ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แผนรัก ดักพี่ชายกำมะลอ

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8 : รั้วมหา’ลัย...ห่วงใยกัน

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 48


    ความรู้สึกของชายหนุ่มตอนนี้ยิ่งกว่าโรลเลอร์โคสเตอร์ หัวใจที่หล่นไปอยู่ที่หัวแม่เท้ากระเด้งกระ-ดอน-สะท้อนกลับมาที่อกจนเต้นระรัวแรงราวกับระนาดโหมโรงผสมกลองใหญ่ หน้าคล้ำเข้มแปรเปลี่ยนจากซีดขาวเป็นสีแดงด้วยแรงสูบฉีดของโลหิตที่เกิดจากแรงอารมณ์ เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ จนโปนขึ้นมาเห็นได้ชัดเจน เขากัดฟัดกรอด มือที่ค้างกลางอากาศกำแน่นก่อนที่จะกระชากบานประตูเปิดออกอย่างแรง





    “ น้องนาย !! ทะ...”





    คำพูดที่เตรียมพร้อมสำหรับที่จะพรั่งพรูออกมากลับกระจุกอยู่ที่คอเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ความรู้สึกตอนนี้ของชายหนุ่ม มันยากที่เขาจะสามารถบรรยายออกมาเป็นภาษาไทย และอีกหลายภาษาได้





    “ อ้าว ! พี่ภูมิขึ้นมาตามเหรอ ใกล้เสร็จแล้วค่ะ ”



    “ มาแต่เช้าได้ทุกวันเชียวนะเอ็ง ”



    ทั้งคู่ทักผู้มาใหม่โดยยังไม่ละจากการกระทำที่กำลังปฏิบัติอยู่





    “ เอ่อ... ” ไตรภูมิยังคงพูดไม่ออก



    “ ไม่สบายรึเปล่าคะ หน้าแดงเชียว ” สาวน้อยเหลือบตาขึ้นมามองนิดหนึ่งแล้วเอ่ยทักเมื่อเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของไตรภูมิ แต่ผู้ถูกถามยังคงนิ่งอึ้งตะลึงงัน ไม่พูดไม่จาอยู่อย่างนั้น





    “ เอาล่ะ เสร็จซะที ยุ่งยากจริง ” แทนไททิ้งมือลงข้างตัวเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ไม่วายบ่นไปด้วย



    “ พี่แทนว่าน้องนายเหรอ ” หางเสียงสูงขึ้นตามความรู้สึก



    “ เปล่า พี่ว่า ‘เจ้าตุ้งติ้ง’ นี่ตังหากครับ ทำไงให้ปลายมันหักงอขนาดนั้น กว่าจะใส่ได้ เสียเวลาชะมัด ”



    “ ก็ไม่รู้นี่ สงสัยตอนมันหล่นแล้วไปเกี่ยวกับอะไรมั้ง เลยงอเอา เดี๋ยวน้องนายจะไปหาซื้ออันใหม่ตอนไปถึงมหา’ลัยแล้วกัน ”





    สองหนุ่มสาวยังคงยืนคุยกันกระหนุงกระหนิงราวกับไม่มีใครอื่นอีกแล้วบนโลกนี้ ทำดั่งเสมือนเราสองครองคู่กันไม่มีวันจากกันไกลจนกว่าชีวาจะหาไม่  ทิ้งให้ไตรภูมิยืนนิ่งค้างเดี่ยวเอกาอยู่หน้าประตูห้องนอน





    “ เอาล่ะ น้องนายเรียบร้อยแล้วค่ะ ” นายาวีตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกโต๊ะเครื่องแป้งอีกเป็นครั้งสุดท้าย



    “ งั้นลงไปกันดีกว่าครับ...ไป ไอ้ภูมิ...เอ้า ! จะยืนเฝ้าหน้าห้องอีกนานมั้ยนั่น ”



    แทนไทก้าวตรงมายังชายหนุ่มอีกคนเพื่อจะออกนอกห้อง แต่ไตรภูมิก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน





    “ ไปกันเถอะค่ะ พี่ภูมิ ...แล้วนี่ไม่สบายรึเปล่าคะ ” สาวน้อยก้าวออกมาพร้อมกระเป๋าสะพายและหนังสือเรียน ยังมีแก่ใจถามไถ่ชายหนุ่มที่มีหน้าตาท่าทางผิดปรกติ





    ไตรภูมิได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธแล้วหลีกทางให้ทั้งสองเดินออกไป



    ส่วนตัวเขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นครู่ ก่อนที่จะหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ พลางโคลงศีรษะไปมา แล้วก้าวเท้าตามทั้งสองลงไปยังห้องอาหาร





    ...คิดมากไปได้เรา กะอีแค่  ‘ตุ้งติ้ง’ อันเดียว เกือบทำเรื่องแล้วมั้ยล่ะ...





    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





    “ เฮ้อ ! เหนื่อยจริงจริ๊ง ใครว่า สอบเข้ามหา’ลัยได้แล้วก็เหมือนปลดทุกข์ แต่ดูไหนจะรับน้องเอย แล้วมาสอบมิดเทอมเอย วัน ๆ ผ่านไปเร็วจริง ๆ ทั้งเลคเชอร์ทั้งหนังสือทั้งกิจกรรม ทำไม่ทันสักกะอย่าง ”



    กีรากรบ่นทันทีที่หย่อนสะโพกงามงอนของเธอลงพบกับเก้าอี้ม้านั่ง ที่เธอและเพื่อนสนิททั้งสามรวมตัวกันหลังจากเลิกเรียนในยามบ่ายที่โต๊ะประจำในมหาวิทยาลัย





    “ ใช่สิ สอบได้เหมือนได้ปลด ‘ทุกข์เบา’ ไง ต่อจากนี้ไปก็ ‘ทุกข์หนัก’ ทำไงให้เรียนจนจบ ไม่โดนรีไทร์ไปซะก่อน ” ขวัญข้าวตอบคำบ่นของเพื่อนสาวไป





    “ แหม แก พอเรียนอักษรฯเข้าหน่อย คารมเยอะเชียวนะยะ ” ธีรพงศ์ หนุ่มหลงเพศ เอ่ยชมแบบไม่จริงใจให้จิงโจ้แกมประชด...ก็มันเคยชมใครจริงซะที่ไหน นอกจากหนุ่มหล่อ ๆ ...





    “ คนเรามันก็ต้องมีพัฒนากันบ้างล่ะ อยู่ใกล้แกสองคนก็แอ็บซอบดูดซึมได้เยอะแล้ว ไม่ต้องรอเรียนจากอาจารย์ที่ไหนหรอก มีปรมาจารย์อยู่ข้างตัวยังงี้ ”





    “ แกว่า เราสองคน ‘ปากร้อดไวเลอร์’ เหรอ ” กีรากรพูดอย่างรู้ตัวดี ยกคิ้วพลางชี้หน้าคนพูด





    ...อัพเกรดพันธุ์ตัวเองซะด้วย เล่นสุนัขฝรั่ง ก็รู้ตัวอยู่แล้วนี่...





    “ ไม่ใช่ แต่ใกล้เคียง ‘พันธุ์บางแก้ว’ เป็นไง หน้าก็คล้ายแถมบ้าน ๆ เหมือนกันด้วย ไม่ต้องมาไกล ” ขวัญข้าว สาวนักพัฒนาฝีปากกล่าวตอบ



    “ เอางั้นก็ได้ย่ะ พันธุ์นิยมดีกว่าพันธุ์ขี้เรื้อน ” ธีรพงศ์ จีบปากจีบคอรับอย่างหน้าชื่นตาบาน จนขวัญข้าวและกีรากรต้องหัวเราะให้กับท่าทางหน้าบานนั้น



    ธีรพงศ์พอเห็นเพื่อนหัวเราะตน ชายกึ่งหญิงก็เปิดปากหัวเราะร่วนร่วมวงไปด้วย





    “ น้องนาย เป็นอะไร เงียบไปเลย ไม่สบายรึเปล่า ” ขวัญข้าวหันมาถามนายาวีที่นั่งเหม่อเหมือนไม่รับรู้อะไรอยู่คนเดียวทั้งที่เพื่อน ๆ หัวเราะกันอย่างครื้นเครง



    หญิงสาวกะพริบตาปริบ ๆ รับรู้ได้ถึงเสียงที่ผ่านโสตประสาทเข้ามาแต่ไม่สามารถแปรความได้ทัน จึงหันกลับไปถามคนถามอีกครั้ง





    “ ข้าวว่าอะไรเหรอ ” เธอเอ่ยถามอย่างงง ๆ



    “ นั่นไง เขาถามว่าไม่สบายเหรอไงยะ ยายเอ๋อ ” กีรากรพูดพลางยกสองมือมาเท้าคางตัวเองจ้องอีกฝ่าย



    “ เปล่านี่ สบายดี ” นายาวีหันไปหาพลางตอบกลับไปด้วยประโยคสิ้นคิดอัตโนมัติอันยอดฮิตแต่หน้าตาไม่เข้ากันเลยกับคำตอบ แล้วตบท้ายด้วยการถอนหายใจ





    “ เออ ถ้าสบายดี ทำไมทำหน้าตูบเหมือนปวดอึอย่างนี้ล่ะ ” เสียงแหบดัดของธีรพงศ์ถามขี้นอย่างสงสัย





    ...ฟังมันเทียบแต่ละอย่าง สงสัยต้องจับฉีดยากันบ้าซะบ้างแล้ว อากาศยิ่งร้อน ๆ อยู่...





    “ นั่นสิ ธรรมดาน้องนาย ไม่เป็นแบบนี้นี่ มีเรื่องอะไรรึเปล่า ” ขวัญข้าวถามอย่างเป็นห่วง





    “ แกเป็นอะไรไปยะ ยัยน้องนาย ” สาวหน้าคมถามบ้าง





    นายาวีถอนใจยาวอีกครั้ง ก่อนเอ่ยตอบเพื่อน ๆ ที่ทำหน้าตั้งอกตั้งใจฟังยิ่งกว่าเลคเชอร์สำคัญซะอีก





    “ ก็...พี่ภพไม่ส่งข่าวมาเลย นี่หายไปเดือนกว่าแล้วนะ ครั้งสุดท้ายเมลมาว่า ไม่ว่างมีธุระ แล้วก็ไม่เขียนมาอีกเลย ” น้ำเสียงเธอบ่งบอกความกลุ้มใจระคนน้อยใจ





    “ ไอ้คุณพี่ภพนี่ ใช่ คนในรูปที่หัวเท่าเม็ดถั่วดำที่แกเคยนำเสนอให้ดูรึเปล่า ” สุนัขวิ่งออกจากปากธีรพงศ์ตามตัวก่อนหน้าออกมาอย่างไม่ทิ้งช่วงเหมือนรายการสุนัขวิ่งแข่งชิงแชมป์





    “ คนนั้นแหละ ที่หล่อ ๆ น่ะ แล้วก็ไม่ใช่ถั่วดำด้วย ” เสียงใสกล่าวแย้งเสียงไม่พอใจนิด ๆ





    “ จะไปรู้เรอะ ก็เห็นแค่นั้นนี่ ไม่เคยเห็นตัวจริงซักกะที ” หนุ่มร่างอรชรทำเสียงแหบสูงขึ้นมา





    “ แล้วโทรไปหารึยังล่ะ น้องนาย ” ขวัญข้าวถามไถ่





    “ โทรแล้วแต่เป็นฝากข้อความทุกที แต่พี่ภูมิเล่าว่า ได้คุยกับพี่ภพเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว บอกว่าสบายดี ” เสียงใสที่ผ่านปากหยักย้อยนั้นแผ่วเบาลงแต่ก็ยังจับกระแสเสียงที่ไม่ปกติได้





    “ งั้นแกจะไปห่วงอะไรนักหนา โตจนเป็น ควะ...เอ่อ... ดูแลตัวเองได้แล้ว  แกสิน่าเป็นห่วงกว่า ”



    กีรากรท้วงสาวน้อยด้วยเสียงสูง ตอนกลางเหมือนจะเปรียบ ‘พี่ชายสุดที่รัก’ ของนายาวีกับอะไรสักอย่าง แต่พอเห็นหน้าอีกฝ่าย เลยต้องเลี่ยงต้อนสุนัขตัวนี้เข้าปากไปแทบไม่ทัน ตอนท้ายเหลือบมองเพื่อนอีกสองคนพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความห่วงจริง ๆ





    “ ทำไม ? ” เจ้าตัวถาม



    “ แกไม่รู้ตัวจริง ๆ เหรอ ” ธีรพงศ์เอ่ยถามด้วยเสียงแหบดัด





    อีกฝ่ายส่ายหน้าทำนอง ‘หนูไม่รู้’ จนผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มกระจายไปตามแรงเหวี่ยง คล้ายเวลานางเอกอินเดียวิ่งไปทั่วทุ่ง คอยหลบหลีกพระเอกที่ตามจีบ ถ้าไม่อยากให้จีบก็บอกกันดี ๆ ก็ได้ ไม่รู้จะวิ่งหนีกันไปทำไม จะยืนจ้องตาจ๊ะจ๋าหวานแหววกันดี ๆ ก็ไม่ได้ ใครรู้บ้าง? ช่วยสงเคราะห์ที





    “ ก็เห็นพร่ำรำพันถึง ‘อีตาพี่ภพ’ คนนี้มาตั้งแต่ตัวแกเป็น ดญ. จนเป็น นส. มาหลายปี ไม่เห็นสนใจใครเลย แกจะลงเสาเข็มสร้างคานตั้งแต่อายุเท่านี้เหรอไงยะ ทองช่วงนี้ ยิ่งแพง ๆ อยู่ พี่ชายคนอื่นก็รึทั้งหล่อทั้งดี....” ... กีรากรร่ายยาวอย่างกับรถด่วนขบวนสุดท้าย



    “ แต่ฉันไม่... ”



    “ อ๊ะ ! แกอย่าเพิ่งขัดฉัน...แล้วยังอีตานั่นอีกคน...โอ๊ะ ! พูดถึงไก่ ไก่ก็มาเลย ตายยากจริง ! ”







    ชายหนุ่มสูงโปร่งค่อนข้างผอมบาง ผิวขาวหน้าตาดีกำลังเดินตรงมายังโต๊ะที่พวกเธอนั่ง ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มเห็นมาแต่ไกล





    “ แกก็น่าจะเผื่อใจมองคนอื่นบ้าง เขาไปตั้งแต่แกตัวเท่าเมี่ยง แล้วก็ไปนานขนาดนั้น มีหรือจะไม่มีใคร ยังไงก็อย่าปิดตัวเองเกินไปแล้วกัน ฉันพูดด้วยความหวังดีนะ อย่าหาว่า ส. เ-ือก ล่ะ ” เสียงเพื่อนยังคงดำเนินไปเรื่อย แสดงความหวังดีอย่างแท้จริง





    “ จริงของนังเก๋มันนะ น้องนาย นั่นน่ะ ขนาดเดือนวิศวะเชียวนะ ” ธีรพงศ์สนับสนุนเพื่อนรักคู่กัด ส่วนขวัญข้าวได้เพียงแต่ส่งสายตาเห็นใจให้แก่หญิงสาว  กีรากรหันมาส่งสายตาวิบวับกับเพื่อนรักเมื่อได้ยินมันอ้างอิงถึงบุพการี...เอ้ย ! ...ตัวเธออย่างไม่ถูกต้องแต่ไม่ได้โวยอะไรเพราะอยู่ในช่วงทำอารมณ์เป็นเพื่อนนางเอกที่แสนดี เดี๋ยวไม่เข้ากับบท แต่ในใจยังแอบนอกบทอยู่ดี...บอกมันตั้งหลายหนให้เรียก กิ๊บเก๋ ๆ ดูสิ  หน้าตาเหมือนแล้วความจำยังเหมือนปลาทองอีก...





    นายาวียังไม่แน่ใจตัวเอง ความรู้สึกต่าง ๆ ยังคงว้าวุ้นสับสนอยู่ในจิตใจดวงน้อยดวงนี้...หรือเธอควรจะทำตามคำแนะนำเพื่อน เปิดใจตัวเองบ้าง แล้วความรู้สึกที่มีต่อพี่ภพล่ะ มันคืออะไรกันแน่...





    “ อ้าว ! ณิน เป็นไงบ้าง ” กีรากรทักเมื่อชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นเดินมาถึง



    “ หวัดดีย่ะ ” เสียงแหบตามมา ส่วนสองสาวที่เหลือเพียงยิ้มบาง ๆ ให้



    “ สบายดี แต่ก็แย่เรื่องอ่านหนังสือไม่ทันนั่นแหละ ” ชายหนุ่มตอบหญิงสาว แต่ตาเหลือบมองไปยังอีกคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง



    “ แล้วน้องนายล่ะ อ่านทันรึเปล่าครับ ” คณินถามนายาวีที่นั่งเงียบตั้งแต่เขาเดินเข้ามา



    “ น้องนายอ่านจบหมดแล้ว เหลือแต่ทวนน่ะ ” ...โอ้โห เหลือเชื่อ สวย รวย เก่ง ขยัน อยู่ครบครันในคน ๆ เดียว...



    “ ดีจัง งั้นน้องนายพอจะมีเวลาช่วยติวได้มั้ย ผมจะสอบอังกฤษอังคารหน้านี่แล้ว ” คณินหาโอกาสให้ตัวเอง



    “ แต่นี่ ใกล้เวลาน้องนายกลับบ้านแล้ว ” สาวน้อยพูดเชิงปฏิเสธ





    “ งั้นดีเลย พรุ่งนี้วันหยุด นายก็ไปติวที่บ้านน้องนายสิ ” สาวที่ไม่ได้ชื่อ ‘น้องนาย’ ดันตอบรับเอง แถมนัดเสร็จสรรพ พอเจ้าของชื่อจะท้วง กีรากรก็ถลึงตาห้ามมา...แกหัดเปิดโอกาสตัวเองมั่งสิ...จนหญิงสาวอ้าปากไม่ออก ส่วนหนุ่มครึ่งสาวอีกคนก็สะกิดยิก ๆ เป็นเชิงห้ามช่วย



    “ ว่าไงครับน้องนาย จะได้มั้ยครับ ” ชายหนุ่มถามด้วยความหวัง



    “ เอ่อ... ” คราวนี้ไม่เพียงแต่ตาและมือ เท้าสองข้างของคนข้างกายทั้งคู่ก็สะกิดมาพร้อม ๆ กันอีกแน่ะ...จะว่า ปากว่าตาขยิบ ก็ไม่ใช่ แต่น่าจะเป็น...เท้าวาดมาตาขยิก...มากกว่า





    ...ไอ้เพื่อนพวกนี้ มันพยายาม ‘ขาย’ เพื่อนเเหลือเกินนะ...



    “ ก็ได้ ” ...เฮ้อ ! ลองดูก็ได้ ไม่งั้นสองตัวนี่คงไม่หยุด...สาวน้อยรับปากออกไปด้วยแรงยุผสานกับความน้อยใจต่อ ‘พี่ชาย’ ที่มีอยู่



    พอได้ยินคำตอบรับ คณินก็แย้มยิ้มอย่างยินดี ส่วนสองเพื่อนรักนั่นนะเหรอ ดี้ด้ารีบบอกทางไปบ้านเธอให้ชายหนุ่มอย่างไม่รีรอ...อย่างกับพวกมันเป็นเจ้าของบ้านอย่างไงอย่างนั้น





    เมื่อชายหนุ่มลาจากไป สาวน้อยผู้มีนัดโดยไม่ได้อยากรับก็เอ่ยปากกับแม่สื่อเพื่อนรักทั้งหลาย



    “ พวกแกนี่ จริง ๆ เลยนะ อยู่ดีไม่ว่าดี ฉันยังไม่ได้บอกซักคำว่า ชอบนายคณินนี่ซักหน่อย ”



    “ ก็ถ้าแกไม่เปิดโอกาสให้เขาบ้าง แกจะรู้เรอะว่า เขาเป็นยังไง ” กีรากรท้วง



    “ จริงด้วย น้องนาย หัดลองของใหม่ซะบ้างสิ ” ธีรพงศ์เอ่ยบ้าง...ดูมัน พูดยังกับเหมือนลองเสื้อผ้า ใส่แล้วถอดได้ง่าย ๆ อย่างนั้น...



    “ เออ ก็ได้ ไหน ๆ ก็พวกแกก็นัดแนะเขาไปแล้วนี่...ไม่เอาล่ะ ฉันไปห้องน้ำดีกว่า เดี๋ยวพี่จะมารับแล้ว พวกแกจะไปด้วยเปล่า ? ”





    สองหนุ่มสาวส่ายหน้า ส่วนขวัญข้าวพยักหน้ารับคำ ขยับลุกขึ้นตามนายาวีไปทันที



    “ แกว่าจะเวิร์คมั้ยวะ เบบี๋ ” เพื่อนคู่คิดปรึกษาแผนการณ์กันหลังจากเจ้าตัวในโปรเจคลับตาไปแล้ว



    “ ไม่รู้ว่ะ ไม่ลองไม่รู้ ”



    “ จะว่าไปแล้ว นายณินก็ใช้ได้ทีเดียวนะ ” สาวหน้าคมเอ่ยปากชมชายหนุ่มผู้ตกเป็นหนูทดลองอีกคน



    “ งั้นแกไม่เอาเองล่ะ ”



    “ แกจะบ้าเหรอยะ เขาชอบน้องนาย ไม่ใช่ฉัน แล้วพูดก็พูดเหอะ ไม่ใช่สเป็คย่ะ ”







    “ สวัสดี ” เสียงเข้มที่ดังขึ้นข้างกาย ทำให้สองคนที่กำลังปรึกษาแผนกันอยู่สะดุ้งโหยง





    “ อ้าว ! พี่ภูมิ หวัดดีฮ่ะ ” หนุ่มร่างอรชรทักอย่างอ่อนหวาน หลังจากปรับสีหน้าได้ ส่วนอีกหนึ่งสาวหุบปากฉับ ทำทีเป็นไม่สนใจคนมาใหม่



    “ คุยอะไรกันอยู่ แล้วน้องนายล่ะ ” ไตรภูมิถามธีรพงศ์ แต่ตาเหลือบมองอีกคนหนึ่ง...หนอย ! ทำเป็นหยิ่ง ไม่ทัก คนอุตส่าห์ทักก่อน...





    “ เดี๋ยวมาฮ่ะ ไปเข้าห้องน้ำ ” ธีรพงศ์ตอบโดยเลี่ยงคำถามแรก แล้วสะกิดเพื่อนรักให้พูดอะไรกับอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง...มันจะไปอคติอะไรกับเขานักก็ไม่รู้...





    “ จะสอบกันอาทิตย์หน้าใช่มั้ย เตรียมตัวพร้อมรึยังล่ะ ” ไตรภูมิเอ่ยปากถาม





    “ ใช่ฮ่ะ แต่เบบี๋ยังไม่ค่อยได้อ่านเลย เดี๋ยวคงให้กิ๊บเก๋ช่วยติว แกเก่งอยู่แล้วเนอะ ” คนตอบคนเดียวรีบโยงอีกคนเข้าบทสนทนา แต่หาได้มีเสียงตอบจากอีกฝ่ายไม่



    “ กิ๊บเก๋ ๆ ” ธีรพงศ์ยังไม่ยอมแพ้ สะกิดเรียกเพื่อนสาวยิก ๆ จนคนที่หันหน้าจนเมื่อยคอเริ่มรำคาญ





    “ อ้อ !” เสียงรับรู้ลากยาวก่อนที่จะเอ่ยต่อ ตาหรี่มองหนึ่งสาวในที่นี้ “ เพิ่งรู้ว่า ที่นี่รับนักศึกษาใบ้ ”





    คน ‘ใบ้’ คราวนี้ดำรงตนต่อไปไม่ได้ หันขวับมาทันที ตาเขียวปั้ด ตอกกลับทันที “ คนอุตส่าห์ไม่อยากมีเรื่อง ยังจะมาชวนทะเลาะอีกนะ อีตาฤาษีลิงดำ ”





    “ อ้าว ! นึกว่าเป็นเตมีย์ใบ้ พูดได้แล้วนี่ ” เสียงยียวนหลุดออกมาจากปาก ‘ฤาษี’ ที่คงไม่ใช่มาจากสำนักเดียวกันกับเตมีย์



    “ อีตาบ้า ! ฉันไม่ได้เป็นใบ้นะยะ แค่เหม็นขี้หน้าใครบางคนจนไม่อยากพูดด้วย ” เสียงสูงปรี๊ดดังมาจากสาวตาคม จนชายหนุ่มต้องทำทีอุดหู





    “ โอ้โห พอไม่ใบ้หน่อยเดียว กลายมาเป็นนกหวีดแทนซะแล้ว ” ไตรภูมิพูดรวนเจือแววขบขัน



    “ นี่ ! ” สาวตาคม ตอนนี้ตาลุกเป็นไฟ...ทำไมนะ พอเจอกันทีไร เป็นแบบนี้ทุกทีเลย...





    “ น้องนายมาโน่นแล้วฮ่ะ ” คนที่นั่งเงียบขัดขึ้นทันทีเมื่อเห็นโอกาส...เจอกันเป็นไม่ได้เลยสองคนนี่...





    นายาวีกับขวัญข้าวรีบเดินเข้ามา สองสาวได้ยินเสียงเพื่อนสาวแว้ด ๆ มาตั้งแต่ไกล



    “ สวัสดีค่ะ พี่ภูมิ ” ขวัญข้าวกล่าวทักพี่ชายเพื่อน ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ตายังเหลือบมองสาวตาคมที่นั่งหน้าบึ้งตาคว่ำอยู่



    “ พี่ภูมิมานานแล้วเหรอคะ งั้นกลับกันดีกว่า...ไป ข้าว ” ไตรภูมิหันมายิ้มทักทายให้น้องสาว “ไม่นานหรอกจ้ะ ”



    ...ขนาดไม่นานนะนี่...





    “ ไปนะ กิ๊บเก๋ เบบี๋ ” ทั้งสองกล่าวลาเพื่อนพร้อมทั้งเดินไปหยิบข้าวของที่วางไว้บนโต๊ะ



    ธีรพงศ์ลาชายหนุ่ม ในขณะที่กีรากรพอรับคำลาจากเพื่อนสาวทั้งสอง ก็หันหน้าขวับ ไม่มองอีกคนทันที...รู้หรอกนะว่ายังมองอยู่ แต่เรื่องอะไรจะพูดด้วยให้เมื่อยปาก เสียอารมณ์จริง ๆ...





    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





    เช้าวันเสาร์ที่แสนสดใสในใจของคณิน ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอันแสนสุข วันนี้แล้วสินะ ที่เขาจะได้ทำความใกล้ชิดกับสาวน้อยที่เขาเฝ้ามองมาตลอดเกือบเดือนที่ผ่านมา เขาฮัมเพลงเบา ๆ โยกย้ายส่ายสะโพกทำนอง แฟนจ๋า...ของพี่เบิร์ด เดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการชำระล้างร่างกาย





    ...แฟนจ๋า ฉันมาแล้วจ้ะ อยู่นี่แล้วน่ะ เขยิบมาใกล้ๆ ...อาลาวา ...แฟนจ๋าเราเป็นเนื้อคู่ รักจริงไม่อู้ โอ้แม่ยอดชู้ ...ตาลาลา ....ฮึม ฮัม ๆ ...ช่างเป็นวันที่ดีอะไรยังงี้นะ...







    คณินเดินทางไปถึงบ้านของนายาวี ก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง สาวใช้เดินนำเขาเข้ามานั่งรอที่ห้องรับแขกก่อนที่จะปลีกตัวเดินไปนำน้ำดื่มมาให้แล้วบอกจะไปตามเจ้านายของเธอให้



    สักพัก เสียงฝีเท้าเดินลงบันไดก็ดังขึ้น ดึงให้ชายหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตารอหันไปมองด้วยความหวัง





    คณินขยับปากจะกล่าวทัก แต่พอเห็นคนที่ปรากฏตัวก็ต้องชะงักค้าง





    “ นายเป็นใคร ? ” เสียงห้าวดังมาจากปากคนที่เพิ่งเดินเข้ามา





    “ ...เอ่อ ผมเป็นเพื่อนน้องนายที่มหา’ลัยครับ ชื่อ คณิน ” ชายหนุ่มมองคนตรงหน้า พอจะจำได้แล้วล่ะว่า เป็นคนที่เคยเห็นไปรับนายาวีเป็นประจำ





    “ มาทำไม ? ” เสียงห้าวห้วนขึ้นกว่าเดิม หน้าบูด แถมเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางคุกคามกลาย ๆ



    “ ...เอ่อ มาติวหนังสือกันครับ ” คณินเริ่มรับรู้ถึงกระแสเสียงความไม่พอใจของอีกฝ่าย





    “ ใครนัด ? ...แล้วมาคนเดียว ?...คนอื่น ๆ ล่ะ ? ” ฝ่ายทนายแต่งตั้งตัวเองเสร็จสรรพ เริ่มซักอีกหลายข้อถาม หน้าตาเคร่งเครียด



    “ ...เอ่อ ผมนัดกับน้องนายครับ แล้ว อ่า...ก็มีผมมาคนเดียว... ” คนที่ไม่ได้เตรียมตัวมาเป็นจำเลยชักจะติดขัด เงยหน้าตอบคำถามกับคนที่เคลื่อนเข้ามายืนแทบจะค้ำศีรษะของเขาอยู่แล้ว ตอบยังไม่ทันจบประโยคดี อีกฝ่ายก็ซักต่อ





    “ ไม่เคยเห็น...เป็นเพื่อนที่คณะ ? ” คำถามตามมาเรื่อย ๆ น้ำเสียงเริ่มรุกหนัก



    “ ปะ..เปล่าครับ...คะ..คือ...ผมเรียนวิศวะครับ ” คนตอบกลืนน้ำลายด้วยความฝืดคอ...มันอะไรกันนักกันหนาวะ...





    “คนละคณะนี่หว่า แล้วจะมาติวอะไรกัน” อีกฝ่ายเหมือนได้คำตอบที่ไม่เป็นที่พอใจ เริ่มโวยวายเสียงห้วน และก่อนที่คณินจะได้ตอบคำถามนี้ ชายหนุ่มหน้าเข้มอีกคนหนึ่งที่ตัวโตแถมหล่อไม่แพ้กันก็เดินเข้ามาสมทบจากทางหน้าบ้าน





    “ คุยกับใครอยู่วะ ไอ้แทน ” หนุ่มหล่อที่เพิ่งมาถึงถามทันที





    ...เอ คนนี้ก็คุ้น ๆ แฮะ...คณินมองคนมาใหม่ที่เดินเข้าใกล้





    “ ไอ้นี่บอกว่า จะมาติวกับน้องนายว่ะ ” เสียงหนุ่มหล่อหน้าขาวพูดทำนองฟ้องหนุ่มหล่อหน้าเข้ม





    “ มาติว ? ติวทำไม ? สะกดหนังสือเองไม่ออกเรอะ ” คราวนี้เสียงห้วนเชียว แถมเดินมาประกบคู่กับอีกคน จนคนนั่งอยู่ต้องแหงนเงยมอง  ‘คู่แท้สยองโลก’



    ...เขาติวกันทำไมละครับ คุณพี่ ติวหนังสือให้มันว่ายน้ำได้มั้ง...เสียงตอบในใจของหนุ่มอ่อนวัยกว่า แต่ปากกลับบอกว่า  “ เตรียมสอบมิดเทอมครับ ”





    “ แกชื่ออะไรวะ ”



    ...แค่คนเดียวก็จะแย่ นี่เพิ่มมาอีกหนึ่ง ตูจะม้วยมั้ยเนี่ย... ^^;; “ คณินครับ ”





    พอบอกชื่อไป “ นามสกุลด้วยสิวะ แกชื่อนี้อยู่คนเดียวทั้งโลกรึไง ห๊าาาา...ต้องให้ถามอีก เซ่อฉิบ...”



    ...อ้าว เป็นความผิด ก-ู อีก  ก็ตอนแรกถามแค่ชื่อ ใครมันจะไปตรัสรู้... ชายหนุ่มหลุดเสียงตอบ นามสกุล ของตัวเองไปด้วยอาการหวาดผวาเล็ก ๆ หน้าตาเริ่มเผือดลง





    “ รู้จักมั้ยวะ นามสกุลนี้ ”  ไตรภูมิปรึกษากับคู่กัด  “ ไม่เห็นเคยได้ยินว่ะ สงสัยคนละ ‘ชั้น’ กะเรา ”



    ...แม๊ จะไปเคยได้ยินได้งัยวะ  ไม่ใช่ ‘ลูกนายก’ สักกะหน่อย...(มัคนายกนะ อย่าคิดไกล ว่าแล้วก็ขอส่วนบุญ เอ้ย ! ขอแจกจ่ายซองบุญไปด้วยเลย)





    “ งั้น พ่อแม่ล่ะชื่ออะไร ทำอะไร บ้านอยู่ที่ไหน เรียนอนุบาล ประถม มัธยมที่ไหน ” คำถามพรั่งพรูมาจากคนหน้าเข้ม ตามด้วยอีกคน “ ประวัติการเรียนตั้งแต่เกิด อ้อ ! แล้วประวัติโรคด้วย เคยถูกหมากัดรึเปล่า ”





    ...ยังไม่เคย พี่ แต่จะโดนที่นี่ที่แรกมั้งเนี่ย...





    คณินมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบคำถามไหนและได้อย่างไร...โห เฮีย เกี่ยวไรด้วยวะ กะอีแค่มาติวกัน... เล่นถามถึงซะละเอียดยิ่งกว่าสอบเข้าหน่วยราชการลับพิเศษไปปราบ ‘บิน ระเด่น’



    “ มันเรียนวิศวะว่ะ ”



    “ งั้นดีเลย ข้าอาจรู้จัก บอกชื่อ สายรหัสมาสิ ” ไตรภูมิถามเสียงเข้ม หน้าตาโหดสมมือว้ากประจำคณะ...ถึงแม้จะอยู่คนละมหาวิทยาลัย แต่เคยทำกิจกรรมร่วมของมหาวิทยาลัยด้วยกัน คงตามหา ‘ญาติ’ นายไก่อ่อนนี้ได้ไม่ยาก...



    ...อึ๋ย เล่นลากต้นตระกูลเลยเหรอวะ...คณินเริ่มเหงื่อตกเพิ่มขึ้นอีก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกว้ากเดี่ยวนอกรอบอย่างไรอย่างงั้น





    ก่อนที่หนุ่มน้อยจะตกเป็นเหยื่ออันโอชะของ ‘พี่ชายทั้งสอง’ ของนายาวีไปมากกว่านี้ เจ้าตัวก็เดินลงมาจากชั้นบนทันเห็นเหตุการณ์พอดี



    “ พี่สองคนทำอะไรน่ะ ” สาวน้อยถามเสียงดัง



    “ เปล่าจ้ะ แค่ชวนเพื่อนน้องนายคุย เห็นนั่งอยู่คนเดียว กลัวเหงา ” แทนไทตอบเสียงอ่อนผิดกับเมื่อครู่ เปลี่ยนน้ำเสียงได้อย่างฮิตาชิ เปิดปุ๊บติดปั๊บเลย...ผมอยู่ดี ๆ ของผมแล้วคร้าบ ไม่อยากได้เพื่อนคุยแบบพี่...





    “ ขอโทษนะ คณินที่ลงมาช้า ” นายาวีทัก ‘เหยื่อ’ ที่นั่งหน้าซีดเหงื่อตกอยู่ท่ามกลาง ‘ยักษ์คู่’ ที่ยืนขนาบสองข้างเก้าอี้



    “ มะ..ไม่เป็นไรครับ น้องนาย ” หนุ่มน้อยตะกุกตะกักตอบเสียงอ่อย ด้วยตาสองคู่วาววะวับยังคงจับจ้องทุกการกระทำ



    “ งั้นเราไปติวกันที่ห้องนั่งเล่นกันดีกว่า ” สาวน้อยเดินเข้ามาใกล้แล้วบอกอีกฝ่าย โดยไม่สนใจอีกสองหนุ่มที่ยืนหน้าบึ้ง ตาเขียว





    คณินขยับลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องปะทะกับสายตาข่มขู่มาอย่างไม่ลดละของสองหนุ่มที่ขยับออกไปยืนคุมเชิงไม่ห่างกันนัก...ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก กลืนน้ำลายเอื๊อกลงคออย่างยากลำบาก





    “ น้องนาย ค...คือ...พอดี ผมติดธุระสำคัญ คงอยู่ติวไม่ได้แล้วครับ ” ...ธุระด่วนช่วยชีวิตตัวเองน่ะ...



    จบประโยคของหนุ่มน้อย สองหนุ่มที่มีอายุมากกว่าก็แอบยิ้มร่า ยักคิ้วให้แก่กัน





    “ อ้าว..เหรอ ” สาวน้อยอุทานรับรู้



    “ ครับ ต้องขอโทษด้วย จำเป็นจริง ๆ ” ...ขืนอยู่ต่อ คงได้ ‘ใบมรณบัตร’ แทน ใบเกรด...



    “ งั้นไม่เป็นไรนะ ” นายาวียิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเห็นใจ



    “ ผมกลับเลยละกันนะครับ ” คณินยิ้มแหย ลาหญิงสาวทันที แล้วหันไปไหว้ลาอีกสองหนุ่มที่ตอนนี้ดูอารมณ์ดีผิดกันลิบลับกับตอนที่เขามา  



    “สวัสดีครับ พี่ ” เสียงนอบน้อมมีคารวะอย่างสูงเลยเชียว





    “ เออ ไปดีนะ รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ” ...อวยพรให้เสร็จสรรพ...แล้ว ไม่ต้อง ‘มาดี’ อีกล่ะ บ้านนี้ไม่ต้อนรับ ฮ๊ะ ฮะ ฮ่ะ...





    “ โชคดีว่ะ ไอ้น้องชาย ” ...โชคดีที่หลุดพ้นจากพวกเรา เหอ ๆๆ ...





    พอพ้นบานประตูหน้าบ้านได้เท่านั้น คณินก็ถอนหายใจเฮือกทันทีด้วยความโล่งอก





    ...โอ้ว ! พระเจ้าช่วย ซวยจริง ๆ  เฮ้อ ! ถึงจะสวย รวย เก่ง ถูกใจขนาดไหน เป็นแบบนี้ ขอบายดีกว่า ลาขาดเลยละกันนะ น้องนาย ขอเซกู้ดบายตอนยังไม่วายปราณ...





    นายาวีมองตามหลังของชายผู้โชคร้ายไป แล้วตวัดสายตาคาดโทษมายังสองหนุ่มที่ยังยืนหน้าระรื่นอยู่แถวนั้น แต่ทั้งสองกลับทำหน้า อินโนเซ้นต์ ไม่รู้ไม่ชี้ ให้เอาผิดไม่ได้...ก็หลักฐานชิ้นสำคัญโดนเตะโด่งหลุดลอยไปแล้ว ศาลเอาผิดไม่ได้หรอก จริงม๊ะ...





    “ อ้าว ! เพื่อนน้องนายไปไหนแล้วล่ะจ๊ะ คุณแม่เอาขนมมาให้ทานเล่นกัน ” เนตรนภาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เดินออกมาเมื่อ ‘ละคร’ จบลงไปแล้ว ปิดม่านพอดีเลย เปลี่ยนเป็น ‘ข่าว’ คั่นรายการไปแล้ว





    “ โดน ‘หมาบ้า’ รุมฟัด เหวอะหวะ กลับไปแล้วล่ะค่ะ ” สาวน้อยกล่าวรายงานเสียงสูง





    “ เอ๊ะ ! แถวนี้ มีหมาด้วยเหรอจ๊ะ แล้วกลับไปยังไง ทำแผลหรือยัง ” มารดาของหญิงสาวอุทานแสดงความแปลกใจออกมา ยังไม่เข้าใจที่นายาวีหมายความ





    “ คุณแม่ลองถามพี่สองคนนั้นดูสิคะ ว่า เก็บ ‘สุนัข’ ไว้ที่ไหนกัน ” กล่าวจบ ตวัดสายตาเข้มส่งท้ายให้คนมองสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นห้องนอนของตนเองไป ทิ้งให้เนตรนภาที่ยังตามความไม่ทัน ซักถามสองหนุ่มนั่นแทน





    นายาวีเดินเข้าห้องด้วยอารมณ์ที่ขึ้นสูงกว่าปกติ ถึงแม้จะนึกยินดีลึก ๆ ด้วยว่า แผนการจับคู่ให้ตนของเพื่อนรักไม่สำเร็จ แต่ก็หงุดหงิดใจในความ ‘หวงน้องสาว’ จนเกินเหตุของพี่ทั้งสองแบบนี้



    เสียงเตือนเบา ๆ ดังมาจากเครื่องโน้ตบุ้คที่เธอเปิดทำงานไว้ ดึงความสนใจให้เธอเดินเข้าไปดู





    จอภาพที่ปรากฏบ่งบอกว่า เธอได้รับอีเมลเข้ามาใหม่ สาวน้อยรีบดูว่า ‘คนส่ง’ คือใคร แล้วหัวใจเธอก็เต้นแทบเป็นจังหวะแร็พผิดไปจากเดิมทันทีเมื่อเห็นชื่อผู้นั้น...





    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×