมามองคนข้างกาย ท่อนแขนแข็งแรงโอบไหล่บางไว้แล้วลูบต้นแขนแผ่วเบา
“ฉันเชื่อใจสามคนนั้น จินกิจะต้องรับมือได้ มินโฮกับแทมินก็ต้องปลอดภัยเช่นกัน”
ใช้เวลาไม่นานอีจินกิก็มาถึงหน้าศาสนจักร ขาเรียวขยับเดินตรงไปยังห้องประชุมที่เขาเคยนั่งเมื่อประมาณช่วงเช้าที่ผ่านมา และตอนนี้กำลังต้องกลับเข้าไปอีกครั้งเพราะคดีเดียวกัน
“ศพที่ห้ามันหมายความว่ายังไง”พอก้าวเท้าเข้าไปก็โดนคำถามที่คาดคิดไว้แล้วส่งมาทันที ดวงตาเรียวกวาดมองไปยังหัวหน้าเอ็กโซซิสท์ทีมอื่นที่จับจ้องมายังเขา สายตาของคนเหล่านั้นมีทั้งผิดหวังและสะใจกับผลงานในครั้งนี้ อีจินกิกัดฟันกรอดแล้วเดินเข้าไปนั่งตรงที่ประจำของตนเอง
“พวกเราตีความผิด ไม่สิ พวกเราตีความไปตามที่พวกมันต้องการ”อีจินกิรู้ดีว่าคนพวกนี้หาหนทางเล่นงานพวกเขาอยู่แล้ว ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่นี้จึงพยายามให้ผิดพลาดน้อยที่สุด แต่คราวนี้กลับผิดพลาดจนต้องมีศพที่ห้าเพิ่มขึ้นมา
“เห็นมั่นใจมากเลยไม่ใช่รึไง แล้วความผิดพลาดแบบนี้มันทำให้พวกเราเอ็กโซซิสท์เสื่อมเสียมากแค่ไหนรู้รึเปล่า”
“ถ้าจะเรียกมาเพื่อต่อว่าช่วยปล่อยผมกลับไปเถอะ สมาชิกในทีมของผมหายตัวไปจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ พวกมนุษย์ไร้ประโยชน์ช่วยหยุดเห่าเถอะ”หัวหน้าหน่วยเอ็กโซซิสท์ลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดัง โดยอีจินกิเองก็ลุกขึ้นเช่นกัน ดวงตาที่เคยเป็นสีน้ำตาลเข้มนั้นวาวโรจน์และเริ่มกลายเป็นสีแดง
“มันจะมากไปแล้วนะอีจินกิ! เพื่อนของเธอไม่ตายหรอกน่า สนใจคดีนี้เสียยังดีกว่า ถึงตายเราก็หาปีศาจให้ไปอยู่ในทีมของเธอได้อีกนั่นแหละ”
“ไม่ตาย? มนุษย์แบบพวกแกเคยรู้อะไรบ้างรึเปล่า! พวกเราเกือบเสียสมาชิกกันไปกี่รอบแล้วพวกแกเคยรู้บ้างมั้ย? หุบปากไปซะไอ้ทุเรศ!”
ถึงปีกที่กางออกเพื่อปกป้องนั้นไม่ใช่ปีกขนนกสีขาวที่สวยงาม เป็นเพียงปีกสีดำที่มีเพียงกระดูกกับกล้ามเนื้อไม่น่าดู แต่เขาจะพยายามใช้ปีกสีดำนี้โอบรอบเหล่าสมาชิกเพื่อปกป้องให้ถึงที่สุด
เสียงสัญญาณติดต่อดังขึ้นขัดความรุนแรงที่กำลังก่อตัวขึ้น ดวงตาเรียวมองไปยังนาฬิกาของตนที่มีใบหน้าแทมินขึ้นมา ขาเรียวพาตัวเองเดินกลับออกโดยไม่สนใจเสียงด่าทอของเอ็กโซซิสท์คนอื่นเลยแม้แต่น้อย
“ว่ายังไงแทมิน เป็นอะไรรึเปล่า ตอนนี้อยู่ไหน”
//เพิ่งออกมาจากเผ่าดาร์คเอลฟ์ได้ จินกิอยู่ไหน คดีเราปิดแล้วไปฉลองที่ไหนกันดี//
“คดีเรายังไม่จบแทมิน..มันเพิ่งเริ่มต้น ไปสวนสาธารณะใกล้โรงละครใหญ่เดี๋ยวนี้เลย”การสื่อสารยุติลงก่อนที่ปีกสีดำนั้นจะคลี่กางออกมาอีกครั้ง สมาชิกของเขากลับมาได้ปลอดภัยมันก็ช่วยลดความตึงเครียดลงไปได้มากพอตัว
โดยเฉพาะมินโฮที่เขาห่วงมากกว่าใคร
แต่ตอนนี้เขากำลังจะคุมความโกรธของตนเองไม่อยู่..
.
.
.
.
“ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ”จงฮยอนร้องทักสมาชิกสองคนที่โผล่ออกมาจากวงเวทเคลื่อนย้าย สภาพมีแผลตามลำตัวกับรอยฟกช้ำถ้าให้บอกว่าฟัดกับหมาคงดูน้อยไปด้วยซ้ำ
“ฟัดกับดาร์คเอลฟ์นั่นแหละ แล้วนี่อะไร มันยังไม่จบจริงหรอ”แทมินพูดพลางเดินไปสำรวจศพที่ห้านั้น คีย์ติดต่อไปยังหัวหน้าทีมที่คงกำลังรีบกลับมา และคีย์เองก็คิดว่าคงได้มีการปะทะอารมณ์กับตาแก่คนนั้นแน่ๆ ส่วนจงฮยอนเริ่มอธิบายสิ่งต่างให้แทมินกับมินโฮฟัง ดวงตาของมินโฮนั้นยังคงคุกรุ่นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ร่างสูงขยับเดินไปเอาเลือดจากบาดแผลตนป้ายลงแอ่งเลือดนั้น
ตัวอักษรเริ่มปรากฏขึ้นทำให้คิ้วของแต่ละคนเริ่มขมวดเข้าหากัน จะให้ตีความง่ายๆแบบที่ผ่านมาคงไม่ได้แล้ว เสียงวัตถุแหวกอากาศดังขึ้นทำให้ทั้งสี่คนหันกลับไปดูก็พบกับหัวหน้ากลุ่มที่มีสีหน้าเคร่งเครียดกำลังก้าวเดินตรงมา ปีกสีดำทีหลังนั้นไม่ได้เก็บเหมือนเดิมเพียงแค่หุบลงไปเท่านั้น
“มีอีกโอกาส..ไปตายซะเอ็กโซซิสท์ เหอะ ดีจริงๆไปไหนก็มีแต่คนไล่ให้ไปตาย”
“จินกิ”มือของจงฮยอนแตะลงลาดไหล่แผ่วเบาเป็นการเตือนให้สงบสติแต่กลับถูกฝ่ามือนุ่มนั้นปัดออก ขาเรียวนั้นก้าวตรงมานั่งลงเบื้องหน้าศพที่ยังคงมีความอุ่นเหลืออยู่บ้าง ดวงตาสีแดงฉานฉายแววคุ้มคลั่งราวกับปีศาจร้ายที่พร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อ
“ติดต่อญาติผู้หญิงคนนี้ แล้วเรารีบกลับไปคิดกันต่อเถอะ”ฝ่ามือขาวนั้นค่อยๆเอาศีรษะของเด็กสาวผู้โชคร้ายออกจากอุ้งมือนั้น เริ่มทำการปลดเชือกที่พันธนาการตามตัวออกให้ทีละเส้นอย่างใจเย็นทั้งที่แววตานั้นยังคงแดงก่ำจนน่ากลัว
“ป่านนี้ฆาตกรคงกำลังหัวเราะเยาะพวกเราอยู่แน่ๆเลยล่ะ รวมถึงพวกมนุษย์นั่นด้วย”ร่างกายที่เริ่มแข็งตัวนั้นถูกจับให้ลงนอนโดยที่ศีรษะวางลงไปข้างๆแทน หัวหน้าหน่วยลุกขึ้นยืนก่อนจะหันกลับมาพร้อมคำสั่งที่เด็ดขาด
“รีบหาพวกมันให้เจอแล้วฆ่ามันซะ”
ภายในบ้านพักที่มีอยู่เพียงสี่ตนเพราะคิมจงฮยอนได้ออกไปตามหาเบาะแสทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ มินโฮกับแทมินเพิ่งต่อสู้มาจึงถูกลงมติว่าให้งดการออกไปทำหน้าที่ฝ่ายสืบค้นหรืองพื้นที่ และคีย์เองก็ไม่ถนัดการต่อสู้จึงมานั่งคิดหาวิธีการหรืออะไรบางอย่างที่พวกเขามองพลาดไป และจินกินั้นก็ต้องมาช่วยคีย์คิดอีกแรงเพื่อให้คดีนี้ปิดลงเร็วที่สุด
“จินกิคิดว่าจะมีคนมาดักรอบทำร้ายจงฮยอนรึเปล่า”คำถามของแทมินทำให้ปีศาจที่กำลังขีดเขียนข้อมูลต้องเงยหน้าขึ้นมา เขี้ยวซี่แหลมขบกัดริมฝีปากตนเองเล็กน้อยก่อนะพูดขึ้น
“ฉันคิดว่าไม่ ตอนนี้เราแค่กำลังเล่นไปตามบทที่มันเขียนขึ้นมาก็เท่านั้น แต่เรายังไม่รู้ว่าอีกที่นึงคือที่ไหน และมนุษย์คนนั้นคือใคร และดาร์คเอลฟ์ที่พวกนายสองคนไปฆ่ามาก็ไม่ใช่ตัวจริง เรากำลังกลับมาจุดเริ่มต้นที่แย่กว่าเดิมก็เท่านั้นเอง”
“แล้วตาแก่นั่นพูดอะไร ทำไมจินกิโมโหมาแบบนั้นล่ะ”
“เงียบเถอะน่าแทมิน พูดมากจริง”น้ำเสียงดุของอีจินกิทำให้แทมินยอมเงียบลงไป ดวงตานั้นมองไปยังชายหนุ่มร่างสูงข้างตนเองที่นั่งหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิมอยู่ทุกที แทมินถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปช่วยวิเคราะห์คดีนี้แทน
“ฉันคิดว่า เราต้องตามเกมของพวกมันไปจนกว่าจะจบ ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”
คำพูดของคีย์ทำให้สองคนที่อยู่ตรงโต๊ะเงยหน้ามาขมวดคิ้วใส่ คีย์ไหวไหล่แล้วเริ่มต้นแจกแจงเหตุผล
“เราทำตามที่มันกำหนดไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้นก้าวต่อไปของเราคือจุดที่หกตรงกึ่งกลางนี้”นิ้วยาวชี้ไปยังภาพฉายสามมิติที่ยังคงมีรอยเส้นลากเป็นรูปดาวห้าแฉกไว้ โดยมีช่องว่างตรงกลางที่โดนสัมผัสไปนั้นกระพริบเป็นจุดแดง
“เป้าหมายของมันเห็นได้ชัดว่าต้องการให้เราไปช่วยมนุษย์พวกนั้นไม่ได้ และนี่ก็เป็นแผนให้เราไปจุดกึ่งกลางนี่เพื่อไปหามัน..อะไรที่พลาดไปแล้วก็พลาดไป แต่มันกำหนดไม่ได้ว่าใครจะชนะ”หัวหน้ากลุ่มเริ่มเผยอยิ้มก่อนมองไปยังดวงตาของคีย์ที่แวววาวนั้น
“คำแนะนำของคีย์คราวนี้คือ ไปสู้ให้ชนะสินะ”
“แสดงว่าเหยื่อสังเวยของมันคราวนี้คงเป็นพวกเรา”แทมินพูดขึ้นแล้วเริ่มติดต่อไปยังคิมจงฮยอนที่หายตัวไปสืบเบาะแส อีจินกิขยับตัวบิดขี้เกียจคลายความล้าก่อนลุกเดินไปหามินโฮที่ยังนั่งกอดอกตามเดิม
“ยังโมโหอยู่อีกหรอ”
“ฉันกำลังคิดอยู่ว่าทำแบบนี้ไปจะได้ผลอะไรกลับมาบ้าง นอกจากคำว่าทรยศและหมาของศาสนจักร”ฝ่ามือขาวเตรียมเอื้อมไปแตะไหล่กว้างแต่ก็ลดลงไว้ข้างลำตัวเหมือนเดิม จินกิไหวไหล่เล็กน้อยก็เอนตัวพิงโซฟาด้วยท่าทางที่ดูผ่อนคลาย
“จุดที่หกที่เรากำลังจะไปกันฉันจะให้นายสู้..ไม่สิ ฉันสั่งให้นายสู้จนกว่าไอ้นั่นจะตาย”ดวงตาเล็กเหลือบมองคนข้างตัวที่คล้ายจะใช้สายตามองกลับมาเช่นกัน ริมฝีปากอิ่มเผยอยิ้มจนเห็นเขี้ยวที่แหลมกว่ามนุษย์ทั่วไป
“คำสั่งอีกอย่างก็คือ ฆ่าให้ศพมันทุเรศที่สุดแล้วเอาไปโยนทิ้งในห้องตาแก่นั่นด้วย ทำได้รึเปล่า”
และอีจินกิก็ได้เห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจของมินโฮในครั้งแรกของวันนี้
หลังจากจงฮยอนกลับมาพวกเขาก็เริ่มออกเดินทางไปยังจุดที่หกที่คีย์ได้วัดจากระยะทางและสถานที่เอาไว้แล้ว สถานที่นี้เป็นโรงพยาบาลที่ปิดตัวไปได้นานกว่าครึ่งปีแล้วและกำลังจะถูกปรับปรุงให้เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ที่หรูหรา
จงฮยอนที่รับหน้าที่ขับรถเพราะเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทีมต้องใช้รถของหัวหน้าหน่วย เนื่องจากสมาชิกแต่ละคนโดยคีย์ จินกิและมินโฮมีปีกเป็นของตนเอง แทมินก็มีพลังมากพอจะพาตัวเองเหาะหรือบินมาได้ โดยเขาไม่มีอะไรแบบนี้เลยสักนิดเดียว คีย์มองไปรอบๆก่อนจะพูดขึ้น
“แล้วไหนล่ะ เพื่อนของเราน่ะ”เสียงพลังงานที่ฝ่าอากาศมาทำให้ทั้งหมดต้องกระโดดหลบกันไปคนละทาง รถยนต์ของหัวหน้าหน่วยถูกระเบิดจนเละแต่ก็ทำให้สถานที่มืดมิดตรงนี้ดูสว่างได้ทันตาเห็น เสียงฝ่าเท้าที่ดังกระทบพื้นและใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนใกล้พอที่จะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ดาร์คเอลฟ์นี่เอง แล้วนี่จะทำพิธีอะไรรึเปล่า? เราต้องการข้อมูลไปสรุปรายงายนว่าเหตุจูงใจ วิธีการที่ใช้ และ..สภาพศพเป็นยังไง”ชายร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาทั้งห้าหัวเราะกับคำพูดของจินกิที่เป็นคำสบประมาทอย่างเห็นได้ชัด ร่างเพรียวของหัวหน้าหน่วยขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงของมินโฮแล้วดันออกไปข้างหน้า
“อย่าเพิ่งทำให้ตายละกัน”ปีกขนนกสีดำของทั้งคู่กางออกแล้วต่างฝ่ายต่างเริ่มพุ่งเข้าใส่กันจนเกิดสายลมรุนแรง ไม่มีการใช้อาวุธใดๆทั้งสิ้นนอกจากพลังที่มีติดตัวและร่างกายตามศักดิ์ศรีของเหล่าดาร์คเอลฟ์ที่ยึดถือกันมานาน ฝ่ามือของมินโฮขยับเล็กน้อยทำให้เปลวไฟจากรถยนต์ที่เผาไหม้พุ่งทะยานไปใส่ดาร์คเอลฟ์อีกตนที่ขยับตัวหลบไปได้ฉิวเฉียด
ดาร์คเอลฟ์ใช้พลังควบคุมธรรมชาติได้ดั่งใจ แต่ก็ต้องเป็นแหล่งธรรมชาติที่มีมากพอไม่ใช่แบบพ่อมดอย่างแทมินที่สามารถเสกขึ้นมาเองได้ตามต้องการ ซึ่งดาร์คเอลฟ์มีพลังอีกอย่างที่เหนือกว่าพ่อมดคือความสามารถในการควบคุมจิตใจผู้อื่น รวมถึงพลังโจมตีที่รุนแรงกว่าและสามารถใช้ได้เรื่อยๆจนกว่าแหล่งธรรมชาตินั้นจะหายไป
ดวงตาของจินกิละออกจากการต่อสู้เบื้องหน้าแล้วมองไปรอบๆเพื่อหาคนอีกคน..ที่น่าจะเป็นมนุษย์นักมายากลหากแต่ไร้ร่องรอยยิ่งทำให้เขารู้สึกแปลกกว่าเดิม จินกิขยับตัวไปชิดแทมินแล้วกระซิบแผ่วเบา
“กางข่ายมนต์หรือบาเรียอะไรก็ได้ที่ป้องกันพวกเราได้รอบทิศทางหน่อยสิ”
“ทำไมล่ะจินกิ”
“มันน่าจะมีอะไรแอบแฝงน่ะ ส่วนจงฮยอนถ้านายเห็นอะไรแปลกๆล่ะก็รีบไปสนับสนุนมินโฮเลยนะ นายประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวเร็วที่สุด ส่วนคีย์กับฉันจะคิดอะไรหน่อยกับข่ายวงแหวนนี่ว่าตกลงทำเพื่อบูชาใคร”ม่านพลังหรือบาเรียของแทมินเริ่มทำหน้าที่โอบล้อมพวกเขาทั้งสี่คนไว้ภายใน โดยจงฮยอนเองก็จับตาดูการต่อสู้ที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆรวมถึงกลิ่นเลือดจากบาดแผลเองก็เริ่มชัดเจนขึ้นทุกขณะ
ตำราเวทมนต์โบราณที่คีย์ใส่กระเป๋าติดตัวมาด้วยถูกกางออกแล้วเริ่มเปิดหาไปทีละหน้าแต่รวดเร็ว การทำวงแหวนที่ใหญ่รวมถึงการฆ่าคนแบบนี้น่าจะมีอะไรแอบแฝงมากกว่าการล่อพวกเขาออกมา สมุดโน้ตเล่มเล็กเริ่มถูกขีดเขียนโดยอีจินกิที่กำลังคัดลอกหัวข้อที่น่าเป็นไปได้มากที่สุดลงไป
“ฉันได้กลิ่นศพล่ะ มัน..ค่อนข้างนานแต่ก็ไม่ใช่พวกที่ตกค้างในโรงพยาบาลนี้แน่ๆ”
“จำนวนเยอะรึเปล่าจงฮยอน”จินกิถามเสียงเครียดเมื่อหน้ากระดาษที่ผ่านมาไม่กี่แผ่นก่อนหน้ากล่าวถึงวงเวทปลุกศพคนตายมาเป็นข้ารับใช้ ยิ่งอาณาเขตใหญ่เท่าไหร่การตอบรับจากปีศาจจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
“ศพเดียว”สามคนที่เหลือหันมองหน้ากันด้วยความสับสน ฝ่ามือของคีย์เริ่มพลิกกระดาษไล่เร็วขึ้นเมื่อสามารถตีวงให้แคบลงมาได้กว่าเดิม
ทางด้านมินโฮที่ได้แผลมาบ้างเริ่มสนุกกับการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อหลังจากไม่เจอแบบนี้มานาน มือใหญ่หมายจะทะลวงเข้าช่วงอกตำแหน่งหัวใจแต่ก็ถูกหลบได้ทัน หลากหลายพลังโจมตีใส่กันจนเกิดสายลมกรรโชกแรงเป็นระยะๆ มินโฮเริ่มเคลื่อนกายถอยออกมาเพื่อหาช่องว่างในการโจมตีได้รุนแรงที่สุด
“แทมิน ขอน้ำแข็ง”แทมินที่กำลังช่วยหาการบูชาที่เข้าข่ายโบกมือปัดๆไปให้อย่างส่งเดชตามคำขอ ก้อนน้ำแข็งขนาดเท่าท่อนแขนส่งมาเข้ามือใหญ่ก่อนที่ร่างสูงจะแปลงรูปลักษณ์เป็นวัตถุที่มีส่วนแหลมตรงปลาย
“เหอะ ขอความช่วยเหลือนี่ไม่แย่ไปหน่อยรึไง”
“พลังแกมันเพิ่มขึ้นทุกทีจนน่าทุเรศเลยว่ะ อย่ามาเห่าหน่อยเลย”ดวงตาคมโตตวัดมองปีกนกสีดำนั่นนิ่งก่อนเขวี้ยงน้ำแข็งในมือตรงไปข้างหน้า ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามขยับหลบเหล่าไม้เลื้อยในดินก็ผุดขึ้นมาเกี่ยวพันรัดแขนขาและลำตัวไว้ไม่ให้หลุดออกไป
“โง่ไปหน่อยนะว่ามั้ย?”
“ปล่อยสิเว้ย ปล่อย!!”มินโฮมองคนโดนพันธนาการง่ายๆด้วยแววตานิ่งเฉย ร่างสูงขยับนิ้วเล็กน้อยเถาวัลย์เส้นหนาอีกสองเส้นก็ผุดขึ้นมาจากผืนดิน พุ่งขึ้นดึงรั้งปีกนกจนกระทั่งหักและหลุดออกจากแผ่นหลังนั่น เสียงกรีดร้องเจ็บปวดและคาวเลือดที่กระจายไปทั่วทำให้จงฮยอนเบ้ริมฝีปากเล็กน้อย แต่แล้วร่างหนาเบิกตากว้างก่อนจะพุ่งตัวขึ้นกระโดดไปคว้าช่วงขาร่างสูงให้ลงมาเบื้องล่าง เพียงเสี้ยววินาทีที่ลูกธนูพุ่งผ่านไปอย่างเฉียดฉิวทำให้อีกสามคนรีบหยุดสิ่งที่ทำแล้วมองร่างสูงที่ล้มกลิ้งมากับจงฮยอนแล้วมาอยู่ในบาเรีย
“อะไรวะเนี่ย”
“มีปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่แถวนี้”จงฮยอนตอบมินโฮแล้วปัดฝุ่นตามร่างกายออกโดยช่วยดึงร่างสูงขึ้นมาด้วย หัวหน้าหน่วยมีสีหน้าเคร่งเครียดก่อนที่จะจับคีย์มาอยู่กึ่งกลางแล้วพวกเขาช่วยกันไว้เหมือนทุกที
“จงฮยอนคุ้มครองคีย์ด้วย แทมินกางข่ายมนต์ออกไปให้พื้นที่แถวนี้เป็นของเรา เร็วเข้า”พ่อมดปีศาจรีบทำตามคำสั่งแต่ยังไม่ทันที่ข่ายในต์จะไปได้ไกลมากที่ควรก็ถูกข่ายมนต์จากฝ่ายตรงข้ามกระแทกกลับมาแทน แทมินเองก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียแล้วเพิ่มการตอบโต้ด้วยการกระแทกข่ายมนต์กลับไป
“กลิ่นแบบนี้..ไม่ดีเลย”
“ไม่ดียังไงจงฮยอน”หัวหน้ากลุ่มถามเสียงห้วนเพราะความเครียดเริ่มเกาะกุมมากขึ้นทุกที ดวงตายังคงมองไปรอบๆและกลับมาจดจ้องยังดาร์คเอลฟ์ที่ถูกพันธนาการด้วยเถาวัลย์ใหญ่จากผืนดิน
“มันเป็นกลิ่นของปีศาจ ปีศาจจากนรก นายเข้าใจใช่มั้ยจินกิ?”
TBC.
หายไปนานไม่ใช่อะไร เขียนฉากต่อสู้ไม่เป็นล่ะ..อยากได้แบบอลังการมินโฮหล่อมาก แต่ก็ได้เท่านี้อ่ะ ฮืออ ยิ่งเขียนยิ่งยาวขึ้นนเรื่อยๆ หวังว่าจะสนุกและชอบกันนะคะ ช่วยกันติดตามต่อด้วย ตอนหน้าก็จบคดีแรกแล้ว ขอบคุณทุกคนนะคะ
ความคิดเห็น