ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แผนรัก ดักพี่ชายกำมะลอ

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6 : คนไกล...ใจคนึง

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 48


    นายาวีเดินเช็ดผมด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กสีชมพูหวานลายคิตตี้ ออกมาจากห้องน้ำส่วนตัวภายในห้องนอน  ตามตัวและใบหน้ายังมีหยดน้ำเกาะพร่างพราย สาวน้อยอยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนคอกลมขาสั้นแค่เขาลายคิตตี้แองเจิ้ล ซึ่งปรากฏความชื้นจากหยดน้ำเล็กน้อย  เธอเดินไปยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งเป็นครู่ ก่อนที่จะเดินมากดเปิดเครื่องโน้ตบุ้คที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือติดหน้าต่างกระจกใสที่บัดนี้ปรากฏดวงจันทร์ดวงกลมโตส่องแสงสว่างท่ามกลางท้องนภาที่มืดมิดภายนอก



    สาวน้อยยืนมองพระจันทร์ดวงงามพลางหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในคืนนี้ แล้วเธอก็ต้องอมยิ้มอย่างอดไม่อยู่



    ...เอาเถอะ ยกผลประโยชน์ให้วันแล้วกันนะ พี่ชายทั้งสอง  ถือว่า วันนี้น้องนายอารมณ์ดี แต่ถ้ามีคราวหน้าละก็ ไม่แน่...



    เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้หัวเตียงดังขึ้นมา เธอเหลือบมองนาฬิกาติดฝาผนังคิตตี้คลาสสิคสีชมพูเรือนโตก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดรับ



    ...ห้าทุ่ม...ใครโทรมาดึกดื่นป่านนี้นะ ถ้าโลกไม่ถล่มทลาย แม่จะโวยวายให้ฝันร้ายข้ามปีเลย...สาวน้อยรู้สึกหงุดหงิดเมื่อมีคนมาขัดเวลาความเป็นส่วนตัวของเธอในยามค่ำคืนแบบนี้



    “ ว่าไง ใครอ่ะ ” นายาวีกรอกเสียงห้วนลงไป



    “ หึ หึ...” ปลายสายไม่ตอบแต่ได้ยินเสียงหัวเราะนุ่มทุ้มกังวาลแว่วมาแทน



    “ จะเอาไง โทรมาไม่พูด โรคจิตอ๊ะเปล่า ” เธอเพิ่มดีกรีความหงุดหงิด เสียงจึงห้วนจัด



    ...ไอ้พวกโทรมาแล้วไม่พูดนี่ พวกโรคจิตแหง๋ม ๆ แถมดึก ๆ อย่างนี้ด้วย พวกมันชอบเพ่นพ่านมาตามสายอยู่แล้ว...



    “ อารมณ์ไม่ดีรึจ้ะ สาวน้อย หรือรบกวนเวลานอน ” คนทางโน้นยังคงอารมณ์ดี เสียงพูดจึงยังคงมีร่องรอยหัวเราะ แต่ครานี้ เพิ่มความเอ็นดูในน้ำเสียงที่ทุ้มกังวาลนั้นอย่างน่าฟัง



    คนฟังทางนี้ทำตาโต ห่อปากอิ่มหยักย้อยของตนเล็กน้อย ด้วยรำลึกได้ถึงคนที่กำลังคุยด้วย



    ...เสียงแบบนี้ ไม่มีใครอื่นแน่...ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงนี้มานานเพราะอีกฝ่ายอยู่ไกลและไม่ช่างพูดจึงไม่ค่อยได้โทรศัพท์พูดคุยกัน อีกทั้งทิฐิที่มีอยู่ในตัวที่ทำให้เธอไม่ได้โทรติดต่อฝ่ายนั้นเลยในช่วงหลังด้วยค่าที่น้อยใจในอีกฝ่าย



    “ พี่ภพ ” เสียงที่เปล่งออกมากลับอ่อนหวานนักจนผู้พูดยังแปลกใจ  เจ้าตัวรู้สึกได้ถึงจังหวะของหัวใจที่เต้นผิดไป ความดีใจมีมากมายในน้ำเสียงของสาวน้อย



    “ ว่าไง คนเก่ง หรือว่า ง่วงนอน ” เสียงทุ้มถามไถ่ เมื่อคนที่พูดแจ้ว ๆ ในตอนนี้กลับเงียบไปนาน



    “ เปล่าค่ะ แค่แปลกใจที่พี่ภพโทรมา ” ...โอย แค่ได้ยินเสียงเขาแค่นี้ ทำไมถึงได้ดีอกดีใจอะไรนักหนานะ เรานี่...เธอคิดในใจ แต่ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มไม่หุบ



    ...อ๊ะ อ๊ะ ยังไม่หยุดยิ้มอีก แน่ะ ยังอีก ^^...พยายามอย่างไร ปากเจ้ากรรมก็ยังคงกระตุกขึ้นมา ทำหน้าที่เหมือนรีเซฟชั่นคนเก่งแจกจ่ายรอยยิ้มพิมพ์ใจไม่หยุด จนกลัวคนปลายสายจะจับได้



    “ พี่โทรมาแสดงความยินดีกับว่าที่นักศึกษาใหม่ ” ตรีภพกรอกเสียงมาด้วยความเอ็นดู



    “ พี่รู้แล้วเหรอว่าน้องนายสอบได้  รู้ได้ไงคะ ” เสียงถามมีแววสงสัยแปลกใจ



    “ พี่ก็มีหน่วยข่าวของพี่เองบ้างนะสิจ้ะ ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเย้าหยอก



    “ พี่ภูมิละสิที่บอก มันน่านักเชียว ” นายาวีแสดงความไม่พอใจออกมาเมื่อกล่าวถึงพี่ชายอีกคน พร้อมทั้งกลายร่างจากสาวรีเซฟชั่น มาเป็นทศกัณฑ์ได้ทันตา หน้าสวยงอหงิกแบบไม่กลัวการ้องหา



    “ ยังไงพี่ก็ต้องได้รู้อยู่แล้ว รึไม่อยากให้พี่รู้ ”  เสียงถามมาเรียบ ๆ



    “ อยากให้รู้ค่ะ แต่ไม่ใช่จากคนอื่นอย่างงี้ ” รีบปฏิเสธกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด แล้วตามด้วยเสียงเข่นเขี้ยว แบบที่ถ้าคนถูกอ้างถึงได้ยิน คงนึกดีใจที่ไม่ได้อยู่ด้วยในขณะนี้ ไม่งั้นคงไม่รอด !



    “ มันต่างกันยังไงกับที่รู้จากคนอื่นล่ะ ” ตรีภพถามขึ้นด้วยความสงสัย



    “ แหม น้องนายอยากให้รู้จากน้องนายเองนี่คะ มันตื่นเต้นต่างกันเยอะเลย น้องนายน่าจะได้บอกพี่เอง แล้วนี่เขาโทรไปบอกพี่เหรอคะ ” เสียงกระเง้ากระงอดดังมา จนอีกฝ่ายต้องปล่อยหัวเราะเบา ๆ   สาวน้อยทำตัวเหมือนกับเป็นเด็กอนุบาลที่ยกมือคอยตอบคำถามที่ตนรู้คำตอบดีที่สุดในห้อง  แต่เพื่อนที่ไม่ได้ยกมือกลับแย่งเอาหน้าตะโกนตอบคุณครูสุดที่รักเสียก่อนซะนี่



    “ พี่โทรหานายภูมิเอง พยายามโทรหาน้องนายเมื่อชั่วโมงก่อนแล้วแต่น้องนายไม่รับสักที “ เสียงนุ่มทุ้มน่าฟังกล่าวมาเรื่อย ๆ



    ...อ๊าย สงสัยโทรมาตอนฉันอาบน้ำอยู่  โธ่เอ๋ย ! ขัดสีฉวีวรรณนานไปหน่อย กลัวไม่แจ่มอ่ะ  ก็แค่ชั่วโมง เอ่อ.. จริง ๆ แล้ว สองชั่วโมงเอง วันหน้าคงต้องลดมาเป็นสัก ห้าสิบเก้านาทีกับอีกหนึ่งวิ (ต่างกันมากนะนี่ นาทีนึง เอ้ย ! ห้าสิบเก้าวิ ต่างหาก อีกชั่วโมงที่เหลือทดไว้ในใจ เก่งเลขจริง ๆ นะแม่คุ้ณ)...



    “ แต่เขาก็ไม่น่าจะบอกนี่ ” เสียงใสดีขึ้นมามากแล้วแต่ยังมีวี่แววงอนนิดหน่อย พองาม ให้สมกับเป็นนางสาวนายาวีคนนี้ ถ้าเลิกงอนง่าย ๆ ก็ไม่ใช่เธอนะสิ...แต่แหม แค่พี่ภพบอกว่า โทรหา ใบหน้าที่หุบลงแล้ว กลับบานขึ้นมาได้อีกเหมือนเปิดร่มคันโตเลย



    “ พี่ถามนายภูมิเอง เขาเลยต้องบอก น้องนายอย่าไปโทษเขาเลย ” ...แหม ออกรับแทนกันดีนักนะ แต่พี่ภพขอนี่ ได้อยู่แล้ว งอนนานไปเดี๋ยวเขาไม่ง้อ จะแย่...พี่ชายคนนี้ไม่เหมือนอีกสองคน ที่ตามใจเธอตะพืดตะพือ แต่สำหรับคนนี้ เขาเป็นเฉย ๆ ค่อนข้างดุ ถึงแม้จะเอ็นดูเธอมากก็ตามที แต่ก็ในขอบเขตของเขา



    “ นี่ น้องนายทำอะไรอยู่ พี่โทรมากวนรึเปล่า ”



    ...อยากบอกว่า อยากให้กวนบ่อย ๆ แต่ก็ไม่กล้าง่ะ..



    “ ไม่กวนเลยค่ะ น้องนายกำลังจะส่งเมล์บอกพี่เรื่องสอบได้นี่ล่ะค่ะ ”



    ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยได้โทรศัพท์พูดคุยกับตรีภพ แต่ก็เขียนจดหมายถึงกันเป็นประจำเสมอ โดยมากจะเป็นเธอที่เขียนเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ถึงเขา ส่วนเขานาน ๆ จะตอบมาทีและส่วนใหญ่จะเป็นแบบสั้น ใจความเดิม ๆ คือ สบายดี เรียนหนัก งานยุ่งอะไรเทือกนั้น แต่ต่อให้จดหมายสั้นขนาดไหน เธอก็รู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้รับจดหมายจากตรีภพ  เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าเพราะอะไรจึงต้องรู้สึกดีใจนักหนาเวลาที่อีกฝ่ายให้ความสนใจในตัวเธอ แต่เธอก็ไม่ได้เก็บมาคิดหาคำตอบจริงจังสักที  



    โดยปกตินายาวีชอบวิธีการเขียนจดหมายธรรมดามากกว่าจดหมายอีเล็คโทรนิคหรืออีเมล์เพราะมันแสดงถึงความตั้งใจ พิถีพิถัน เอาใจใส่ของผู้เขียนและที่สำคัญ เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพื่อรำลึกถึงความหลัง  ทั้งสามารถนำมาเปิดอ่าน ดูลายมือของอีกฝ่ายต่างหน้ายามคิดถึงได้เป็นอย่างดี แต่คราวนี้ เธออยากให้ฝ่ายนั้นทราบข่าวดีของเธอเร็ว ๆ จึงคิดที่จะส่งโดยจดหมายอีเล็คโทรนิคก่อน แล้วกะว่าจะตามไปด้วยจดหมายธรรมดาอีกรอบ แม้จะไม่คาดหวังว่าเขาจะเก็บรักษาจดหมายที่ได้รับแบบที่เธอทำ แต่ในใจลึก ๆ ก็อยากให้เขาเห็นความสำคัญของเธอบ้างไม่มากก็น้อย



    ตอนที่เธอกำลังตัดสินใจเลือกคณะเรียนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยนั้น นายาวีได้เขียนจดหมายไปปรึกษาพี่ชายคนนี้ด้วย หลังจากที่ได้ปรึกษามารดา คุยกับบิดาเลี้ยง และ ฟังพี่ชายทั้งสองคนเถียงกัน



    ตรีภพเขียนมาเพียงว่า  ‘ การฟังคำแนะนำคนอื่นนั้นเป็นสิ่งดีถ้าเราใช้คำแนะนำนั้นมาเป็นประโยชน์ในการช่วยตัดสินใจ เพราะสิ่งที่เขาพูดมาอาจเป็นสิ่งที่เราไม่ได้คิดถึงหรือมองข้ามไป แต่ต้องไม่ใช่ตัวชี้นำจนทำให้เราไขว้เขว ชีวิตเป็นของน้องนาย เลือกด้วยเหตุผลและหัวใจ สองสิ่งนี้ ถ้าประกอบเข้าด้วยกัน การตัดสินใจมักจะไม่ผิดพลาด และเราไม่ควรเสียใจในสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้ว อย่าคิดว่า ทำไม เราไม่ทำอย่างนั้นหรืออย่างโน้น เมื่อผลที่ทำไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา ถึงอย่างไร เมื่อเราเดินทางมาถึงผลของการกระทำแล้ว คงไม่มีทางย้อนกลับไปเลือกใหม่ได้ เพราะถึงจะเลือกใหม่ บางทีเราอาจจะเลือกผิดอีกก็เป็นได้ จึงควรยอมรับในสิ่งที่เราเลือกที่จะทำลงไปแล้ว การเลือกเรียนก็เหมือนกัน เราจะต้องเรียนไปอีกหลายปีและบางทีอาจจะต้องอยู่กับมันไปเกือบตลอดชีวิต คิดให้ดีว่าเรารักสิ่งนั้นหรือไม่  เลือกในสิ่งที่รักและรักในสิ่งที่ทำ ’



    “ เป็นอะไรไปรึเปล่า ถึงได้เงียบไป ” ตรีภพถามมาอีกหน เมื่อสาวน้อยเงียบไปนาน



    “ เปล่าค่ะ ” นายาวีหยุดความคิดลง ก่อนที่จะดึงความสนใจกลับมาสู่บทสนทนาด้วยการถามข่าวคราวของอีกฝ่าย แล้วหลังจากนั้น นายาวีก็ครองการสนทนาเสียเป็นส่วนใหญ่ เล่าเรื่องราวของวันนี้ที่เธอแสนจะตื่นเต้นยินดีและการไปเลี้ยงฉลองของครอบครัว โดยที่อีกฝ่ายได้แต่ฟังและหัวเราะตามคำเล่าจากเสียงใส ๆ ของสาวน้อย จนเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ตรีภพจึงขอวางสาย นายาวีจึงจำใจต้องทำตาม เพราะเห็นว่าดึกมากแล้วและกินเวลาของอีกฝ่ายมานานพอสมควร แต่ไม่วาย กำชับให้ชายหนุ่มตอบจดหมายของเธอ ซึ่งอีกฝ่ายเพียงแต่บอกว่า ‘ถ้ามีเวลา’



    ...ทำไมนะ ความรู้สึกแปลก ๆ นี้ถึงได้มีก็แต่เฉพาะกับ ‘พี่ภพ’ เท่านั้น การที่ดีอกดีใจแค่เพียงได้พูดคุยกัน การที่รู้สึกไม่อยากขัดใจเขา อยากให้เขาเห็นเธอน่ารักเป็นเด็กดีและที่สำคัญอยากให้เขาเห็นเธอเป็นคนพิเศษกว่าใคร ๆ...



    ...ถ้าหัวใจคนเราบังคับกันได้ก็คงจะดี...แต่จะเกิดความภาคภูมิใจอันใด ถ้าสิ่งนั้นได้มาด้วยการบังคับ มิใช่จากความพึงพอใจที่จะมอบให้...และที่สำคัญ เราจะบังคับใจเขาได้นานเท่าไรกันเชียว...



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    อีกฟากหนึ่ง ในห้องนอนของบุตรชายคนเล็กของตระกูลเมษวาณิช ชายหนุ่มหน้าเข้มกำลังนั่งมองรูปถ่ายในกรอบรูปตั้งโต๊ะ ภาพที่ปรากฏเป็นรูปของเด็กหนุ่มสามคนและเด็กหญิงตัวน้อย เด็กหญิงตัวเล็กกำลังขี่คอคนตัวโตสุดเดินหนี ในขณะที่อีกสองคนต่างพากันวิ่งตาม เบื้องหลังคือทะเลสีครามและท้องฟ้าสดใสจนมองเห็นปุยเมฆขาวฟูฟ่องลอยไปทั่ว  ต่างคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสกันเต็มที่ โดยเฉพาะคนตัวเล็กที่สุด ที่หัวเราะจนเห็นฟันขาวซี่เล็ก ๆ แทบจะครบทั้งปาก  เขานั่งมองภาพนั้นอยู่เป็นนาน ก่อนที่จะลุกขึ้นบิดตัวด้วยความขบเมื่อย แล้วเดินไปปิดไฟเพื่อที่จะเข้านอน





    ส่วนภายในห้องนอนตรงกันข้ามกับเด็กหญิงคนเดียวกันกับในรูป ชายหนุ่มผิวขาวกำลังนอนหลับอย่างมีความสุข  เขาขยับตัวขยุกขยิกพลิกตัวไปมาหลายหนก่อนที่จะคว้าหมับเข้าที่หมอนข้างที่ไม่ไกลจากตัวนักไปกอด ปากพึมพำอะไรสักอย่างแล้วยิ้มอย่างมีความสุข นอนนิ่งอยู่ได้ไม่นาน เขาขยับพลิกตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่จะได้หลับอย่างเป็นสุข กลับหล่นปุ๊กไปอยู่บนพื้นข้างเตียงจนเจ้าตัวสะดุ้งตื่น หน้าตาตกใจ ลุกพรวดขึ้นมานั่งอยู่บนพื้น หันซ้ายหันขวานึกว่า โดนบาซูก้าหรือระเบิดมือถล่ม พอระลึกได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ก็ตะกายขึ้นบนเตียงนอนอีกครั้ง



    “ งึมงำ ๆ อืม...ฝันดีชะมัดยาดเลย...คิดไม่ผิดที่ไม่ล้างหน้า ขออีกสักสองสามคืนละกันนะ น้องนาย...จั๊บ ๆ ”



    แล้วชายหนุ่มก็กลับเข้าสู่ภวังค์นิทราอย่างเป็นสุขอีกหน...



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×