คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ....เพราะว่าเขามีเมีย ....เพราะว่าเขามีเมีย
ย่ำค่ำเหยียบสองทุ่มเข้าไปแล้ว ยายก็แต่งตัวออกไปดูวงสตริง… ค่ำนี้มีแต่หยิกเท่านั้นมั้งที่อยู่บ้าน เขาอาบน้ำเสร็จ เอาหวีซี่ห่างๆ ชุบแป้งแป้งพม่าแทนดินสอพอง มาประหมุน ประหมุน ให้เป็นรูปเหมือนดอกไม้ไฟบนแก้ม …เพราะตัวเขาขาวเป็นแตงร่มใบขนาดนั้นเลยต้องใช้แป้งสีเข้มถึงจะเห็น
อากาศเย็นสบาย ลมพัดกำลังดี หยิกนอนนิ่งอยู่บนเปลยวนใต้ถุนเรือน แต่ค่ำนี้เขาเปลี่ยนทิศนอนหันหลังให้งานวัด ... เขาจะได้ไม่ต้องนึกว่าป่านนี้จ้อนกับเมียกำลังเที่ยวดูอะไร เล่นอะไรกันอยู่ หยิกรู้สึกเย็นหน่อยๆเลยเอาผ้าขาวม้ามาห่มอก ส่วนตาก็มองเหม่อลอยไปยังแสงสว่างลิบๆอีกเวิ้งทุ่งที่มาจากป้ายไฟร้านลาบ…
วิทยุที่หยิกเปิดคลอเพื่อตัดเสียงจากงานวัดก็ดันเปิดเพลง “รักสลายดอกฝ้ายบาน” ทำร้ายจิตใจหยิกจนต้องเอาท้ากดปิดอย่างทุลักทุเล เกร็งไปถึงอุ้งเชิงกราน แต่หยิกก็ขี้เกียจลุก ….จะกระชับก็คราวนี้แหละ....
หยิกยังไม่หายปวดร้าว แต่ก็อยากนอนบนเปล ไม่อยากจะลุก เพราะเวลาอกหัก ร่างกายมันจะป้อแป้ เขาเลยคว้าขลุ่ยเพียงออมาเป่าแทนการสีซอที่เขาเก่งนักเก่งหนา เขาเป่าเพลงนกขมิ้นไปสักพักก่อนจะรู้สึกเศร้า เลยวางขลุ่ยลงบนอกอย่างเซ็งๆ
“เฮ้ย…หยิก” พอได้ยินเสียงจ้อนตะโกนเรียก หยิกก็ลุกขึ้นนั่งแล้วหันหลังไปตามเสียง
“เรียกข้าทำไม เอ็งไม่ไปงานวัดกับเมียเอ็งเหรอ” หยิกถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เมียข้าเหนื่อย อยากนอน…” จ้อนตอบ แล้วมาหย่อนก้นนั่งลงบนเปลด้านปลายเท้าหยิก หัวบังป้ายไฟร้านลาบพอดี …ก่อนหยิกจะชักเท้าออกจ้อนก็คว้าขาหยิกไว้หนึ่งข้างแล้วเอาไปวางบนตัก …บริเวณที่หยิกใฝ่ฝันมาตลอดแปดเดือนว่าอยากจะเอาหัวไปหนุนขณะดูควายที่เลี้ยงไว้กำลังกินหญ้าเมื่อวัยเกษียณ
“จะได้ไม่เมื่อยไง” จ้อนอธิบายอย่างอ่อนโยนเหมือนเคยแล้วยิ้มให้หยิก..."หยุดเป่าทำไมวะ เอ็งนี่เป็นคนหรือเปล่าวะ เอ็งเก่งตั้งหลายอย่าง ขลุ่ยเอ็งก็เหลือกิน ทางซอเอ็งก็ชั้นครู..." จ้อนชมอย่างจริงใจ และจ้อนก็เป็นคนเดียวที่ชมหยิกทุกครั้ง ไม่ว่าหยิกจะทำอะไรดีๆ ไม่ว่าจะสีซอ เป่าขลุ่ย อนุมานผลไปหาเหตุ เหตุไปหาผล สาระแนสอดรู้เรื่องชาวบ้านก็ถือว่าเป็นหนึ่งในปฐพีเลยก็ว่าได้
"ทำเป็นรู้ดีวะจ้อน...เอ็งสีซอเป็นเหรอ ถึงบอกว่างานข้ามันชั้นครู"
“แหม...หมอกับทหารไม่ใช่ลิงค่างนะโว้ย รู้ว่าอะไรสวยอะไรเพราะเหมือนเอ็งนั่นแหละ....เออ....ถ้าไม่อยากไปงานวัด ก็ไปนั่งเล่นบ้านพักข้ามั้ยวะ” จ้อนชวน
"ดึกแล้ว…ไม่มีสามล้อแล้วนะ มีแต่จักรยานข้า...เอ็งจะซ้อนมั้ย"
- - - - - - - -
หยิกขี่จักรยานแล้วให้จ้อนซ้อน ไปตามทางเข้าบ้านพักทหาร วันนี้มีเมียมาขับรถรับส่งแล้วจักรยานของเขาจะมีความหมายอะไรอีก หยิกคิดแล้วก็มือไม้อ่อนจนจักรยานเกือบลงข้างทางหลายที แต่ก็ประคับประคองให้มาถึงจนได้
“เอ็งเป็นไรวะหยิก ตาแดงๆ” จ้อนถาม
“ไม่เป็นไร ผงเข้าตาหนะ” หยิกตอบไปมั่วซั่ว แต่จ้อนก็ทำท่าเหมือนจะเชื่อง่ายดาย นั่นทำให้หยิกเสียใจหนักกว่าเก่า เพราะถ้าแคร์กันจริงๆ ทำไมจะไม่รู้ว่าเขาจำบทหนังกางแปลงมาโกหกหน้าด้านๆ
เอ็งอยากได้อะไรก็หยิบเอานะในตู้เย็นข้า” จ้อนบอกพร้อมไปหยิบกระติกน้ำแข็งหลังบ้าน
หยิกก้มลงเปิดตู้เย็นหลังเล็กๆสูงแค่เข่าของจ้อน “นี่มันตู้ในบ้านโสนน้อยหรือไงวะน่ะ” หยิกหัวเราะกับตัวเอง แต่ก็สะดุด เพราะเจอมาลัยที่ร้อยไม่เสร็จ มีมะลิประมาณครึ่งคืบอยู่คาเข็ม
มาลีคงจะร้อยให้จ้อนไปไหว้พระ หยิกแทบเก็บอาการไม่อยู่ มือไม้สั่น
เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านยายมะลิด้วยกัน หยิกชอบหลอกใช้จ้อนทำนั่นทำนี่ให้ ตั้งแต่รองน้ำฝนไปจนตำส้มตำให้กิน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำให้จ้อนด้วยความเต็มใจเสมอ…
คือการเก็บบัวในบึงมาให้จ้อนทุกวันพระ หยิกนึกถึงคืนวันแสนสุข ที่จอห์นจะชี้ดอกบัวอยู่ริมฝั่งแล้วเขาก็ลุยน้ำไปเด็ดให้ เพราะกลางบึงน้ำลึกเท่าจมูก ถ้าจอห์นลงมาคงมิดหัวพอดี เสี่ยงก็เสี่ยง บัวก็ไม่ได้…
แม้หยิกจะตื่นสาย อายทำกิน หมิ่นเงินน้อย คอยปริศนา แต่ทุกวันพระ ไม่ว่าจะง่วงแค่ไหน หรือแม้จะมีข่าวว่าจระเข้หลุดจากฟาร์ม หยิกจะตื่นเช้าลุยน้ำลงไปเก็บเสมอก็เพื่อจ้อน เขาอดนึกถึงเมื่อครั้งก่อนที่เขายังไม่รู้ใจตัวเองไม่ได้ ช่วงก่อนจะเกิดเรื่องไม่นานเขากับจ้อนได้เข้าไปกราบพระประธานในโบสถ์ด้วยกัน คราวนั้นเขาเกิดใจไม่ดี จากไม่เคยอธิษฐานเลยอธิษฐานเสียยาว จริงๆก็ไม่มีอะไรหรอก ประโยคเดิมๆนั่นแหละ แต่วนประมาณยี่สิบกว่ารอบ…หยิกขอให้เขากับจ้อนอยู่ด้วยกันไปนานๆ อย่าให้มีอะไรมาพรากมาแยกเขากับจ้อนไปจากกันเลย
“เอ็งขออะไรวะ ยาวจัง”
หยิกลืมตามาเห็นจ้อนตาโตมองเขาอย่างสงสัย คงเพราะเขาไม่ค่อยได้ขออะไร หยิกก็ไม่อยากจะบอกว่าตอนนั้นเกิดใจหายขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลัวจ้อนจะกลุ้มเลยคิดมุขพูดไปงั้นๆจ้อนจะได้เลิกถาม…
“ขอให้ได้เป็นผัวเอ็งชาติหน้าไง”
จ้อนเหมือนจะตกใจเพราะสะดุ้งนิดหน่อย “เอ็งนี่ชอบพูดเล่นเรื่อย"
แต่อีกไม่กี่อึดใจ จ้อนก็ยิ้มออกมารับมุข
"…แต่เอ็งขอยาวขนาดนี้…คงไม่ได้ขอเป็นผัวข้าคนเดียวหรอก …ขอเป็นผัวใครนักหละ เอ็งจะเอาเมียซักกี่คนกัน”
อยู่ๆหยิกก็อารมณ์ดี ลืมที่ใจหายเมื่อกี๊ไปซะสนิท…สงสัยไหว้พระคงจะดีจริงอย่างคนเขาว่า
“อืมม มีกี่คนดีว้า” หยิกทำหน้าทะเล้น กลอกตาทำท่านึกไปมา จริงๆสีหน้านี้นอกจากจ้อนคงไม่มีทางได้เห็น แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เขาทำสีหน้าแบบนี้เลยในชีวิต
“นี่หยิก... ถ้าข้าเป็นผู้หญิงนะ…ข้าไม่เอาหรอกผู้ชายมากรักหนะ” จ้อนดูชักอิน หยิกเลยนึกครึ้มทำหน้าสลักสำคัญ แล้วพูดด้วยเสียงจริงจังว่า…
“งั้นเอ็งก็อธิษฐานให้ข้ารักเอ็งคนเดียวสิ"
ณ ตอนนั้น หยิกไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหน จ้อนถึงหุบยิ้ม กลืนน้ำลายหนึ่งทีเหมือนฝืดคอหรืออะไรสักอย่าง หยิกก็เลยพาลอึกอักไปด้วย
“กลับบ้านกันเหอะหยิก จวนสายแล้วหละหวะ… เดี๋ยวข้าไปทำงานไม่ทัน คนเจ็บเยอะแยะ หมอก็มีคนเดียว” จ้อนหน้าเสีย แล้วทั้งสองก็กราบลาพระประธาน หยอดตู้ค่าน้ำค่าไฟวัดคนละสิบบาทแล้วรีบออกจากโบสถ์ตรงดิ่งกลับ 221ชั้นบน แต่คนละห้อง
อืม…วันนี้มีคนร้อยมาลัยให้แล้วสินะ…หยิกจำเป็นจะต้องออกจากโลกแห่งความฝัน และอดีต…
ดอกบัวของข้าคงหมดความหมาย…
ลาก่อน….
หยิกอำลาดอกบัวกับบึงน้ำท้ายหมู่บ้านในใจอย่างเศร้าๆ
วินาทีนี้หยิกเกลียดเรือทุกลำ ท่าน้ำทุกท่า ดอกบัวทุกดอก ....หยิกคิดอาฆาตว่าเดี๋ยวจะเขียนจดหมายไปบอกให้ อบต. ถมบึงแม่งให้หมด ถ้ากูไม่ได้เด็ด พวกมึงก็อย่าเด็ดอย่าดมอย่าแดกดอกใบก้านกิ่งบัวกันอีกเลย!!!
จ้อนถือแก้วน้ำมาจากหลังบ้านแล้วรินน้ำผสมอุทัยทิพย์ใส่แก้ว
“เอ็งรอดมาได้ไงวะ…” จ้อนถามอย่างสงสัย
“ข้าเบื่อหวะ เอ็งก็เหมือนคนอื่นนั่นแหละ เคยสังเกตสังกาอะไรมั้ย คิดเอาเองสิอย่ามัวมาถามข้า” หยิกหงุดหงิดเพราะพาลไปรวมกับตอนที่จ้อนเชื่อที่เขาพูดว่าตาแดงเพราะผงเข้าตา...
ใช่ซี้ ข้ามันไม่สำคัญ เอ็งเลยไม่รู้อะไรของข้าเลย....
วันนั้น วันที่หยิกกับจิมจะวัดกัน จิมในคราบพระเอกลิเกที่ชื่อพ่อประจิม ตอนที่เขาเดินเข้าไปนั่งในโรงลิเก…อยู่ๆแทนที่จะเล่นลิเก พ่อพระเอกลิเกชื่อดังก็ดันร้องเพลงเทพธิดาผ้าซิ่นนัดเขาโต้งๆ สาวก็กรี๊ดกันใหญ่ เพราะสาวที่นี่ก็ใส่ผ้าซิ่นแล้วก็อยู่ในสภาพแวดล้อมหว่านไถกันทั้งนั้น ขนาดนังหม่อนเป็นสับปะเหร่อไม่ได้ทำนาก็ยังเคลิ้ม แค่ขึ้นมาประโยคแรก รำก็รำแค่มือเดียว เสียงกรี๊ดก็กระหึ่ม…นังหม่อนก็เขินตีขาหยิกใหญ่…
ที่เขาไปดูลิเกกับหม่อนก็เพราะยายบอกว่าให้ตอบแทนที่นังหม่อนมันแอบหลวงพ่อและกรรมการวัดให้เขาเข้าไปดูศพในป่าช้าวัดดอนตามใจชอบเพื่อสืบคดีทั้งที่จริงๆเขาอยากไปนั่งรอไอ้เสือจิมท้ายวิกหลังลิเกเลิกต่างหาก....คนอื่นไม่ช่างสังเกต มัวแต่กรี๊ด มัวแต่เอาแม็กเย็บแบ็งค์ม่วงกับพวงมาลัย....ดังนั้นจึงมีเขาคนเดียวที่รู้ว่าท่อน“แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ….จะบานคอยพระ หรือบานคอยเณรรรร
ถ้าบานคอยพี่ ….ไว้พรุ่งนี้ตอนเพล...
(เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร๊งงง) คอยได้ไหมคนดี” หมายถึงอะไร…
เห็นมั้ย ว่านัดเขาชัดๆฟังยังไงก็เป็นการนัดเจอพรุ่งนี้ตอนเพล แล้วจิมจะมาเลทหน่อย
จ้อนรำคาญที่หยิกลีลาไม่ตอบ …เอาจริงๆเขาก็ยังไม่พอใจ ที่หยิกไปไม่ลา ไม่เคยคิดจะบอกแผนการณ์ ไม่สนใจสภาพจิตใจของเขา ที่หลังจากเผาศพปลอมได้สองสามวัน เขาก็เอาแต่เมาเหล้าขาว ตะโกนคุยกับผีหยิกเป็นภาษาอีสาน
“บักหยองงง มึงอยู่ไส กูอยากตายตามมึงไปนำ มึงเข้าใจกูอยู่บ้อ บักหยองงงง ฮืออออออ แค่กๆ (สำลัก)” ซึ่งปกติแล้ว ถ้าไม่หนักจริงๆ เขาก็ไม่ได้พูดอีสานเท่าไหร่นัก เพราะคบกับหยิกที่พูดแต่ภาษากลาง กินกะปิไม่กินปลาร้า กินข้าวสวยไม่กินข้าวเหนียวกระแดะที่สุดในหมู่บ้าน เขาเลยพลอยไม่ได้พูดไปด้วย
แต่พอเมาเหล้าขาวแบบชนิดไม่ยอมสร่างได้สองสามวัน ขณะที่เขาเดินแอ่นเลาะกำแพงวัด เขาเห็นพี่สาวนั่งกอดขวดยาดองอยู่ตรงร้านใกล้ๆเขาก็คิดได้ว่าไม่อยากเป็นแบบพี่ ประกอบกับเหลือบไปเห็นรูปหยิกบนกำแพงวัดล็อกใหม่ที่ครอบครัวหยิกสร้างเป็นเกียรติแก่ตัวหยิกเอง ตอนนั้นทุกคนครหาด่าทอหยิกที่ฆ่าพระเอกลิเกขวัญใจทุกคนอย่างไม่มีชิ้นดี เขาเลยทึกทักเอาว่าไหนๆใครๆก็เกลียดเอ็งขนาดนี้ รูปเอ็งอย่าอยู่นี่เลย เอ็งไปกับข้าเถอะหยิกเอ๊ย
เพราะข้าเป็นคนเดียวที่ยังเชื่อในตัวเอ็ง
จ้อนเลยขโมยรูปที่เขียนวันเกิดวันตายของหยิกที่ติดอยู่ข้างกำแพงวัดแล้วขอคำสั่งย้ายจากกองทัพเข้ากรุงเทพฯเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
ก่อนไป เขากราบลาพระประธานที่วัดที่เขาเคยอาศัยข้าวก้นบาตร เพราะแม่เลี้ยงลูกคนที่สองไม่ไหว อธิษฐานไปทั้งที่ไม่มีหวังว่าขอให้หยิกกลับมา ถ้าโลกนี้มีปาฏิหาริย์ ...วันนั้นเขามองพระปฏิมาอยู่ห้านาทีแล้วก็ค่อยๆหันหลัง เพื่อเดินไปติดต่อวิ่งเต้นที่กรม...
แต่ไม่คิดว่าปาฏิหาริย์จะมีจริงๆ...
“เอ็งไม่มีหัวใจเอ็งรู้ป้ะ” จอห์นถามเล่นๆ แต่ด่าจริงๆ…“เอ็งมันชอบหลอกใช้คนที่รักที่ห่วงเอ็งรู้มั้ยวะหยิก”
“ก็มีแค่นังหม่อน กับยายแหละที่รักและห่วงข้า” หยิกตอบอย่างน้อยใจ โดยที่ลืมตัวไปว่าไม่ควรพูดอีกแล้ว
“ไม่จริงหรอกวะ เอ็งเอาที่ไหนมาพูด” จ้อนเริ่มฉุน
“ทำไม แล้วใครอีกหละที่รักข้าห่วงข้า” หยิกก็ฉุนเหมือนกัน ไม่รักอย่ามาพูดเลยดีกว่า
“ก็…พี่เอ็ง…พ่อเอ็ง แม่” จ้อนพูดเสร็จก็ชำเลืองไปทางอื่น
หยิกถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้สิ วันนี้ไม่มีแรงทำอะไรทั้งนั้น
“ไปก่อนนะ ข้าชักอยากจะไปงานวัด”
“ข้าไปด้วยได้มั้ย ข้าก็เบื่อเหมือนกัน” จ้อนรู้สึกคิดถึงหยิกจับใจ โกรธก็โกรธ อยากจะเล่นตัว อยากจะเยอะเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากทำ จ้อนก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนัก เลยทำดีใส่หยิก แม้ว่าจะขัดใจตัวเองนิดหน่อย
“ไปปลุกเมียเอ็งสิวะ เมียตื่นมาคงรู้สึกแย่”
“ไม่หรอก มาลีเขามีเหตุผล” จ้อนตอบยิ้มๆ จริงๆแล้วเขาไม่อยากบอกใครต่างหาก ว่าทั้งเขาและมาลีมาแต่งงานกันก็เพราะไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
ซึ่งไก่กับงูธรรมดาๆ ที่ไหนจะมีนมมีตีนหละ
เขาไม่อยากให้ใครมองว่าผิดปกติ มาลีก็เช่นกัน ดังนั้นไก่มีนมกับงูมีตีนจึงมาแต่งงานกัน...
จ้อนเขียนโน้ตไว้ข้างหมอน ก่อนเดินออกมาหาหยิกที่นั่งคอยอยู่
“กินมือเย็นยังวะ” หยิกถาม
“โห่ ยังเลย หิวมาก”
“ชายสี่มั้ย… ” หยิกนึกอยากรำลึกความหลังร้านแรกที่กินด้วยกัน วันที่เขาพบกันครั้งแรก วันที่จ้อนเอาปืนยาวของพ่อยิงคนขับสามล้อถีบจากบนยอดมะม่วงเพื่อช่วยชีวิตหยิกที่กำลังยืนเลือกยาสั่งจริงกับยาสั่งปลอมอยู่ในโรงเพาะเห็ดหลังโรงเรียนวัด
“เดี๋ยวพอไปนั่ง...เอ็งไม่ต้องสั่งนะ เอ็งคอยดูนะ…ข้าจะสั่งเหมือนอ่านใจเอ็งเปี๊ยบเลย” หยิกพูดไปยิ้มไป
“เห่ออ เอ็งเดาหละสิ”
“เอ็งลืมไปแล้วเหรอวะ….ว่าชายสี่มันมีแต่หมูแดงนี่หว่า”
แล้วผู้กองจ้อนกับหยิกก็กลับมาเดินหัวเราะต่อกระซิกด้วยกันอีกครั้ง หลังจากที่ต้องร้องไห้ถึงกันระยะไกลมาเป็นแรมปี…
tbc.
ความคิดเห็น